องก์ที่ 1
มอบแด่คุณ ผู้ที่ฉันรักอย่างลึกล้ำ (2)
เนี่ยเฟยเฟยตื่นเต้นมากที่ได้ตกลงแต่งงานกับเนี่ยอี้ ไปเล่าให้คังซู่หลัวซึ่งอยู่ที่รานเสริมสวยฟัง
เวลาเนี่ยเฟยเฟยตื่นเต้น จะทำกิริยาเดิมซ้ำๆ เวลานี้เธอก็เดินวนไปวนมาหยุดไม่ได้จนคังซู่หลัวโวยวาย บอกให้เจ้าของร้านเอาไอแพดมาให้เนี่ยเฟยเฟยเล่น พร้อมกับแสดงความกังวลว่า การแต่งงานนี้ไม่ปกติ เนี่ยอี้ไม่ได้รักเธอ มันจะดีเหรอ
เนี่ยเฟยเฟยบอกว่าการแต่งงานนี้โคตรกำไรเลยต่างหาก เนี่ยอี้เป็นท่านเทพ เขาไม่รักฉันถือเป็นเรื่องปกติ แต่เขายินดีให้ยีนเขามาผสมกับฉัน ให้ฉันมีลูกกับเขา คิดดูสิว่ามันยอดเยี่ยมมากแค่ไหน
เนี่ยเฟยเฟยมองว่าในเมื่อเนี่ยอี้ไม่ได้รักเธอ งั้นเธอก็จะรักเขาให้มากเป็นเท่าตัวเอง
หลังจากได้ไอแพดมาเล่น เนี่ยเฟยเฟยก็เงียบไป คังซู่หลัวเลยมาดูว่าเพื่อนใช้ไอแพดทำอะไรอยู่ ปรากฏว่ากำลังดูเว็บเสื้อผ้าเด็กอ่อน คังซู่หลัวเหวอเลย บอก เธอเล่นดูเว็บเสื้อผ้าเด็กอ่อนตั้งแต่ป่านนี้เลยเรอะ ยังไม่ทันได้แต่งงานกับเนี่ยอี้เลยนะ
เนี่ยเฟยเฟยกลับไปถึงบ้าน ก็บอกแม่ว่าเธอรักแรกพบกับเนี่ยอี้ ถ้าไม่ได้แต่งงานกับเขา เธอจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ เธอจึงตอบตกลงกับเขาไปแล้ว
แม่เนี่ยเฟยเฟยฟังแล้วอึ้งไป บอกว่าอย่างนั้นก็หาเวลาพาเนี่ยอี้มาแนะนำตัวที่บ้านแล้วกัน เนี่ยเฟยเฟยตอบตกลง
พอขอตัวจากแม่ คิดจะส่งข้อความไปหาเนี่ยอี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามเบอร์มือถือเขา ครั้นจะย้อนกลับไปขอเบอร์เขาจากแม่ก็กระไร จะโทรไปถาม 114 ก็คงไม่ได้เบอร์เนี่ยอี้มาแน่ ท่าทางพรุ่งนี้ต้องแวะไปที่บริษัทเขาเพื่อขอเบอร์เสียแล้ว
วันรุ่งขึ้น ระหว่างขับรถไปที่บริษัทแม่ของตระกูลเนี่ยซึ่งอยู่ใจกลางเมือง เนี่ยเฟยเฟยโทรศัพท์คุยกับคังซู่หลัว
คังซู่หลัวถามว่า ถ้าทุกคนในโลกนี้พากันมาขัดขวางการแต่งงานของเธอกับเนี่ยอี้ เธอจะทำยังไง จะยังคงยืนกรานความคิดแต่งงานกับเนี่ยอี้ไหม?
เนี่ยเฟยเฟยถามว่าในจำนวนคนพวกนี้ นับพ่อแม่เนี่ยอี้กับพ่อแม่เธอด้วยไหม?
คังซู่หลัวบอกไม่นับ แล้วยกตัวอย่างเรื่อง “แกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารัก” ที่ใครต่อใครในเรื่องพากันพยายามขัดขวางไม่ให้พระเอกนางเอกลงเอยกัน ขนาดแต่งงานกันแล้วไปฮันนีมูนกัน ยังไม่วายพยายามยุให้แตกกัน แต่งกับเนี่ยอี้ไป เนี่ยอี้เนื้อหอมขนาดนั้น เธอจะรับมือชิงไหวชิงพริบกับพวกที่พยายามแยกเธอกับเขาออกจากกันยังไง?
เนี่ยเฟยเฟยบอก “ฉันไม่ชิงไหวชิงพริบ ฉันคาราเต้ 2 ดั้ง ปีที่แล้วไม่ว่างหรอกถึงได้ไม่ไปสอบ 3 ดั้ง ฉันอัดอย่างเดียว ใครมาแหยมก็อัดให้หมอบ จบ”
คังซู่หลัวทำเสียงโล่งใจ แล้วถามเพื่อนว่าไปถึงชิงฉาวแล้วหรือ?
เนี่ยเฟยเฟยทำเสียงงง คังซู่หลัวบอกว่าศูนย์วิจัยยาของตระกูลเนี่ยอยู่ที่ชิงฉาว (ชานเมือง) เนี่ยอี้เป็นหัวหน้าศูนย์คนปัจจุบัน น่าจะไปทำงานที่นั่น แล้วย้อนถามเนี่ยเฟยเฟยว่าเธอคงไม่ได้ซื่อบื้อขับรถไปที่บริษัทแม่ของตระกูลเนี่ยหรอกนะ?
เนี่ยเฟยเฟยปากแข็งว่าเรื่องแค่นี้ฉันรู้ดีหรอกน่า จากนั้นขับรถออกจากบริษัทแม่ของตระกูลเนี่ยตอน 8 โมงเช้า เข้าสู่ขบวนรถติดช่วงเวลาเร่งด่วนใจกลางเมือง เพื่อออกไปชานเมือง...กว่าจะไปถึงศูนย์วิจัยของเนี่ยอี้ ปาเข้าไป 11 โมง
ไปถึงศูนย์วิจัยของเนี่ยอี้ เนี่ยเฟยเฟยบอกพนักงานต้อนรับว่าเป็นเพื่อนเนี่ยอี้ พนักงานต้อนรับสอบถามเลขาฉู่ เลขาฉู่ให้เนี่ยเฟยเฟยนั่งรอในห้องรับแขก เนี่ยอี้กำลังประชุม ใกล้เสร็จแล้ว
พนักงานต้อนรับพาเนี่ยเฟยเฟยขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 17 ห้องทำงานของเนี่ยอี้ และถามยิ้มๆ ว่าเนี่ยเฟยเฟยเป็น “เพื่อน” ของเนี่ยอี้จริงๆ หรือ?
เนี่ยเฟยเฟยถามว่าไม่ค่อยมีเพื่อนมาหาเนี่ยอี้ในเวลาทำงานหรือ? พนักงานต้อนรับบอก ปกติเนี่ยอี้มีเพื่อนผู้ชายน้อยมากอยู่แล้ว เพื่อนผู้หญิงนี่ไม่มีเลย
ในห้องรับแขกมีสาวสวยอีกคนนั่งอยู่ด้วย เป็นหัวหน้าแผนก แซ่ซู พนักงานแนะนำสองสาวให้รู้จักกันสั้นๆ แล้วออกไป เนี่ยเฟยเฟยนั่งรอบนเก้าอี้โซฟา หาหนังสือบนโต๊ะมาอ่านฆ่าเวลา แล้วพบว่ามีนิตยสาร “เซินหลาน-เว่ยหลาน” ที่ลงภาพถ่ายของเธออยู่ด้วย จึงพลิกดูเล่น
อยู่ๆ คุณซูเปรยลอยๆ ว่า “เมื่อก่อนไม่เห็นเคยได้ยิน Yee เอ่ยถึงคุณเลย”
เนี่ยเฟยเฟยถามว่า “Yee คือชื่อภาษาอังกฤษของเนี่ยอี้หรือคะ?”
คุณซูย้อนว่า “คุณเป็นเพื่อน Yee จริงหรือ ทำไมถึงไม่รู้ว่าชื่อของเขาเวลาอยู่ต่างประเทศคือ Yee?”
เนี่ยเฟยเฟยบอกว่า “ฉันเพิ่งเป็นเพื่อนกับเนี่ยอี้ได้แค่วันสองวัน”
คุณซูมองหน้าเนี่ยเฟยเฟย แล้วบอก “ขอโทษที คุณคือแฟนที่คุณพ่อของเนี่ยอี้เลือกมาให้เขาสินะ?”
เนี่ยเฟยเฟยปิดหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองคนถาม พูดว่า “ดูเหมือนคุณหัวหน้าแผนกซูจะรู้มากพอสมควรนะคะ?”
คุณซูยิ้ม บอกว่า “ฉันรู้ดีว่าท่านประธานกำลังเฟ้นหาแฟนให้ Yee แต่ Yee เป็นอัจฉริยะ ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปยากมากจะก้าวตามเขาทัน การฝืนใจอยู่กับเขาจะลำบากมาก คุยกันรู้เรื่องยากมากด้วย ท่านประธานอาจจะทำเพราะหวังดี แต่แบบนี้อาจจะเป็นภาระสำหรับ Yee คุณหนูเนี่ยมีความเห็นยังไงกับการผลิตยาด้านชีววิทยาคะ? นี่น่ะเป็นจุดสำคัญในชีวิตของ Yee เชียวนะ”
เนี่ยเฟยเฟย “ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด”
คุณซูทำหน้าแสนเสียดาย ถามต่อว่าเนี่ยเฟยเฟยทำงานที่ไหน?
