โพสต์เมื่อ 29 ก.ค. 2559, 18:08
บทที่ 5 เด็กดีก็มีความทุกข์เหมือนกัน (2)
สองทุ่ม ซูจิ่นนั่งแท็กซี่ไปถึง Knights Bar โหยวโยวมาถึงก่อนแล้ว ไม่ได้พบกันพักหนึ่ง โหยวโยวยิ่งเจิดจ้าบาดตากว่าเดิม ใบหน้าที่เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ ถูกฝีมือแต่งหน้าขั้นเทพของเธอแต่งแต้มจนงดงามชวนหลงใหล เดิมทีโหยวโยวก็เป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่งมากอยู่แล้ว นี่ก็ถือเป็นทักษะที่ราชินีเพลย์เกิร์ลจำเป็นต้องมีกระมัง
ซูจิ่นยิ้มพลางเป็นฝ่ายเข้าไปกอดโหยวโยว “เสี่ยวโยวสวยขึ้นเยอะอีกแล้วนะ”
“เธอเองก็ด้วยจ้ะ” โหยวโยวดึงมือซูจิ่นให้นั่งลง พูดขึ้นก่อนว่า “คืนนี้อาจิงมีธุระมาไม่ได้”
ซูจิ่นทำเสียง “อ้อ” อย่างไม่ประหลาดใจนัก หากเธอเป็นหูจิง ก็ไม่มีทางนึกอยากจะมาร่วมสังสรรในเรื่องแบบนี้ตอนที่ตัวเองเพิ่งจะเลิกกับแฟนหรอก สองสาวเพิ่งจะคุยกันได้ไม่กี่คำ สือเสียวหย่ากับแฟนก็มาถึง
“คู่หมั้นเธอล่ะ?” สือเสียวหย่ามาถึงก็ใจร้อนอยากจะเห็นหน้าหนุ่มคนใหม่ โหยวโยวค้อนขวับใส่ “จะใจร้อนไปไหนยะ น่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะ”
สือเสียวหย่าลงนั่งติดกับซูจิ่น เอามือพาดบ่าซูจิ่นพลางพูดว่า “คู่หมั้นของคุณเธอเป็นลูกชายเจ้าของซิงห่ายคอนสตรัคชัน พักก่อนยังเคยขึ้นปกนิตยสารธุรกิจอยู่เลย” ซิงห่ายคอนสตรัคชันถือเป็นธุรกิจก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมากในเปิ่นปู้ ถึงแม้จะใหญ่ไม่เท่าผู้ทรงอิทธิพลอย่างเครือจั๋วเยว่ แต่มูลค่าหลักทรัพย์ก็น่าจะสูงกว่าสิบหลัก
ซูจิ่นยิ้มพลางยื่นมือไปตบไหล่โหยวโยว “ใช้ได้นี่ เสี่ยวโยว ตกได้ปลาทองคำฝังเพชรแล้ว ต่อไปพวกเราคงต้องพึ่งพาเธอล่ะนะ”
โหยวโยวยิ้มอย่างสำรวม ในรอยยิ้มกลับแฝงแววภูมิใจอย่างปิดไม่มิด
จังหวะนี้มีชายหนุ่มร่างสูงผอมคนหนึ่งเดินมาทางพวกเธอ พอโหยวโยวเห็นเขา ก็เข้าไปต้อนรับอย่างดีใจ คล้องแขนของเขาเดินเข้ามา “นี่คือคู่หมั้นของฉัน จางเจี้ยนจ้ะ”
จางเจี้ยนพูดว่า “ขอโทษทีครับ ระหว่างทางรถติดนิดหน่อย” แต่สีหน้าไม่มีแววรู้สึกผิดสักนิด ซูจิ่นรู้สึกตงิดอยู่ในใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีความจริงใจให้คนอื่น
อย่างไรก็พบหน้ากันครั้งแรก ทุกคนจึงพากันยืนขึ้นอย่างยังเกรงใจอยู่มาก ต่างแนะนำตัวเองและจับมือไปทีละคนเสร็จถึงค่อยนั่งลงอีกครั้ง
จางเจี้ยนหน้าตาไม่ขี้เหร่ และคุยเก่งพอสมควร ดังนั้นถึงแม้จะแสดงท่าทียกตนข่มท่านอย่างลูกคนรวยอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ บรรยากาศบนโต๊ะก็ยังคงครื้นเครงเข้ากันได้ดีอยู่ ผู้ชายสองคนนั่งคุยเรื่องแนวโน้มของราคาที่ดินในปีนี้กันอยู่ตรงนั้น สือเสียวหย่ากับโหยวโยวก็แสดงความเห็นบ้างเป็นช่วงๆ แต่ต่อหน้าคนที่ไม่สนิท ซูจิ่นมักจะค่อนข้างเก็บปากคำเสมอมา ดังนั้นจึงแค่อมยิ้มจิบเหล้า ทำหน้าที่ผู้ฟังโดยไม่ได้ร่วมคุยด้วยนัก ดื่มกันไปได้สองรอบ เมื่อทุกคนต่างทำตัวตามสบายมากขึ้น จางเจี้ยนหันไปพูดกับซูจิ่นว่า “คุณซูเงียบจังครับ เรื่องที่พวกเราคุยกันน่าเบื่อเกินไปหรือเปล่า?”
