หัวข้อ : บทที่ 5 หญิงงามดั่งบุปผา ณ สุดปลายเมฆา

โพสต์เมื่อ 28 ก.พ. 2560, 07:17

 

บทที่ 5

หญิงงามดั่งบุปผา ณ สุดปลายเมฆา


ยืนอยู่นอกเรือนไม้ไผ่ ข้างในมีเสียงพิณใสเสนาะแว่วมา ชิงอีเหรินจูงมือซิงหุนยืนฟังเงียบๆ อยู่ข้างนอกได้ครู่หนึ่ง ค่อยพูดเบาๆ ว่า “ไปเถิด ตอนบ่ายซือฝุจะมารับเจ้าตอนเลิกเรียน”

สถานการณ์นี้...ซิงหุนอยากจะหัวเราะก๊าก ชีวิตในหุบเขาชักจะมีรสชาติมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว ไม่รู้ว่าเวลาเซียนเซิงข้างในนั้นโมโห จะเป่าหนวดถลึงตาหรือเปล่า? ถ้าเขาสอบไม่ผ่าน ชิงอีซือฝุต้องไปยิ้มประจบพูดขอโทษขอโพยต่อหน้าอาจารย์เขาเหมือนพ่อของเขาเมื่อชาติก่อนไหม?

ซิงหุนกลั้นหัวเราะพลางย่องกริบเข้าไปในเรือนไม้ไผ่ เสียงพิณทอดกังวานอยู่เต็มโสต มากพอจะทำให้ใจใสสงบ เขาพินิจดูการจัดแต่งของเรือนไม้ไผ่ แล้วร้องชมอยู่ในใจ เซียนเซิงของที่นี่ต้องเป็นบุคคลระดับเซียนเดินดินอย่างแน่นอน เขาคิดพลางเก็บอารมณ์คึกคะนอง ไปยืนก้มหน้าที่หน้าประตูเหมือนนักเรียนแสนซื่อทุกกระเบียดนิ้ว

“เจ้าหรือคือซิงหุน?” เสียงพิณหยุดลง แทนที่ด้วยเสียงถามอันนุ่มนวล

ซิงหุนตกตะลึงเงยหน้าขึ้น อ้าปากค้าง “เจี่ยเจียเทพเซียน?”

หญิงงามหัวเราะคิกออกมา เสียงเสนาะโสตดุจเดียวกับเสียงพิณ

ซิงหุนยืนตะลึงจังงัง ปล่อยให้ฝ่ามือขาวผ่องทั้งคู่ของเซียนเซิงคนงามลูบไล้ใบหน้าของเขา “จุ๊ๆ ใบหน้านี้...มิน่าเล่าถึงได้ส่งมาที่ข้า! ต่อไปข้าจะเป็นเซียนเซิงของเจ้า เมื่อกี้นี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? ปากหวานเสียจริง! หน้าตาอย่างข้าเหมือนเทพเซียนจริงๆ หรือ?”

ซิงหุนพยักหน้า ตาจ้องเขม็ง มีคนสวยอยู่ตรงหน้าจะทำตัวบ้าๆ ไม่ได้ ขอดูเป็นบุญตาก็ยังดี เขามองคนสวยตรงหน้าอย่างมีความสุข “ข้าชอบเรียกท่านว่าเจี่ยเจียเทพเซียน!”

“ข้าเองก็ชอบ!” นิ้วมือเรียวยาวของเจี่ยเจียเทพเซียนจิ้มหน้าผากซิงหุนเบาๆ ซิงหุนยิ่งวิงเวียน “ไม่นึกเลยว่าชิงอีก้วย ยังอุตส่าห์มีศิษย์น้อยน่ารักแบบนี้ได้ด้วย ต่อไปอยู่กับเจี่ยเจีย อย่ากลับไปแล้วเลย ขืนอยู่กับซือฝุของเจ้าต่อไปจนออกมาพิลึกเหมือนเขาละข้าคงไม่ชอบแน่”

เสียงบ่นเจือสะบัดนิดๆ ทำเอาหัวใจของซิงหุนลอยละล่องขึ้นไปถึงชั้นเมฆ ปล่อยให้มือขาวผ่องทั้งคู่ของเซียนเซิงคนงามลูบไล้ใบหน้าของเขาอยู่ไปมา สมองยิ่งวิงเวียนหนักกว่าเดิม

“ชอบข้าหรือไม่?”

ซิงหุนพยักหน้า

“ข้าสอนอะไรเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟัง ตั้งใจเรียนละ”

ซิงหุนพยักหน้าอีกครั้ง แล้วพลันได้ยินเสียงของเซียนเซิงคนงามเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หลงสตรีปานนี้แต่ยังเล็ก โตขึ้นจะผ่านด่านหญิงงามได้รึ?”

ซิงหุนได้สติทันควัน ถอยหลังไปสองก้าว ความระแวงผุดขึ้นในใจ ใบหน้ายังคงยิ้มหวานดังเดิม “ใต้หล้านี้ไม่มีหญิงใดงดงามยิ่งไปกว่าเซียนเซิงอีกแล้ว”

เซียนเซิงคนงามได้ฟังก็ชะงัก ถอนหายใจเศร้าๆ “ข้าชราแล้ว สุดท้ายคนงามก็ต้องชรา กว่าเจ้าจะโต ข้าก็กลายเป็นยายเฒ่าแล้ว”

พอได้ฟังถ้อยคำนี้ ซิงหุนก็เริ่มปวดศีรษะทันที ผู้หญิงที่ได้พบเมื่อชาติก่อนพูดแบบนี้ ผู้หญิงในชาตินี้ก็พูดแบบนี้อีกแล้ว ผู้หญิงนี่ยุ่งยากชะมัด แต่ความยุ่งยากนี้ดันรัดเขาไว้แน่นแน่ๆ แล้วนี่สิ

“อย่ามัวยืนทื่ออยู่สิ ลองเดินสองสามก้าวให้ข้าดูหน่อย” พริบตาเดียวเซียนเซิงคนงามก็เปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ออกคำสั่งเสียงจริงจัง

ซิงหุนตะลึง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามาเป็นลูกศิษย์เขา จึงก้าวยาวๆ จากด้านนี้ของเรือนไปยังด้านนั้นพลางคิดในใจว่า คงไม่ใช่ว่ามาที่นี่แล้วยังต้องเดินตามเส้นตรงอีกหรอกนะ?