เนี่ยเฟยเฟยบอกปัดไปว่า ก็แค่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ คุณซูไซโคทันทีว่า “งั้นต่อไปคุณหนูเนี่ยต้องทำให้ตัวเองยุ่งแล้วล่ะค่ะ เพราะ Yee คงไม่ค่อยมีเวลาให้คุณ แล้วการมีเวลาว่างมากเกินไปจะทำให้คนเราฟุ้งซ่านคิดมากได้ง่าย”
เนี่ยเฟยเฟยมองคนพูดยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร เห็นว่าคุณซูพูดจาน่าสนใจดีมาก
เนี่ยอี้เลิกประชุมเข้ามาในห้องรับแขกในจังหวะนี้พอดี พาแขกผู้ชายวัย 40 กว่าปีมาด้วยอีกคน
คุณซูเข้าไปทักทายแขกคนนี้ ส่วนเนี่ยเฟยเฟยมองแต่เนี่ยอี้คนเดียวว่าเขาช่างแสนหล่อแสนเท่ นึกถึงชุดของดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสคนโปรดของแม่เธอมีที่ดูเหมาะกับเขามาก พอนึกถึงว่าต่อไปงานแต่งตัวให้เขาจะเป็นงานของเธอ เนี่ยเฟยเฟยก็เริ่มตื่นเต้น
ระหว่างที่เนี่ยเฟยเฟยกำลังคิดว่าจะหาชุดอยู่บ้านแบบไหนให้เนี่ยอี้ใส่ เนี่ยอี้ก็ถือถุงอาหารปลาเดินมาตรงหน้าเธอ ถามเธอว่าคุณแม่เธอว่ายังไงบ้าง?
เนี่ยเฟยเฟยหยิบถุงอาหารปลาไปกะปริมาณหยิบส่งให้เขา ปากบอกว่า “คุณก็รู้ว่าแม่ฉันเป็นกวี ไม่ชอบประจบเอาใจคนรวยมีอิทธิพล แต่ฉันบอกท่านว่าถ้าไม่ได้แต่งงานกับคุณฉันจะตาย แม่จึงยอมแพ้ บอกว่าอยากทานข้าวกับคุณ คืนนี้คุณว่างไหม?”
เนี่ยอี้รับอาหารปลาที่เธอกะให้เรียบร้อยไป ตอบว่า “หนึ่งทุ่มเป็นไง? คุณป้าชอบอาหารจีนหรืออาหารฝรั่ง?”
เนี่ยเฟยเฟยบอกได้ทั้งคู่ แต่ถ้าจะหาที่คนน้อยไว้คุยธุระกัน ภัตตาคารอาหารฝรั่งน่าจะเหมาะกว่า เนี่ยเฟยเฟยเปลี่ยนเรื่องขอแลกเบอร์มือถือ จะได้ติดต่อกันสะดวก แล้วบ่นว่าขับรถมานี่เสียเวลาตั้งสี่ชั่วโมงแน่ะ
เนี่ยอี้มองหน้าเธออยู่พักใหญ่ “เนี่ยเฟยเฟย เมื่อวานนี้ผมโทรศัพท์ไปหาคุณ คุณไม่รับสาย”
เนี่ยเฟยเฟยคิดอยู่สามวินาที ทำหน้าตะลึง “เบอร์แปลกหน้านั่นคุณเป็นคนโทรหรือ? ฉันนึกว่าใครโทรมาผิดเสียอีก...” รีบเปิดมือถือดูบันทึกการโทร ปากก็ถามว่า “แล้วตอนนั้นคุณโทรหาฉันมีธุระอะไรหรือ?”
เนี่ยอี้ “ก็เรื่องนี้แหละ แลกเบอร์มือถือกัน”
เนี่ยเฟยเฟย “ไม่มีอย่างอื่นแล้ว?”
เนี่ยอี้ “ไม่มีอย่างอื่นแล้ว”
เนี่ยเฟยเฟยเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา ถามอย่างเหลือเชื่อว่า “ต่อให้ฉันไม่รับสาย คุณก็ส่งข้อความมาบอกได้นี่คะด็อกเตอร์เนี่ย แบบนี้ฉันจะได้ไม่ต้องขับรถถ่อมา คุณรู้ไหมว่าขับรถฝ่าด่านรถติดช่วงชั่วโมงเร่งด่วนมาชานเมืองแบบนี้ ฉันอยากตายมากแค่ไหน?”
เนี่ยอี้ “ส่งข้อความให้คุณ?”
เนี่ยเฟยเฟย “ใช่ค่ะ”
เนี่ยอี้ “ส่งไปแล้วคุณจะหลาบจำได้ยังไง?”
เนี่ยเฟยเฟยตะลึง พูดว่า “ไม่ใช่สิ เนี่ยอี้ เมื่อวานนี้ตอนคุณพบฉัน คุณยังสุภาพมากอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงไม่เกรงใจฉันเลยสักนิดล่ะ?”
เนี่ยอี้ “เพราะเมื่อวานนี้ยังไม่แน่ใจว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันน่ะสิ”
เนี่ยเฟยเฟยตะลึงจังงัง เพราะถึงเธอจะเคยนึกถึงเรื่องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา ไม่นึกว่าคำว่า “ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน” จะหลุดออกมาจากปากของเนี่ยอี้
เนี่ยอี้มองหน้าเธออยู่พักหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ถ้าคุณนึกเสียใจ ตอนนี้ยังทันอยู่”
เนี่ยเฟยเฟยหัวเราะ บอกว่า “เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ฉันถึงบอกว่าคุณนิสัยแย่มาก แม่ฉันคิดมาตลอดว่าการเลี้ยงลูกสาวเหมือนเลี้ยงเจ้าหญิง ถ้าสักวันหนึ่งลูกสาวของท่านแต่งงานกับลูกเขย ลูกเขยท่านต้องคอยประคบประหงมลูกสาวท่านเหมือนเธอเป็นเจ้าหญิง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้คุณทำไม่ได้”
เนี่ยอี้พยักหน้าตอบตรงๆ ว่า “ใช่ ผมทำไม่ได้”
เนี่ยเฟยเฟยถอนหายใจ “ความจริงฉันเองก็อยากได้คนมาคอยประคบประหงมนะ แต่ทำไมฉันถึงได้รับปากแต่งงานกับคุณได้?”
เนี่ยอี้ “เพราะผมซื้อเครื่องช่วยดำน้ำให้คุณ”
เนี่ยเฟยเฟย “นี่ไม่ใช่รายการแข่งตอบคำถามสักหน่อย คุณไม่ต้องตอบฉันทุกคำถามก็ได้”
เนี่ยอี้ “แต่ผมตอบถูกแล้ว”
เนี่ยเฟยเฟย “ใช่ค่ะๆ ไม่มีคำถามไหนที่ท่านด็อกเตอร์เนี่ยตอบไม่ได้” ปากเธอพูดอย่างนี้ แต่ในใจบอกว่าเขาตอบผิด เพราะห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด เธอจึงกระซิบอยู่ในใจเบาๆ ว่า
“เนี่ยอี้ ที่ฉันอยากแต่งงานกับคุณไม่ใช่เพราะว่าคุณซื้อเครื่องช่วยดำน้ำให้ฉันหรอก เป็นเพราะว่าฉันรักคุณ”
เนี่ยอี้กับเนี่ยเฟยเฟยคุยกันจบ ทางคุณซูกับแขกของเนี่ยอี้ก็คุยกันจบเหมือนกัน แขกของเนี่ยอี้ถามว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าเนี่ยเฟยเฟยมาก่อน เนี่ยอี้จึงแนะนำตัวเนี่ยเฟยเฟยว่าเป็น “คู่หมั้นของผม”
เลขาซูเงยหน้าขวับทันที ตาแทบจะพ่นไฟได้ สายตาแบบนี้เนี่ยเฟยเฟยรู้จักดี เพราะเธอโดนมองแบบนี้เป็นประจำสมัยเป็นแฟนของหร่วนอี้เฉิน สมัยนั้นเธอโดนมองตั้งแต่เช้าตรู่ยันพลบค่ำทุกวันเลย โชคดีที่ตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่หอพักในมหาวิทยาลัย
เนี่ยอี้แนะนำกับเนี่ยเฟยเฟยว่า “เฟยเฟย นี่คือท่านประธานฉินของห่ายรุ่น เป็นคู่ค้าของพ่อตาด้วย”
พอคุณเฉินได้ฟังก็ทำตาโต บอกเพิ่งรู้ว่าเป็นลุกสาวคุณเนี่ยคุณ (ชื่อพ่อของเนี่ยเฟยเฟย) คุณสองคนนี่สมกันจริงๆ
เนี่ยเฟยเฟยปลื้มมากที่เนี่ยอี้เรียกเธอว่า “เฟยเฟย” ปากก็ทักทายคุณเฉินตามมารยาท
เนี่ยอี้หาเอกสารพลางพูดกับคุณเฉินว่า ให้เนี่ยเฟยเฟยเล่นอยู่ข้างนอกคนเดียวไปสักพัก ให้คุณเฉินเข้าไปคุยกับเขาในห้อง แล้วมองที่คุณซู บอกให้เข้าไปคุยกันในห้องด้วย เนี่ยเฟยเฟยบอก งั้นฉันจะอยู่กินข้าวเที่ยงด้วยนะ
เนี่ยอี้ตายังมองเอกสาร ปากพูดโดยไม่เงยหน้าว่า “คุณจงใจมาช่วงพักกินข้าวพอดีสินะ?”
