หัวข้อ : เล่มที่ 5 มีน้ำใจ แล้งน้ำใจ ตอนที่ 9 เส้นทางสู่อาชีพนักบวช

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:01

ตอนที่ 9

 

เส้นทางสู่อาชีพนักบวช

 

 

สมองของเฉินเฟิงแล่นจี๋อย่างรวดเร็ว หากถอนตัวในตอนนี้ จากข้อมูลที่คมพิรุณกับอะไรก็ได้ให้มา ครั้งหน้าทางผ่านที่ศิลาสะบั้นมังกรจะเปิดออกจะเปลี่ยนเป็นทางหนวดมังกรฝั่งขวาเส้นที่ 1

ถึงการใช้ทางหนวดมังกรเส้นนั้นผ่านจะไม่ใช่ปัญหาก็เถอะ แต่ทางหนวดมังกรฝั่งขวาเส้นที่ 1 , 2 เป็นทางที่ผู้เล่นธรรมดาทั่วไปใช้เป็นทางผ่าน และเหล่าทหารรับจ้างกับบรรดากลุ่มสมาคมต่างก็มีข้อตกลงร่วมกันอย่างไม่เป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่รุกล้ำเข้าไปใช้ทางสองเส้นนั้น ถ้าพวกเขายกขบวนกันไปใช้เส้นทางนั้นเป็นทางผ่านแล้วเกิดทำให้พวกผู้เล่นธรรมดาไม่พอใจขึ้นมาละก็ นั่นคงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ทุกคนอยากจะเห็นแน่

แต่ถ้าตัดใจไปในตอนนี้ กว่าจะเวียนมาถึงทางหนวดมังกรฝั่งซ้ายเส้นที่ 1 , 2 , 3 ที่บรรดาผู้เล่นต่างยอมรับกลายๆ ว่าเป็นเขตพื้นที่ของสมาพันธ์เฟิง ก็ต้องรออีก 4 วันให้หลังโน่น

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การที่สามารถเดินผ่านทางผ่านของผาเก้าคดทั้ง 9 เส้น และสามารถผ่านศิลาสะบั้นมังกรไปถึงเนินจมูกสิงห์ได้ภายในเวลา 10 วัน โดยที่ในแต่ละวันจะมีโอกาสฟลุกแค่ 1 ใน 9 เท่านั้นนั้น ถือว่าโชคดีมากๆ แล้ว

แต่วันนี้เฉินเฟิงมีความจำเป็นอย่างมากที่ทำให้หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ต้องผ่านไปให้ได้ ซึ่งไม่แค่เรื่องที่เวลาเปลี่ยนแพทช์ของเกม “ราชาแห่งราชัน” คืบใกล้เข้ามาทุกที ทำให้ต่อให้วันนี้ได้รับคุณสมบัติในการเป็นนักบวชฝึกหัดมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถเพิ่มระดับทักษะความสามารถจนได้รับอาชีพนักบวชมาทันเวลาก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแพทช์หรือเปล่าเท่านั้น แต่ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือ…ในกลุ่มคนที่จะไปเอาคุณสมบัตินักบวชฝึกหัดมีเพื่อนของเขา…วิหารจันทราเทพ…รวมอยู่ด้วย

ตอนที่เฉินเฟิงซึ่งทำงานยุ่งจัดจนหัวไม่วางหางไม่เว้นมา 4 วันรับภารกิจมาจากคมพิรุณ เขาคิดแค่อยากจะไปเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยเท่านั้น แต่เมื่อสมาชิกที่เข้าร่วมในภารกิจครั้งนี้มากันครบทุกคน เฉินเฟิงถึงค่อยเข้าใจความหมายของรอยยิ้มแปลกๆ ก่อนจะจากไปของคมพิรุณ และค่อยทราบว่าเขาเป็นหนี้น้ำใจคมพิรุณเสียแล้ว

เฉินเฟิงนึกเจ็บใจตัวเองมาตลอดที่ทำให้วิหารจันทราเทพไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพนักบวชทันเวลา ยิ่งหลังจากที่ได้ทราบว่าพวกเพื่อนๆ ที่เป็นสมาชิกระดับผู้นำของสมาพันธ์ไม่ได้ถูกผลประโยชน์ล่อลวงจนนิสัยเปลี่ยนไปแต่อย่างใดด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งแค้นตัวเองเข้าไปใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ว่าเขามีใจให้วิหารจันทราเทพเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพียงแต่ในใจของเขามันอยากจะชดเชยความผิดพลาดอันเกิดจากความเข้าใจผิดของตัวเองเท่านั้น

เฉินเฟิงเข้าใจดีว่า ที่ทุกคนให้เขาพาวิหารจันทราเทพไปเอาคุณสมบัติในการเป็นนักบวชฝึกหัดนี้เพียงเพราะต้องการให้ได้ชื่อว่า “เขาเป็นคนพาไป” เป็นสำคัญ เพื่อจะได้แสดงให้ทั้งสมาชิกสมาพันธ์และคนนอกสมาพันธ์ได้ประจักษ์ชัดเจนว่าสมาพันธ์เฟิงได้ปฏิบัติตามคำสัตย์ที่ว่า “ไม่ห้ามสมาชิกสมาพันธ์แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนของตน” อย่างเคร่งครัด ขอแค่วันนี้มีเฉินเฟิงออกหน้า ไม่ว่าผลลัพธ์จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ก็จะไม่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อผลลัพธ์ที่ทุกคนอยากจะให้เป็นใดๆ ทั้งสิ้น

แต่ถ้าวันนี้ล้มเหลวละก็ เฉินเฟิงคงจะอดนึกเสียใจไปตลอดไม่ได้แน่ๆ เพราะถึงแม้จะถือว่าวิหารจันทราเทพที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสมาพันธ์เฟิงเป็นผู้ได้รับประโยชน์ก็ตามที แต่เธอเองก็ต้องทนรับแรงกดดันจากหลายๆ ด้านอย่างเงียบๆ อยู่เหมือนกัน การติดต่อระหว่างวิหารจันทราเทพกับคมพิรุณไม่ได้ถูกแพร่งพรายให้เฉินเฟิงทราบ แต่เฉินเฟิงรู้ดีว่า วิหารจันทราเทพมีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และตัวเขาเองก็มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเช่นกัน

หลังจากที่คมพิรุณประกาศว่าภารกิจล้มเหลว ผู้เล่นที่จ้างวานทั้งห้าคนก็ทยอยกันใช้ม้วนคาถากลับบ้าน ในช่องกลุ่มมีข้อความจากคมพิรุณส่งมาเร่งให้ทุกคนรีบถอนตัว แต่เฉินเฟิงยังคงไม่คิดที่จะยอมแพ้อยู่นั่นเอง และแข็งขืนนำกลุ่มของตนเข้าอุดช่องโหว่แทนที่กลุ่มของคมพิรุณ

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยใช้ช่องกลุ่มส่งข้อความมาอย่างกระวนกระวายว่า

“ลูกพี่ ถ้ายังไม่ถอนตัวอีกล่ะก็ จะไม่ทันการณ์แล้วนะ มังกรยักษ์ที่ก้นเหวน่ะไม่น่าเล่นด้วยหรอกนะครับ !”

