บทที่ 2
กลับมาถึงสวนห่ายถัง ฟูเหรินเจ็ดมองไปยังดอกห่ายถังที่บานสะพรั่งในเทียนจิ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ อย่างหม่นเศร้า เรียกจางมายกเก้าอี้มาให้ตัวหนึ่ง นั่งลงตรงระเบียง กอดบุตรสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน เอ่ยระคนทอดถอนอย่างเศร้าสร้อย
“ซานเอ๋อร์ เจ้าช่างดีต่อเหนียงนัก เหนียงหลงนึกว่าเจ้านิสัยเงียบขรึมเย็นชามาโดยตลอด ในหนึ่งปีพูดจากับเหนียงเพียงไม่กี่คำ ทั้งยังไม่ยอมเรียนโคลงกลอน ไม่นึกว่าเจ้าจะจดจำความขมขื่นของเหนียงไว้ในใจทั้งหมด ในบ้านหลังนี้...เหนียงมีเจ้าเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว เตียของเจ้าจะมาหรือไม่มิได้สำคัญเลย เพียงแต่กลอนบทนั้นขมขื่นชอกช้ำหากแฝงความเด็ดเดี่ยว เจ้าอายุเพียง ๖ ขวบไยจึงสามารถแต่งกลอนเช่นนั้นออกมาได้ ไม่ทราบถือเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย”
...เด็ก ๖ ขวบไหนเลยจะเก่งขนาดนั้นได้ ตัวเราเองตอน ๖ ขวบกระทั่งท่องกลอนยังตะกุกตะกักด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่แต่งกลอน!...
เฉิงชิ่งกำลังคิดจะพูดเสริมสัก ๒-๓ คำก็พอดีได้ยินน้ำเสียงของฟูเหรินเจ็ดเปลี่ยนเป็นเดือดดาลเจ็บแค้น “คนพวกนั้นสิยังไม่ยอมวางใจอยากจะไล่เราสองแม่ลูกออกไปให้พ้นๆ หากออกไปได้จริงๆ...เฮ้อ! ชอบยกเรื่องที่เจ้าไม่เป็นพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดมาว่ากล่าวนัก วันนี้เหนียงน่ะกังวลจริงๆ ว่าไม้กระดานจะฟาดลงใส่เจ้าเสียแล้ว ทั้งไม่มีกำลังจะช่วยปกป้องเจ้า บุตรีบ้านสกุลหลี่นั้นหากไร้ประโยชน์ ไม่อาจช่วยเหลือเตียเจ้าได้ ก็มีค่าน้อยนิดยิ่งกว่าเสี่ยวอวี้เสียอีก...ช่างเป็นบุตรสาวของข้าโดยแท้ มีหรือไม่เป็นโคลงกลอนได้!”
เฉิงชิ่งเห็นฟูเหรินเจ็ดไม่มีทีท่าสงสัยแม้แต่น้อยก็คร้านจะอธิบาย ตอนนี้เธอเริ่มจะเคยชินกับอ้อมกอดของฟูเหรินเจ็ดบ้างแล้ว หอมๆ นุ่มๆ เหมือนอ้อมกอดของแม่เมื่อสมัยเธอยังเด็กไม่มีผิด เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของฟูเหรินเจ็ดพลางเอ่ยถามว่า “ช่วยบอกอาหลัวได้หรือไม่ว่าต้องช่วย...เตียคนนั้นทำอะไร? เหตุใดบุตรีบ้านสกุลหลี่จึงต้องเชี่ยวชาญพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด?”
ครั้นคำพูดหลุดจากปาก เฉิงชิ่งก็ออกจะนึกเสียใจ หากบังเอิญว่าฟูเหรินเจ็ดเคยบอกเรื่องนี้กับอาหลัวแล้ว นางจะนึกประหลาดใจหรือเปล่า?
ฟูเหรินเจ็ดเอ่ยเนิบๆ ว่า “ซานเอ๋อร์ เจ้ายังเด็กนัก ไว้โตกว่านี้อีกสักหน่อยเหนียงค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน!”
เฉิงชิ่งได้ฟังก็ร้อนใจ เธออยากจะรีบทำความเข้าใจว่าโลกแห่งนี้เป็นโลกแบบไหนเร็วๆ ในสมองของเธอยังคงสับสนอยู่ พอตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นเด็กไปเสียแล้วอย่างงงๆ ทั้งยังได้พบเจอคนโน้นคนนี้ของคฤหาสน์มหาเสนาบดีเต็มไปหมด อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตั้งเกือบครึ่งวัน แล้วจะมาไม่บอกกันได้ยังไง?
เธอได้ยินตัวเองเปล่งเสียงแหลมใสอ่อนเยาว์ออกไปว่า “รู้แต่เนิ่นๆ ดีกว่ารู้ทีหลังนี่นา ไม่แน่ว่าต่อไปอาหลัวจะเปลี่ยนนิสัยหันมาขยันเรียน สามเดือนให้หลังจะได้ไม่ต้องถูกตีอย่างไรเล่า!” พูดจบก็ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง ...เสียงนี้นี่...ไม่ชินเอาซะเลย!... คิดแล้วลองลูบแขนดู ขนลุกเกรียวเป็นตุ่มเล็กๆ เต็มไปหมดจริงๆ ด้วย
ฟูเหรินเจ็ดถอนหายใจพูดว่า “เพื่อให้ได้บุตรชายมาสักคน บ้านสกุลหลี่ได้ทยอยแต่งภรรยาทั้งสิ้นเจ็ดนาง นึกไม่ถึงว่าเหนียงแต่งเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ก็ยังคงคลอดบุตรสาวอยู่นั่นเอง เตียของเจ้าเป็นมหาเสนาบดีฝ่ายขวาของแคว้นหนิง ครั้นเห็นว่าไร้ทายาท ก็คิดจะให้บุตรสาวทั้งสามคนแต่งเข้าราชวงศ์หรือตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลเพื่อเสริมความมั่นคงของอำนาจ เขามีหรือจะไม่คาดหวังจากบุตรสาวเสียสูงลิบ? ความหวังทั้งปวงของเขาล้วนตั้งไว้ที่ให้บุตรสาวเกาะมังกรเกาะหงส์ได้สำเร็จทั้งสิ้น ฟูเหรินใหญ่มาจากตระกูลสูง หากมิใช่เพราะไร้บุตรธิดา มีหรือจะยินยอมให้เหล่าเหยียรับภรรยาน้อยคนแล้วคนเล่า เหนียง...ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่สกุลหลี่แต่งเข้ามาเพื่อให้คลอดบุตรเท่านั้น”
ฟูเหรินเจ็ดก้มหน้าลงยิ้มให้บุตรสาวตัวน้อยอย่างอ่อนโยน “เหนียงนั้นมิได้มุ่งหวังให้ซานเอ๋อร์โดดเด่นเหนือใครแต่อย่างใด เพียงแต่กลัวว่าเจ้าไม่ก้าวหน้าแล้วจะทำให้เตียของเจ้าโกรธ กระทั่งขอกินอิ่มสวมอุ่นยังไม่ให้เท่านั้น นิสัยเจ้าเหมือนเหนียงเมื่อสมัยยังเด็ก ดื้อรั้นเอาแต่ใจนัก ทั้งยังซุกซน ทำให้จางมากับเสี่ยวอวี้ต้องลำบากใจอยู่บ่อยครั้ง และมักจะไม่สนใจการบ้าน เหนียงตำหนิเจ้าไม่ลง แต่ว่าซานเอ๋อร์เอ๋ย ในโลกนี้สตรีมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ หากเจ้าไม่แต่งงานกับคนดีๆ ต่อไปคงต้องอยู่อย่างขมขื่นไปอีกเนิ่นนานแน่แท้” กล่าวพลางน้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย
เฉิงชิ่งมองดูแววทุกข์ตรมบนดวงหน้างดงามดั่งสลักเสลาจากหยกของฟูเหรินเจ็ด ตระหนักดีว่านับแต่นี้ชะตาของเธอกับฟูเหรินเจ็ดจะผูกติดกัน เธอมองดูร่างกายเล็กๆ ของตัวเอง...ข้ามมิติมาแบบงงๆ...วิญญาณเข้าสิงร่าง...ยุคที่ไม่มีในประวัติศาสตร์...