“เฮ้อ กระทั่งเดินยังเดินไม่เป็นเลย การเดินน่ะ ต้องเดินแบบนี้” เซียนเซิงคนงามบิดเอวบางเล็กน้อย ย่างก้าวสั้นๆ อย่างเนิบช้าจนซิงหุนเห็นแล้วต้องกลืนน้ำลาย

“เจ้าหนูบ้าผู้หญิง ดูพอหรือยัง? หัดเป็นแล้วให้เดินดูใหม่อีกรอบ” เสียงของเซียนเซิงคนงามประดุจลมราตรีแรกเหมันต์ ทำเอาซิงหุนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

เขามองเซียนเซิงคนงาม ก่อนจะถอนหลังไปถึงประตูเรือนอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ เสียงสั่นสะท้าน ชี้หน้าเซียนเซิงคนงามร้องว่า “ท่าน...เหล่าจือ ไม่เป็นเฉิงเตี๋ยอี!”  เขาตีลังกากลางอากาศแล้วเผ่นหนีออกไปข้างนอก เทพเซียนรึ? ปิศาจน่ะสิ! เขาละเจ็บใจนักที่ไม่มีปีกอีกคู่จะได้บินหนีออกไปได้

ข้อเท้าตึงวูบ ร่างกายถูกกระชากกลับไป ล้มตึงลงกับพื้นโดยแรง

“กล้าเรียกชื่อข้าตรงๆ...ชิงอีก้วยบอกเจ้ารึ? ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่! เฮอะ!” เซียงเซิงคนงามกระตุกมือ เก็บผ้าคล้องไหล่ในมือกลับคืน เสียงเปลี่ยนเป็นแฝงแววเย็นชาอยู่จางๆ

ซิงหุนโมโหเสียจนขำ เซียงเซิงคนงามชื่อ “เฉิงเตี๋ยอี” หรือนี่! เขาพลิกตัวกระโดดขึ้นยืน พูดทีละคำๆ ว่า “เหล่าจือไม่หัดเดินแบบผู้หญิงเด็ดขาด!”

“ตามใจเจ้าได้งั้นรึ?” เซียงเซิงคนงามไม่ทราบไปชักแผ่นไม้ไผ่หนาที่กว้างประมาณสามชุ่นออกมาจากไหน แล้วมองหน้าเขายิ้มๆ

สตรีวิวาทจะเสียบุคลิก! “บุรุษที่ดีไม่สู้กับสตรี! เหล่าจือขอพูดอีกครั้ง จะไม่หัดเดินแบบผู้หญิง!”

แต่ด้วยวิทยายุทธ์ที่นางใช้จับตัวเขากลับมา ตัวเขาห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อกรของนางมาก แต่ซิงหุนรู้อย่างหวาดผวาเสียแล้วว่าต้องเรียนอะไรจากนาง ความหวาดกลัวในใจนั้นปักใส่หัวใจเขาประดุจเข็ม ถึงตายเขาก็ไม่ทำเด็ดขาด

เสียงลมพลันดัง ซิงหุนลอยขึ้นตามลมดั่งปุยเมฆ

เซียนเซิงคนงามเอ่ยชมว่า “วิชาตัวเบายอดเยี่ยม ชิงอีก้วยสอนได้ไม่เลวเลย”

ซิงหุนรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสปราณในอากาศ จึงคอยหลบแผ่นนไม้ไผ่ที่กวัดแกว่งลงใส่เหมือนหลบอาวุธลับ แต่จะอย่างไรร่างกายก็ยังเป็นแค่ร่างกายของเด็ก พลังภายในก็ใช้ยังการไม่ค่อยได้

แผ่นไม้ไผ่แกว่งเป็นเงา แรงกดดันตามหลังมาติดๆ น่องซิงหุนโดนไปหนึ่งไม้ ความเร็วลดฮวบลงทันที ตามด้วยถูกแถบเงาไผ่สีเขียวหม่นปกคลุมใส่

“ว้ากกกก เซียนเซิงโปรดไว้ชีวิต!” พริบตานั้นไม่ทราบซิงหุนโดนฟาดใส่ไปกี่ที เจ็บจนร้องขอความเมตตาอยู่ลั่นๆ

เซียนเซิงคนงามยิ้มเยื้อนพลางเก็บแผ่นไม้ไผ่ “ต่อไปห้ามเรียกตัวเองว่า ‘เหล่าจือ’ อีก อยู่กับชิงอีก้วยนี่ไม่ได้เรียนไอ้ที่ดีๆ เลย”

“อั๊วรู้แล้ว” ซิงหุนตอบหน้าม่อยพลางคลำซาลาเปาลูกโตบนศีรษะอยู่ป้อยๆ

“อั๊ว?” เซียนเซิงคนงามขมวดคิ้ว “สำเนียงท้องถิ่นก็ต้องเปลี่ยนด้วย!”

ซิงหุนพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง

พอเห็นเจ้าหนูที่พอมาถึงก็เอะอะมะเทิ่งคนนี้ค่อยยอมแพ้ เซียนเซิงคนงามก็อารมณ์ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ด่ายิ้มๆ ว่า “เอาละ วันนี้ไม่ตีเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้ให้เจ้าหัดเดินแบบผู้หญิง ข้าให้เจ้าหัด...เดินแบบเขา!”

ตำแหน่งที่มือเรียวยาวชี้ ซิงหุนมองเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ด้านอกม่านไม้ไผ่

นั่นเป็นเด็กผู้ชายที่ซูบผอมดูอ่อนแอ สวมชุดผาวสีม่วง เอวผูกสายรัดแพรถัก ดูหรูหราสูงค่ากว่าเสื้อผาวผ้าดิบที่ตัวเขาสวมอยู่ตัวนี้มาก ในมือเด็กคนนั้นถือหนังสือเล่มหนึ่ง เดินทอดน่องอยู่บนทางน้อยในป่าไผ่

ท่าเดินของเด็กคนนั้นไม่ถือว่าแปลกประหลาดอะไร แต่ระหว่างย่างก้าวกลับให้อารมณ์อ่อนโยนงดงาม

“เป็นคนฝึกวิชาตัวเบาอีกคนหรือ?”