เนี่ยเฟยเฟย “จะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง นี่น่ะคือโชคชะตากำหนดต่างหาก
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้กินข้าวเที่ยงกับเนี่ยอี้ เพราะตอนเที่ยงครึ่ง ผู้ช่วยของเธอโทรมาแจ้งว่าให้เธอไปเลือกรูปถ่ายที่สตูดิโอ เนี่ยเฟยเฟยจึงไปเคาะประตูห้องเนี่ยอี้บอกขอตัวกลับก่อน เนี่ยอี้ให้คุณซูเดินลงไปส่งเนี่ยเฟยเฟย
เนี่ยเฟยเฟยคิดว่าระหว่างเดินไปส่งเธอ คุณซูต้องคุยอะไรกับเธออีกแน่ๆ และก็จริงดังคาด ตอนอยู่ในลิฟต์ คุณซูถามว่า “คุณหนูเนี่ยกับ Yee ถือว่าเป็นการแต่งานเพื่อธุรกิจสินะคะ? คิดว่าทั้งคุณหนูซูและ Yee คงจะจนใจมาก”
เนี่ยเฟยเฟยบอก “ฉันไม่รู้สึกจนใจค่ะ”
คุณซูยิ้ม ย้อนว่า “แล้ว Yee ล่ะ? ความจริง Yee ไม่ชอบผู้หญิงที่สูงเกินไป คุณหนูเนี่ยสูง 170 กว่าสินะคะ?”
เนี่ยเฟยเฟยทอดมองตรง สายตาอยู่เสมอกระหม่อมของคนพูดพอดี “172 ค่ะ วันนี้ใส่ส้นสูง 5 เซนต์ เลยสูง 177”
คุณซูเหลือบมองรองเท้าส้นสูงคริสตัลของเนี่ยเฟยเฟย พูดอีกว่า “พูดถึงรองเท้าส้นสูง Yee ไม่ชอบผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงด้วยเหมือนกัน ไม่ชอบเครื่องประดับที่สะดุดตาเกินไป คุณหนูเนี่ยคงจะยังรู้จัก Yee ได้ไม่นาน ต่อไปเลือกแต่งตัวระวังๆ หน่อยนะคะ”
จังหวะนี้ ลิฟต์เลื่อนลงไปถึงชั้น 1 เนี่ยเฟยเฟยพูดว่า “คุณซู คุณอาจจะไม่รู้ว่า ความจริงแล้วฉันนิสัยไม่ค่อยดีค่ะ พูดจบก็กดลิฟต์เลื่อนกลับขึ้นไปที่ชั้น 17 ใหม่อีกรอบ
คุณซูงง ถามว่า “ลืมของหรือคะ? ”
เนี่ยเฟยเฟยไม่ตอบ เดินฉับๆ ไปที่ห้องทำงานของเนี่ยอี้ เปิดประตูเข้าไป
เนี่ยอี้อยู่ในห้องทำงานคนเดียว กำลังนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ก เหมาะจะคุยเรื่องส่วนตัวพอดี
เนี่ยอี้เห็นเนี่ยเฟยเฟยเข้ามา ก็เงยหน้าจากจอถามอย่างแปลกใจ “ทำไมถึงย้อนกลับมาอีกล่ะ?”
เนี่ยเฟยเฟยมองหน้าคุณซู พูดว่า “คุณซูคนนี้เห็นว่าฉันไม่คู่ควรกับคุณ อยู่กับคุณแล้วไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง การจับคู่กันของฉันกับคุณเป็นความโชคร้ายของเราทั้งคู่ ฉันเองก็เห็นว่าการคุยกันไม่รู้เรื่องจะเป็นเรื่องโชคร้ายสำหรับทั้งสองฝ่าย ถึงได้ย้อนกลับมาถามคุณหน่อยว่า เราสองคนคุยกันรู้เรื่องหรือเปล่าคะ?”
คุณซูมองหน้าเนี่ยเฟยเฟยเหมือนมองคนบ้า รีบพูดว่า “Yee ฉันไม่ได้...”
เนี่ยเฟยเฟย “คุณซู ตอนนี้คุณไม่ควรพูดค่ะ กรุณาหุบปากด้วยค่ะ”
เนี่ยอี้ปิดโน้ตบุ๊ก นิ่งคิดแล้วพูดว่า “การแต่งงานกันจำเป็นคุยกันรู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละ คุณชงชาได้ เล่นหมากล้อมได้ เลี้ยงปลาเขตร้อนเป็น แค่นี้ก็มากพอแล้ว”
เนี่ยเฟยเฟย “คุณไม่เรียกร้องให้ฉันไปสอบเอาวุฒิด็อกเตอร์ด้านผลิตยาชีวภาพนะ?”
เนี่ยอี้มองหน้าเธออยู่สองวิ พูดว่า “ผมว่าคุณสอบไม่ติดนะ”
เนี่ยเฟยเฟยคิดว่าก็จริง แต่นี่ไม่สอดคล้องกับประเด็นหลักของเรื่องที่จะคุยในวันนี้ “แล้วถ้าฉันสอบติดล่ะ?”
เนี่ยอี้ “ศิลปินอย่างคุณทำไมอยู่ๆ ถึงจะไปสอบเป็นด็อกเตอร์ด้านชีววิทยาล่ะ?”
เนี่ยเฟยเฟย “คุณซูคนนี้บอกฉันว่า การผลิตยาทางชีวภาพเป็นจุดสำคัญในชีวิตของคุณ การที่ฉันไม่รู้เรื่องการผลิตยาชีวภาพ ก็คือฉันไม่สามารถเป็นคู่วิญญาณของคุณได้”
เนี่ยอี้มองคุณซู
คุณซูตาแดงก่ำ จ้องหน้าเนี่ยเฟยเฟย “คุณหนูเนี่ย ฉันก็แค่อยู่ต่างประเทศนาน พูดจาค่อนข้างตรงเท่านั้น”
เนี่ยเฟยเฟย “อ้อ ยังมี เนี่ยอี้ คุณคิดว่าส่วนสูงต่างกัน 16 เซ็นต์กับ 11 เซ็นต์ อย่างไหนดีกว่ากัน?”
เนี่ยอี้ “พอไหวทั้งคู่ ทำไมถึงถามเรื่องนี้?”
เนี่ยเฟยเฟย “16 เซนต์คือความต่างของส่วนสูงคุณกับฉันเวลาฉันไม่สวมรองเท้าส้นสูง 11 เซนต์คือความต่างของส่วนสูงคุณกับฉันเวลาฉันสวมรองเท้าส้นสูง ดูว่าคุณชอบแบบไหน ฉันจะได้พยายามทำตัวให้เข้ากันค่ะ” แล้วชี้ให้เขาดูรองเท้าส้นสูงคริสตัลที่เธอสวมมาวันนี้ “คุณเห็นว่ารองเท้าคู่นี้เป็นยังไงคะ?”
เนี่ยอี้ “เหมาะกับคุณมาก”
เนี่ยเฟยเฟยหันไปมองคุณซูที่ทำท่าจะร้องไห้เต็มแก่ พูดกับเธอว่า “คุณซู คุณไปได้แล้วค่ะ ล่วงเกินตรงไหนก็ยกโทษให้ด้วยนะคะ ฉันเองก็อยู่เมืองนอกเสียนาน ไม่แค่ชอบพูดตรงๆ นิสัยยังแย่มากด้วย”
ตอนคุณซูจากไป สายตาที่มองมาที่เนี่ยเฟยเฟยไม่ต่างอะไรกับมองคนบ้า เนี่ยอี้หมุนปากกาเล่นพูดกับเนี่ยเฟยเฟยว่า “คุณเกือบจะทำคุณซูร้องไห้อยู่แล้ว”
เนี่ยเฟยเฟยหยิบอมยิ้มมาแกะอม พูดว่า “ไม่เท่าไหร่หรอก สมัยเรียนมหาวิทยาลัยฉันเคยทำเพื่อนผู้หญิงร้องไห้จริงๆ มาแล้ว ฉันน่ะทนถูกพาลใส่ไม่ได้มากที่สุด คุณเองก็ไม่เลวนะ คนทั่วไปคงจะพากันมองว่าอยู่ดีๆ ฉันเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา คุณยังให้ความร่วมมือกับฉันได้อีก ยังพูดไม่ตรงกับใจได้ด้วยว่ารองเท้าคู่นี้เหมาะกับฉันมาก”
เนี่ยอี้เปิดจอโน้ตบุ๊กใหม่อีกรอบ “มันเหมาะกับคุณมากจริงๆ ผมไม่ได้ให้ความร่วมมือ”
เนี่ยเฟยเฟย “คุณไม่ได้เกลียดการที่ผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูงจริงๆ หรือ?”
เนี่ยอี้ “ต้องดูว่าใครสวม”
เนี่ยเฟยเฟยเอามือเท้าโต๊ะเขา ถามว่า “เนี่ยอี้ คุณดูสิ ฉันนิสัยแย่มากจริงๆ คุณคิดจะนึกเสียใจไหม?”
เนี่ยอี้เงยหน้าขึ้นมองเธอ “นี่แสดงว่าคุณสามารถป้องกันตัวเองได้ดีมาก ผมมีอะไรต้องนึกเสียใจด้วย?”