เดิมทีเธอเป็นนักศึกษาปี ๔ อยู่ดีๆ แท้ๆ ฐานะทางบ้านดีเลิศ ต่อไปอนาคตสดใส มายามนี้ทุกอย่างต่างไม่อาจทราบได้ ครั้นได้ยินฟูเหรินเจ็ดบอกว่าอยู่ที่นี่สตรีมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ เฉิงชิ่งก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ฟูเหรินเจ็ดกอดร่างน้อยๆ แน่นทอดถอนใจเอ่ยว่า “ซานเอ๋อร์เอ๋ย ไยจึงอาภัพนักต้องมาเกิดเป็นหญิง? ไยต้องมาเกิดเป็นบุตรีบ้านสกุลหลี่ด้วยหนอ!”
เฉิงชิ่งร้องไห้จนเหนื่อยและผล็อยหลับไป ฟูเหรินเจ็ดมองดูบุตรสาวที่เพิ่งจะอายุเพียง ๖ ขวบอย่างเวทนา เด็กหญิงมีใบหน้าเล็กๆ ที่เหมือนกับนาง ไม่ต้องคาดเดาก็ทราบได้ถึงความงดงามในยามเติบใหญ่ของอาหลัว วัยสาวและความงามของนางถูกกลบฝังไว้ในสวนห่ายถังของคฤหาสน์ตระกูลหลี่ไปแล้ว นางหวังว่าบุตรสาวจะวาสนาดีกว่านาง ไม่ต้องเฝ้าจับเจ่าอยู่ในเทียนจิ่งสี่เหลี่ยมนี้ด้วยหัวใจที่อ้างว้างดั่งตายดับ
นางเหม่อมองบุตรีตัวน้อยอยู่เนิ่นนาน ค่อยร้องเรียกจางมากับเสี่ยวอวี้ แล้วพูดเสียงอ่อน “คุณหนูยังไม่รู้ความ พวกเจ้าช่วยอดทนยอมนางสักหน่อยเถิดนะ นางมิใช่เด็กแล้งน้ำใจ เพียงออกจะเอาแต่ใจอยู่บ้างเท่านั้น”
จางมากับเสี่ยวอวี้กล่าวตอบด้วยดวงตาแดงเรื่อ “ฟูเหรินมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกข้า พวกข้าจะทุ่มเทกายใจเพื่อคุณหนูเต็มที่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฟูเหรินเจ็ดส่งบุตรสาวในอ้อมแขนให้จางมาพากลับไปที่ห้อง จากนั้นเหม่อมองดอกห่ายถังแน่วนิ่งอย่างใจลอย ครั้นนึกถึงบทกลอนที่อาหลัวเอื้อนตอนสอบไตรมาส น้ำตาก็ร่วงพรูลงมาอีกครั้ง
<>::<>::<>
เฉิงชิ่งตื่นจากงีบหลับก็รีบก้มหน้าลงดูตัวเอง ยังคงเป็นร่างกายของเด็กหญิงอยู่เหมือนเดิม รอบด้านเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ไม่มีเสียงรถยนต์แล่นผ่านถนน ไม่มีเสียงผู้คน ราวกับโลกนี้ทั้งโลกเหลือเพียงเธอคนเดียว...นัยน์ตาเธอแดงเรื่อ น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย แสงจันทร์สาดส่องสู่ภายในห้อง ยิ่งเสริมให้เงียบเหงาอ้างว้าง
เฉิงชิ่งคิดในใจ ...หรือตัวเราได้แต่อยู่ที่นี่...ใช้ร่างของเด็กชื่อ “อาหลัว” ค่อยๆ เติบโตขึ้นในโลกแห่งนี้ จากนั้นแต่งงาน แล้วสิ้นสุดชีวิตนี้?...