“เปล่า เจ้าต้องหัดเดินแบบเขา หัดดีดพิณแบบเขา หัดเขียนหนังสือแบบเขา หัด...สีหน้าท่าทางแบบเขา” เฉิงเตี๋ยอีพูดทีละคำๆ

ในใจซิงหุนเครียดเขม็ง เข้าใจในทันที เขากะพริบตาแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ เบ้ปากพูดว่า “มีอะไรน่าหัดกัน? เสี่ยวเหยียเก่งกว่าเขาตั้งเยอะ”

“ตายใต้ดอกโบตั๋น เป็นผีก็กรุ้มกริ่ม...เจ้าเป็นคนพูดสินะ!” เฉิงเตี๋ยอีเอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก “พูดถ้อยคำแบบนี้ออกมาได้ คิดว่าเรื่องร่ายกลอนต่อกลอนก็คงไม่ด้อยนักหรอก”

สายตาของนางอ่อนโยนดั่งธารวสันต์ หัวใจของซิงหุนดั่งร่วงสู่ธารน้ำแข็ง นี่คือภารกิจแรกของเขางั้นหรือ? ไปเป็นมนุษย์โคลน? ข้อดีคืออีกไม่นานเขาก็จะได้ออกไปจากหุบเขาปลีกตัว ข้อเสียคือ คนในบ้านรู้เรื่องในบ้าน ภารกิจมนุษย์โคลนแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยตายแหงแก๋ไม่มีรอดของแท้ หึหึ ขอแค่ออกจากหุบเขาได้ แผ่นดินกว้างไพศาล พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ซิงหุนตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเผ่นหนี

“ข้าได้ตายแบบรู้เรื่องก็พอแล้ว ทำไมต้องไปหัดเลียนแบบเขาด้วย?” ซิงหุนเห็นว่าหมดหนทางเรียกร้อง จึงถามออกไปตรงๆ

เฉิงเตี๋ยอีถอนหายใจ ลูบศีรษะของเขา “เจ้าลองดู...หน้าของเขาอีกทีสิ”

ซิงหุนเพ่งสายตามองไป เด็กคนนั้นกำลังเดินเลี้ยวออกมาจากด้านข้างทางน้อยพอดี เขาอยู่ในห้องศิลามาสองปีกว่า สายตาได้คมกล้าเกินคนธรรมดาจะเทียบได้ เขามองเห็นใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างชัดเจน และต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง...อย่างนี้นี่เอง! “ดูเหมือนร่างกายเขาจะไม่ค่อยแข็งแรงนะ! สีหน้าออกจะซีดนิดๆ...”

“ผิวของเจ้าก็พอๆ กันนั่นแหละ”

“เขาน่ะซีดเพราะป่วย!” ซิงหุนชักจะเคือง จึงเอ่ยปากเถียง “อีกอย่าง เขาผอมแห้ง ไม่ได้แข็งแรงอย่างข้า!”

“อืม เจ้าสังเกตได้ละเอียดมาก...นับจากวันนี้ไป เจ้าไม่มีข้าวเย็นกินแล้ว จนกว่าเจ้าจะผอมเหมือนเขา” เฉิงเตี๋ยอีตัดสินใจอย่างอ่อนโยนแต่โหดเหี้ยม

ซิงหุนโมโหทันที

“อย่าหาว่าเซียนเซิงไม่เตือนเจ้าละ ถ้าไม่ขยัน จะรักษาชีวิตน้อยๆ ไม่รอดแน่ ที่ผ่านๆ มาของปลอมที่ถูกจับได้ต่างมีผลลัพธ์นี้ทั้งนั้น!”

“ข้าเข้าใจแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ถ้าข้ามีของอร่อยกิน ข้าจะแบ่งให้เขาก่อนหนึ่งส่วน ข้าไม่อยากผอม เขาก็ได้แต่อ้วน!” ซิงหุนยิ้มแล้ว เซียนเซิงคนงามไม่กลัวว่าเขาจะปฏิเสธสักนิด คนในหุบเขาก็ไม่กลัวว่าเขาจะปฏิเสธ เพราะเวลานี้วิทยายุทธ์ของเขาไม่แข็งแกร่งพอ ชีวิตน้อยๆ ของเขาถูกกำอยู่ในมือของพวกเขา นี่คือการข่มขู่กันเห็นๆ และเขาได้แต่ยอมรับ

เฉิงเตี๋ยอีตะลึง แล้วหัวเราะคิกตาม นางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา วางลงตรงหน้าซิงหุน “นี่คือผลงานที่เขาเขียนขึ้นในอดีต เจ้าจงจำให้ขึ้นใจทั้งหมด รวมทั้ง...คำอรรถาธิบาย ยังมีนี่...เลียนแบบลายมือนี้”

“ข้าตัดสินใจว่าจะลืมให้หมด เพราะข้ามีผลงานบทกวีใหม่ๆ แล้ว งานเก่าที่เคยแต่ง น่าละอายเกินไป ไม่อยากจะเอ่ยถึงอีก! ส่วนลายมือนี้...เซียนเซิงโปรดวางใจเถิด ซิงหุนจะพยายามสุดความสามารถอย่างแน่นอน” เมื่อชาติก่อนเขาเป็นมือดีด้านการแกะตราราชการปลอม แกะตราประทับปลอม แค่เลียนแบบลายมือคนคนหนึ่งจะไปยากอะไร?

เขายืนมองใบหน้าที่เหมือนกับตัวเขามากอย่างน่าตกใจเด็กชายที่นอกม่านไผ่ เด็กคนนั้นจะเป็นอะไรของเขากันนะ? หรือว่าเหตุที่เขาไม่ถูกกำจัดทิ้งตอนที่ยังเป็นไอ้โง่ปัญญาอ่อน เป็นเพราะใบหน้านี้?