ซูจิ่นรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกค่ะ พวกคุณคุยได้สนุกมากต่างหาก...”
“เธอไม่สนิทกับคุณ ถึงได้แกล้งนั่งวางท่าอยู่ตรงนั้นหรอก ความจริงเธอน่ะพูดมากค่ะ แถมพูดทีไรน่าช็อคทุกทีด้วย” โหยวโยวพูดแทรกขึ้นแฉตัวจริงของเพื่อนสาวโดยไม่รอให้เจ้าตัวพูดจบ
ซูจิ่นแกล้งทำเป็นค้อนใส่โหยวโยวอย่างโมโห พูดเสียงเหี้ยม “เธอนี่ไม่มีไว้หน้าเพื่อนฝูงบ้างเลยนะยะ!” พูดแบบนี้เท่ากับยอมรับที่โหยวโยวพูดกลายๆ ทุกคนต่างพากันหัวเราะขัน
ดวงตาจางเจี้ยนทอประกายสนใจ “แฟนของคุณซูไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?”
ซูจิ่นนึกไม่ถึงว่าหัวข้อที่คุยจะวกมาที่เรื่องนี้กะทันหัน อึ้งไปเล็กน้อย ค่อยพูดเสียงเรียบ “เพิ่งจะเลิกกันค่ะ”
เมื่อได้ยิน แววสนใจในดวงตาของจางเจี้ยนยิ่งเข้มขึ้น เหมือนคิดจะพูดอะไรต่อ แต่ถูกโหยวโยวตัดบทว่า “อย่าเห็นว่าเสียวจิ่นดูเรียบร้อยอ่อนแอเป็นผ้าพับไว้เชียวนะคะ เธอน่ะเป็นหญิงสตรองเลยแหละ แฟนของเธอคงไม่ได้มาตรฐานของเธอ เลยถูกเธอสลัดทิ้งอีกแล้วแหงๆ”
ซูจิ่นยิ้มบางๆ โดยไม่ได้ต่อคำ มองโหยวโยวอย่างไม่กระโตกกระตาก คืนวันนี้โหยวโยวดูแปลกมาก เหมือนกลัวว่าเธอจะแย่งคู่หมั้นยังไงยังงั้น ดูท่าทางโหยวโยวจะลืมไปแล้วว่า คนที่ตั้งเป้าจะแต่งงานกับคนรวยน่ะมีแต่ตัวโหยวโยวคนเดียว ส่วนซูจิ่นไม่เคยมีความคิดแบบนั้นมาก่อน...ถ้าเป็นหนุ่มหล่อละก็ เธอคงจะมองนานขึ้นหน่อย แต่หน้าตาระดับจางเจี้ยนนี่ เธอขี้เกียจจะชายตาแลเสียด้วยซ้ำ
ไม่นึกว่าจางเจี้ยนจะไม่ตกใจเผ่นหนีเพราะฉายาอันแข็งแกร่งหญิงสตรองของซูจิ่น ซ้ำยังนึกสนใจมากกว่าเดิมเสียอีก “อ้อ? คุณซูทำงานที่ไหนหรือครับ?”