เธอหวาดหวั่นขวัญเสียถึงขีดสุดอย่างห้ามไม่อยู่ ร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง
เบื้องนอกม่านเตียงมีแสงเทียนสว่างขึ้น เสี่ยวอวี้แหวกเปิดผ้าม่าน เอ่ยเรียกอย่างวิตก “คุณหนู ฝันร้ายอีกแล้วหรือเจ้าคะ? เสี่ยวอวี้อยู่ตรงนี้เอง คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ”
เฉิงชิ่งมองดูผมยุ่งเป็นกระเซิงของเสี่ยวอวี้แล้วคิดในใจ …ก็แค่เด็ก ๑๐ ขวบเท่านั้น ดันมาปลอบใจเราได้ ฉันน่ะอายุ ๒๒ ปีแล้วนะ จะให้เธอมาโอ๋ปลอบได้ยังไง?... เฉิงชิ่งค่อยๆ ห้ามน้ำตาให้หยุดไหล แล้วพูดว่า “ข้านอนไม่หลับแล้ว เสี่ยวอวี้ เจ้าขึ้นมานอนเป็นเพื่อนข้าสักครู่ เล่านิทานให้ข้าฟังเถิด”
เสี่ยวอวี้เห็นคราบน้ำตาบนดวงหน้าน้อยๆ ของผู้เป็นนายยังไม่แห้งดี สะท้อนแสงอยู่วูบวาบใต้เปลวเทียนที่สาดส่อง สีหน้าเต็มไปด้วยประกายอ้อนวอนชวนให้ใจอ่อนยวบแสนสงสารอย่างบอกไม่ถูก จึงคิดในใจว่า …คุณหนูเพิ่งจะ ๖ ขวบก็ชวนให้อดใจนึกสงสารเอ็นดูไม่ได้ถึงเพียงนี้ ต่อไปเมื่อโตขึ้นไม่รู้ว่าจะงามหยาดฟ้ามาดินสักเท่าใด… ส่วนปากก็เอ่ยรับ แล้วขึ้นไปนอนชิดเจ้านายตัวน้อยบนเตียง
เฉิงชิ่งร้องขอว่า “เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยเถิดว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร แคว้นหนิงเป็นแคว้นแบบไหน”
เสี่ยวอวี้ยิ้มอย่างขัดเขิน “เสี่ยวอวี้เองก็ทราบเพียงว่าทั่วหล้ามีห้าแคว้น ทางตะวันตกมีแคว้นฉี่ ทางตะวันตกเฉียงใต้มีแคว้นเซี่ย ทางเหนือมีแคว้นอาน ทางใต้คือแคว้นเฉิน แคว้นหนิงอยู่ทางตะวันออก เป็นแคว้นที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งที่สุด พวกเราอยู่ในเมืองเฟิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นหนิง คุณหนู เมืองเฟิงของพวกเรานั้นกว้างใหญ่มากนะเจ้าคะ ควบม้าจากตะวันออกไปจนจดตะวันตกยังต้องวิ่งตั้งหลายชั่วยาม[1] เวลาเทศกาลหยวนเซียว[2]นี่คึกคักที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ริมแม่น้ำตูหนิงมีแต่คนขายโคมลอยโคมเต็มไปหมด ทั้งยังมีเรือสำราญมากมาย เมื่อตกค่ำจะราวกับแดนสวรรค์ของเซียนเลยเทียว”
เฉิงชิ่งคิดในใจ …นี่มันที่ไหนกันน่ะ! เรามาถึงโลกต่างมิติเข้าให้แล้วจริงๆ หรือ? ค่อยทำความเข้าใจทีหลังก็แล้วกัน... เธอจำเป็นต้องคิดไตร่ตรอง จึงหลับตาลง เสี่ยวอวี้นึกว่าเจ้านายตัวน้อยหลับไปอีกครั้งจึงหยุดเล่า และค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ผ่านไปครู่หนึ่งเฉิงชิ่งลืมตาขึ้นมองม่านเพดาน ดูท่าทางตัวเธอคงต้องกลายเป็น “อาหลัว” ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลี่ต่อไปจริงๆ เสียแล้ว ความหวาดหวั่นพรั่นพรึง วิตกกังวลและอกสั่นขวัญแขวนในตอนแรกได้ถูกเธอแข็งใจข่มลงไป จะอย่างไรอาหลัวยังเล็กอยู่ แถมหลีเหล่าเตีย[3]ยังเป็นถึงมหาเสนาบดีฝ่ายขวาอะไรนั่น เรื่องการกินอยู่ไม่ต้องกังวลชั่วคราว ยังมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะโตจนต้องเผชิญหน้ากับอย่างอื่น อีกทั้งไม่แน่ว่าวันไหนสักวันเมื่อตื่นขึ้นมา เธออาจจะกลับไปอยู่บนเตียงตัวเองที่บ้านและพบว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝันเท่านั้นก็เป็นได้ คิดได้ดังนี้ใจของเฉิงชิ่งก็ค่อยๆ สงบลง
ถัดจากนั้นก็เริ่มต้นวิเคราะห์ตัวเอง ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ ไร้ประโยชน์ที่สุด แต่เธอใช้ชีวิตอยู่ในโลกยุคปัจจุบันมา ๒๒ ปี ความรู้ที่มีอยู่ย่อมต้องมีโอกาสได้ใช้บ้างไม่มากก็น้อย หากเป็นโลกต่างมิติ อย่างนั้นพวกโคลงฉันท์กาพย์กลอนก็สามารถลอกเอาได้ ที่เธอรู้และเข้าใจน่าจะมากพอให้ใช้แล้ว ถังซือซ่งฉือ[4]จำได้ไม่ครบก็ไม่เป็นไร เพราะพวกประโยคดังๆ เป็นที่ติดปากนั่นเธอยังพอจะจำได้อยู่หรอก ร้องเพลงเธอไม่ไหว ชอบร้องหลงคีย์อยู่เรื่อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังพอจะจำเนื้อร้องได้ ไม่แน่ว่าอาจจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ เธอเป็นโยคะ เคยฝึกคาราเต้ สองอย่างนี้เป็นสิ่งที่เธอถนัดมากที่สุด เธอสามารถจัดการน็อคผู้ชายธรรมดาทั่วไป ๓-๕ คนได้ภายในเวลาสั้นๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่ไม่มีแม้แรงจะมัดไก่แหละนะ!
เฉิงชิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก เคราะห์ดีที่พ่อแม่ซึ่งรับราชการของเธอมักต้องทำงานยุ่งอยู่เสมอ มีเวลาดูแลเธอน้อย จึงให้เธอฝึกคาราเต้เพื่อจะได้รู้จักป้องกันตัวเอง และเป็นเพราะไม่มีใครว่างมาดูแลเธอ เธอจึงดูแลตัวเองเป็นทำอาหารกินเองได้มาตั้งแต่อายุเพียง ๕ ขวบ...จริงสิ...ทำอาหาร!