เฉิงเตี๋ยอีเอนพิงอยู่บนตั่งนอนอย่างเกียจคร้าน ชุดลายเมฆพลิ้วสีสดใสห้อยระลงถึงพื้น ดูประดุจนางเซียน นางจัดแต่งเส้นผมนิดๆ กระทั่งกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ยังแผ่กลิ่นอายชวนให้หลงใหล นางเห็นซิงหุนยืนนิ่งไม่ขยับก็ถอนหายใจพูดว่า “ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ตรงนั้นมีแท่นน้ำชา  หัดชงน้ำชาก่อนเถิด!”

ชงน้ำชาเป็นเรื่องเล็ก ถึงไม่เคยทำก็ต้องเคยเห็นคนอื่นทำมาบ้าง เห็นบนเตาเล็กจิ๋วข้างๆ แท่นน้ำชามีกาที่น้ำเดือดแล้วอยู่ จึงเริ่มต้นเลือกใบชาล้างถ้วยชา

“สมาธิน่ะดีพอแล้ว เพียงแต่...เสี่ยวซิงซิง เวลาเจ้าสงบใจชงชา ช่วยเงยหน้าขึ้นมามองข้าสักหน่อยได้หรือไม่?” ในน้ำเสียงเฉิงเตี๋ยอีแฝงแววตัดพ้อ เป็นฝ่ายเรียกชื่อเขาอย่างสนิทชิดเชื้อมากเสียเอง

ซิงหุนอดใจไม่อยู่เหลือบสายตาขึ้นมองนาง

“หึหึ สายตาน่ะยังต้องอ่อนโยนกว่านี้ เหมือนอย่างข้านี่” เซียงเซิงคนงามชม้ายชายตา

“โอ๊ย!” น้ำร้อนลวกโดนมือ ซิงหุนโยนกาทิ้งทันที เจ็บจนสะบัดมืออยู่เร่าๆ “ไม่ไหวแล้ว!”

เฉิงเตี๋ยอีพิงตัวอยู่บนตั่งหัวเราะจนสั่นไปทั้งตัว

ซิงหุนถลึงตาใส่อย่างทุกลักทุเล “ห้ามหัวเราะนะ! ขืนหัวเราะอีกพรุ่งนี้ข้าจะไม่มาเรียนแล้ว”

“อ้อ? เจ้าไม่อยากเรียน แต่ข้าอยากจะสอนเสียอย่าง เสี่ยวซิงซิง เจ้านี่น่าสนุกจริงๆ น่าสนุกมาก หึหึ!”

“เซียนเซิง ท่านน่ะงามพอจะทำให้ทุกชีวิตต่างลุ่มหลงแล้ว โปรดละเว้นศิษย์เถิดขอรับ!”

“เฮ้อ ถ้าเจ้าเรียนของพวกนี้ไม่ได้ภายในครึ่งปี ข้าจะไม่อาจส่งมอบงานให้กู๋จู่ ได้นะ”

ความคิดซิงหุนไหววาบ กรอกน้ำชงชาใหม่อย่างไม่กระโตกกระตาก “กู๋จู่เคยบอกว่า ต้องให้ข้าเลียนแบบเจ้าเด็กน่าเบื่อคนนั้นหรือขอรับ?”

“น่าเบื่อมากก็จริง แต่จะทำยังไงได้เล่า?”

นั่นสิ จะทำยังไงได้? ซิงหุนเงยหน้าขึ้นดูเจ้าหนูที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือคนนั้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ในดวงตาของเด็กคนนั้นเหมือนไม่มีอะไรอื่น ตั้งแต่ซิงหุนมองเห็นเขาจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้ยินเขาพูดเลยสักคำ ความคิดจิตใจทั้งมวลของเขาเหมือนจะจดจ่ออยู่ที่หนังสือในมือเขาเล่มนั้นทั้งหมด

กลิ่นหอมของใบชาลอยอบอวลอยู่ในอากาศ หอมตลบไปทั้งห้อง

ซิงหุนยื่นน้ำชาถ้วยแรกไปให้เฉิงเตี๋ยอีอย่างนอบน้อม “ขอเชิญเซียนเซิงชิมน้ำชาขอรับ”

เขามองริมฝีปากสีแดงสดของนางเผยอน้อยๆ ดูเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก แล้วตะลึงนิดๆ เมื่อชาติก่อนเขามีผู้หญิงเยอะมาก จะอวบอิ่มหรืออ้อนแอ้นก็เรียกว่าสาวสวยได้ทั้งนั้น แต่คนที่มีกลิ่นอายสตรีอย่างแท้จริงได้อย่างเฉิงเตี๋ยอีกลับมีน้อยมาก หญิงงามยุคโบราณต่างเป็นแบบนี้หรือ?

“เสี่ยวซิงซิงโตเมื่อไร ก็ไม่ด้อยเหมือนกัน” เฉิงเตี๋ยอีดูจะมีอารมณ์สุนทรีย์อยู่มากพอควร สายตาวนเวียนไปมาบนใบหน้าของซิงหุน แล้วพลันกะพริบตา “ในเมื่อเจ้าชอบเซียนเซิงมากปานนี้ เซียนเซิงแต่งให้เจ้าดีหรือไม่?”

ซิงหุนตกใจจนถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วพลันสัมผัสกลิ่นอายของชิงอีซือฝุได้ที่นอกเรือนไม้ไผ่ ก็เหมือนได้รับพระราชทานอภัยโทษครั้งใหญ่ รีบร้อนโค้งคารวะเฉิงเตี๋ยอี “ชิงอีซือฝุมารับซิงหุนเลิกเรียนแล้ว พรุ่งนี้ซิงหุนค่อยมานะขอรับ” แล้วตีลังกาพลิ้วลอยออกไปจากเรือนไม้ไผ่ดุจนางแอ่นโดยไม่รอให้เฉิงเตี๋ยอีพูดตอบ

เฉิงเตี๋ยอีเพียงแต่เพ่งมองเงาร่างของซิงหุนที่ลับหายเข้าสู่ป่าไผ่ เรียวปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางๆ อยู่รำไร “เจ้าหนูที่น่าสนุก...ชิงอีก้วย เจ้าช่างปิดบังได้เก่งนักนะ”

<>::<>::<>

ตอนออกมาฝึกวิทยายุทธ์ช่วงค่ำ ซิงหุนนึกถึงสีหน้าเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดาของเฉิงเตี๋ยอี ช่าง...ทรมานใจกันเหลือเกิน แล้วอดไม่ได้ต้องถอนหายใจบอกชิงอีซือฝุ “เซียนเซิงคนงามช่างมากวิชาความสามารถจริงๆ ช่างเป็นราวกับเทพเซียนบนสวรรค์โดยแท้!”