เฉินเฟิงตอบกลับอย่างรำคาญนิดหน่อย “มันต้องมีวิธีสิน่า รออีกหน่อยสิ ผมกำลังคิดหาทางอยู่นี่ไง”

นักดาบกับพรานทั้งหกคนทยอยกันถอนตัวจากไป บางทีทุกคนอาจรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นของเฉินเฟิง จอมเวททั้งสามจึงยังคงใช้เวทมนตร์โจมตีโดยเปล่าประโยชน์ต่อ พวกพ้องในกลุ่มทั้งห้าคนเองก็ยังคงรอต่อไป ทว่าเวลาอันไร้น้ำใจหาได้หยุดชะงักลงเพราะความมุ่งมั่นของเฉินเฟิงไม่ ลมเฮอร์ริเคนจากก้นเหวซ่อนมังกรค่อยๆ เพิ่มความแรงขึ้นดังเช่นที่เคยเป็น

วิหารจันทราเทพแอบส่งข้อความไปให้เฉินเฟิงว่า

“ได้แต่โทษว่าฉันโชคไม่ดีเองแหละค่ะ พี่เฟิง พอแล้วล่ะ ถ้าเธอไม่ถอย ทุกคนก็จะไม่ยอมถอย ถ้ายังมัวชักช้าจนทำให้ทุกคนพลอยแย่ไปด้วยคงไม่ดีแน่”

จะยอมหยุดแค่นี้จริงๆ น่ะหรือ ? เฉินเฟิงแสนจะไม่เต็มใจ ไม่มีเหตุผลที่ระบบจะออกแบบมาให้ไม่สามารถผ่านไปได้นี่นา ?

เนื่องจากพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มข้างหน้าพากันถอนตัวจากไปจนเกือบหมดแล้ว ทำให้สามารถมองเห็นปลายทางของทางหนวดมังกรได้รางๆ และร่างกายขนาดมหึมาของเดดิกีวรัสก็ดูเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ ที่ปิดทางผ่านเอาไว้โดยสิ้นเชิง

“วู้ววววว….วู้ววววว….” เสียงกรีดร้องของลมเฮอร์ริเคนดังเร่งรัดอย่างไร้น้ำใจ ในที่สุดคมพิรุณก็ออกคำสั่งถอนตัวเป็นครั้งสุดท้าย จอมเวททั้งสามถอนตัวไปจากแนวหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัย คาราเมล และอะไรก็ได้ทั้งสามคนเองก็ทยอยกันถอนตัวไป ส่วนเฉินเฟิงยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่นอยู่เหมือนเดิม โดยเหลือแต่เยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพเพียงสองคนติดตามอยู่ด้านหลัง ดูท่าคงยืนกรานที่จะรอจนกว่าเฉินเฟิงจะยอมตัดใจ

จวบกระทั่งอยู่ห่างจากเดดิกีวรัสแค่ 5 เมตร สองสาวก็ชักจะทนไม่ไหว และแยกย้ายกันคว้าแขนซ้ายขวาของเฉินเฟิง แต่อยู่ๆ เฉินเฟิงกลับชิงเป็นฝ่ายคว้ามือสองสาวดึงเข้ามาใกล้ แล้วชิงพูดขึ้นก่อนที่สองสาวจะทันได้เปิดปากพูดว่า

“ทางน่ะเกิดจากคนเดินนะ[1] ผมมองเห็นทางแล้ว ! ถ้าเชื่อผมก็จับผมไว้ให้แน่นๆ นะ เอาล่ะ…ลุย !

วิ่งตะบึงไปได้แค่ 3-4 ก้าว ทั้งสามก็ถูกพายุเฮอร์ริเคนพัดลอยขึ้นจากพื้น ระหว่างที่ยังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ สองสาวรู้สึกว่ามีแรงดึงขุมหนึ่งกระชากตัวเองไปทางฝั่งผาเก้าคด ตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าเธอทั้งสองคนได้ย้ายมาอยู่ฝั่งด้านหลังของเดดิกีวรัสไปเรียบร้อยแล้ว

พอตกถึงพื้นปุ๊บ เฉินเฟิงก็ปล่อยสัตว์เลี้ยงทุกตัวออกมาทันที อเล็กซ์กับอู้คงต่างถืออาวุธเป็นแนวหน้าพุ่งเข้าโจมตี ส่วนหลายฝูกับซวงเว่ยร่วมกับเฉินเฟิงช่วยกันใช้เวทมนตร์โจมตีไม่ได้หยุดจากระยะห่างออกไป

“แม่งเอ๊ย ! เสือกหดหัวเข้ากระดองอีกแล้ว !” เสียงตวาดอย่างโมโหของเฉินเฟิงดึงสติสองสาวให้กลับมาสู่ความเป็นจริง แต่พอเห็นเดดิกีวรัสที่หดหัวหนีเข้าไปอยู่ในกระดองเข้า ก็รู้สึกว่าจนปัญญาจะทำอะไรมันได้จริงๆ

กระบองห่วงทองฯกับค้อนดาวตกที่ทุบใส่ลำตัวมันไม่ต่างอะไรเลยกับทุบใส่ผนังผา นั่นคือถึงแม้เสียงกระแทกจะดังหนักหน่วง แต่ก็ทราบดีว่าไม่เกิดผลอะไรแม้แต่น้อย คาถาคมวายุ คาถาศรเพลิง และคาถาลูกแก้วอัคคีระเบิดกระจายประปรายอยู่บนหลังของเดดิกีวรัส แต่ก็เหมือนแค่ทำเสียงหนวกหูเฉยๆ โดยแทบไม่เกิดผลลัพธ์อะไรเลย