จังหวะนี้มองหน้ากันนี้ เนี่ยเฟยเฟยเผลอเกิดอารมณ์อยากจะก้มลงไปจูบเขา ดีที่อมยิ้มที่อมอยู่ช่วยสกัดความคิดนี้ไว้
ระหว่างปั่นงานอยู่ในสตูดิโอแต่งภาพ เนี่ยเฟยเฟยนอนหลับแล้วฝัน ความฝันย้อนไปยังเมื่อครั้งแรกสุดที่เธอได้พบกับเนี่ยอี้...
เนี่ยเฟยเฟยได้พบกับเนี่ยอี้ครั้งแรกตอนที่เธออายุได้ 12 ปี เรียนอยู่ชั้นม.1
โรงเรียนมัธยมที่เนี่ยเฟยเฟยเรียน มีถนนสายดอกซากุระอยู่ ตอนนั้นเป็นเดือนเมษายน ซากุระกำลังบานสะพรั่งขนาบสองฝั่งถนนพอดี
ก่อนหน้าวันนั้นเนี่ยเฟยเฟยหกล้มมือเจ็บ ต้องใส่เฝือก วันนั้นจึงไม่ต้องเข้าเรียนคาบแรกของช่วงบ่ายที่เป็นวิชาพละ เธอเพิ่งแวะไปคืนหนังสือที่ห้องสมุดกลับออกมา เดินมาตามถนนสายซากุระนี่ กริ่งเข้าเรียนเพิ่งดังได้สองนาที
จังหวะนี้มีเสียงร้องเรียกถามทางดังมา เธอเหลียวไปดู ก็พบเด็กหนุ่มตัวสูงหน้าตาดีมาก มือถือแบบจำลอง DNA ขนาดเล็ก
เด็กหนุ่มถามทางไปห้องบรรยาย เนื่องจากโรงเรียนเธอเพิ่งซื้อที่ดินขยายโรงเรียนสร้างตึกเพิ่มมากมาย ห้องบรรยายอยู่โซนสร้างใหม่ ไกลเอาการ บอกทางยังไงคนนอกก็ไปไม่ถูกแน่ และเธอว่างอยู่พอดี จึงมีน้ำใจอาสานำทางเขาไปที่ห้องบรรยายให้
เดินกัน 20 กว่านาทีกว่าจะไปถึงห้องบรรยาย เมื่อไปถึง เด็กหนุ่มแกะโมเดล DNA ออก แล้วยื่นซีกหนึ่งให้เธอ เนี่ยเฟยเฟยดูอย่างสนใจ ก่อนจะยื่นคืนให้ บอกว่า “ไม่ต้องก็ได้ ฉันแค่นำทางเท่านั้น คุณไม่ต้องให้เจ้านี่ฉันหรอก”
เด็กหนุ่มไม่รับ เขาบอกว่า “ก็แค่ของประดับเล็กน้อย ในเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด คุณได้ให้ความช่วยเหลือที่สมเหตุสมผลที่สุดแก่ผม คุณคู่ควรกับสิ่งนี้” พูดจบก็หมุนตัวเปิดประตูห้องบรรยายเข้าไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธ
เนี่ยเฟยเฟยคิดจะไล่ตามเขาไป ในจังหวะที่ประตูเปิด กลับได้ยินเสียงปรบมือดังถล่มทลาย
เสียงปรบมือทำให้เธอนึกอยากรู้ขึ้นมา จึงแอบอ้อมไปเข้าทางประตูหลังของห้องบรรยาย แล้วนั่งฟังเด็กหนุ่มบรรยาย
จากคำสนทนาของรุ่นพี่ม.5-6 ที่นั่งใกล้ๆ ทำให้เธอรู้ว่า เด็กหนุ่มชื่อ เนี่ยอี้ อายุ 15 ปี เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเธอนี่แหละ เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เคยก่อตั้งโรงเรียนมา อายุ 14 ปีก็สอบเข้ามหาลัย N ของอเมริกาได้ ไปเรียนต่ออเมริกา เพิ่งเข้าแข่งขันได้รางวัลใหญ่อะไรสักอย่างมา ผอ.โรงเรียนเลยเชิญเขามาบรรยายที่โรงเรียน
เนี่ยเฟยเฟยฟังที่เนี่ยอี้บรรยายไม่รู้เรื่อง แต่ประทับใจในตัวเขามาก ว่าอายุแค่ 15 ปี แต่ราศีจับสุดๆ ดูบุคลิกมีความมั่นใจสูงมาก
ตั้งแต่นั้นมา เขาก็กลายเป็นไอดอลของเธอ เธอพยายามค้นคว้าเรื่องของเขา ตั้งเป้าว่าจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขาให้ได้ เธอคิดว่าเขาน่าจะชอบผู้หญิงที่ฉลาดหน่อย ตอนนั้นเธอเรียนโง่มาก เธอจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตั้งใจเรียนเต็มที่ อัพเลเวลตัวเองให้คู่ควรกับเขา
เนี่ยเฟยเฟยเริ่มมุ่งมั่นด้านการถ่ายภาพที่เธอชอบ จนเข้าประกวดภาพถ่ายได้รับรางวัล เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการตั้งแต่อายุแค่ 17 ปี
แต่ยิ่งเธอพยายามมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเนี่ยอี้อัจฉริยะเกินไป และอยู่ไกลจากเธอมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเธอจึงแค่ยกเนี่ยอี้เป็นไอดอลในใจเธอ เห็นเขาแสนดีเลิศประเสริฐศรีทุกอย่างไร้ข้อบกพร่อง เธอยินดีทำทุกอย่างถ้าจะทำให้ได้เจอเขาตัวเป็นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงได้เป็นแฟนเขา
เนี่ยเฟยเฟยตื่นจากหลับ สักพักค่อยนึกได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน วันนั้นหลังจากไปขอเบอร์มือถือจากเนี่ยอี้ สุดท้ายเธอโดนตามตัวเข้าสตูดิโอเพื่อทำงานโดยไม่ได้กินข้าวเที่ยงกับเขาอย่างที่หวัง หลังจากนั้นมาอีกสิบวัน เธอก็ไม่ได้ออกมาจากสตูดิโออีกเลย
นี่คือสไตล์การทำงานของเนี่ยเฟยเฟย เป็นงานที่ต้องทำกันหามรุ่งหามค่ำข้ามวันข้ามคืน เลือกภาพ ปรับแต่งภาพ ฯลฯ บางครั้งต้องทำต่อเนื่องนานเป็นเดือน เมื่อเริ่มงานแล้ว เธอจะตัดการติดต่อจากภายนอกทั้งหมดรวมถึงไม่รับโทรศัพท์พ่อแม่เพื่อนฝูงญาติพี่น้อง ระหว่างนี้จะมีผู้ช่วยที่คอยรับทราบเรื่องรอบตัวมาแจ้งเธอแทน
งานของเธอเพิ่งเสร็จเย็นวานนี้ พองานเสร็จ ทั้งก๊วนก็สั่งอาหารเข้ามากินกัน แล้วนอนหลับมันตรงนั้นเลย
เนี่ยเฟยเฟยตื่นมา ก็ตรงไปเปิดตู้เย็นหาอะไรดื่ม ถงถง (ผู้หญิง) เลขาของเธอเตือนเธอเรื่องนัดกับเนี่ยอี้ว่า หลังเลิกงานวันนี้หกโมงครึ่งจะไปเยี่ยมคุณย่าของเขาที่โรงพยาบาลด้วยกัน
ก่อนจะหลับไป เนี่ยเฟยเฟยยังจำนัดหมายนี้ได้ดีอยู่ แต่พอตื่นมาก็ลืมเสียสนิท จนกระทั่งถงถงเอ่ยเตือน
เนี่ยเฟยเฟยรีบถามว่าตอนนี้กี่โมง ถงถงบอกว่าห้าโมงครึ่ง เนี่ยเฟยเฟยค่อยโล่งอก บอกเพิ่งตีห้าครึ่งเอง ทันถมเถ
ถงถงย้ำว่า ห้าโมงเย็นครึ่งค่ะ เนี่ยเฟยเฟยสบถทันที รีบร้อนอาบน้ำแต่งตัวแล้วตาลีตาเหลือกพุ่งไปโรงพยาบาล
ด้วยความรีบ ทำให้เนี่ยเฟยเฟยมือถือไว้ที่สตูดิโอ จึงไม่สามารถโทรติดต่อหาเนี่ยอี้เพื่อถามห้องที่ย่าเขาอยู่ได้ ไปถึงโรงพยาบาลแล้วค่อยยืมโทรศัพท์ของประชาสัมพันธ์โทรไปถามถงถง แล้วถือดอกไม้เยี่ยมคนป่วยขึ้นไปที่ห้องคุณย่าของเนี่ยอี้
ในระหว่างสิบวันที่เนี่ยเฟยเฟยปิดด่านกักตัวทำงาน ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้คุยกันกำหนดวันหมั้นหมายเสร็จเรียบร้อย เหลือแค่หลังจากเนี่ยเฟยเฟยออกจากปิดด่านกักตัว ค่อยไปเยี่ยมย่าของเนี่ยอี้ด้วยกัน ย่าของเนี่ยอี้เองพอรู้ว่าเนี่ยอี้กำลังจะหมั้น + แต่งงาน ก็ตื่นเต้นดีใจจนยอมเข้ารับการผ่าตัด
จริงๆ คุณย่าของเนี่ยอี้ไม่ได้ป่วยหนักมากอย่างที่ลือกัน ย่าเป็นโรคหัวใจที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่การที่เนี่ยอี้ หลานชายสุดที่รักคนเดียวไม่ยอมเป็นฝั่งเป็นฝาสักทีเป็นปมในใจของย่ามานาน ย่าจึงไปอธิษฐานไว้กับพระพุทธรูปว่า ตราบใดที่เนี่ยอี้ยังไม่มีแฟน ท่านจะไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัดเด็ดขาด คุณพ่อเนี่ยอี้จึงต้องจัดงานปาร์ตี้ดูตัวให้ลูกชาย
เนี่ยอี้คิดสะระตะแล้วเห็นว่าไหนๆ สักวันตัวเขาก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ประจวบกับได้พบเนี่ยเฟยเฟยที่มีทัศนคติเรื่องแต่งงานตรงกับเขา จึงตัดสินใจแต่งกับเนี่ยเฟยเฟยซะเลย
ถงถงยังรายงานเนี่ยเฟยเฟยด้วยว่า เรื่องหมั้นหมายของเนี่ยอี้กับเนี่ยเฟยเฟย คุณพ่อเนี่ยอี้พอใจมาก แต่คุณแม่เนี่ยอี้ไม่ค่อยพอใจ แต่เนื่องจากบ้านเนี่ยอี้คุณพ่อเป็นใหญ่ เสียงไม่พอใจของแม่จึงไม่มีใครสนใจ
เหตุที่แม่เนี่ยอี้ไม่พอใจ เพราะชีมีตัวเลือกว่าที่ศรีสะใภ้อยู่แล้ว ชื่อ เจี่ยนซี เป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของแม่เนี่ยอี้ พ่อแม่ของเจี่ยนซีประสบอุบัติเหตุตายตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงอยู่ในการเลี้ยงดูของคุณยาย คุณแม่ของเนี่ยอี้จึงรับทั้งเจี่ยนซีและคุณยายมาอุปการะจนเจี่ยนซีโต เรียกได้ว่าเจี่ยนซีโตมาด้วยกันกับเนี่ยอี้ในบ้านเดียวกัน
ถงถงแสดงความกังวลว่าเจี่ยนซีน่าจะเป็นศัตรูความรักตัวฉกาจของเนี่ยเฟยเฟย แต่เนี่ยเฟยเฟยไม่กังวลเลย
เนี่ยเฟยเฟยไปถึงหน้าห้องย่าของเนี่ยอี้ตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง เจอสาวสวยมากกกผมสั้นคนหนึ่งเปิดประตูออกมาพอดี เธอมองหน้าเนี่ยเฟยเฟยงงๆ ถามว่า “คุณคือ..?”