ในดวงตาของชิงอีซือฝุวาบประกายที่ทำให้เขาเห็นแล้วอยากจะหัวเราะอีกครั้ง แน่นอน ยังมีสีแดงระเรื่อที่ซ่านขึ้นจางๆ บนใบหน้าวูบหนึ่งอย่างไม่ปกติอีกด้วย

ในใจซิงหุนพอรู้เรื่องแล้ว จึงคิดอย่างภูมิใจว่า ต่อให้ถูกพวกเจ้าวางแผนหลอกใช้เป็นแรงงานเด็กต้องไปเป็นตัวแทน จะมากจะน้อยก็ต้องหาความบันเทิงสักนิดหน่อยกลับคืนมาบ้างละนะ

เขาไม่เคยถามเลยว่าเด็กคนนั้นมีฐานะอะไรยังไง เพราะเขาต้องได้รู้ไม่เร็วก็ช้า แต่เขามักจะคาดหวังในตัวชิงอีซือฝุอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงยังคงถามออกไปว่า “ซือฝุ ซือฝุคนงามบอกให้ข้าหัดเลียนแบบคนคนหนึ่ง หัดเลียนแบบทั้งหมดของเขา ต้องให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว”

ชิงอีเหรินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ค่อยพูดว่า “ข้าจะไปคุยกับกู๋จู่ เจ้าไม่เหมาะกับภารกิจนี้”

ซิงหุนตกตะลึงนิดๆ กับคำตอบนี้ของชิงอีซือฝุ จึงกอดเอวท่านไว้พึมพำว่า “ซือฝุช่างแสนดีเหลือเกิน!”

<>::<>::<>


หยดน้ำพุดุจไข่มุก ดังติ๋งๆ ก้องไปทั่วห้อง

บนผนังผาวางโต๊ะน้ำชามะมะเกลืออยู่หนึ่งตัว มีไอน้ำเกาะเล็กน้อย เนื้อไม้มันขลับวาววับดุจหยกดำ มือขาวผ่องดุจหยกขาวข้างหนึ่งยกกาน้ำชาขึ้นสูงอย่างนิ่งสนิท เอียงเทน้ำเดือด กรุ่นกลิ่นหอมใบชาพลุ่งขึ้นชุ่มชื่นไปถึงในปอด

เซียนเซิงคนงามก้มหน้าหลุบตาชงน้ำชาอย่างมีสมาธิ  ในถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบขาวใบจิ๋วสีน้ำชาเขียวหม่น ดวงตานางทอแววพอใจอยู่จางๆ

ชายชราที่นั่งอยู่ด้านข้างใบหน้ามีเมตตา ผมเผ้าหนวดเคราต่างขาวโพลน ยื่นมือออกประคองถ้วยน้ำชาขึ้นมาหนึ่งถ้วย หรี่ตาลงเล็กน้อยรอที่ปลายจมูกสูดกลิ่น เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ หมุนปากถ้วยมา จิบกลืนทีละนิดลิ้มชิม

เฉิงเตี๋ยอีมองดูอย่างพอใจ พลันมีมือเรียวยาวซูบผอมข้างหนึ่งยื่นผ่าน หยิบขึ้นมาหนึ่งถ้วย แล้วดื่มอึกลงไปในคำเดียว จากนั้นไปหยิบถ้วยที่สอง สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นโมโห แต่ไม่สะดวกใจจะเอาเรื่อง จึงถลึงตาใส่ชิงอีเหรินที่ไม่รู้จักความสุนทรีย์

“ฝีมือชงชาของเตี๋ยอีก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว มีโอกาสได้ดื่มชาของเจ้าหนึ่งจอก เป็นโชคดีชั่วชีวิต!” ชายชราถอนหายใจ

“เพียงแต่ถ้วยเล็กไปหน่อย” ชิงอีเหรินก็ถอนหายใจด้วย

เฉิงเตี๋ยอีแค่นเสียงอย่างดูหมิ่น เปลี่ยนเรื่องว่า “ซิงหุนไม่เลวเจ้าค่ะ ไหวพริบดีมาก เวลาครึ่งปีเพียงพอแล้ว”

“กู๋จู่ เขายังเรียนไม่สำเร็จ ทั้งยังไม่รู้เรื่องราวในโลก อายุยังน้อย เรื่องนี้ทำไม่ได้ขอรับ!” ชิงอีเหรินคัดค้านต่อคำทันที

ชายชรายังคงลิ้มรสน้ำชา จวบจนดื่มไปได้สามถ้วย คิ้วค่อยคลายออกอย่างพอใจ พูดเนิบช้าว่า “ยอดชา!”

ชิงอีเหรินร้อนใจนิดๆ คิดทบทวนซ้ำไปมาอยู่ในใจเป็นหลายตลบ สุดท้ายเอ่ยปากอีกครั้ง “วิทยายุทธ์ของเขายังอ่อนด้อย ข้ากลัวว่า...แทนที่เรื่องจะสำเร็จ กลับจะล้มเหลว!”