ซูจิ่นตอบสั้นๆ “เครือจั๋วเยว่ค่ะ” เห็นจางเจี้ยนทำท่าจะซักต่อ หญิงสาวรีบลุกขึ้นด้วยสีหน้าขออภัย “ขอโทษนะคะ ฉันขอไปเติมเครื่องสำอางหน่อย” จบคำก็หยิบกระเป๋าลุกไปที่ห้องแต่งหน้า
ในห้องแต่งหน้ากว้างใหญ่หรูหราว่างเปล่าไม่มีคน ซูจิ่นนั่งลงหน้ากระจกแต่งหน้า ทาลิปสติกบางๆ ช้าๆ โหยวโยวตามหลังเข้ามาแทบจะติดๆ อย่างที่คิด
ซูจิ่นมองเพื่อนสาวผ่านเงาสะท้อนในกระจก พูดอย่างไม่เกรงใจ “ฉันไม่สนใจคู่หมั้นของเธอ เธอไม่จำเป็นต้องระวังฉันเหมือนระวังโจรขนาดนั้น” เห็นโหยวโยวหน้าตึง ก็เสริมว่า “อีกอย่าง ถ้าเธอเห็นว่าเขาเป็นคนชอบป้อสาวไปทั่ว ก็อย่าไปแต่งกับเขา ฉันแค่ดูเธอก็เหนื่อยแล้ว”
การแสดงออกของคู่หมั้นทำให้โหยวโยวเสียหน้ามากอย่างไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนเธอเองได้มาถึงขอบเหวของอารมณ์แล้วเหมือนกัน พอถูกซูจิ่นสะกิด จึงพูดเสียงดังอย่างอดใจไม่อยู่ “คนอย่างเธอมีสิทธิ์อะไรมาสอนฉัน?”
ซูจิ่นหันหน้าไป “ฉันเป็นคนแบบไหน? ฉันถือว่าเธอเป็นเพื่อนหรอกนะถึงได้เตือนเธอน่ะ”
โหยวโยวยิ้มเย็นชา “เกิดมาก็อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ไม่ต้องตั้งใจแต่งหน้าหน้าก็สวยใสล่อผู้ชายได้ ตัวเธอที่ตั้งแต่เล็กจนโตเรื่องเดียวที่ต้องทำคือทำตัวเป็นเด็กดีให้พ่อแม่ผู้ใหญ่พอใจ มีสิทธิ์อะไรมาติคนที่ทุกอย่างต้องพยายามด้วยตัวเองถึงจะได้มาอย่างฉัน?”
ซูจิ่นเบิกตากว้างมองผู้พูด พูดคำพูดเคียดแค้นเต็มพิกัดของอีกฝ่ายทำเอาอึ้งจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ดูเหมือนโหยวโยวจะยังพูดไม่พอ ใส่ต่อว่า “เมื่อก่อนฉันริษยาเธอมาก แต่ตอนนี้ไม่อีกแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้เธอก็ยังเป็นแค่เจ้าหญิงเอาแต่ใจที่ซ่อนตัวอยู่แต่ในปราสาทกระจกสมมุติของตัวเองทั้งวัน ไม่ยอมเผชิญหน้ากับชีวิตอย่างจริงจังเท่านั้น! ในโลกของเธอมีแต่ตัวเธอเอง และเธอไม่แม้แต่จะยอมรับผิดชอบต่อตัวของเธอเอง”
ซูจิ่นไม่ใช่คนโกรธไม่เป็นเหมือนกัน มีหรือจะยอมถูกโหยวโยวแขวะเอาๆ แบบนี้? หลังค่อยตั้งตัวได้เล็กน้อยจากการเบิดอารมณ์ใส่ไม่ยั้งของโหยวโยว ก็ลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังขึ้นซัดกลับไปว่า “ผู้หญิงที่ไม่มีผู้ชายแล้วอยู่ไม่ได้อย่างเธอล่ะ มีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน? เด็กดี? เธอนึกว่าเป็นเด็กดีง่ายนักรึไง? การเรียนต้องเด่น งานอดิเรกต้องมีคลาส เพิ่งจะแค่สิบแปดก็ต้องห่างบ้านไปเรียนต่อเมืองนอก อย่างไหนบ้างที่ไม่ต้องพยายาม? เธอนึกว่ามีแต่เธอคนเดียวที่พยายามรึไง?” พูดถึงตรงนี้ ซูจิ่นแค่นเสียงเย็นชา “ฉันแค่ไม่ได้ทุ่มความพยายามที่ตัวผู้ชายเหมือนอย่างเธอเท่านั้น”
ทุกวันหลังเลิกเรียน ได้แต่ตาปรอยดูพวกเพื่อนๆ เล่นกันข้างนอก ส่วนตัวเองได้แต่ซ้อมเล่นเปียโนอยู่ที่บ้าน วันเวลาที่ต้องถูกคุณครูตีเอาบ่อยๆ เธอเคยลองไหมล่ะ? อายุสิบหกก็ต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง วันเวลาที่ทั้งเหงาทั้งกลัวจนต้องซุกตัวร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม เธอเคยลองไหมล่ะ?