เฉิงชิ่งเป็นเหมือนโรบินสัน ครูโซที่ไปติดเกาะ พอพบอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้เข้าสักอย่างก็จะดีอกดีใจไปพักใหญ่ เธอคิดต่ออีกครู่ใหญ่ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
อาหลัวอายุ ๖ ขวบ ฟังว่าผู้หญิงในสมัยโบราณอายุ ๑๕-๑๖ ปีก็แต่งงานแล้ว อย่างน้อยเธอยังมีเวลาอีกนานมากที่จะเรียนรู้ได้ ส่วนเรื่องที่นี่คือสังคมแบบไหน ต่อไปจะต้องเผชิญหน้ากับผู้คนและเรื่องราวแบบใด เอาไว้ค่อยว่ากันคราวหลัง
วันนี้เธอได้ลองสังเกตดูแล้ว ผู้หญิงที่นี่ต่างไม่ได้พันเท้า เธอจึงค่อยโล่งอกขึ้น เธอเคยเห็นเท้าที่ผ่านการพันเท้าของคุณยายมาแล้ว รูปร่างผิดปกติน่าเกลียดมาก นิ้วเท้าหักพับไปถึงฝ่าเท้า เวลาเดินไม่เจ็บสิแปลก
ย้อนนึกถึงทุกคนที่ได้พบในห้องโถง ไม่รู้ว่าหลีเหล่าเตียเป็นมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจหรือเปล่า มหาเสนาบดีที่กุมอำนาจในสมัยโบราณมีไม่กี่คนหรอกที่ตายดี ทันทีที่ความชอบสะเทือนนายหรือบ้าสะสมอำนาจมากเกินไป ก็จะถูกฮ่องเต้หาข้ออ้างกุดหัวซะ เฉิงชิ่งภาวนาต่อเทพไททุกองค์ว่าขออย่าให้หลีเหล่าเตียเจอเรื่องจำพวกปลดตำแหน่ง ริบทรัพย์ หรือประหารชีวิตเลย เพราะแค่นึกถึงทัณฑ์ทรมานสารพัดรูปแบบในสมัยโบราณ เธอก็หวาดกลัวจับใจแล้ว
เฉิงชิ่งบอกตัวเองว่า ต่อไปเธอก็คือ “อาหลัว” คุณหนูสามแห่งบ้านมหาเสนาบดีหลี่แล้วนะ ขอเพียงไม่ทำความผิดอะไรและสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้เป็นพอ
ตอนขากลับเฉิงชิ่งได้สังเกตดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ดูเหมือนสวนห่ายถังจะอยู่ตรงมุมเปลี่ยวห่างไกลผู้คนมากที่สุดของคฤหาสน์ตระกูลหลี่ มีคนรับใช้แค่จางมากับเสี่ยวอวี้สองคน จางมาจะติดตามฟูเหรินเจ็ดบ่อยหน่อย ส่วนเสี่ยวอวี้รับใช้เธอ การประดับตกแต่งของสวนห่ายถังออกจะเรียบง่ายแต่ดูดีมีรสนิยม ไม่เห็นเพชรนิลจินดาของมีค่าอะไร แม้แต่ตัวฟูเหรินเจ็ดเอง วันนี้ก็เพียงปักปิ่นหยกสองอันกับดอกไม้ไข่มุกหนึ่งดอกบนมวยผมเท่านั้น เทียบกับฟูเหรินอีกหกคนแล้วเรียบง่ายกว่ามาก
คาดว่าฟูเหรินทั้งเจ็ดคงจะแก่งแย่งชิงดีกันทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ แต่เห็นได้ชัดว่าฟูเหรินหกคนนั้นไม่ชอบฟูเหรินเจ็ด เป็นเพราะริษยาความงามของนางหรือ? แต่ก็เห็นอยู่นี่นาว่ามหาเสนาบดีหลี่ไม่ได้โปรดปรานฟูเหรินเจ็ดผู้งดงามเลย น่าประหลาดเสียจริง...มีเหตุผลอะไรอื่นหรือเปล่าหนอ? นึกถึงความอ่อนโยนและหม่นเศร้าของฟูเหรินเจ็ดแล้ว เฉิงชิ่งคิดในใจ ...คงเป็นเพราะคลอดลูกสาว ไม่ได้คลอดลูกชาย จึงถูกหมางเมินละมัง?...
หลีเหล่าเตียมีลูกสาวแค่สามคน จะทำตัวให้เป็นลูกสาวคนโปรดของเขาดีไหม? การนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือสามารถเปลี่ยนความเป็นอยู่ของเธอกับฟูเหรินเจ็ดให้ดีขึ้นและได้รับอภิสิทธิ์บางอย่าง ข้อเสียคือจะกลายเป็นจุดเด่น ซึ่งต่อไปคิดจะไม่ให้เด่นก็ยากเสียแล้ว
เชาวน์ปัญญาของคนอายุ ๒๒ ปี ร่างกายของเด็ก ๖ ขวบ อาศัยความรู้ของยุคปัจจุบันกับสมองของผู้ใหญ่ หากเฉิงชิ่งคิดจะทำให้หลีเหล่าเตียโปรดปราน ก็ไม่ได้ยากเย็นเลย แต่เมื่อนึกถึงสำนวน “ปืนยิงนกโผล่หัว” กับ “ไม้สูงพ้นป่า ลมจักพัดกร่อน” เธอก็ตัดสินใจซ่อนคมงำประกายไปก่อน ขอทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างแรก อยู่อย่างสงบเสงี่ยมสักหลายปีแล้วค่อยว่ากัน
<>::<>::<>
หลังจากนอนเคลิ้มๆ ได้พักหนึ่ง อย่างไรก็หลับไม่สนิทเสียที เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฟ้าก็เริ่มสางรำไรแล้ว คาดว่าคงเป็นเวลาประมาณตีห้าตีหก อาหลัว (เฉิงชิ่ง) ลุกจากเตียง มองดูเสื้อผ่าหน้าตัวบางเฉียบที่สวมอยู่ เห็นว่าชุดนี้ไม่เหมาะจะเป็นชุดออกกำลังกายนัก
เสี่ยวอวี้ก็ตื่นแล้วเช่นกัน และถามนายหญิงตัวน้อยว่า “คุณหนู ตื่นแต่เช้าอย่างนี้ทำไมหรือเจ้าคะ? ตอนนี้เพิ่งจะยามเหม่าเท่านั้น ปกติไม่ถึงยามเฉิน[5]คุณหนูไม่มีทางตื่นนี่เจ้าคะ”
อาหลัวแอบท่อง “๑๒ ตี้จือ”[6]อยู่ในใจพลางคิดว่าต้องทำความคุ้นเคยกับวิธีนับเวลาที่โลกนี้ใช้ด้วย ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานนี้สอบไตรมาสผ่าน จึงดีใจจนนอนไม่หลับน่ะ เสี่ยวอวี้ช่วยบอกจางมาให้ช่วยตัดเสื้อให้ข้าชุดหนึ่งได้หรือไม่?”
เสี่ยวอวี้ยกน้ำมาให้เด็กหญิงล้างหน้า แล้วหวีผมให้พลางเอ่ยถามว่า
“คุณหนูต้องการเสื้อผ้าแบบไหนหรือเจ้าคะ? เสี่ยวอวี้ตัดเป็นทั้งนั้น”
...เสี่ยวอวี้อายุแค่ ๑๐ ขวบก็ตัดเสื้อผ้าได้ทุกแบบแล้วรึ!... อาหลัวนึกทอดถอนในใจอีกครั้ง ยังดีนะที่ข้ามมิติมาเข้าร่างลูกสาวของมหาเสนาบดี ขืนนางไปเข้าร่างเสี่ยวอวี้ ต่อให้ตีจนตายก็ไม่มีทางตัดเสื้อผ้าได้สักชุดแน่ คิดแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ “ประเดี๋ยวข้าจะวาดแบบให้เจ้า จริงสิ เสี่ยวอวี้ ตอนเช้าข้าต้องไป...ไป ‘ฉิ่งอาน’[7] หรือไม่?” อาหลัวยังคงเรียกฟูเหรินเจ็ดว่า “เหนียง” ไม่ค่อยออกนักอยู่ดี
เสี่ยวอวี้อมยิ้ม มุมปากปรากฏลักยิ้มเล็กๆ บุ๋มลงไปดูน่ารักยิ่ง
“ฟูเหรินชอบความเงียบสงบ ชอบปักโน่นปักนี่ฆ่าเวลาคนเดียว ท่านจะไปฉิ่งอานต่อฟูเหรินใหญ่ตอนยามเฉิน กลับมาแล้วก็จะขลุกอยู่แต่ในห้องเพียงลำพัง คุณหนูไม่ต้องไปดอกเจ้าค่ะ”
อาหลัวถามอย่างประหลาดใจ “อย่างนั้นหากข้าอยากจะเรียนอะไรต้องไปบอกใครหรือ?”