เนี่ยเฟยเฟยบอกชื่อตัวเอง แล้วถามว่า “นี่ใช่ห้องของเนี่ยเหล่าฟูเหรินไหมคะ? ฉันมาเยี่ยมท่านค่ะ”
สาวสวยมองหน้าเนี่ยเฟยเฟยอยู่สามวิเต็มๆ ค่อยพูดเบาๆ ว่า “คุณย่าอารมณ์ไม่ค่อยดี นอนพักไปแล้ว”
เนี่ยเฟยเฟยบอกว่า “งั้นฉันแค่เอาดอกไม้เยี่ยมเข้าไปวางก็แล้วกัน”
สาวสวยลังเลนิดหน่อย ค่อยเบี่ยงตัวให้เนี่ยเฟยเฟยเข้าไป หยุดลังเลอีกนิดหน่อย ค่อยปิดประตูเดินจากไป
ปรากฏว่าจากเดิมทีเนี่ยเฟยเฟยคิดว่าแค่วางดอกไม้เสร็จก็จบ กลับบ้านได้ กลายเป็นว่าโดนคุณย่าเนี่ยอี้ชวนคุย คะยั้นคะยอให้เธอร้องเพลงงิ้วพร้อมแสดงงิ้วให้ฟัง เนี่ยเฟยเฟยจึงร้องเพลงงิ้วสำเนียงเสฉวน เรื่อง “แฮรี่ พอตเตอร์ เข้าฮอกวอตต์” ที่เธอแต่งเองทั้งเนื้อร้องและทำนองให้คนแก่ฟัง คุณย่าเนี่ยอี้ฟังไปพลางตบมือดังๆ ให้ไปพลางอย่างชื่นชมอารมณ์ดี
เนี่ยอี้มาถึงหน้าห้องคุณย่าแล้ว เขาแอบฟังอยู่ข้างนอกพักใหญ่ กว่าจะเคาะประตูเข้ามา
เนี่ยเฟยเฟยเห็นเนี่ยอี้ก็นิ่งค้าง อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่เนื่องจากมันสายไปแล้ว คุณย่าก็คะยั้นคะยอให้ร้องงิ้วต่อ บวกกับเนี่ยอี้บอกว่า เชิญร้องต่อตามสบายครับ ผมไม่รบกวนละ แล้วเข้าไปนั่งหลบมุมอ่านหนังสือเงียบๆ เนี่ยเฟยเฟยเลยเอาวะ ยังไงก็ขายหน้าไปแล้ว ร้องต่อให้จบก็แล้วกัน และสังเกตเห็นว่า เนี่ยอี้นั่งอ่านหนังสือ แต่ไม่พลิกหนังสือเลยสักหน้า อยู่หน้าไหนก็หน้านั้น แถมนั่งอมยิ้มอีกต่างหาก จนเธอแอบสงสัยว่าเขาหัวเราะเยาะเธอหรือเปล่านั่น
ตอนเนี่ยอี้เคาะประตูเข้าห้องมา ย่าตำหนิเขาที่มาสาย บอกว่าเฟยเฟยยังมาถึงก่อนเขาตั้งครึ่งชั่วโมง เนี่ยอี้ขอโทษย่า บอกว่าพอดีเขาติดงาน ย่าเนี่ยอี้บอกว่าหลานก็รู้ดีว่าย่าเกลียดคนไม่ตรงต่อเวลามากที่สุด เนี่ยเฟยเฟยที่ทำท่าจะบอกว่าฉันเองต่างหากที่มาสายจึงหุบปาก รู้ดีว่าเนี่ยอี้กำลังรักษาภาพลักษณ์ของเธอในสายตาย่าเขา ให้ย่าเขาเข้าใจว่าเขาเองที่มาสาย ไม่ใช่เธอ
เนี่ยเฟยเฟยร้องเพลงงิ้วให้คุณย่าฟังอยู่ครึ่งชั่วโมง จนใกล้จะหมดเวลาเยี่ยม ถึงค่อยขอตัวกลับพร้อมกับเนี่ยอี้
เนี่ยอี้ถามเธอว่าหิวไหม? เขาจะพาไปเลี้ยงข้าว เนี่ยเฟยเฟยบอก ไหนโภชนาการบอกว่าห้ามกินข้าวหลังสามทุ่ม ท้องจะอืด เนี่ยอี้บอก นั่นน่ะหมายถึงคนที่กินอาหารครบสามมื้อตามปกติ แต่เลขาของคุณบอกว่าคุณไม่มีอะไรตกถึงท้องมา 20 กว่าชั่วโมงแล้ว คุณไม่หิวหรือ?
เนี่ยเฟยเฟยบอกว่าหิวจะตายอยู่แล้ว แล้วรีบตามเนี่ยอี้ไป
หลังจากวันที่ไปเยี่ยมคุณย่าของเนี่ยอี้ เนี่ยเฟยเฟยได้ลาพักหนึ่งสัปดาห์ แล้วมีคิวต้องบินไปถ่ายรูปทะเลที่อินโดนีเซียต่อสองเดือนเต็มในวันที่ 10 มิ.ย. สถานที่ถ่ายรูป คือรีสอร์ทบนเกาะส่วนตัวของมหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ชาวอังกฤษ เกาะชื่อเกาะโอเล็ต ตั้งตามชื่อภรรยาเจ้าของเกาะ เจ้าของเกาะเป็นเพื่อนกับหัวหน้าบก.นิตยสาร “เซินหลาน-เว่ยหลาน” ที่เนี่ยเฟยเฟยมีคอลัมน์ลงภาพถ่าย
หนิงจื้อหย่วน ช่างภาพผู้ช่วยของเนี่ยเฟยเฟยบินไปจัดการเตรียมอุปกรณ์ล่วงหน้า และโทรทางไกลมาชวนว่าที่นี่น่าเที่ยวมาก น้ำใสทรายสวย น่าจะรีบบินมาเที่ยวก่อนหน้าวันที่ 10
เนี่ยเฟยเฟยบอกไปก่อนไม่ได้ เพราะติดงานหมั้นของตัวเองวันที่ 9
หลังวันที่ไปเยี่ยมย่าของเนี่ยอี้ เนี่ยเฟยเฟยได้แวะไปเยี่ยมซ้ำอีก 2 หน วันถัดมาเธอส่งข้อความบอกเนี่ยอี้ว่าก่อนวันที่ 8 เธอจะไปอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยายซึ่งอยู่อีกเมือง ค่อยเจอเนี่ยอี้วันที่ 9 ซึ่งเป็นวันหมั้นเลย เนี่ยอี้ถามว่า “งานแต่งงานของเซี่ยหลุน คุณไม่ไปหรือ?”