ทำไมใครๆ ถึงมักจะคิดว่าคนอื่นได้อะไรมาง่ายๆ สบายๆ กันทั้งนั้น มีแต่ตัวเองที่ลำบากลำบนเหลือเกิน?
โหยวโยวยิ้มแดกดัน “ฉันทุ่มความพยายามที่ตัวผู้ชายแล้วไงล่ะ? อย่างน้อยๆ ฉันก็มีความฝัน และฉันได้พยายามทำให้ความฝันเป็นจริง แล้วเธอล่ะ? ชอบดนตรี ทั้งที่สอบเข้าวิทยาลัยดนตรีได้แท้ๆ แต่ดันกลัวว่าตัวเองจะไม่มีพรสวรรค์ เลยเปลี่ยนใจเอานาทีสุดท้ายไปเรียนธุรกิจที่ตัวเองไม่ได้ชอบ ชอบโบราณคดี แต่ไม่กล้าทิ้งชีวิตที่มั่นคงไปใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนเลื่อนลอย...นี่แหละคือเธอ ดอกไม้ในเรือนกระจกที่ทั้งขี้ขลาดและอ่อนแอ กลัวการเผชิญหน้ากับชีวิต รู้จักแต่หลบซ่อนอยู่ในปราสาทของตัวเอง ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ยอมก้าวออกมาไล่ไขว่คว้าความฝันของตัวเอง ชีวิตแบบนี้น่าสมเพชเกินไปแล้ว ไม่ใช่รึไง?”
ถูกโหยวโยวพูดจี้ใจดำ ซูจิ่นหน้าซีดขาว หอบหายใจถี่ๆ หลายครั้ง คว้ากระเป๋าถือแล้ววิ่งออกไป
เธอแค่ไม่ชอบต้องเสียใจ ไม่ชอบต้องล้มเหลวเท่านั้น แบบนี้ก็ผิดด้วยหรือ? เผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างมีสติ เลือกทางเลือกที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด แบบนี้ก็ผิดด้วยหรือ? ความฝันยังไงก็เป็นได้แค่ความฝันไม่ใช่หรือ? เธอใช้ชีวิตอยู่กับความจริงมากหน่อย แล้วมันผิดตรงไหน?
ยายบ้าโหยวโยว ตัวเองอารมณ์ไม่ดี แล้วต้องมาพลอยทำเธออารมณ์เสียไปด้วย เธอไม่มีทางถูกยายนั่นทำให้โมโหเด็ดขาด เธอต้องไม่โมโหเป็นอันขาด
หญิงสาวบอกตัวเองแบบนี้ ขณะที่ก้าวยาวๆ ไปยังประตูทางออกโดยไม่มองซ้ายมองขวา แต่แล้วกลับถูกคนคว้าแขนไว้ที่จุดรับฝากเสื้อและหมวก
“ชีวิตคนพบพานได้ทุกที่ คนสวย” น้ำเสียงยั่วเย้า แต่กลับฟังสุภาพอย่างมากดังขึ้นที่ข้างหู ซูจิ่นเงยหน้าขึ้นเม้มปากอย่างเคืองๆ “คุณพนักงานส่งพัสดุด่วนนี่นา”
วันนี้เสินอวี่แต่งตัวทันสมัยมาก ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีม่วงคราม ท่อนล่างสวมกางเกงสแลคสีกรมท่า หากซูจิ่นดูไม่ผิด ตรงปกเสื้อและขอบแขนเสื้อของเสื้อเชิ้ตยังทอเป็นลวดลายด้วยด้ายสีเงินอีกด้วย เสื้อผ้าหรูหราแบบนี้ เมื่อสวมอยู่บนตัวเสินอวี่ กลับไม่ดูสำรวยแม้แต่น้อย ซ้ำยังให้อารมณ์สูงสง่าอีกด้วย เมื่อเข้าคู่กับนัยน์ตาดอกท้อที่ถึงจะซ่อนอยู่หลังแว่นตากรอบทอง ก็ยังสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าพันโวลต์ได้...คุณชายเพลย์บอยระดับท็อป...ประเมินเสร็จสิ้น
ซูจิ่นจงใจมองเสินอวี่จากศีรษะจรดเท้าอย่างไม่เกรงใจ แล้วหันไปมองสาวสวยมากที่แทบจะห้อยอยู่บนตัวเขา (ดูคุ้นตานิดๆ...ดีไม่ดีอาจจะเป็นดาราคนไหนสักคน แต่ต่อให้ใช่ก็ไม่น่าแปลกใจ...ยังไงพวกมาเฟียก็เกี่ยวข้องกับคนในวงการบันเทิงทั้งนั้นอยู่แล้ว...) ตามด้วยหันไปมองทางด้านหลังของเสินอวี่อย่างเผลอตัว...