เสี่ยวอวี้ตะลึงพรึงเพริด “คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองล้วนแต่เชิญซีสี[8]มาสอนที่บ้านเจ้าค่ะ ฟูเหรินสามกับฟูเหรินสี่เองก็เชี่ยวชาญหมดทุกอย่างทั้งพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด เมื่อก่อนคุณหนูเคยไล่เซียนเซิง[9]ที่มาสอนไปตั้งหลายคนแล้ว ฟูเหรินจึงสั่งว่าให้รอจนคุณหนูนึกอยากจะเรียนแล้วค่อยเชิญเซียนเซิงมาสอนเจ้าค่ะ แต่ว่า...คุณหนูเจ้าคะ ฟูเหรินของพวกเราต่างหากที่เป็นยอดหญิงอัจฉริยะอย่างแท้จริง ไม่ว่าอะไรก็เป็นทั้งนั้น”
อาหลัวยิ้มแป้นทันที ...ดีมาก...อาจารย์สำเร็จรูป!... แล้วพูดกับเสี่ยวอวี้ว่า
“ข้านอนนานแล้วไม่ค่อยสบาย อยากจะยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เจ้าพาข้าไปเดินดูรอบๆ เถิด! ไว้เหนียงชินคนงามของข้ากลับมาแล้วค่อยให้นางสอนข้า!” เมื่อเพิ่มคำว่า “คนงาม” เข้าไป อาหลัวรู้สึกว่าเรียกแล้วคล่องปากขึ้นเยอะ
เสี่ยวอวี้ยิ้มพลางกล่าวรับคำ
ครั้นเกล้าผมเสร็จ อาหลัวก็ลากเสี่ยวอวี้ออกจากประตูสวนห่ายถังอย่างอดใจรอไม่ไหว เสี่ยวอวี้ถูกความกระตือรือร้นของเจ้านายตัวน้อยระบาดใส่ จึงพูดกลั้วหัวเราะ “เมื่อก่อนคุณหนูไม่เคยออกพ้นเขตเรือนเลยนะเจ้าคะ ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวเสมอ เหตุใดอยู่ๆ วันนี้จึงเกิดเปลี่ยนนิสัยเล่าเจ้าคะ?”
อาหลัวเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวอวี้ “ข้าทนเห็นเหนียงชินคนงามของข้าหลั่งน้ำตาไม่ได้ ในวันหน้าอย่างไรก็จะไม่ให้ท่านต้องถูกขังอยู่แต่ในเขตเรือนสี่เหลี่ยมนี้ไปจนแก่ตาย เสี่ยวอวี้ เจ้าต้องช่วยข้านะ พวกเราจะไม่ยอมถูกใครรังแกหรอก!”
เสี่ยวอวี้ฟังแล้วสองตาแดงก่ำ คลี่ยิ้มออกมา พาเจ้านายตัวน้อยเดินตระเวนไปทั่วพลางบอกเล่าสภาพภายในคฤหาสน์ให้ฟังอย่างอดทน
อาหลัวนึกขึ้นได้กะทันหันว่าชื่อจริงของนางเองคืออะไรก็ยังไม่ทราบเลย จึงเอียงคอถามเสี่ยวอวี้ว่า “ต้าเจี่ยหลี่อะไรเหล่ยที่ฟูเหรินสามคลอดกับเอ้อร์เจี่ย[10]หลี่อะไรเฟยที่ฟูเหรินสี่คลอดนั่นหยิ่งมากเลยละ”
เสี่ยวอวี้เหลียวซ้ายแลขวาเห็นไม่มีคน ค่อยพูดกับอาหลัวว่า “คุณหนูเจ้าคะ...ฟูเหรินสามกับฟูเหรินสี่ต่างมีที่มากันทั้งคู่ คุณหนูอย่าเรียกคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองอย่างนี้สิเจ้าคะ หากใครมาได้ยินเข้าประเดี๋ยวจะติว่าฟูเหรินเจ็ดสอนบุตรสาวไม่ดีอีกหรอก”
อาหลัวฉวยโอกาสถามถึงเรื่องฟูเหรินสามกับฟูเหรินสี่ จึงได้ทราบว่าคนหนึ่งเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยารองของจางหยวนไว่ พ่อค้าใหญ่ของเมืองเฟิง ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเปี่ยวเม่ย[11]ของรองเสนาบดีกรมช่าง[12]คนปัจจุบัน ตระกูลของฟูเหรินคนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นตระกูลที่ชื่อเสียงขาวสะอาดทั้งสิ้น มีเพียงฟูเหรินเจ็ดที่มาจากหอเขียว ในคืนวันประมูลคลี่ดอกตูมได้ถูกคนซื้อตัวด้วยราคาสูงมอบให้เป็นอนุภรรยาของหลีเหล่าเตีย มิน่าเล่าฟูเหรินเหล่านั้นถึงได้ดูถูกฟูเหรินเจ็ดนัก
อาเหล่ยมีชื่อเต็มว่า “หลี่ชิงเหล่ย” อาเฟยมีชื่อเต็มว่า “หลี่ชิงเฟย” อย่างนั้นตัวนางก็ต้องชื่อ “หลี่ชิงหลัว”
อาหลัวถอนหายใจอีกครั้ง เป็นลูกเมียน้อยยังพอทำเนา เหนียงคนงามยังเป็นคนจากหอนางโลมแดนโลกีย์เสียด้วย ฐานะต่ำเสียจน...ไม่แน่ว่าสุนัขข้างตัวฟูเหรินใหญ่ยังสูงศักดิ์ยิ่งกว่าฟูเหรินเจ็ดเสียอีก
เดินไปได้หนึ่งชั่วยามก็เดินเที่ยวเขตเรือนส่วนในจนทั่ว สภาพการณ์ส่วนใหญ่ของคฤหาสน์ ในใจอาหลัวพอจะจับเค้าได้บ้างแล้ว จึงจูงเสี่ยวอวี้กลับห้องแล้วใช้ให้ไปดูว่าฟูเหรินเจ็ดกลับมาหรือยัง
อาหลัวใช้พู่กันวาดแผนผังคร่าวๆ ของคฤหาสน์มหาเสนาบดีอย่างตั้งใจ สวนห่ายถังตั้งอยู่ตรงมุมเปลี่ยวห่างไกลผู้คนจริงๆ โดยอยู่ติดกับสวนผัก ด้านหลังสวนห่ายถังเป็นป่าไผ่ผืนใหญ่ ผ่านป่าไผ่ไปอีกจะเป็นกำแพงคฤหาสน์ อาหลัวพอใจกับตำแหน่งแบบนี้มาก หากในวันหน้าจะปีนกำแพงออกไป ก็ไม่มีทางถูกใครพบเห็น
ครั้นฟูเหรินเจ็ดได้ฟังว่าบุตรสาวตื่นแต่เช้าตรู่และบอกว่าอยากจะเรียนศิลปวิชา ก็มาหาเด็กหญิงอย่างตื่นเต้นพลุ่งพล่าน “ซานเอ๋อร์ เจ้าอยากเรียนอะไรหรือ? เหตุใดจึงอยากเรียน? บอกเหนียงสิ!”