เนี่ยอี้มีเพื่อนสนิทมาก เป็นนักธุรกิจใหญ่รูปหล่อเหมือนกัน ชื่อ เซี่ยหลุน เนี่ยเฟยเฟยเคยได้ยินแม่พูดถึงเซี่ยหลุนบ้าง ว่าเป็นระดับนักธุรกิจในตำนานเหมือนกัน แต่เนี่ยเฟยเฟยไม่ได้สนใจถามรายละเอียดว่าเป็นตำนานนี่คือแบบไหน เพราะเธอเห็นว่าตัวเธอเองก็เป็นตำนานพอตัวเหมือนกัน บุคคลระดับตำนานด้วยกันควรรักษาความโดดเดี่ยว ไม่ต้องไปรู้เรื่องของอีกฝ่ายมากเกินไป
งานแต่งงานของเซี่ยหลุนคือวันที่ 6 ตอนค่ำ จัดแบบเรียบง่าย เชิญแค่แขกที่สนิทกันมากไม่กี่คน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และนักธุรกิจระดับอภิมหาเศรษฐี แต่บ้านเนี่ยเฟยเฟยก็ได้รับเชิญด้วย
เนี่ยเฟยเฟยบอกว่าหลังหมั้น เธอต้องไปทำงานต่างประเทศ 2-3 เดือน ก่อนไปจึงขอไปอยู่เป็นเพื่อนคนแก่ เนี่ยอี้ก็ทำเสียงรับรู้
ปรากฏว่าช่วงเช้าวันที่ 6 คุณฉู่ เลขาของเนี่ยอี้ (เคยเป็นเลขาพ่อของเนี่ยอี้มาก่อน แล้วมาเป็นเลขาให้ลูกต่อ เป็นคุณลุงที่เก่งกาจสารพัด) โทรมาบอกเนี่ยเฟยเฟยว่า อยากให้เนี่ยเฟยเฟยไปในงานเลี้ยงนี้ด้วย เนื่องจากงานนี้เนี่ยอี้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวตัวหลัก และเนี่ยอี้คออ่อนสุดๆ ในงานต้องโดนให้ช่วยกินเหล้าแทนเจ้าบ่าวแน่นอน เกิดเมาขึ้นมาจะแย่ ถึงเขาจะส่งผู้ช่วยไปช่วยดูแลเนี่ยอี้อีกแรง แต่ยังไงก็คงช่วยไม่ได้เต็มที่เท่าที่ควร
เนี่ยเฟยเฟยบอก ต่อให้เมา ก็ให้เขานอนค้างบ้านเซี่ยหลุนสักคืนไม่เห็นจะเป็นอะไร หลักการของเธอคือพยายามให้อิสระกับเนี่ยอี้ ไม่ไปก้าวก่ายเรื่องของเขา
เลขาฉู่บอกว่า ขอบอกตามตรง เซี่ยหลุนมีน้องสาวอยู่หนึ่งคน และเธอหลงรักเนี่ยอี้มานานแล้ว
เนี่ยเฟยเฟยเปลี่ยนคำพูดทันที บอก “แน่นอนว่าการให้อิสระก็ใช่ว่าให้อิสระโดยสิ้นเชิง ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วรีบขับรถบึ่งออกจากบ้านคุณตาคุณยายกลับมาเมือง S ที่เธออยู่
แต่ปรากฏว่าวันนั้นเกิดเหตุรถชนระหว่างทางหลายครั้งมากจนรถติดวินาศสันตะโร กว่าจะเข้ามาถึงในเมืองได้ คังซู่หลัวก็โทรมาหาเนี่ยเฟยเฟย บอกว่าเธอได้เจอเนี่ยอี้ตัวเป็นๆ แล้ว (พ่อคังซู่หลัวเป็นข้าราชการตำแหน่งใหญ่โตมาก จึงได้รับเชิญมาในงานแต่งงานของเซี่ยหลุนด้วย) ใส่สูทแล้วหล่อเท่ยิ่งกว่าเจ้าบ่าวอีก แต่ทำไมเนี่ยเฟยเฟยไม่ยักควงเนี่ยอี้มาฟะ
เนี่ยเฟยเฟยบอก “ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันอยู่บ้านตายาย”
คังซู่หลัวว้ากกลับว่ารีบไสหัวกลับมาเลยนะยะหล่อน นั่นน่ะท่านเทพไอดอลของเธอเชียวนะ ช่วยใส่ใจเขาหน่อยเซ่ ปล่อยให้สาวคนอื่นควงเขามาแทน สวยมากด้วย ดูเหมือนหลายๆ คนจะรู้กันแล้วว่าเนี่ยอี้มีแฟนแล้ว พอเห็นเขาควงสาวคนนี้มา เลยเข้าใจผิดว่าสาวคนนี้เป็นแฟนของเขาเลย แล้วแม่คุณดันสวยมากจนพวกที่แอบหลงรักเนี่ยอี้เห็นแล้วยอมถอดใจซะด้วย
เนี่ยเฟยเฟยบอก “ฉันกำลังไสหัวกลับไปอยู่นี่ ฉันขับรถมาแปดชั่วโมงเต็มจนสภาพฉันตอนนี้ดูไม่ได้สุดๆ ฉันก็ต้องเข้าร้านเสริมสวยก่อนสิยะ”
ระหว่างที่เนี่ยเฟยเฟยยังไปไม่ถึงงาน คังซู่หลัวรายงานสถานการณ์ตลอด พร้อมกับเร่งให้เนี่ยเฟยเฟยรีบมาเร็วๆ เธอกำลังจะคุมสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว คนพวกนี้เล่นบ้าๆ กันหนักข้อเกินไปแล้ว
เนี่ยเฟยเฟย “เกิดอะไรขึ้น?
คังซู่หลัว “น้องสาวเซี่ยหลุน เธอรู้จักมั้ย?
เนี่ยเฟยเฟย “ไม่รู้จัก
คังซู่หลัว “ก็ เซี่ยหมิงเทียน คนที่แสดงเป็นนางเอกเรื่อง.....ไง สมแล้วที่อยู่วงการบันเทิง ช่างใจกล้าสุดๆ ไม่สนใจซักนิดว่าเนี่ยอี้มีคู่ควงมาด้วย ประกาศออกมาเลยว่าในเมื่อเขายังไม่แต่งงาน ทุกคนก็มีสิทธิ์จีบเขาได้หมด แล้วเปิดโต๊ะดวลเหล้า บอกใครดวลชนะก็พาตัวเนี่ยอี้ไปได้”
เนี่ยเฟยเฟย “คู่ควงของเนี่ยอี้ล่ะ? เวลาสำคัญแบบนี้ไม่ได้เข้าไปช่วยขวางเลยเรอะ?”
คังซู่หลัว “เธอหมายถึงผู้หญิงหน้าหวานผมสั้นนั่นน่ะหรือ? ขวางแล้วนะ ความจริงค่ำนี้เซี่ยหมิงเทียนคอยท้าทายเธอนิดๆ ตลอดเลย ผสมค็อกเทลให้เธอดื่ม 3 แก้ว บอกว่าถ้าเธอดื่ม 3 แก้วนี้หมดแล้วยังเดินตรงๆ ได้ก็พาเนี่ยอี้กลับไปได้เลย ผลคือยายคนนี้เป็นเศษสวะที่พลังต่อสู้ -5 ชัดๆ ดื่มแค่แก้วเดียวก็ล้มพับไปแล้ว!”
เนี่ยเฟยเฟยจอดรถพลางบอกเพื่อนว่า “เธอเฝ้าเนี่ยอี้ไว้ด้วยล่ะ อย่าให้หมาแมวที่ไหนมาซี้ซั้วพาตัวเขาไปได้ รอฉันสามนาที”
คังซู่หลัว “แล้วถ้าฉันห้ามไม่อยู่ล่ะจะทำยังไงดี?”
เนี่ยเฟยเฟย “แกล้งบ้าน่ะทำเป็นมั้ย? แกล้งเมาซะ แล้วโถมเข้าไปกอดขาเนี่ยอี้ บอกว่าเขาเป็นแฟนที่เธอทำยังไงก็ลืมไม่ลง!”
คังซู่หลัวตัวสั่นยะเยือก “ถ้าพ่อฉันรู้เข้านะ มีหวังถลกหนังฉันแน่”
เนี่ยเฟยเฟย “วางใจเถอะ ถึงตอนนั้นฉันจะเย็บกลับคืนให้เธอทีละเข็มๆ เอง”
คังซู่หลัว “เนี่ยเฟยเฟย เธอโหดยิ่งกว่าพ่อฉันอีก!”
สามนาทีให้หลัง เนี่ยเฟยเฟยก็ไปถึงโต๊ะดวลเหล้า คังซู่หลัวกระซิบบอกเพื่อนว่าคนไหนคือเซี่ยหมิงเทียน ส่วนสาวสวยที่นอน “ตายคาสนามรบ” บนโซฟาคือสาวที่เนี่ยอี้ควงมาคืนนี้ เนี่ยเฟยเฟยเห็นแล้วจำได้ทันทีว่า ตอนที่เธอไปเยี่ยมคุณย่าเนี่ยอี้ครั้งแรกสุด คนเปิดประตูให้เธอคือสาวสวยคนนี้แหละ
เนี่ยเฟยเฟยเดินตรงเข้าไปหาเซี่ยหมิงเทียน เอามือข้างหนึ่งยันโต๊ะตรงหน้าเธอ แล้วถามว่า “คุณหนูเซี่ย?”
รอบตัวมีคนซุบซิบถามกันว่านั่นใคร? และมีคนตอบว่า ดูเหมือนจะเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านสกุลเนี่ยที่เป็นช่างภาพถ่ายรูปทะเล?
เซี่ยหมิงเทียนเงยหน้าขึ้นมองเนี่ยเฟยเฟย “คุณเป็นใคร?