เสินอวี่เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ขัดจังหวะการสแกนของซูจิ่น “ไม่ต้องกังวล เขาไม่ได้มา” เขาและเธอต่างรู้ดีว่า เธอกำลังมองหาฉินชวน
ซูจิ่นแอบระบายลมหายใจอย่างไม่ทราบว่าผิดหวังหรือโล่งใจ ปั้นยิ้มเสแสร้ง “งั้นฉันต้องไปแล้ว ขอให้คุณเที่ยวให้สนุกนะคะ” เพิ่งจะก้าวออกไปได้ก้าวเดียว ก็ถูกเสินอวี่คว้าต้นแขนไว้อย่างไม่รู้จักมารยาท
“คนสวยครับ ได้พบกันเท่ากับมีวาสนา ไม่ไปดื่มกันสักแก้ว จะผิดต่อวาสนานี้ได้นะครับ”
คนสวยตัวจริงที่อยู่ข้างๆ เสินอวี่เริ่มจะหน้าตึง ซูจิ่นมองชายหนุ่มคล้ายจะยิ้ม “ก็ดีค่ะ” มีหนุ่มหล่อเสนอตัวขอดื่มเหล้าเป็นเพื่อน ถ้าเธอยังบ่ายเบี่ยงอีก เธอก็ไม่ใช่ซูจิ่นแล้ว ผู้ชายระดับเขา ถ้าเป็นในโฮสต์คลับ เธอคงไม่มีปัญญาจ้างมาดื่มด้วยแน่
ดูเหมือนเสินอวี่จะเดาออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แววยิ้มในดวงตาจึงเข้มขึ้น หันกลับไปกระซิบกับสาวสวยข้างๆ 2-3 คำ สาวสวยคนนั้นถลึงตาเขียวปัดใส่ซูจิ่น แล้วเดินเข้าไปในบาร์ก่อนเพียงลำพัง
แน่มาก ซูจิ่นเดินตามเสินอวี่อย่างนึกนับถือเต็มที่กลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง แต่เลี่ยงจากสพวกโหยวโยวไปที่อีกโซนหนึ่ง
นั่งลงเคียงกันบนเก้าอี้สตูลหน้าเคานเตอร์ของบาร์ เสินอวี่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมชื่อเสินอวี่ อาชีพหลักคือศัลยแพทย์...” ซูจิ่นแขวะต่อให้ว่า “อาชีพรองคือพนักงานส่งพัสดุ งานอดิเรกของคุณเสิ่นไม่เหมือนใครดีค่ะ”
เสินอวี่ยิ้มอย่างแกล้งโง่ “ทำนานๆ ครั้งเท่านั้นครับ”
ซูจิ่นคิดเล็กน้อย แล้วถามอย่างปุบปับ “คุณเป็นอะไรกับเขาคะ?” ในเมื่อเสินอวี่เป็นหมอ ก็น่าจะไม่ใช่คนในแก๊งของฉินชวน
“เขาเป็นเปี่ยวตี้ของผมครับ” เสินอวี่ตอบอย่างไม่เลี่ยงธรมเนียม
ซูจิ่นถอนหายใจชมปานละเมอ “ดูท่าทางยีนส์ของครอบครัวพวกคุณนี่ดีจริงๆ”
ไม่นึกว่าอยู่ๆ ซูจิ่นจะได้ข้อสรุปออกมาอย่างนี้ เสินอวี่งงไปชั่ววูบ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “คุณนี่น่าสนใจมากจริงๆ”
ซูจิ่นทำเหมือนไม่ได้ยินคำวิจารณ์ไร้สาระของชายหนุ่ม ตั้งอกตั้งใจดื่มเบียร์ เสินอวี่ค่อยนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่คิดจะถามเธอมาตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน “เมื่อกี้คุณเป็นอะไรไปหรือครับ? ดูตอนคุณออกมาจากข้างในหน้างี้ดำทะมึนเชียว”