อาหลัวมองสีหน้าตื่นเต้นแววตาอ่อนโยนของฟูเหรินเจ็ด แล้วเดินเข้าไปกระตุกชายเสื้อนาง เอ่ยว่า “เหนียง ข้าไม่ได้อยากเรียนให้สูงส่งเลิศล้ำนักหนา เพียงตบตาคนได้ก็พอแล้ว เพราะย่อมจะยอมให้คนอื่นมาดูถูกพวกเราไปตลอดไม่ได้!”
ฟูเหรินเจ็ดขอบตาแดงเรื่อ “เหนียงรู้อยู่แล้ว...บุตรสาวของเหนียงมีหรือจะเป็นคนไม่เอาไหนได้! ดูดอกห่ายถังในเทียนจิ่งแล้วสามารถแต่งกลอนที่ดีเลิศถึงเพียงนั้น ซานเอ๋อร์...เจ้ามีพรสวรรค์นะ”
อาหลัวยิ้มเจื่อนๆ อยู่ในใจ “พรสวรรค์” นั้นน่ะขโมยเขามาหรอก ตอนนี้สิที่ต้องเริ่มหัดเรียนจริงๆ การเรียนเย็บปัก เรียนพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดที่นี่ให้อารมณ์เหมือนเรียนเอาวุฒิปริญญาตรีในยุคปัจจุบันไม่มีผิด มีของเหล่านี้แล้วต่อไปจึงจะสามารถหางานดีๆ ได้ แน่นอนว่าสำหรับสภาพการณ์ของที่นี่คือหาบ้านสามีดีๆ ได้
จุ๊ๆ! บ้านสามีน่ะช่างเถอะ เรียนรู้ไว้ยังไงก็ต้องมีประโยชน์แน่นอน
<>::<>::<>
นับจากวันนั้นมา ฟูเหรินเจ็ดก็สอนอาหลัวเรียนดีดพิณและวาดภาพทุกวัน อาหลัวพบว่าสมองของเด็กซึมซับความรู้ได้เร็วเป็นพิเศษ นางแทบจะผ่านตาไม่ลืมเลือน บวกกับเชาวน์ปัญญาของผู้ใหญ่วัย ๒๒ ปี ฟูเหรินเจ็ดสอนเพียงรอบเดียว อาหลัวก็สามารถเข้าใจได้แล้ว
หลังจากดีดพิณเป็น อาหลัวพบว่าการดีดพิณเป็นก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน เมื่อเปลี่ยนจากเสียงของเฉิงชิ่งมาเป็นเสียงของหลี่ชิงหลัว ดีดพิณไปพลางร้องเพลงไปพลางยังไม่มีการร้องหลงคีย์อีก นางจึงร้องเพลงในยุคปัจจุบันที่ตัวเองชอบอย่างร่าเริงกระตือรือร้น เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้เวลาที่นางทุ่มเทให้กับพิณจึงมากขึ้นเรื่อยๆ
จวบจนอยู่มาวันหนึ่งฟูเหรินเจ็ดฟังนางดีด “โหมโรงสุ่ยเตี้ยวเกอ” แล้วน้ำตาไหลเงียบๆ จนผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มไปทั้งผืน พูดเสียงเจือสะอื้นว่า “ซานเอ๋อร์ เพลงนี้ช่างไพเราะนัก ในเสียงพิณของเจ้าแฝงอารมณ์อยู่ ดีดได้ดีกว่าต้าเจี่ยของเจ้ามากเทียวละ”
อาหลัวไม่อยากจะเชื่อ จึงถามว่า “เป็นเพราะเพลงนี้ดีกระมัง? ไม่ใช่เพราะวิชาดีดพิณของข้าดี” ว่าพลางดีดเพลง “ดอกเหมยสามละเล่น” ต่ออีกเพลงพร้อมกับคิดในใจว่า ...แบบนี้ท่านก็สามารถเปรียบเทียบได้แล้วละนะ...
ไม่นึกว่าฟูเหรินเจ็ดกลับกล่าวอย่างหยิ่งผยองว่า “เหนียงของเจ้าผู้นี้เริ่มหัดดีดพิณตอน ๔ ขวบ นับแต่อายุ ๑๕ ก็ไม่มีผู้ใดในเมืองเฟิงทาบฝีมือติด หรือเจ้ากังขาในความสามารถด้านการฟังของเหนียง? ดังเช่นเพลง ‘ดอกเหมยสามละเล่น’ นี้ เสียงพิณของเจ้าแสดงถึงความหยิ่งผยองของดอกเหมยได้ชัดเจนยิ่งกว่า บุตรีของข้าเป็นผู้หยิ่งผยองเทียวนะ!”
อาหลัวถอนหายใจ สามารถได้รับคำชมจากมือพิณอันดับหนึ่งของเมืองเฟิง ดูท่าทางคงเป็นความจริงเสียแล้ว นี่คงถือเป็นข้อดีจากประสบการณ์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันมา ๒๒ ปีละมัง อารมณ์สะทกสะท้อนมีมากกว่า รู้เห็นโลกมากว้างกว่า อารมณ์ความรู้สึกซึ่งเสียงพิณถ่ายทอดออกมามีหรือที่คุณหนูผู้ไม่เคยย่างเท้าออกจากบ้านอย่างชิงเหล่ยจะสามารถเข้าใจได้ คิดแล้วกล่าวกับฟูเหรินเจ็ดเบาๆ “เหนียงคนงามของข้า เรื่องนี้อย่าให้ใครอื่นรู้เข้าเป็นอันขาด อาหลัวจะดีดให้ท่านฟังเพียงคนเดียวดีหรือไม่?”
ดวงตาฟูเหรินเจ็ดเผยประกายยิ้มละไม “เจ้ากลัวว่าจะแย่งความเด่นจากต้าเจี่ยของเจ้า แล้วนับแต่นี้จะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกหรือ?”
อาหลัวจงใจตีหน้าเคร่งพูดว่า “พิณดีดเพื่อผู้รู้สำเนียง[13] หากข้าดีดได้ดีกว่านาง เมื่อมีแขกสำคัญมา เตียก็จะเรียกข้าออกไปดีดพิณให้แขกฟังทันที ข้าจะทนไหวได้อย่างไร?”