เนี่ยเฟยเฟยลากเก้าอี้ตรงข้ามเซี่ยหมิงเทียนออกมานั่งลง พูดว่า “ฟังว่าที่นี่เปิดโต๊ะดวลที่น่าสนุกมาก ถ้าชนะจะพาตัวคุณชายใหญ่บ้านสกุลเนี่ยไปได้ บอกตามตรงฉันน่ะน้ำลายหกอยากได้เขามานานแล้ว พอรู้เรื่องก็รีบมาเพื่อการนี้เลย”
เซี่ยหมิงเทียนหรี่ตามองหน้าเนี่ยเฟยเฟย “โต๊ะดวลเหล้าของฉัน ไม่ใช่ว่าใครก็เข้ามาดวลได้หรอกนะ”
เนี่ยเฟยเฟยดูขวดเบียร์เปล่าสามขวดตรงหน้าเซี่ยหมิงเทียน ก็รู้ว่าเซี่ยหมิงเทียนดื่มนำหน้าทุกคนในโต๊ะนี้อยู่ จึงพูดว่า “คุณหนูเซี่ยคอทองแดง แค่ดูก็รู้แล้วว่าคนอื่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ ดวลเหล้าน่ะมันต้องแข่งถูกคนค่ะ” แล้วเปิดเบียร์แบบเดียวกัน 3 ขวด ดื่มอึกๆ ลงไปเหมือนดื่มน้ำเกลือ ทุกคนในโต๊ะดวลเหล้าต่างพากันเงียบกริบ
พอดื่มเบียร์ 3 ขวดหมด เนี่ยเฟยเฟยดูฉลากบนขวดเบียร์ อ่านออกเสียง แล้วพูดว่า “คุณหนูเซี่ย เราสองคนดื่มไอ้นี่แข่งกันชาติไหนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะกันคะ?” จากนั้นลุกไปเปิดตู้เก็บเหล้าหยิบเหล้าออกมาสวมขวด เทผสมกัน 2 แก้ว เลื่อนแก้วหนึ่งไปตรงหน้าเซี่ยหมิงเทียน พูดว่า “คุณหนูเซี่ย เรามาดื่มไอ้ที่มันได้เรื่องได้ราวหน่อยกันดีกว่า”
คังซู่หลัวเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง เพราะรู้ดีว่าถึงเนี่ยเฟยเฟยจะคอแข็ง ไม่ไม่แข็งขนาดดื่มแก้วนั้นลงไปโดยไม่เมาแน่นอน
เซี่ยหมิงเทียนมองเหล้าแก้วนั้นเหมือนมองยาพิษ จะไม่ดวลด้วยรึ คนอื่นดูอยู่เยอะแยะแบบนี้ ได้ขายหน้าแย่ ส่วนจะดวลด้วยรึ เกิดแพ้ขึ้นมาก็ขายหน้าอีกเหมือนกัน
หลังจากต่อสู้ขัดแย้งอยู่ในใจพักใหญ่ เซี่ยหมิงเทียนตัดสินใจพูดว่า “คุณหนูเซี่ยช่างรักคุณชายเนี่ยจากใจจริงจริงๆ ความจริงฉันน่ะเกลียดการหาเรื่องคนที่เขารักกันมากที่สุด” แล้วผลักแก้วเหล้าตรงหน้าตัวเองไปตรงหน้าเนี่ยเฟยเฟย ตามด้วยผสมค็อกเทลที่ทำคู่ควงเนี่ยอี้น็อคขึ้นมาอีกแก้ว เลื่อนไปตรงหน้าเนี่ยเฟยเฟยเหมือนกัน พูดว่า “คุณชายเนี่ยอยู่ในห้องด้านในนี่เอง ดื่มสามแก้วนี้ให้หมด ก็จะยกคุณชายเนี่ยให้คุณค่ะ”
เนี่ยเฟยเฟย “ถ้าฉันล้ม คุณหนูเซี่ยก็สบายเลยสิคะ” แต่ในใจแอบโล่งอก
เซี่ยหมิงเทียนยิ้มกว้าง “ไม่ใช่ๆ นี่น่ะฉันกำลังช่วยคุณชายเนี่ยพิสูจน์ความจริงใจของคุณต่างหากค่ะ”
ท่ามกลางสายตาประชาชีที่จ้องมอง เนี่ยเฟยเฟยเริ่มดื่มเหล้าทีละแก้วพร้อมกับคิดในใจว่า การแคร์ใครนี่ไม่ดีเลย ถ้าคนที่นอนอยู่ในห้องด้านในเป็นคนอื่น เธอคงบุกเข้าไปหิ้วตัวพากลับโดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกาไปแล้ว ใครขวางทางก็อัดมันซะ แต่เธอทนให้ใครมาว่าเนี่ยอี้ไม่ได้ว่าเลือกแล้วเลือกอีกยังดันคว้าเอาผู้หญิงที่ไม่รู้ความมาเป็นแฟน เธออยากให้เวลาใครพูดถึงเนี่ยอี้ เคยพูดอย่างอิจฉาชื่นชมเขายังไง วันนี้ก็ต้องเป็นเหมือนเดิม
ระหว่างที่คิด ก็เริ่มดื่มแก้วที่สาม ความจริงเริ่มจะมึนๆ หัวแล้ว แต่ความมุ่งมั่นในใจเหมือนจะช่วยเพิ่มขีดจำกัดของร่างกาย จึงไม่รู้สึกเมาเลย เพิ่งดื่มแก้วที่สามได้อึกเดียว แก้วก็ถูกมือหนึ่งแย่งเอาไป
เซี่ยหมิงเทียนทำหน้าประหลาดใจมาก คนที่มุงดูพากันตัวแข็งทื่อ
เนี่ยเฟยเฟยเหลียวหลังไปดูอย่างแปลกใจ แล้วตะลึงไปเหมือนกัน เนี่ยอี้มายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กำลังดื่มเหล้าในแก้วที่ฉวยไปจากมือของเธอ จากนั้นพูดกับเซี่ยหมิงเทียนด้วยน้ำเสียงสุภาพเกรงใจมาก แต่มือจับไหล่เนี่ยเฟยเฟยพยุงตัวไว้
“ฟังว่าคืนนี้ผมถูกอายัดตัวไว้ที่นี่ ใครดื่มสามแก้วนี้ได้ ก็พาตัวผมไปได้?”
เซี่ยหมิงเทียนฝืนปั้นยิ้ม “คุณชายเนี่ย พวกเราแค่เล่นสนุกกันเท่านั้นค่ะ”
เนี่ยอี้ “ผมว่าพวกคุณดูไม่เหมือนแค่เล่นสนุกกันนะ” เสียงเขาเรียบเฉย แต่ทรงอำนาจกดดันอย่างประหลาด ทั่วทั้งวงดวลเหล้าพากันเงียบกริบ
เนี่ยเฟยเฟยที่เริ่มเมาแล้วอารมณ์ดีมาก หันไปพูดกับเนี่ยอี้ว่า “รูปหล่อ อย่าทำหน้าดุนักสิ ดูสิว่าคุณทำคุณหนูเซี่ยหน้าเสียหมดแล้ว” แล้วหันไปพูดกับเซี่ยหมิงเทียนว่า “คุณหนูเซี่ย เราตกลงกันแล้วว่าฉันดื่มสามแก้วแล้วพาเขาไปได้ ฉันก็ต้องเป็นคนดื่มสามแก้ว ขาดไปแก้วเดียวก็ไม่ได้ คุณช่วยผสมมาให้ฉันใหม่อีกแก้วด้วยค่ะ”
เซี่ยหมิงเทียนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ฉันแค่ล้อคุณเล่นเท่านั้น”
เนี่ยอี้มือหนึ่งจับบ่าเธอ โน้มตัวลงจนใบหน้าเสมอกับหน้าเธอ ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เนี่ยเฟยเฟย คุณมาหาผมหรือมาหาเหล้าดื่มกันแน่?”
เนี่ยเฟยเฟย พูดเสียงหวานหยด “เนี่ยอี้ ฉันก็ต้องมาช่วยคุณอยู่แล้วสิ” พูดจบจับเท้าแขนเก้าอี้พยุงตัวลุกขึ้นยืน เอามือคล้องแขนเนี่ยอี้ไว้พิงตัวกับตัวเขาแน่น เพราะถ้าไม่พิงจะยืนไม่มั่นคงแล้ว พูดต่อว่า “กฎในคืนนี้ของเราคือใครที่มาช่วยเจ้าชายต้องผ่านด่านให้ได้ทุกคน เราต้องมีสปิริตในการหาความบันเทิงกันหน่อย”
เซี่ยหมิงเทียนมองเนี่ยเฟยเฟยสลับกับเนี่ยอี้หลายครั้ง “คุณชายเนี่ย ฉันไม่รู้ว่าคุณหนูคนนี้คือ...ของคุณ” เหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกยังไงดี
เนี่ยอี้ “คือคู่หมั้นของผม”
เนี่ยเฟยเฟยนับถือเนี่ยอี้มากที่ช่างกล้าพูดออกมาได้ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าพิธีหมั้นกันเลย ถึงจะรู้ว่าไม่ได้หมั้นกันเพราะรัก และเขาพูดแบบนี้เพื่อไล่บรรดามดแมลงที่มาตอมสร้างความรำคาญเสียมากกว่า เธอก็ยังรู้สึกหวานล้ำในใจอยู่ดี
เนี่ยอี้พาเนี่ยเฟยเฟยออกจากคฤหาสน์ตระกูลเซี่ยมานั่งที่ตอนหลังของรถเขา เนี่ยเฟยเฟยถามว่า ไหนว่าเขาคออ่อนไง ทำไมเธอไม่เห็นรู้สึกเลยว่าเขาเมา?