หญิงสาวดื่มเบียร์ในแก้วจนหมดในรวดเดียว ค่อยเม้มปากตอบว่า “ทะเลาะกับเพื่อนน่ะค่ะ”
“ผู้ชายหรือผู้หญิงครับ?” นิสัยชอบซอกแซกของเสินอวี่เริ่มแผลงฤทธิ์เต็มที่อีกครั้ง
“เพื่อนผู้หญิงค่ะ” ซูจิ่นตอบเสียงเรียบเฉย
ชายหนุ่มยิ้ม “ผู้หญิงทะเลาะกัน โดยมากจะเพราะผู้ชาย ใครหนอโชคดีอย่างนี้ ถูกสาวสวยสองคนมีใจให้?”
ซูจิ่นเหล่ตาใส่คนพูดอย่างไม่เกรงใจ “ที่คุณคิดไม่เฉียดประเด็นเลยสักนิด ไม่ต้องซี้ซั้วเดาแล้วค่ะ”
อาจเป็นเพราะท่าทางปล่อยตัวไม่สำรวมของเสินอวี่ หรืออาจเป็นเพราะเขาเป็นญาติสนิทของฉินชวน ยังไงก็ตามซูจิ่นรู้สึกว่าเธอทำตัวห่างเหินใส่เขาไม่ได้ เหมือนสนิทกันมากมาแต่แรกเริ่มยังไงยังงั้น
เสินอวี่ไม่ถือสากับคำพูดไม่เกรงใจของเธอ ดึงเธอลุกขึ้นอย่างปุบปับ “ไปกันเถอะ อารมณ์ไม่ดีก็อย่าดื่มเหล้าเก็บกด ออกไปปล่อยอารมณ์จะดีกว่าครับ”
มีหนุ่มหล่อเป็นเพื่อน น่ายินดีแบบนี้มีหรือจะไม่ไป? ซูจิ่นลุกขึ้นตามเขาอย่างยังไงก็ได้ เดินไปได้ครึ่งทาง ค่อยถามอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ “สาวสวยคนนั้นของคุณล่ะจะทำยังไง?”
ดูเหมือนเสินอวี่จะปัดสาวสวยคนนั้นออกไปจากสมองแล้วเหมือนกัน ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เธอกลับเองได้แหละครับ”
ซูจิ่นเหลือกตาใส่...มีการออกเดทกับสาวแบบนี้ด้วยเรอะ? “คบกับคุณนี่ต้องลำบากแน่ๆ”
“ไม่หรอกครับ” เสินอวี่หันกลับมาอธิบายอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ผมน่ะดีกับแฟนมากเลยละ คนเมื่อกี้นี้ไม่ใช่แฟนผม เป็นแค่เพื่อนธรรมดา”
ซูจิ่นแค่นยิ้มเสียงหยัน ไม่ต่อความบทสนทนาไร้สาระนี้อีก
ถึงที่จอดรถ ซูจิ่นเดินวนรอบรถสปอร์ตของชายหนุ่มหนึ่งรอบ
“บูกัตติคันนี้ ฉันเคยเห็นในงานมอเตอร์โชว์ปีที่แล้ว ฟังว่าราคาขายยี่สิบห้าล้าน”
ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้เธอ รอจนเธอเข้าไปนั่งเรียบร้อย ก็ปิดประตูรถให้ แล้วไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ ค่อยพูดเรื่อยๆ “ไม่ใช่คันนั้น คันนี้ของผมสั่งผลิตจากโรงงานโดยตรงครับ”
เห็นซูจิ่นดูการออกแบบภายในรถอย่างครุ่นคิดโดยไม่พูดอะไร ก็อดถามไม่ได้ว่า “คิดอะไรอยู่หรือครับ?”