ฟูเหรินเจ็ดหยิกแก้มเด็กหญิงเบาๆ แล้วโอบร่างเล็กๆ เข้าสู่อ้อมอก
“ซานเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง! เจ้าคือห่วงร้อยใจเพียงหนึ่งเดียวของเหนียง เหมือนเอ็นดูเจ้าเท่าไรก็ไม่เคยพอกระนั้น!”
อาหลัวก็ชักจะชอบเหนียงคนงามคนนี้มากขึ้นทุกวันเช่นกัน เพราะอ่อนโยนใจดี ที่สำคัญที่สุดคือเหนียงคนงามหวังดีต่อนางอย่างจริงใจ นางคิดในใจว่า ...ต่อไปหากมีหนทาง จะต้องดูแลเหนียงชินคนนี้ให้ดีๆ!...
หลังจากมาถึงโลกต่างมิติแห่งนี้ อาหลัวพอจะทราบได้กระเซ็นกระสายจากถ้อยคำของฟูเหรินเจ็ดกับเสี่ยวอวี้ว่า ที่โลกนี้รู้ประวัติศาสตร์ยุคก่อนราชวงศ์ฮั่น คือ ยุคเซี่ย ซาง โจว ฉิน แต่เมื่อเอ่ยถึงจะคล้ายเป็นยุคตำนานปรัมปราอันไกลโพ้น อีกทั้งสภาพและลักษณะภูมิประเทศยังไม่เหมือนกับว่าเป็นประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ หรือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงครั้งใหม่ขึ้นชนิดเปลี่ยนทะเลเป็นภูเขาแบบที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เหมือนกับยุคจูราสสิค? การแต่งกายของคนที่นี่เหมือนในยุคราชวงศ์ถังมาก แต่สิ่งก่อสร้างเหมือนในยุคซ่งกับยุคหมิง ไม่เข้าใจเอาเสียเลย
อาหลัวพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้วก็ไม่ได้คิดต่อ ทุกเช้าตื่นมาก็สวมเสื้อกั้วชายสั้น[14]กับกางเกงขากว้างที่เสี่ยวอวี้ตัดให้เริ่มวิ่งอบอุ่นร่างกาย เมื่อวิ่งไปถึงป่าไผ่หลังสวนห่ายถัง ก็จะให้เสี่ยวอวี้เฝ้าอยู่ข้างนอก ส่วนตัวนางฝึกซ้อมคาราเต้ที่เรียนมาจากยุคปัจจุบันรอบแล้วรอบเล่า ตอนกลางคืนทุกคืนนางจะฝึกโยคะครึ่งชั่วยาม เสร็จแล้วค่อยเข้านอน ใบหน้าจึงเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นทุกวัน ฝีเท้าก็แผ่วเบาคล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
พริบตาเดียวเวลาสอบไตรมาสก็เวียนมาบรรจบอีกครั้ง อาหลัวมองดูต้าเจี่ยกับเอ้อร์เจี่ยแสดงอัจฉริยภาพด้านวิชาดีดพิณกับวิชาเขียนพู่กันอย่างเฉยชา ส่วนตัวนางก้มหน้างุดอยู่พักใหญ่ค่อยกระมิดกระเมี้ยนร้องเพลงที่ทำนองไม่เลว เนื้อร้องดีมาก แต่กลับร้องหลงคีย์ออกมา
เนื่องจากหลีเหล่าเตียคิดเอาเองและฝังใจอยู่ก่อนว่าบทกลอนที่อาหลัวเอื้อนออกมาเมื่อครั้งก่อนฟูเหรินเจ็ดเป็นคนสอนให้จริงๆ จึงไม่ได้ให้อาหลัวแต่งกลอนอีก มาตอนนี้เห็นเด็กหญิงหัดร้องเพลงก็ดีใจมาก พูดให้กำลังใจไปตามปกติ ในใจฟูเหรินคนอื่นๆ ก็คิดอย่างนี้เช่นกัน จึงยิ่งเกลียดชังฟูเหรินเจ็ดมากกว่าเดิม โดยเห็นว่าการที่นางหลอกใช้บุตรสาวยั่วยวนเหล่าเหยียต่อหน้าธารกำนัลเป็นพฤติกรรมที่หน้าด้านหน้าทนอย่างที่สุด เคราะห์ดีที่หลายปีมานี้ฟูเหรินทั้งเจ็ดนางคลอดบุตรสาวออกมาเพียงสามคน มหาเสนาบดีหลี่มิได้มีบุตรธิดาคนอื่นอีก ฟูเหรินใหญ่ไม่อยากให้เขาไปโปรดปรานเอาใจฟูเหรินคนอื่นๆ นัก ส่วนบรรดาอนุภรรยาก็พยายามสรรหาสารพัดวิธีมารั้งตัวมหาเสนาบดีหลี่ไว้ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่อาหลัวมาที่โลกนี้ มหาเสนาบดีหลี่จึงแวะมาที่สวนห่ายถังเพียง ๒-๓ ครั้งเท่านั้น สวนห่ายถังเงียบเหงา อีกทั้งฟูเหรินเจ็ดยังไม่ค่อยกระตือรือร้น มหาเสนาบดีหลี่จึงหมดอารมณ์ บรรดาฟูเหรินคนอื่นๆ จึงพลอยโล่งอกวางใจตามไปด้วย และหัวเราะเยาะหยันเหน็บแนมถากถางฟูเหรินเจ็ดว่า ใช้สารพัดวิธีของนางจิ้งจอกในหอเขียวจนหมดสิ้นแล้ว ก็ยังยึดครองเหล่าเหยียไว้คนเดียวไม่ได้
หลังจากนั้นทุกครั้งที่ถึงคราวสอบไตรมาส อาหลัวก็เล่นหมากล้อมบ้าง ปักดอกไม้บ้าง ดีดพิณบ้าง ฯลฯ รูปแบบมากมายสารพัดแต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง มหาเสนาบดีหลี่เห็นนางเรียนโน่นเรียนนี่มากมายแต่กลับเอาดีไม่ได้ ตั้งเนิ่นนานปานนี้แล้วพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด และโคลงฉันท์กาพย์กลอนที่เรียนไม่มีอย่างไหนที่นำออกมาอวดได้เลยสักอย่าง สายตาที่มองอาหลัวกับฟูเหรินเจ็ดจึงเย็นชาขึ้นทุกวัน แต่ไม่ว่าจะตำหนิดุว่าอย่างไร เมื่อถึงเวลาสอบไตรมาสครั้งต่อไป อาหลัวก็จะงัดศิลปวิชาใหม่ที่เพิ่งหัดเรียนออกมาแสดงให้ดูอยู่นั่นเอง และพูดอย่างน่าสงสารว่า “อาหลัวทำตามที่เตียสอนสั่งอย่างเคร่งครัด สามเดือนมานี้พยายามทุ่มเทฝึกฝน เริ่มหัดเรียนxx ขอเตียโปรดวิจารณ์เจ้าค่ะ” แน่นอนว่าก็ทำได้ไม่ดีและไม่เลวอีกเช่นเคย
มหาเสนาบดีหลี่สั่งให้นางเชี่ยวชาญเพียงสิ่งเดียว กระนั้นเมื่อเทียบกับชิงเหล่ยและชิงเฟยแล้ว อาหลัวก็ยังไม่อาจเทียบได้อยู่นั่นเอง มหาเสนาบดีหลี่จึงลอบส่ายหน้าถอนใจ และหวังเพียงว่านางจะหน้าตางดงามสักหน่อย ไร้ความสามารถแต่หน้าตางดงามก็นับว่าดีอยู่ดอก
ส่วนสายตาที่พวกฟูเหรินคนอื่นๆ มองอาหลัวกลับค่อยๆ อ่อนโยนมากขึ้นทุกวัน
ฟูเหรินเจ็ดถามอาหลัวว่า “ซานเอ๋อร์ เจ้าจะงำประกายถึงเมื่อไรหรือ?”