“บ่อยครั้งที่ไม่ได้พึ่งวิทยายุทธ์ในการทำให้สำเร็จ ในหุบเขามียอดฝีมือมากมายปานนี้ หรือยังขาดเขาแค่คนเดียว?” ในดวงตาชายชราทอประกายคมกริบเจิดจ้า แล้วกลับเป็นเมตตาดังเดิมในพริบตา

ชิงอีเหรินก้มหน้าลง นึกถึงดวงตาทอประกายสดใส ผิวพรรณผุดผ่อง แล้วยังท่าทางที่กอดเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ของซิงหุน ยังไงก็ตัดใจไม่ลง จึงเอ่ยปากอีกครั้ง “แต่ว่าเขา...เพิ่งจะแปดขวบเท่านั้น!” คำพูดนี้แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกไม่ค่อยจะมีน้ำหนักเลย จึงอดท้อแท้นิดๆ ไม่ได้

“ชิงอี เจ้าอยู่ในหุบเขามาหลายปี ใจพลอยถูกทิวทัศน์ในหุบเขาหลอมละลายไปด้วยแล้วหรือไร? เจ้าลืมคำสาบาน...ที่เจ้าได้กล่าวไว้เมื่อตอนนั้นแล้วรึ?” น้ำเสียงชายชราราบเรียบ แต่กลับคมกริบปานคมมีด

“กู๋จู่กล่าวได้ถูกต้อง” แววหม่นหมองจางๆ วาบผ่านดวงตาของชิงอีเหรินอย่างรวดเร็ว เขาไม่กล้าพูดเหตุผลแท้จริงที่เขาคัดค้านออกมา และไม่อาจพูดได้ เขาแอบคิดในใจว่า หัวใจของเขาถูกรอยยิ้มของซิงหุนหลอมละลายเสียแล้วจริงๆ หรือ?

“เตี๋ยอี  เจ้าช่วยดูแลหน่อยนะ มีเวลาแค่ครึ่งปี แต่ข้าคิดว่าน่าจะได้อยู่”

“เจ้าค่ะ กู๋จู่” เฉิงเตี๋ยอีตอบอย่างนอบน้อม เหลือบสายตาขึ้น สายตากลับจับนิ่งที่ตัวของชิงอีเหรินซึ่งยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยอยู่ด้านข้าง ราวกับอยากจะหยั่งเข้าไปดูส่วนลึกในใจเขา ขยุ้มความลับทั้งหมดของเขาออกมา เห็นเขายืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ในใจอดนึกสงสารนิดๆ ไม่ได้

สายตาสองคู่สบประสาน ชิงอีเหรินเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เดินออกไปจากเรือนไม้

<>::<>::<>


ชิงอีซือฝุบอกว่าวันนี้งด ไม่ต้องไปเรียนที่เรือนของเซียนเซิงคนงามได้ แล้วยังบอกว่า วันนี้ไม่ต้องฝึกวิทยายุทธ์ด้วย ซิงหุนรู้สึกว่ามีแผนร้ายยังไงชอบกล

ไม่แค่นี้เท่านั้น ชิงอีซือฝุยังพูดยิ้มๆ ด้วยว่า “ข้าจะพาเจ้าไปตลาด!”

วันหยุด? ช้อปปิ้ง? ซิงหุนถามอย่างจริงจัง “ซื้อของจากตลาดได้ด้วยหรือเปล่าขอรับ?”

“ก็ต้องได้สิ ตั้งแต่เจ้าเริ่มเรียนวิชา ซือฝุก็ไม่เคยพาเจ้ามาเที่ยวเลย วันนี้เจ้าอยากซื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้น ไปกันเถอะ สายแล้วเดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน”

ซิงหุนเก็บความสงสัยไว้ในใจ มุ่งความสนใจไปที่ตลาดอีกครั้ง เขาคิดอย่างตื่นเต้นว่า มีโอกาสได้เห็นตลาดในยุคโบราณกับตา หายากขนาดไหน!

ผู้คนที่คลาคล่ำ ร้านค้าเปิดเต็มตลอดสองข้างทาง ธงเขียวของร้านเหล้าพลิ้วสะบัดตามแรงลม บนหอมีหญิงงามเอนอิงกวักแขนเสื้อแดง...ซิงหุนเคลิบเคลิ้มอยู่กับจินตนาการของตัวเอง จะเยี่ยมที่สุดถ้านั่งอยู่ในร้านน้ำชาแล้วมีชาวยุทธจักรคุยเรื่องต่างๆ กันอย่างไม่กริ่งเกรง มีสาวน้อยขายเสียงถูกคุณชายอันธพาลรังแก ตัวเขายืดอกเข้าช่วย อ้อ ไม่ใช่สิ ใช้ตะเกียบแทนอาวุธลับแทงมันเต็มตัวให้เป็นเม่นไปเลย...

“ถึงแล้ว ไปดูเถอะว่ามีของที่ชอบบ้างไหม? ซือฝุจื้อให้เจ้า” เสียงราบเรียบของชิงอีเหรินทำให้ซิงหุนที่ยิ้มแป้นฝันหวานได้สติตื่นจากภวังค์

นี่เรอะคือ “ตลาด”? ซิงหุนหมดอารมณ์ทันควัน

ไม่มีร้านน้ำชาและร้านเหล้า ไม่มีป่าหี่โชว์รำดาบเล่มใหญ่ริมถนน ไม่มีผู้คน ไม่มีหญิงงาม...หอไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าอย่างโดดเดี่ยว อย่าว่าแต่ผู้คนเลย กระทั่งผียังไม่เห็นสักตน ตลาดแบบนี้มาถึงสายแล้วยังมีการเก็บแผงด้วย?

ชิงอีเหรินไม่ได้หยุดเดิน ซิงหุนตามหลังเขาไปอย่างขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ เดิมทีเขาเตรียมตัวต่อราคามาเต็มที่ มาตอนนี้ช่างน่าผิดหวังโคตรรรรรรร

พอเดินเข้าไปในหอไม้ ก็มีเถ้าแก่เข้ามาต้อนรับ ปั้นยิ้มเต็มที่กุมหมัดคารวะให้คนทั้งสอง “ร้านเรามีสินค้าครบครัน ราคายุติธรรม เชิญท่านทั้งสองทางด้านนี้ขอรับ!”

“ซือฝุ ท่านมีเงินอยู่เท่าไหร่?” ซิงหุนเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเถ้าแก่แล้วนึกถึงพ่อค้าหน้าเลือดที่ “สามปีไม่ค้าขาย ค้าขายทีกินไปสามปี” ขึ้นมาทันที อุตส่าห์มีลูกค้าโผล่มาหนึ่งคนทั้งที จะไม่ขูดให้เต็มที่ได้ยังไง?