“ฉันกำลังคิดว่า...ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าศัลยแพทย์หาเงินได้มากขนาดนี้” หญิงสาวตอบเสียงเรียบเรื่อย
เสินอวี่ทราบดีว่าซูจิ่นกำลังแขวะเขาว่าปิดบังฐานะ หลังจากออกรถแล้ว ค่อยพูดยิ้มๆ “บังเอิญว่าผมทำงานในโรงพยาบาลของบ้านตัวเองน่ะครับ”
ซูจิ่นไม่พูดอะไรอีก หลับตาลงตั้งใจฟังเสียงเครื่องยนต์ขับเคลื่อน
ชายหนุ่มเห็นท่าทางของเธอดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ ในใจพลอยรู้สึกสงบอย่างประหลาด ราวกับว่าในพริบตานี้เสียงอึกทึกจอแจของเมืองได้ถูกกักไว้ที่นอกหน้าต่างรถ “กำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ?” อยู่ๆ เขาก็นึกอยากรู้อย่างมาก
อึดใจใหญ่ หญิงสาวค่อยตอบว่า “กำลังตั้งใจสัมผัสกับความรู้สึกของการได้นั่งอยู่ในรถที่แพงที่สุดในโลกค่ะ
เสินอวี่หัวเราะโดยไม่มีเสียง เป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมามาก ทั้งที่เป็นสามัญชนแท้ๆ กลับดูเหมือนว่ามีบุคลิกไม่หวั่นไหวทั้งอัปยศและสรรเสริญโดยธรรมชาติ แม้จะเป็นคำพูดดูถูกอย่างมากหรือฟังดูงกมาก พอเธอเป็นคนพูดแล้ว จะแฝงอารมณ์แดกดันเหมือนมีเหตุผลอยู่
“ถ้าชอบ วันหน้าผมพาคุณออกมานั่งรถกินลมบ่อยๆ ได้นะครับ”
ซูจิ่นคิดเล็กน้อย โค้งเรียวปาก “งั้นขอรีเควสนิดหน่อยได้ไหมคะ?”
“ลองว่ามาครับ”
“ความจริงฉันค่อนข้างชอบนั่งโรลสรอยซ์มากกว่า ที่นั่งมันกว้างกว่ากันเยอะค่ะ” ซูจิ่นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เสินอวี่หัวเราะลั่น เธอนี่ตัวกวนโอ๊ยจริงๆ
มือถือสั่นขึ้นในจังหวะนี้ ซูจิ่นเปิดกระเป๋าหยิบขึ้นมาดู โหยวโยวส่งข้อความมาให้
“ขอโทษที คืนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี เผลอทำตัวแย่”
หลังจากดูข้อความ ซูจิ่นค่อยอารมณ์ดีขึ้น ตอบกลับไปว่า “ช่างมันเถอะ ยายปากจัด เห็นแก่ที่เธอพูดเป็นความจริงทั้งนั้น จะยกโทษให้เธอสักครั้ง”
โหยวโยวตอบกลับมาว่า “แล้วเธอไม่ปากจัดหรือยะ? เธอน่ะแทบจะชี้หน้าฉันแล้วด่าว่ายายดอกทองเชียวนะ”
ซูจิ่นหัวเราะคิกอย่างกลั้นไม่อยู่ “พอกันนั่นแหละ เธอชอบเงิน ฉันชอบหนุ่มหล่อ ใครก็ไม่ต้องเยาะเย้ยใครแล้ว เธอคอยเฝ้าตู้เอทีเอ็มเดินได้ของเธอให้ดีๆ ก็แล้วกัน”
มือถือไม่มีปฏิกิริยาอยู่นาน ซูจิ่นนึกว่าโหยวโยวจะไม่ตอบกลับมาอีกแล้ว ไม่นึกว่าผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ส่งมาอีกข้อความ “ความจริงฉันน่ะอิจฉาเธอนะ ไม่ยอมโตก็ดีเหมือนกัน หลายปีมานี้บุคลิกเธอก็ยังสะอาดมากอยู่เหมือนเดิม”
ซูจิ่นเผลอใจลอยไปชั่วครู่ ยิ้มบางๆ พิมพ์ลงไปอีกประโยค “ฉันจะพยายามโตแล้วจ้ะ บางทีเธออาจจะพูดถูก ชีวิตที่อยู่แต่ในแผนที่วางไว้ทุกอย่าง ยังไงก็ซีดขาวไม่มีแรงเกินไป”
เสินอวี่ใช้หางตาปรายดูเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก็ถามอย่างอยากรู้ “คุณคงไม่ได้คืนดีกับเพื่อนของคุณแล้วหรอกนะฮะ?”