อาหลัวยิ้ม “เหนียง พิชัยยุทธ์กล่าวไว้ว่า ‘ปีกยังไม่แข็งกล้า อย่าปะทะโดยหักโหม’ ท่านไม่รู้สึกหรอกหรือว่านอกจากต้าเหนียงแล้ว อี๋เหนียง[15]ที่ไม่มีลูกคนอื่นๆ ต่างก็ชอบข้ามากกว่าชอบต้าเจี่ยเอ้อร์เจี่ย?”
ฟูเหรินเจ็ดคิดในใจอย่างอารมณ์ดีว่าครึ่งชีวิตหลังจะขอพึ่งพาบุตรสาวเจ้าเล่ห์แสนกลผู้นี้ละ
<>::<>::<>
และแล้วเวลาหกปีก็ผ่านพ้นไปเพียงชั่วดีดนิ้วเช่นนี้เอง อาหลัวเติบโตจนอายุได้ ๑๒ ปี หลี่ชิงเหล่ย ๑๖ ปี หลี่ชิงเฟยก็ ๑๔ ปีแล้ว
อาหลัวมักจะคิดอยู่บ่อยครั้งว่ามาที่โลกนี้ตั้งหกปีแล้ว จึงตัดใจจากความคิดที่ว่าสักวันจะได้กลับยุคปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อย สิ่งเดียวที่คิดคือจะยืนหยัดป้องกันตัวเองที่นี่อย่างไร และนางต้องการเงิน หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่นานก็ตัดสินใจว่าในวันหน้านางจะไปเปิดเหลาสักแห่ง พอหาเงินได้แล้วก็พาเหนียงชินคนงามกับจางมาและเสี่ยวอวี้ไปเที่ยวดูแคว้นอื่นอีกสี่แคว้น เส้นทางท่องเที่ยวแบบนี้เกรงว่ากระทั่งในยุคปัจจุบันก็ยังหาไม่ได้เลย บางทีสักวันอาจจะได้พบใครสักคน แต่งงานก็แต่งไปเถิด หากไม่ได้พบ เป็นเหลาป่านเหนียง[16]อยู่อย่างอิสระสำราญไปชั่วชีวิตก็ดีเหมือนกัน
ครั้นแล้วอาหลัวที่ยึดถือความคิดเช่นนี้ก็โถมตัวลงสู่ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของโลกต่างมิติใบนี้ ความรู้ในยุคปัจจุบันและยุคโบราณหลอมรวมเข้าด้วยกัน นางเห็นว่าหากบังเอิญมีสักวันที่สามารถกลับไปได้ นางไม่ต้องทำอย่างอื่น แค่เปิดร้านขายของเก่าสักร้าน รับรองว่ารวยเละ
อาหลัวกระหายใคร่รู้ต่อโลกเบื้องนอกคฤหาสน์มหาเสนาบดีอย่างยิ่ง แต่ไม่สามารถออกไปได้เลย ตั้งหกปีเข้าไปแล้ว นางกลับไม่เคยได้ย่างเท้าออกจากประตูคฤหาสน์มหาเสนาบดีแม้แต่ก้าวเดียว ในใจนางได้แต่นึกแค้นเคืองสังคมศักดินาอันสุดแสนจะเลวร้ายนี้ที่ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ย่าง สตรีไม่ได้ต่างอะไรเลยกับสัตว์เลี้ยงในกรง!
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
[2] เทศกาลหยวนเซียว คือเทศกาลเล่นโคมไฟ จะมีการละเล่นโคมไฟหลากหลายชนิด
[3] หลีเหล่าเตีย แปลได้ว่า “คุณลุงแซ่หลี่” ไม่ใช่คำที่ลูกใช้เรียกพ่อ
[4] ถังซือ คือรูปแบบบทกวีซึ่งเป็นที่นิยมในยุคราชวงศ์ถัง; ซ่งฉือ คือรูปแบบบทกวีซึ่งเป็นที่นิยมในยุคราชวงศ์ซ่ง
[5] ยามเหม่า คือ เวลา 5:00 น. ; ยามเฉิน คือ เวลา 7:00 น.
[6] 12 ตี้จือ คือสัญลักษณ์แทนลำดับที่ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณของจีน
[7] ฉิ่งอาน แปลว่า น้อมทักทาย เป็นธรรมเนียมของชาวแมนจู ซึ่งผู้เยาว์/ผู้ด้อยศักดิ์กว่าต้องไปน้อมคารวะทักทายผู้ใหญ่/ผู้สูงศักดิ์กว่าในตอนเช้าและตอนค่ำของทุกวัน
[8] ซีสี คือคำเรียกครูซึ่งถูกเชิญมาสอนวิชาที่บ้านในสมัยโบราณ
[9] เซียนเซิง คือคำเรียกครูอาจารย์
[10] ต้าเจี่ย : พี่สาวใหญ่ ; เอ้อร์เจี่ย : พี่สาวรอง
[11] เปี่ยวเม่ย ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงต่างแซ่ที่อายุน้อยกว่าเรา
[12] รองเสนาบดีกรมช่าง เทียบได้กับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
[13] ผู้รู้สำเนียง หมายถึง ผู้เข้าใจในเสียงเพลงตามที่ผู้บรรเลงต้องการสื่อ หรือก็คือ “ผู้รู้ใจ”
[14] เสื้อกั้วชายสั้น คือเสื้อผ่าหน้าแบบจีนชายยาวประมาณสะโพก (ดูภาพที่ 13 หน้า)
[15] ต้าเหนียง : แม่ใหญ่ ลูกใช้เรียกเมียหลวงของพ่อ, อี๋เหนียง : น้าสาว ลูกใช้เรียกเมียน้อยของพ่อ
[16] เหลาป่านเหนียง คือ เถ้าแก่เนี้ย, เจ้าของร้านผู้หญิง, ภรรยาเจ้าของร้าน
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:33 โดย หลินโหม่ว