“ฆ่าไม่ตายซะที ไม่ฆ่าแล้วโว้ย ! ถึงไงมันก็ไล่ตามเรามาไม่ทันอยู่ดี ไปกันเถอะ !” อยู่ๆ เฉินเฟิงก็เลิกโจมตี แล้วเรียกพวกสัตว์เลี้ยงกลับมามุ่งหน้าไปทางผาเก้าคด สองสาวจึงได้แต่เร่งฝีเท้าติดตามไป

ทางผ่านที่ทั้งสามคนเลือกเดินคือทางผ่านที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งทางผ่านเส้นนี้เฉินเฟิงได้สอบถามล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จึงทราบดีว่าต่อไปต้องทำอย่างไรต่อ

เยี่ยหลานถามอย่างสงสัยว่า “พี่เฟิงคะ พวกเราผ่านมาได้ยังไงหรือคะ ? แล้วก็ทิ้งเดดิกีวรัสเอาไว้อย่างนั้นมันจะดีหรือคะ ?”

เฉินเฟิงหัวเราะแล้วอธิบายว่า ที่ครั้งนี้แอบข้ามมาได้สำเร็จ เรียกได้ว่าอาศัยโชคช่วยล้วนๆ

ปรากฏว่าทีแรกเฉินเฟิงเองก็กะจะยอมตัดใจแล้วเหมือนกัน แต่อาจเป็นเพราะเดดิกีวรัสรู้สึกว่าไม่ถูกโจมตีมาได้สักพักแล้ว จึงได้ยื่นหัวออกมาจากกระดองกลับสู่สภาพปกติในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่พายุเฮอร์ริเคนจะพัดมาพอดี แถมหลังจากที่มันมองเห็นคนทั้งสามเข้า มันก็สะบัดหางโจมตีใส่ทันทีอีกต่างหาก

ถึงแม้เฉินเฟิงที่คิดยังไงก็คิดหาทางไม่ออกสักทีแสนจะอยากเหยียบหลังเดดิกีวรัสผ่านทางไปตรงๆ เสียเลย แต่น่าเสียดายที่กระดองเรียบลื่นเป็นมันวับของมันบวกกับส่วนสูงที่สูงถึงหลายเมตรได้ทำลายความเป็นไปได้ของหนทางนี้ลงโดยสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นมีหรือที่พวกคมพิรุณตั้งหลายคนซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าก่อนหน้านี้จะคิดไม่ถึงวิธีนี้กันเลยสักคน ?

แต่สุดท้ายเฉินเฟิงก็ค้นพบความเป็นไปได้อยู่อย่าง นั่นก็คือลักษณะพิเศษของหางที่ส่วนปลายมีหนามแหลมผุดขึ้นรอบๆ จนดูเหมือนดาว ซึ่งเป็นส่วนเดียวของตลอดทั้งตัวมันที่มีอะไรยื่นออกมานั่นเอง และการสะบัดหางโจมตีของมันนั่นแหละที่ทำให้เฉินเฟิงกล้าที่จะลองเสี่ยงดูสักครั้ง

หลังจากถูกพายุเฮอร์ริเคนพัดลอยขึ้นไปแล้ว เฉินเฟิงก็ใช้แส้เทพสีหราชฯทันที และโชคดีอย่างมากที่สามารถสะบัดออกไปรัดหางของเดดิกีวรัสเอาไว้ได้สำเร็จ จากนั้นก็ปล่อยตัวตามแรงเหวี่ยงของหางลอยคว้างไปตกลงที่ด้านหลังของมัน ว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าเดดิกีวรัสไม่ได้ตื่นขึ้นมาทันเวลา แถมยังสะบัดหางใส่อีกต่างหากล่ะก็ พวกเฉินเฟิงทั้งสามคนก็มีแต่ต้องใช้ม้วนคาถากลับบ้านกลับเมืองไปรายงานตัวสถานเดียว

หลังจากฟังคำอธิบายจบ สองสาวก็พากันบอกว่าเฉินเฟิงนี่กล้าบ้าบิ่นจริงๆ และแกล้งแซวว่าดูท่าเขาจะดวงสมพงษ์กับหางของสัตว์อสูรเป็นพิเศษ คราวพฤกษ์ไพธอนสารหนูแดงนั่นก็ทีแล้ว นี่ยังมาเดดิกีวรัสอีก วิหารจันทราเทพเตรียมรายงานให้คนอื่นๆ ทราบอย่างกระตือรือร้นเต็มที่ เฉินเฟิงแค่ยิ้มแล้วบอกว่าต่อให้รู้วิธีนี้ คนที่กล้าใช้ก็คงมีแค่ไม่กี่คนหรอก

ส่วนเรื่องทิ้งเดดิกีวรัสเอาไว้อย่างนี้ เฉินเฟิงบอกว่าตัวมันใหญ่ตั้งขนาดนั้น ยังไงก็ไม่มีทางเบียดตามเข้าไปในทางผ่านผาเก้าคดได้อยู่แล้ว เว้นแต่ว่ามันจะขยายทางผ่านของผาเก้าคดให้กว้างขึ้นอีกเท่าตัวได้ เดดิกีวรัสโจมตีด้วยวัตถุไร้ผล โจมตีด้วยเวทมนตร์ได้ผลครึ่งเดียว ถึงจะฆ่าให้ตายได้ แต่อย่าลืมสิว่าพวกเขายังต้องเร่งผ่านศิลาสะบั้นมังกรไปให้ทันก่อนตะวันตกดินนะ ขืนให้มาเสียเวลากับมันอยู่ที่นี่ล่ะก็ ขอเอาเวลาไปเร่งเดินทางยังจะเป็นประโยชน์เสียกว่า

หลังจากที่ทุกคนได้ทราบว่าสุดท้ายทั้งสามก็สามารถผ่านทางหนวดมังกรสำเร็จจนได้ ก็พากันตกตะลึงจังงัง แต่หลังจากที่ได้ทราบวิธีการแล้ว ต่างก็ต้องนับถือเฉินเฟิงอย่างมาก