หญิงสาวตอบอย่างอารมณ์ดี “ครั้งนี้เดาถูกแล้วค่ะ”
เสินอวี่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร...ผู้หญิงนี่นะ...
ซูจิ่นเงยหน้าขึ้นมองไปนอกกระจก เสินอวี่กลับพาเธอมาถึงบนเขาอวี้ปี่ (เขาพู่กันหยก) ที่นี่คือภูเขาสวนสาธารณะใจกลางเมือง เมืองทั้งเมืองต่างสร้างขึ้นล้อมรอบมัน ชมวิวกลางคืนของเมืองจากบนเขา ก็ให้อารมณ์สุนทรีย์ไปอีกแบบ
ลงจากรถแล้ว ซูจิ่นวิ่งไปที่รั้วล้อมของลานกว้างบนยอดเขา มองพื้นที่ซึ่งเดิมทีมีแต่ตึกสูงแน่นขนัด แปรเปลี่ยนเป็นไข่มุกสารพัดสีร้อยเรียงกันสายแล้วสายเล่า เมืองแห่งกิเลสที่เต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อแห่งนี้ ในยามค่ำคืนกลับดูน่าหลงใหลเป็นพิเศษ บางทีอาจเป็นเพราะความสกปรกและกิเลสทั้งมวล ต่างถูกความมืดของราตรีดูดรับไว้
“ตอนแรกคิดจะพาคุณมาที่ที่มองเห็นได้ไกลๆ ผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย แต่ดูท่าทางจะเกินจำเป็นซะแล้ว” เสินอวี่เดินตามมาถึง ยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาว
“ไม่เลยค่ะ ตอนนี้ฉันอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม ขอบคุณค่ะ” ซูจิ่นพูดอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มยิ้มบางๆ “ดูเหมือนคุณไม่กลัวสักนิดว่าผมจะคิดทำอะไรไม่ดี?”
หญิงสาวตอบเนือยๆ “ความจริงยิ่งเป็นผู้ชายแบบคุณ ยิ่งปลอดภัยค่ะ”
“อ้อ? เพราะอะไรครับ?” เสินอวี่ซักอย่างผิดคาดไม่น้อย”
“เพราะคุณจะหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงเท่านั้น ไม่มีทางบังคับใจผู้หญิง ดังนั้นขอแค่ฉันคุมตัวเองให้ดีๆ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” ซูจิ่นยิ้มกว้างพลางอธิบาย
ชายหนุ่มถามอย่างหยั่งเชิง “งั้นคุณรู้สึกว่าจะคุมตัวเองไม่อยู่บ้างสักนิดไหมครับ?”
ซูจิ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบว่า “ไม่มีค่ะ เพราะตอนนี้ฉันอยากกลับบ้านไปนอนแล้ว”
เสินอวี่หัวเราะลั่นอีกครั้ง
<>::<>::<>::<>::<>::<>
ดิฉันจะเริ่มลงบทที่ 6 ในห้องพิเศษที่จะเปิดใหม่ วันที่ 1 สิงหาคมนี้นะคะ
รบกวนท่านที่ชำระเงินค่า “ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลลา” แล้ว และต้องการเข้าอ่านเนื้อเรื่องต่อ
ส่ง E-mail มาที่ [email protected] และ [email protected] (ส่งทั้ง 2 อีเมล) โดยแจ้งข้อมูลดังต่อไปนี้ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมคอมเมนต์เพิ่มบรรยากาศสนุกสนานในการอ่านนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างสูงค่ะ
^___^
นับถือ
หลินโหม่ว
ขอย้ำว่า E-mail [email protected] ไม่มีการรับสั่งหนังสือใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ
แต่ E-mail [email protected] สามารถสั่งได้ค่ะ
ท่านที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือ สามารถอ่านรายละเอียดวิธีการสั่งซื้อได้ที่ห้องโปรโมทหนังสือ + แจ้งข่าวหนังสือค่ะ
http://www.linmou-seria.com/viewtopic.php?sid=6&fid=18&id=799