เนี่ยอี้ “เดิมทีผมก็ไม่ได้ดื่มมากอยู่แล้ว นอนพักครู่เดียวก็หายมึน”
เนี่ยเฟยเฟย “แสดงว่าความจริงต่อให้พวกเธอเล่นบ้าๆ กันหนักแค่ไหน ก็ทำอะไรคุณไม่ได้งั้นสินะ?”
เนี่ยอี้ไม่ตอบ เปลี่ยนไปถามว่า “คุณได้คิดบ้างไหมว่า ถ้าผมเมาหลับไปจริงๆ และคุณเองก็เมาหลับไปหลังจากดื่มสามแก้วนั้น เราสองคนจะทำยังไง? เนี่ยเฟยเฟย คุณบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว”
เนี่ยเฟยเฟย “ไม่มีทางหรอก เนี่ยอี้ ฉันลองมาแล้ว ระหว่างดื่มจนเมากับดื่มจนเมาพับน่ะห่างกันหนึ่งช่วง ในระหว่างหนึ่งช่วงนี้ฉันสามารถแสร้งทำเป็นเหมือนคนปกติทุกอย่างได้ ตอนนั้นฉันจะพาคุณออกไป”
เนี่ยอี้ไม่ได้พูดอะไร
เนี่ยเฟยเฟยเปลี่ยนเรื่องถามเขาว่า “พวกเราอยู่ตรงนี้ทำอะไรหรือ?”
เนี่ยอี้ “รอคนขับรถ”
เนี่ยเฟยเฟยค่อยสังเกตเห็นว่าคนขับรถไม่อยู่ “คนขับรถไปไหนหรือ?”
เนี่ยอี้ “ผมให้เขาไปช่วยจัดการเจี่ยนซี อีกสิบนาทีจะกลับมา”
เนี่ยเฟยเฟย “เจี่ยนซี...เจี่ยนซี...โอ๊ะ ที่แท้เธอคือเจี่ยนซีนี่เอง ฉันได้ยินมาว่าคุณแม่ของคุณชอบเจี่ยนซีมาก ฉันว่าเธอสวยมากเลยนะ ทำไมคุณถึงไม่เลือกเจี่ยนซีเป็นคู่หมั้นคุณล่ะ?”
เนี่ยอี้หันมามองเธอ “เนี่ยเฟยเฟย คุณเมาแล้ว”
เนี่ยเฟยเฟยถามซ้ำ “ทำไมคุณถึงไม่เลือกเจี่ยนซีเป็นคู่หมั้นคุณล่ะ?”
จังหวะนี้มีแขกมาเอารถ ไฟหน้ารถส่องต้องใบหน้าของเนี่ยอี้ สีหน้าเขาเรียบสนิท เหมือนกำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองโดยสิ้นเชิง
“เธอชอบผม ไม่มีทางทำใจยอมรับการแต่งงานที่ผมสามารถมอบให้ได้หรอก ถึงจะบอกว่ายินดีทำตัวให้ชินได้ทุกแบบเพื่อผม แต่การชอบนั้นโดยเนื้อแท้แล้วก็เป็นความโลภอย่างหนึ่ง ในไม่ช้าเธอจะต้องการมากยิ่งกว่านี้”
เนี่ยเฟยเฟย “เนี่ยอี้ คุณแม่ของฉันเป็นกวี คุณคงรู้สินะ ในตัวแม่มีความโรแมนติกแบบกวีอยู่เต็มเปี่ยม แม่ไม่เคยบอกฉันเลยว่า เฟยเฟย ต่อไปเป็นลูกต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ลูกต้องสอบให้ได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้ ดังนั้นตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงป.6 ผลการเรียนของฉันจึงแย่มาก เพื่อนของฉัน ครูของฉัน ไม่มีใครสักคนที่คิดว่าฉันจะเปลี่ยนเป็นคนเก่ง”
เนี่ยอี้ “คุณเริ่มได้รางวัลจากการภ่ายภาพสารพัดรางวัลมาตั้งแต่อายุ 17 ปี เป็นช่างภาพที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิด”
เนี่ยเฟยเฟยพูดเสียงซีเรียส “ไม่ใช่เก่งโดยกำเนิดเด็ดขาด ฉันน่ะไม่เหมือนกับอัจฉริยะอย่างคุณหรอก เนี่ยอี้ มีนิทานเรื่องหนึ่ง คุณอยากจะฟังไหม? ตอนฉันอยู่ม.1 ฉันได้พบผู้ชายคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาอายุแค่ 15 ปี แต่ก็โดดเด่นในวงการที่เขาสนใจอย่างมากแล้ว ส่วนตัวฉันในตอนนั้นไม่เป็นอะไรทั้งนั้น คุณไม่มีทางจินตนาการได้หรอกว่าเขาสร้างความตกตะลึงให้ฉันมากแค่ไหน”
เนี่ยอี้นิ่งคิด “จินตนาการไม่ออกจริงๆ นั่นแหละ”
เนี่ยเฟยเฟย “ฉันรู้สึกว่าเขาจะชอบผู้หญิงที่ฉลาดมากกว่า คิดว่าถ้าได้พบเขาอีกครั้ง ฉันยังคงไม่เอาถ่านแบบนี้จะน่าขายหน้ามากแค่ไหน ฉันหวังว่าตอนที่ฉันได้พบเขาอีกครั้ง ฉันเองก็สามารถเปล่งประกายเหมือนอย่างเขาได้ มีแต่ต้องเจิดจ้าสะดุดตามากพอเท่านั้น เปลี่ยนตัวเองให้เปล่งประกายออกมาได้เหมือนกัน ถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจของเขาท่ามกลางทะเลผู้คนได้
“หลังจากนั้นมาฉันก็เริ่มมานะพยายาม แน่นอน ถึงแม้คุณจะไม่สามารถสัมผัสรับรู้ด้วยตัวเองได้ แต่ก็ต้องสามารถเข้าใจได้ว่าการที่คนธรรมดาต้องการจะเปล่งประกายได้นั้น หนทางแห่งการเพียรพยายามจะลำบากมากแค่ไหน บางทีคุณเข้านอนสี่ทุ่มตรงเวลาทุกคืน ก็ยังสอบได้คะแนนเต็มอยู่เหมือนเดิม แต่ในฐานะคนธรรมดาทั่วไป การจะสอบให้ได้คะแนนเต็ม อย่างน้อยวิชาภาษาต่างประเทศสองภาษาต้องเรียนได้โดดเด่น พิณหมากล้อมอักษรภาพวาดต้องพอรู้ทั้งหมด ต้องเรียนถึงเที่ยงคืนตีสองทุกวันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำเลยแหละ”
เนี่ยอี้ “จากนั้นล่ะ?”
เนี่ยเฟยเฟย “อา จากนั้น เป็นคำถามที่ดีมาก จากนั้นฉันพบว่า ไม่ว่าฉันจะเปลี่ยนเป็นเก่งมากแค่ไหน เขาก็อยู่ในระดับความเก่งที่ฉันไม่สามารถไปถึงได้อยู่วันยังค่ำ ฉันจึงถือเขาเป็นไอดอลของฉันอย่างเดียว หลังจากนั้นก็ไม่มีหลังจากนั้นอีก ดังนั้นการชอบไม่ได้เป็นแค่ความโลภอย่างหนึ่งเท่านั้น สำหรับฉันแล้ว การชอบ เป็นเรื่องที่มีความหมายอย่างมากเรื่องหนึ่ง คุณดูสิ มันทำให้ฉันเติบโตมาได้มากมายตั้งขนาดนี้”
ในดวงตาเนี่ยอี้มีสิ่งที่เธอมองไม่ออก เนี่ยเฟยเฟยขยับเข้าไปใกล้ ประคองหน้าเขาขึ้นดู
เนี่ยอี้ขมวดคิ้วนิดๆ “เนี่ยเฟยเฟย...”
เนี่ยเฟยเฟย “ชู่ เนี่ยอี้ ฉันอยากบอกคุณว่า หากสักวันหนึ่งฉันเกิดรักคุณขึ้นมาด้วย นั่นจะไม่ใช่ความโลภเด็ดขาด ฉันจะอยากให้เราสองคนต่างดียิ่งขึ้นกว่านี้ คุณเข้าใจไหม?”
เนี่ยอี้ไม่ได้ผลักเธอออก มองหน้าเธอนิ่งๆ “ถ้าผมไม่ไม่ได้ชอบคุณ เนี่ยเฟยเฟย คุณจะไม่ทุกข์หรือ?”
เนี่ยเฟยเฟย “คุณไม่ได้ชอบฉัน แต่คุณก็ไม่ได้ชอบคนอื่นด้วย จริงไหมล่ะ? งั้นแค่คุณมองฉัน ฉันก็มีความสุขแล้ว จะชอบฉันหรือไม่ก็ไม่เป็นไร” เธอเสริมว่า “ถ้าเกิดมีวันนั้นขึ้นมาจริงๆ น่ะนะ”
ความทรงจำสุดท้ายของคืนนั้น คือเธอพิงเนี่ยอี้หลับไปทั้งอย่างนั้น
แก้ไขเมื่อ 9 ต.ค. 2560, 20:01 โดย หลินโหม่ว