โชคดีที่เฉินเฟิงมีสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วย 4 ตัว เพราะทุกคนต่างก็กังวลอยู่ว่าด้วยกำลังความสามารถของทั้งสาม ต่อให้ฝ่าผ่านทางหนวดมังกรไปได้ ก็ยากจะผ่านทางผ่านผาเก้าคดไปได้อยู่ดี ส่วนเรื่องที่ไม่ฆ่าเดดิกีวรัสนั้นออกจะน่าเสียดายอยู่บ้าง เพียงแต่พอลองคิดดูแล้ว คราวหน้าก็ยังมีโอกาสฆ่ามันได้อยู่ ดังนั้นไปคลี่คลายภารกิจก่อนจะดีกว่า

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยกับคาราเมลชักเสียดายที่ดันชิงกลับมาก่อน แต่ถ้าเขาสองคนไม่ชิงกลับมาก่อน คิดว่าเฉินเฟิงเองก็พาคนตั้ง 4 คนผ่านเดดิกีวรัสไปไม่ไหวอยู่ดีนั่นล่ะ

เหตุการณ์นี้ส่งผลให้หลังจากนั้นมีผู้เล่นจำนวนมากหันมาให้ความสนใจอาวุธจำพวกแส้เป็นพิเศษ และพากันสอบถามว่ามีขายที่ไหนบ้าง ซึ่งแค่เรื่องที่ในเวลาคับขันสามารถจะใช้มันเป็นเชือกช่วยชีวิตได้ ก็ทำให้ราคาของอาวุธชนิดขึ้นถีบตัวสูงขึ้นไม่ใช่น้อยๆ แล้ว

 

ทิวทัศน์ภายในทางผ่านของผาเก้าคดก็ยังเป็นเหมือนเดิม นั่นคือมีแต่ผนังผาโล้นๆ ไม่มีต้นหญ้าหรือต้นไม้ขึ้นเลยสักต้น

ที่นี่เป็นสถานที่ที่พิลึกเอามากๆ ระบบของเกมราชาฯอุตส่าห์แบ่งพื้นที่มาตั้งกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ดันเปิดทางเข้าให้ผู้เล่นเข้าไปได้แค่วันละ 3 ครั้ง ครั้งละช่วงสั้นๆ แค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังจัดสัตว์อสูรเฝ้าทางที่ร้ายกาจเสียจนหากไม่ใช่กลุ่มผู้เล่นที่แข็งแกร่งพอ จะไม่มีทางผ่านไปได้เสียด้วย สุดท้ายยังมีฝูงสัตว์อสูรที่พอตกกลางคืนก็เก่งกาจจนโอเวอร์เหมือนคนออกแบบมันช่างโรคจิตอีกต่างหาก ทำเอาทิวทัศน์ที่เดิมทีก็เปลี่ยวร้างอยู่แล้วยิ่งเปลี่ยวร้างหนักเข้าไปใหญ่

พวกเฉินเฟิงเดินอยู่ในทางผ่านอย่างโดดเดี่ยว อเล็กซ์กับอู้คงนำหน้าเบิกทาง ส่วนหลายฝูปิดท้ายช่วยระวังภัยทางด้านหลัง

เมื่อคิดถึงว่ายังต้องเดินกันอีกไกล บวกกับด้านหลังของศิลาสะบั้นมังกรยังเป็นสถานที่แห่งใหม่เสียด้วย เพื่อป้องกันการต้องมะงุมมะงาหราอยู่ในความมืด เฉินเฟิงจึงเร่งเดินทางโดยให้สองสาวขี่ซวงเว่ย ส่วนตัวเขาใช้คาถาท่องลมวิ่งตามไป

เวลามีเรื่องละเชื่องช้า เวลาไร้เรื่องละรวดเร็ว หลังจากเร่งเดินทางกันไปได้ 4 ชั่วโมง ก็ผ่านชีพจรมังกรที่ว่างเปล่าไปได้ 4 แห่ง

วิหารจันทราเทพกับเยี่ยหลานดูจะถูกชะตากันดี เพราะเอาแต่กระซิบพูดคุยกันโดยไม่สนใจเฉินเฟิงไปตลอดทาง เฉินเฟิงที่แสนจะเบื่อหน่ายได้แต่แย่งตีสัตว์อสูรกับอเล็กซ์และอู้คงแก้เบื่อ แต่พวกสัตว์อสูรก็ดูจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไรนัก เพราะรวมทั้งหมดแล้วได้เจอแค่นกยูงที่ถูกทิ้งเดี่ยวแค่ 5 ตัวเท่านั้น

เพิ่งจะแค่ช่วงสายๆ พวกเฉินเฟิงก็เดินทางกันไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว เพียงแต่ตลอดทางมันราบรื่นเสียจนรู้สึกตงิดๆ ยังไงชอบกล ตามหลักแล้วภารกิจในวันนี้ควรจะสิ้นสุดลงอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ แต่เฉินเฟิงกลับอดลอบขมวดคิ้วไม่ได้

แน่ละว่าเขาไม่ได้ไม่พอใจที่ตลอดการเดินทางออกจะน่าเบื่อไปหน่อยหรอก แล้วก็ไม่ได้ไม่พอใจว่าเดินทางรุดหน้าช้าเกินไปด้วย แต่ที่ขมวดคิ้วเป็นเพราะรู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูกจนทำให้อดกระวนกระวายใจไม่ได้

ชีพจรมังกรแห่งที่ 5 ปรากฏแก่สายตา เปลวควันลอยอ้อยอิ่งที่มองเห็นได้แต่ไกลประกาศตัวล่วงหน้าว่าเป็นชีพจรมังกรเปล่าๆ อีกแล้ว แต่เสือปลาเฝ้าทาง 6 ตัวที่อยู่ข้างๆ ทำให้ทั้งสามค่อยรู้สึกคึกคักขึ้นมาหน่อย

สองสาวที่คุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันมาพักใหญ่กระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว เยี่ยหลานพูดปนหัวเราะว่า

“พี่เฟิง รอบนี้เปลี่ยนมาให้พวกเราแสดงแทนเถอะนะคะ ฉันนัดจันทราเทพไว้แล้วว่าจะประลองฝีมือกัน ถ้าพี่ว่างก็ช่วยใช้เวทมนตร์เสริมให้หน่อยก็พอค่ะ แต่ต้องช่วยอย่างยุติธรรมนะคะ”