ชิงอีเหรินงงไป แล้วยิ้มออกมา “ตั้งแต่เจ้าเริ่มเรียนวิชากับซือฝุ ก็ได้เงินเดือนเดือนละสองตำลึงทุกเดือน ต่างฝากอยู่ที่ซือฝุทั้งหมด มีทั้งสิ้นหกสิบสองตำลึง เงินของเจ้าใช้ได้ตามใจชอบ ถ้าเงินไม่พอ ซือฝุจะแถมให้เจ้า”

เถ้าแก่พูดยิ้มๆ “เชิญกงจื่อ ตามสบายขอรับ เลือกได้แล้วไปคิดเงินที่โต๊ะเก็บเงินก็พอ ชิงอีต้าเหริน เชิญไปดื่มน้ำชาข้างนอกขอรับ!”

เป็นห้างแบบบริการตัวเองด้วยรึ? ซิงหุนถอนหายใจ เขาเป็นคนมีเงินเดือนแล้วเหมือนกันหรอกหรือ ใช้ซะเถอะ ไม่ใช้ก็เสียเปล่า ปกติกินฟรีอยู่ฟรีอยู่แล้ว มีเงินก็ไม่มีเรื่องให้ใช้ไม่ใช่หรือ?

หอกว้างมาก กว้างเจ็ดจ้างยาวแปดจ้าง  สินค้าครบครันมาก เสื้อผ้า ถุงน่อง รองเท้า เครื่องเขียน เครื่องดนตรี เพชรพลอย เครื่องประดับ จัดวางอยู่เต็มห้อง

ซิงหุนเดินดูอย่างตั้งใจไปหนึ่งรอบ แต่ว่า...เขาหันกลับไปมองเถ้าแก่ที่ยิ้มจนตาหยี ราคานี้โหดเกินไปแล้วมั้ง? เสื้อบางๆ ตัวเดียวติดราคาตั้งสิบตำลึง? เขานึกถึงเซียนเซิงคนงาม ความคิดผุดขึ้นในใจ สายตาเหลือบไปทางปิ่นอันหนึ่ง ตัวปิ่นทำจากหยกขาว แกะสลักเป็นรูปผีเสื้อ ดูประณีตมีรสนิยม คู่ควรกับเซียนเซิงคนงามดีอยู่ แต่ดันไม่ติดราคานี่สิ

ของที่ไม่ติดราคาจะแพงทั้งนั้น เอาไว้ใช้ขูดรีดลูกค้าโดยเฉพาะ “เถ้าแก่ เครื่องประดับพวกนี้ไม่ได้ติดราคา!”

เถ้าแก่วิ่งก้นอ้วนใหญ่ส่ายไปมาเข้ามาหา ก้อนเนื้อบนอกสั่นกระเพื่อมเสียจนทำให้ซิงหุนนึกไปถึงเฉินป่ายเสียงจากเรื่อง “มีโรงเตี๊ยมอยู่หนึ่งแห่ง”  จึงก้มหน้าลงกลั้นหัวเราะ

“กงจื่อ ของที่ไม่ได้ติดราคาให้เสนอราคาทั้งหมดขอรับ แล้วแต่ว่ากงจื่อจะเสนอราคาเท่าไหร่”

“แล้วแต่ข้าจะเสนอราคาหรือ?” ซิงหุนไม่อยากจะเชื่อ

เถ้าแก่พยักหน้าอย่างจริงใจยิ่ง “ไม่นึกเลยว่าถึงกงจื่อจะอายุยังน้อย ก็มีพักตร์ชาดผู้รู้ใจแล้ว ปิ่นอันนี้ทำจากหยกเนื้อดีเลิศ นวลใสตลอดทั้งอัน ถือเป็นของชั้นเลิศสำหรับมอบแก่ยาใจ!”

“ซือฝุ ท่านว่าเซียนเซิงคนงามจะชอบปิ่นนี้ไหมขอรับ?”

ชิงอีเหรินเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก “ไม่รู้สิ”

“หนึ่งตำลึง!” ซิงหุนแอบหัวเราะพลางเสนอราคา

เถ้าแก่ยิ้มพลางส่ายหน้า “ธรรมเนียมคือข้าตั้งราคา กงจื่อต่อราคาขอรับ! แต่ได้แค่ครั้งเดียวนะขอรับ ร้านเล็กของเรามีคนน้อย ถ้าต่อราคากันไปมาไม่รู้จักจบจักสิ้น ข้าคงได้เหนื่อยตายขอรับ”

ดวงตาซิงหุนเปล่งประกายสุกใส เขาไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ที่พอต้องเดินซื้อของทีไรเป็นต้องปวดหัวทุกที หนึ่งในความบันเทิงเมื่อชาติก่อนก็คือออกไปซื้อของข้างนอก พวกแฟนสาวของเขาต่างวิจารณ์ว่า นี่คือข้อดีที่สุดข้อหนึ่งของเขา

เขาก็ยิ้มเหมือนกัน น้ำเสียงแฝงความกระตือรือร้น “เถ้าแก่เชิญตั้งราคาเถอะ!”

“สองร้อยตำลึง!”

ต่อได้แค่ครั้งเดียว? เขาไม่แสดงอาการใดๆ วางปิ่นลง หยิบเสื้อผาวตัวหลวมตัวหนึ่งขึ้นมา “อันนี้ไม่ต้องต่อราคาแล้ว ข้าซื้อในราคาสิบตำลึงนี่แหละ”

เถ้าแก่เอ่ยรับพลางหัวเราะหึหึห่อเสื้อให้ “กงจื่อช่างเป็นคนรวบรัดดีแท้ ชั้นบนคือร้านอาวุธ กงจื่อขึ้นไปชมที่ชั้นบนได้ขอรับ”

ซิงหุนเหลือบมองห้องด้านนอกแวบหนึ่ง เห็นชิงอีซือฝุนั่งดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ ก็เดินขึ้นไปที่ชั้นบน

สิบแปดศัสตราวุธ ตั้งยืนอยู่ที่ชั้นบน นอกจากนี้ยังมีของจำพวกธนู อาวุธลับอีกด้วย ก็ไม่ได้ติดราคาเหมือนกัน ซิงหุนคิดว่าของพวกนี้น่าจะยิ่งแพง แต่ชิงอีซือฝุบอกว่าถ้าเงินไม่พอจะซื้อให้เขาเป็นของขวัญ คงจะเป็นอาวุธละมัง

เขาเดินไปหนึ่งรอบ สุดท้ายอดใจไม่อยู่หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา น้ำหนักและขนาดไม่ได้น่าพอใจเป็นพิเศษ แต่ก็พอทนใช้ไหวอยู่ เขากุมไว้ในมือกวัดแกว่งเบาๆ ความรู้สึกที่คุ้นเคยเมื่อชาติก่อนค่อยกลับคืนมา

“ขอลองได้ไหม?”