เฉินเฟิงได้แต่ยักไหล่ แล้วโบกมือในความหมายเชิญตามสบาย ครั้นสองสาวพากันหันไปทำท่ารับศึก เขาก็ช่วยใช้คาถาท่องลมให้พวกเธอ แถมยังสั่งให้อเล็กซ์กับอู้คงเหลือเสือปลาไว้ให้สาวๆ ได้เล่นกันบ้าง

จวบกระทั่งเยี่ยหลานเริ่มเอ่ยปากพูด เฉินเฟิงถึงค่อยเข้าใจว่าสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจแปลกๆ คืออะไร

เหตุผลหนึ่งคือสีหน้าของวิหารจันทราเทพยังคงดูเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา

ส่วนอีกเหตุผลเป็นเพราะจำนวนสัตว์อสูรที่ได้เจอมีน้อยเกินไป น้อยมากเสียจนเฉินเฟิงอดกังวลไม่ได้ว่าอาจจะมาผิดทางเสียแล้ว เพราะก่อนจะออกเดินทาง ข้อมูลได้ระบุเอาไว้ว่า บนทางผ่านเส้นที่จะสามารถผ่านศิลาสะบั้นมังกรไปได้ของแต่ละวันจะมีสัตว์อสูรโผล่มามากกว่าปกติ เพียงแต่เนื่องจากข้อมูลเองก็ไม่ได้สมบูรณ์มาก ทำให้เฉินเฟิงไม่สามารถตัดสินได้ว่า จำนวนสัตว์อสูรเท่านี้มันมากหรือน้อยกันแน่

การปรากฏกายของเสือปลาทั้ง 6 ตัวตรงหน้าทำให้เฉินเฟิงค่อยรู้สึกมั่นใจขึ้นมาหน่อย เพราะจากการประมวลข้อมูลสัตว์อสูรที่ปรากฏในทางผ่าน ข้อมูลระบุว่าในทางผ่านไม่ค่อยจะปรากฏสัตว์อสูรแบบเป็นฝูงให้เห็นนัก ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่ามาถูกทางอย่างแน่นอน และในเมื่อสองสาวอยากจะเล่น งั้นเขาจะได้พักให้สบายสักครู่

เฉินเฟิงสั่งให้อเล็กซ์กับอู้คงช่วยกันล่อเสือปลาออกไปคนละตัว จากนั้นจงใจแยกเสือปลา 4 ตัวที่เหลือออกห่างจากกันเป็น 2 กลุ่มกลุ่มละ 2 ตัว สองสาวต่างหันมายิ้มให้เฉินเฟิงอย่างพอใจ ครั้นเฉินเฟิงใช้เวทมนตร์เสร็จ การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

สองสาวต่างพร้อมใจกันใช้ลูกธนูโจมตีเป็นอย่างแรกโดยไม่ได้นัดหมาย เพียงแต่คนหนึ่งใช้ธนูไม้ยาว ส่วนอีกคนใช้หน้าไม้ เดิมทีวิหารจันทราเทพที่ใช้หน้าไม้ควรจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เหตุการณ์ที่ดำเนินไปตรงหน้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ปมเด่นของเสือปลาคือความเร็ว หน้าไม้ที่ยิงรัวกราดเข้าใส่ยิงถูกเสือปลาตัวหนึ่งแค่ 3 ดอกเท่านั้น ส่วนเสือปลาอีกตัวไม่โดนยิงเลยสักดอก หลังการปะทะกันจังๆ ไปหนึ่งตลบ วิหารจันทราเทพถูกบีบให้ต้องชักดาบซามูไรออกมารับมือเสือปลาทั้ง 2 ตัวอย่างทุลักทุเล

ส่วนอีกด้าน แม้เยี่ยหลานที่ต้องรับมือเสือปลา 2 ตัวเช่นกันจะใช้ธนูไม้ยาว แต่ลูกศรที่ยิงออกไปคือลูกศรหัวโตเวทอัคคี หลังจากที่เสือปลาตัวหนึ่งโดนไป 1 ดอก สะเก็ดไฟที่แตกกระจายไปรอบด้านยังไปโดนเสือปลาอีกตัวเข้าให้อีกด้วย แถมสะเก็ดไฟยังไม่ทันดับสนิท ลูกศรอีก 3 ดอกก็ตามหลังมาติดๆ ทันที เพิ่งจะเริ่มลงมือสู้ พลังป้องกันของพวกมันก็ลดฮวบไปแล้วถึงเกือบครึ่ง หลังจากนั้นเยี่ยหลานถึงค่อยชักดาบสั้นออกมาสู้อย่างสบายๆ

การที่สถานการณ์ดำเนินไปอย่างพลิกผันแบบนี้เรียกว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้เฉินเฟิงผิดคาดยิ่งกว่าคืออาวุธที่เยี่ยหลานกำลังใช้อยู่

เนื่องจากหลายวันก่อนหน้านี้เฉินเฟิงมีอันต้องงานยุ่งจนหัวปั่นเนื่องมาจากการแก้แค้นของทุกคน ทำให้ถึงจะไม่กล้าพูดว่ารู้เรื่องทุกอย่างภายในสมาพันธ์อย่างแจ่มกระจ่างดั่งรู้จักนิ้วบนฝ่ามือ แต่อย่างน้อยก็รู้ประมาณ 70-80% ละ ปกติเขาไม่เคยสังเกตเลย เพิ่งจะมาสังเกตเห็นเอาในการแข่งขันโดยบังเอิญครั้งนี้นี่เองว่า อาวุธคู่มือของเยี่ยหลานยังไม่ได้อัพเกรดเลย

หากเป็นอาวุธอื่น ภายในสมาพันธ์อาจไม่มีเตรียมให้ แต่สำหรับอาวุธโจมตีระยะไกลพื้นฐานนี่ อย่างกระจอกที่สุดที่มีให้ใช้ก็เป็นหน้าไม้ระดับที่ 4 เข้าไปแล้ว ส่วนอาวุธโจมตีระยะใกล้นี่ก็เปลี่ยนเป็นดาบยาวเหล็กกล้าระดับที่ 5 ทั้งหมดมาตั้งนานแล้ว

จากการที่ขบวนทหารรับจ้างเฟื่องฟูมากเกินเหตุ ส่งผลให้อาวุธ 2 ชนิดนี้มีมากจนเกินความต้องการไปเลย สมาชิกสมาพันธ์แค่จ่ายเงินจำนวนน้อยมากก็สามารถจะขอซื้อมาได้แล้ว เพราะราคาของมันต่ำยิ่งกว่าราคาลด 50% ของร้านค้าของระบบเสียอีก ต่อให้จนกรอบจนไม่มีปัญญาจะอัพเกรดอาวุธและเครื่องป้องกันจริงๆ ก็เถอะ ทางสมาพันธ์ก็มีการจัดช่วงโปรโมชันขายอาวุธ 2 ชนิดนี้ในราคาลดพิเศษให้อยู่ดี เยี่ยหลานก็ถือได้ว่ากว้างขวางในสมาพันธ์ไม่ใช่น้อยนี่นา ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จนป่านนี้แล้วเธอจะยังไม่รู้เรื่องนี้อีก ?

เฉินเฟิงยังขบปัญหานี้ไม่ทันแตก สถานการณ์ของสองสาวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ถึงยังไงวิหารจันทราเทพก็เหนือกว่าตรงได้อาชีพนินจามาแล้ว หน้าไม้ที่กราดยิงรัวไปในตอนแรกนั้น เธอแอบออมมือให้นิดหน่อยด้วยซ้ำ เพียงแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันดันประดังมาติดๆ กัน นั่นคือนอกจากจะไม่คุ้นเคยในการสู้กับเสือปลาแล้ว เธอยังสะดุ้งโหยงเพราะตกใจเสียงระเบิดของลูกศรหัวโตเวทอัคคีของเยี่ยหลานจนมือไม้ปั่นป่วนไปพักใหญ่อีกด้วย

แต่ให้ยังไงระดับและอาวุธชุดป้องกันของเธอก็เหนือกว่าเยี่ยหลานขั้นหนึ่งอยู่ดี เมื่อเริ่มชินกับรูปแบบการโจมตีของเสือปลา เธอก็สามารถจัดการเสือปลาตัวหนึ่งลงได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก เสือปลาที่เหลืออีก 1 ตัวจึงอยู่ที่เธอว่าจะจัดการช้าหรือเร็วเท่านั้น

ครั้นหันกลับไปดูด้านเยี่ยหลาน ก็พบว่าเธอกำลังแย่ เพราะถึงตอนแรกจะลอบโจมตีสำเร็จก็ตาม แต่ยังไงเสือปลาก็เป็นถึงสัตว์อสูรระดับ 35 ถึงจะมีเฉินเฟิงช่วยใช้คาถาท่องลมให้ก็เถอะ เยี่ยหลานที่ยังไม่ได้อาชีพอะไรสักอาชีพก็ยังรับมือเสือปลาทั้ง 2 ตัวไม่ค่อยจะทันอยู่ดี บวกกับอาวุธของเธอเป็นแค่ดาบสั้นระดับที่ 4 ฟันใส่เสือปลาแต่ละครั้งนี่ลดพลังของมันลงได้แค่กระจึ๋งเดียวเท่านั้น ด้วยสภาพเสียเปรียบเช่นนี้ทำให้สถานการณ์ของเยี่ยหลานชักจะวิกฤตมากขึ้นทุกที

“กรี๊ด !”

เสียงกรีดร้องของเยี่ยหลานทำเอาเฉินเฟิงสะดุ้งได้สติ นึกไม่ถึงว่าเขาเผลอนึกสงสัยแค่แป๊บเดียว เยี่ยหลานก็ถูกเสือปลา 2 ตัวประสานกันโจมตีใส่เสียแล้ว การโดนกระโจนเข้าใส่แถมถูกกรงเล็บตะปบติดๆ กันหลายหนส่งผลให้ค่าพลังของเยี่ยหลานลดฮวบลงเกือบ 1,000 จุดในพริบตา ซึ่งนี่เป็นจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของค่าพลังป้องกันทั้งหมดของเธอในตอนนี้เสียอีก เธอจึงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที

การที่ได้รับบาดเจ็บจนค่าพลังลดลงเกินครึ่งย่อมจะส่งผลให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง ยาฟื้นพลังของเธอจึงถูกใช้ไปหลายขวดในทันที เฉินเฟิงเห็นแล้วเกือบจะยื่นมือเข้าช่วยอยู่รอมร่อ แต่พอนึกถึงนิสัยค่อนข้างจะอวดเก่งของเธอ บวกกับได้บอกกล่าวกันไว้แต่แรกแล้วว่าห้ามช่วยเหลือกันเด็ดขาด ทำให้เฉินเฟิงจำต้องยั้งมือเอาไว้

ทีแรกเฉินเฟิงกะจะรอให้การแข่งขันสิ้นสุดลงก่อนแล้วค่อยยื่นมือเข้าช่วยเยี่ยหลาน แต่ทางด้านวิหารจันทราเทพดูท่าจะไม่อยากให้เยี่ยหลานแพ้แบบน่าเกลียดเกินไปนัก จึงทำทีเป็นยังไม่สามารถจัดการเสือปลาที่เหลืออยู่ตัวเดียวนั่นได้เสียที

ที่แย่กว่านั้นคือ เสือปลาตัวสุดท้ายที่วิหารจันทราเทพรับมืออยู่พยายามดิ้นรนในภาวะใกล้ตายจนเข้าสู่สภาวะคลั่งไปเสียแล้ว ซึ่งแปลว่าระดับได้เพิ่มขึ้น 5 ระดับอย่างฉับพลัน อันส่งผลให้สถานการณ์ของวิหารจันทราเทพในตอนนี้ก็ชักไม่ค่อยดีด้วยแล้วเหมือนกัน

เฉินเฟิงรู้สึกทั้งขันทั้งระอาขึ้นมาทันที และชักจะลำบากใจกับความใจดีต่ออีกฝ่ายของสองสาวขึ้นมาครามครัน

เฉินเฟิงมั่นใจเกือบ 100% ว่า ที่เยี่ยหลานชวนวิหารจันทราเทพมาแข่งประลองกันนี้ ต้องเป็นเพราะเข้าใจความลำบากใจของวิหารจันทราเทพแน่ๆ ส่วนที่วิหารจันทราเทพจงใจออมมือให้ ก็เป็นเพราะไม่อยากให้เยี่ยหลานต้องเสียหน้าล้วนๆ น่าเสียดายที่สองสาวดันมาแสดงความใจดีต่อกันโดยลืมนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองเสียสนิท สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าปล่อยให้เฉินเฟิงได้แต่ยืนร้อนใจอยู่ตรงนี้โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

เสียงหอนของอเล็กซ์บ่งบอกว่าการต่อสู้ทางด้านมันสิ้นสุดลงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฟิงรู้สึกดีใจที่สัตว์เลี้ยงของเขาไม่รู้จักคิดเล็กคิดน้อยเหมือนอย่างมนุษย์ ครั้นเห็นสองสาวต่างก็เหงื่อไหลท่วมตัว เขาก็นิ่งคิดอยู่ครู่ แล้วตัดสินใจยอมเป็นคนเลวสักครั้งก็แล้วกัน !