“เชิญกงจื่อตามสบายขอรับ”

“ได้จริงๆ นะ? ไม่คิดเงินนะ?”

“ได้ขอรับ” เถ้าแก่ยิ้มแย้มเหมือนเดิม

ซิงหุนพยักหน้า เหวี่ยงลงใส่ดาบยาวอีกเล่มทันที คมดาบกับคมมีดปะทะกันเกิดเป็นเสียงดังเคล้ง เขาถอนหายใจ โยนมีดสั้นทิ้ง ไม่ได้คมกริบสุดเปรียบปานอย่างที่เขาคิดไว้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงทยอยไล่ทดสอบอาวุธของที่นี่ไปทีละชิ้นๆ จนครบหมด สุดท้ายหยิบมีดบินขนาดเล็กแถวหนึ่งขึ้นมา

“กงจื่อ...” ใบหน้าเถ้าแก่เหงื่อแตกพลั่ก มองดูอาวุธเสียหายที่ตกอยู่เกลื่อนพื้นอย่างปากอ้าตาค้าง

“ข้าซื้อแค่อันนี้ อันอื่นไม่ซื้อ”

“แต่ว่า...”

“ท่านบอกนี่ว่าทดลองดูได้ เฮ้อ เพียงแต่ทำมาไม่ดีพอ แค่ลองนิดเดียวก็พังซะแล้ว งั้นจะฝืนใจเลือกของห่วยๆ พวกนี้นิดหน่อยก็แล้วกัน คิดเงินเถอะ!” ซิงหุนส่ายหน้าถอนหายใจ ขณะที่ในใจหัวเราะลั่น

เถ้าแก่ถูกคำพูดของตัวเองอุดปากเสียสนิท ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่จะอาละวาดก็ไม่ได้ ได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดคิดเงิน “ขอบคุณที่อุดหนุน...หกสิบตำลึงขอรับ”

ซิงหุนหยิบปิ่นหยกขาวขึ้นมาดูอีกครั้ง ถอนหายใจแล้ววางลง “อันนี้สองตำลึงก็แล้วกัน”

เถ้าแก่กำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ ก็ได้ยินซิงหุนพึมพำว่า “ไม่รู้ว่าแข็งแรงดีหรือเปล่า” พลางหนีบปิ่นทำท่าจะลองหักดู

“สองตำลึงก็สองตำลึง กงจื่อเชิญกลับได้!” เถ้าแก่ได้มาสองตำลึงก็สองตำลึงเถอะ รีบรับปากทันควัน

ซิงหุนยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเก็บปิ่นไว้ในอกเสื้อ “ซือฝุ ของที่นี่ราคาถูกแถมสวยดีด้วย ไว้วันหลังเรามากันบ่อยๆ นะ เถ้าแก่ขอรับ อย่าลืมเตรียมของดีๆ ไว้เยอะๆ หน่อยละ!”

ดวงตาเถ้าแก่แทบจะลุกเป็นไฟ ซิงหุนขยิบตาให้เขา เขาเข้าใจทันทีว่าปิ่นอันนี้แหละตัวต้นเหตุ กลับได้แต่แอบโวยในใจว่าซวยชะมัด หน้านิ่วคิ้วขมวดอยากให้ซิงหุนไม่ต้องแวะมาอีกเลยใจแทบขาด

ออกจากป่าแล้ว ซิงหุนหัวเราะดังลั่น ยื่นเสื้อผาวตัวนั้นให้ชิงอีเหรินอย่างภูมิอกภูมิใจ “นี่ให้ซือฝุแทนความกตัญญูขอรับ ส่วนปิ่นเอาไว้ให้ตอบแทนเซียนเซิงคนงาม”

ชิงอีเหรินส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “เถ้าแก่คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาหรอกนะ”

ซิงหุนถือปิ่นเล่นมือโดยทำเป็นไม่ได้ยิน เขามีหรือจะไม่รู้ คนในหุบเขานี้มีใครบ้างเล่าที่เป็นคนธรรมดา? เขาคิดในใจ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำในวันนี้ เถ้าแก่จะเขียนรายงานยังไงส่งผู้บริหารของหุบเขากันหนอ?

“เจตนาของกู๋จู่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก ครึ่งปีให้หลังต้องพึ่งดวงของตัวเองแล้ว ถ้าไม่อยากถูกใครจับได้ ต้องเชื่อฟังเซียนเซิงให้มากไว้ ปิ่นอันนั้นนางต้องชอบแน่”

ซิงหุนตะลึง ยิ้มแล้ว นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงในการพาเขาไปเดินเที่ยวตลาดในวันนี้ เพราะว่าครึ่งปีให้หลัง เขาจะออกจากหุบเขาไปใช้ชีวิตด้วยฐานะของเด็กชายคนนั้น ดังนั้นจึงสงสารเขา อยากจะให้เขามีความสุข ยังไงเขาก็คาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าภารกิจนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง...จะไปหาคนที่หน้าตาเหมือนเด็กผู้ชายคนนั้นอีกคนน่ะยากมาก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย

“คนทุกคนต่างต้องคิดเพื่อตัวเองบ้างกันทั้งนั้น ไม่ใช่หรือ?” ซิงหุนถอนหายใจอยู่ในใจ


<>::<>::<>::<>::<>::<>


แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 2560, 21:48 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 28 ก.พ. 2560, 07:17

3 ความคิดเห็น