อเล็กซ์กับอู้คงเป็นพวกบ้าการต่อสู้ขนานแท้และดั้งเดิมจริงๆ หลังจากที่ได้รับคำสั่งใหม่จากเฉินเฟิง มันสองตัวก็จัดแจงปฏิบัติตามทันทีโดยไม่มีการไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย

อเล็กซ์แค่เหวี่ยงค้อนดาวตกใส่ไปตูมเดียวก็ส่งเสือปลาที่กำลังคลั่งกลับบ้านเก่าไปเป็นที่เรียบร้อย แล้วมันก็หันไปวัดพลังแข่งกับอู้คงต่อทันที เสือปลาที่เหลือสองตัวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอเล็กซ์กับอู้คงมาแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นแค่ไม่ถึงสองนาทีก็โดนจัดการหมอบไปทั้งสองตัว

เยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพยืนพิงกันหอบแฮ่กๆ จนตัวโยน เมื่อลมหายใจค่อยเป็นปกติ พวกเธอก็พบว่าเฉินเฟิงกำลังแล่เก็บเนื้อเสือปลาอยู่

สองสาวจัดแจงคิดบัญชีกับเขาอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจทันที แน่ละว่าเฉินเฟิงคิดคำพูดแก้ตัวเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว โดยแกล้งทำหน้าไม่รู้เรื่องพลางพูดว่า

“ผมไม่ได้ลงมือซะหน่อยนะ ! ที่ลงมือน่ะมันอเล็กซ์กับอู้คงต่างหาก ถ้าไม่พอใจก็ไปคิดบัญชีกับมันสองตัวเองสิ พวกเธอเองก็รู้ดีนี่ว่าบางทีมันสองตัวก็ไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งเท่าไหร่นักหรอก”

สองสาวทั้งขำทั้งฉิว แน่ละว่าที่เฉินเฟิงพูดมานั่นขืนเชื่อนี่มีหวังได้ออกลูกเป็นลิงแหงๆ แต่ถ้าเฉินเฟิงไม่ยื่นมือเข้าช่วยล่ะก็ สองสาวมีหวังได้หน้าแตกแน่ๆ เหมือนกัน เธอสองคนจึงทำเป็นว่าอเล็กซ์กับอู้คงขัดขืนคำสั่งทำลงไปเองโดยพลการจริงๆ

แน่ละว่าสองสาวไม่กล้าไปยุ่งกับอเล็กซ์อยู่แล้ว แต่อู้คงนี่สิสุดจะซวยไปเลย เพราะต้องถูกสองสาวรุมเขกหัวกันคนละหลายโป๊กจนหัวปูดไปหมดโดยที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ มันเลยได้แต่มองเฉินเฟิงตาละห้อย

ได้แต่โทษว่าปีนี้อู้คงดวงตกเป็นพิเศษจริงๆ เพราะมันเป็นถึงสัตว์อสูรระดับตั้ง 45 แท้ๆ แต่ตอนแรกดันไปแพ้ให้กับการประสานโจมตีของเฉินเฟิง เซียวหยาว และวิหารจันทราเทพสามคนเข้าให้เสียได้ แถมเยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพยังดันได้เห็นภาพมันถูกเฉินเฟิงเขกหัวจนชินตาอีกต่างหาก

แน่ละว่าถ้าเฉินเฟิงไม่ได้ยืนกุมแส้เทพสีหราชฯคุมเชิงอยู่ข้างๆ ด้วยละก็ ฉากฮาๆ ฉากนี้คงต้องแก้เขียนใหม่ไปแล้วล่ะนะ

สุดท้ายเฉินเฟิงแอบตัดสินใจว่า ต่อไปเขาจะดีกับอู้คงให้มากกว่านี้ เพราะมันช่วยรับเคราะห์แทนเขาไปหนึ่งครั้งเชียวนะ

นี่ถ้าอู้คงหยั่งรู้ความคิดของเฉินเฟิงได้ละก็ คงค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อยแน่ๆ

ยังไงๆ นอกจากอู้คงแล้ว ก็นับว่าทุกคนเฮฮาสนุกสนานกันดีอยู่ วิหารจันทราเทพเองก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว หลังจากที่ทั้งสามพักผ่อนกันครู่หนึ่ง ก็เร่งรีบออกเดินทางกันต่อ

และก็เป็นดังที่ข้อมูลได้บอกเอาไว้จริงๆ นั่นคือชีพจรมังกรที่ 6 , 7 , 8 มีสัตว์อสูรเฝ้าอยู่จำนวนไม่ใช่น้อย อย่างน้อยที่สุดก็มีเสือปลาหรือนกยูง 6 ตัวขึ้นไป หลังจากผ่านประสบการณ์ตอนอยู่กึ่งกลางเส้นทางเมื่อครู่มาแล้ว สองสาวก็ไม่กล้าทำเป็นอวดเก่งอีก และยอมปฏิบัติตามแผนรับมือของเฉินเฟิงแต่โดยดี ถึงแม้จะทุลักทุเลกันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังพอจะนับได้ว่าเดินทางกันไปได้อย่างราบรื่น

ระยะทางพอๆ กันแท้ๆ แต่เส้นทางครึ่งหลังกลับต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าเส้นทางครึ่งแรกถึงเกือบ 1 ชั่วโมง ทั้งสามอดดีใจไม่ได้ที่ช่วงเช้าพากันเร่งเดินทาง ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถไปจนถึงปลายทางก่อนตะวันจะตกดินได้ง่ายๆ แน่

แต่พอไปถึงตรงหน้าชีพจรมังกรแห่งสุดท้าย ทั้งสามก็ชักรู้ตัวว่าเมื่อครู่ก่อนพวกตนดีใจกันเร็วเกินไปเสียแล้ว บัดนี้ดวงของเฉินเฟิงได้รับการยอมรับจากมหาชนแล้วว่าเฮงสุดๆ ไปเลยจริงๆ เพราะมาบุกตะลุยผาเก้าคดเป็นครั้งที่ 2 นี่ เขาก็ถูกรางวัลใหญ่เข้าให้อีกแล้ว

ชีพจรมังกรขนาดกว้างประมาณ 10 เมตรตรงหน้าสะท้อนประกายสีเขียวครามระยิบระยับของน้ำพุ แน่นอนว่านี่ก็เป็นรางวัลใหญ่ที่ยากจะมีโอกาสได้พบพานอีกเช่นกัน เพียงแต่มันก็เป็นแบบเดียวกับครั้งก่อนที่เขามาถึงเปี๊ยบ นั่นคือการจะเอามันไปได้ต้องมีความสามารถพอตัวอยู่

มีมดแดงไฟอย่างน้อย 50 ตัวขึ้นไปเฝ้าทั้งชีพจรมังกรรวมถึงทางผ่านไปยังอีกฟากเอาไว้อย่างแน่นหนาไร้ช่องโหว่จนดูแต่ไกลเหมือนกับชีพจรมังกรพ่นลาวาออกมาอย่างไรอย่างนั้น เพราะมดพวกนี้มีสีแดงล้วนตลอดทั้งตัวโดยไม่มีสีอื่นเจือปนเลยแม้แต่นิดเดียว

ทั้งสามยืนอยู่ห่างจากชีพจรมังกรประมาณ 30 เมตร พยายามคิดกันหัวแทบแตกว่าจะรับมือมดพวกนั้นยังไงดี

มดแดงไฟ ระดับไม่ถือว่าสูงอะไรนัก แค่ 30-35 เท่านั้น ถึงจะเป็นมด แต่ขนาดยังใหญ่กว่าสุนัขขนาดใหญ่ที่โตเต็มวัยเสียอีก มักจะโผล่อยู่แถวๆ หุบเขาและถ้ำ ทุกครั้งที่ปรากฏจะมีจำนวน 30-50 ตัวแตกต่างกันไป สังกัดธาตุไฟและธาตุดิน มีพลังป้องกันเวทมนตร์และพลังป้องกันสูงมาก ผลการโจมตีด้วยเวทมนตร์ทั้งหมดจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง การโจมตีด้วยวัตถุที่มีค่าพลังทำลายต่ำกว่า 300 จุดจะไม่มีผลต่อมัน ส่วนพลังโจมตีของมันจัดอยู่ในระดับธรรมดา พลังโจมตีสูงสุดแค่ 150 จุดเท่านั้น

วิหารจันทราเทพหน้าสลด ถอนหายใจเฮือกแล้วเปรยว่า

“ดูท่าวันนี้พวกเราจะโชคไม่ดีเอาเลยจริงๆ !” เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า หลังจากที่เธอพูดประโยคนี้จบ ก็ถอนหายใจเบาๆ

“เยอะเกินไป จะใช้เวทมนตร์โจมตีก็ไม่ได้อีก ขืนให้ฆ่าไปทีละตัวๆ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาตั้ง 2-3 ชั่วโมงแหงๆ !” กระทั่งเฉินเฟิงที่ปกติไม่ยอมพูดยอมแพ้ออกมาง่ายๆ ก็ยังจนปัญญา พอทอดตามองพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วอดนึกโมโหด้วยความสิ้นหวังไม่ได้

เยี่ยหลานจ้องฝูงมดพลางพยายามคิดหาวิธีอยู่เป็นนาน แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกตัวว่าอีกสองคนต่างก็ไม่แสดงความเห็นอะไรอีก เมื่อลองหันไปดูจึงพบว่าวิหารจันทราเทพนั่งสงบอยู่ที่ด้านข้าง ตาจ้องมองผิวน้ำพุที่กระเพื่อมพลิ้วตลอดเวลา ปากฮัมทำนองเพลงอะไรก็ไม่ทราบเบาๆ ส่วนเฉินเฟิงเอากล้องส่องทางไกลออกมาส่องดูกลับไปกลับมาบนหน้าผา ปากก็พึมพำว่าสูงเกินไป ไกลเกินไป

ตอนแรกเยี่ยหลานเข้าใจว่าเฉินเฟิงกำลังหาทางข้ามผ่านไปทางอื่น แต่พอเห็นไอเท็มที่เขาเอาออกมาวางไว้ข้างๆ ก็ชักรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่เสียแล้ว จึงได้แต่ถามอย่างสงสัยว่า

“พี่เฟิงคะ พี่กำลังหาทางข้ามผ่านฝูงมดไปใช่หรือเปล่าคะ ?”

เฉินเฟิงตอบโดยไม่หันมามองว่า “ไม่ใช่หรอก บนผนังผามีก้อนหินยื่นออกมาอย่างมากก็แค่ก้อนเดียวเดี่ยวๆ แถมยังอยู่ห่างกันเกินไปด้วย เอามาใช้ตักน้ำพุน่ะพอได้ แต่ถ้าจะให้ใช้เป็นทางผ่านนี่ คงต้องเตรียมปีกไว้สักคู่แหละนะ !”

“ไม่ได้นะ !”

อยู่ๆ เยี่ยหลานก็ตวาดลั่น ทำเอาเฉินเฟิงสะดุ้งโหยงจนกล้องส่องทางไกลแทบร่วงตกจากมือ วิหารจันทราเทพเองก็พลอยสะดุ้งไปด้วย แต่หลังจากที่สบตาเยี่ยหลานแล้ว เธอก็ได้แต่ก้มหน้าลงช้าๆ



[1] ทางเกิดจากคนเดิน (ลู่ ซื่อ เหริน โจ่ว ชู หลาย เตอ : Lu shi ren zou chu lai de) หมายถึง ขอแค่ลองลงมือทำดู ยังไงก็ต้องมีทางทำสำเร็จได้แน่ ที่มาคือ ในพื้นที่ซึ่งเดิมรกเรื้อไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า หากมีคนเดินผ่านไปมายังตำแหน่งเดิมบ่อยๆ ตำแหน่งนั้นก็จะเริ่มไม่มีหญ้าขึ้น (เนื่องจากถูกเหยียบตาย) และค่อยๆ กลายเป็นเส้นทางขึ้นมาเอง

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:01

0 ความคิดเห็น