หัวข้อ : องก์ที่ 2 หากรักมีชีวิตอื่น

โพสต์เมื่อ 2 ต.ค. 2560, 08:24

องก์ที่ 2
หากรักมีชีวิตอื่น

 

วันที่ 8 กันยายน ปี 2023

ณ เกาะนาโกย่า หลังจากฤดูร้อนซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวสิ้นสุดลง เกาะนาโกย่าที่คึกคักมาตลอดหน้าร้อนก็เงียบเหงา

ชิงหยวน เจ้าของบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งบนเกาะ นัดสวีหลีเฟยมาที่ waiting bar เนื่องจากเขาเห็นหนังสือพิมพ์บันเทิงเช้านี้ลงข่าวดาราสาวน้อยที่กำลังดังมากคนหนึ่งแต่งงานกับทายาทนักธุรกิจใหญ่ และทายาทคนที่ว่า คือ vic แฟนของสวีหลีเฟย สวีหลีเฟยจุดบุหรี่สูบพลางฟังเพื่อนพูดเงียบๆ

ชิงหยวนถามว่า เมื่อไหร่ vic จะกลับมาร้องเพลงต่อ? มีลูกค้าถามถึงเขากันบ่อยเลย

สวีหลีเฟยสูบบุหรี่ได้เท่มากในความรู้สึกของชิงหยวน เธอเป็นเหมือนปริศนาที่ยิ่งมองยิ่งดูไม่ออก เธอเพิ่งมาตั้งรกรากที่เกาะนาโกย่าเมื่อ 8 เดือนก่อน มาเพียงลำพังคนเดียว มาตั้งร้านถ่ายรูปเล็กๆ แบบพอประทังชีวิต หากต้องการเงินค่าขนมเพิ่ม ก็จะมารับจ้างเป็นนักร้องที่บาร์ของชิงหยวน หรือไม่ก็ออกไปถ่ายรูปวิวเล็กๆ น้อยๆ ฝากวางขายในบาร์ของชิงหยวน หรือร้านหนังสือ

ชิงหยวนนึกถึงตอนที่ได้เจอ vic อยู่ดีๆ วันหนึ่ง vic ก็มาที่บาร์ของเขา แล้วบอกว่าสวีหลีเฟยจะไม่มาร้องเพลงที่นี่อีก บอกให้เขาไม่ต้องซี้ซั้วไปหาสวีหลีเฟยแล้ว ปรากฏว่าสวีหลีเฟยนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยแต่มีต้นไม้บัง ทั้งสองจึงมองไม่เห็น สวีหลีเฟยลุกขึ้นเดินมาหา มือหนึ่งค้ำโต๊ะ อีกมือค้ำบ่า vic พูดกับ vic ยิ้มๆ ว่า “พูดอะไรโง่ๆ น่ะ? อย่าทำลายธุรกิจของชิงหยวนสิ บาร์เขามีฉันเป็นนักร้องแค่คนเดียว ขืนฉันไม่ไปแล้วบาร์เขาจะทำยังไง?”

Vic “เขาหาคนอื่นไม่ได้รึไง?”

ชิงหยวนพูดเล่นรับมุกสวีหลีเฟย “บนเกาะนี้นอกจากสวีหลีเฟยมีแต่พวกเสียงควายถูกเชือดทั้งนั้น จ้างคนนอกเกาะมาต้องจ่ายเหมาค่ากินอยู่ ผมเปิดแค่บาร์เล็กๆ เองนะพี่น้อง ผมต้องการสวีหลีเฟยมากจริงๆ”

สวีหลีเฟย “คุณดูสิ หยวนหยวนยังขอร้องฉันแบบนี้แล้วเลย”

Vic ขมวดคิ้ว “ยังไงเธอก็ต้องทำหรือ?”

สวีหลีเฟย “ใช่แล้ว เพื่อธุรกิจของหยวนหยวนนี่คะ”

Vic ยกมือนวดขมับ หันไปถามชิงหยวน “ชิงหยวนสินะ? บาร์สัปรังเคนี้ของคุณราคาเท่าไหร่?”

สีหน้าสวีหลีเฟยเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที  vic เปลี่ยนคำพูดแข็งๆ “ผมหมายถึง ผมไปร้องเพลงที่ร้านคุณหนึ่งคืน คุณให้เท่าไหร่?”

ชิงหยวนแซวเล่น “นั่นต้องดูฝีมือการร้องเพลงของคุณแหละนะ”

ไม่นึกว่าหลังจากนั้น vic ได้กลายมาเป็นนักร้องประจำของบาร์แทนสวีหลีเฟยจริงๆ

ความจริงแล้วหลังจากนั้น ชิงหยวนก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ vic ว่า vic มาที่เกาะนาโกย่าช่วงที่มีการเปิดงานสัมนาออกแบบไสตล์จีนฝรั่งเศส หน้าตา vic ดูเป็นลูกครึ่ง พูดได้คล่องทั้งภาษาจีนและภาษาฝรั่งเศส จึงไม่มีใครดูออกว่าเขาเป็นคนชาติไหน

ลือกันว่า vic เหมือนจะรักแรกพบสวีหลีเฟย คุณป้าเจ้าของโรงเตี๊ยมแถวนั้นยืนยันข่าวลือนี้กับชิงหยวนว่า “ใช่แล้ว  vic น่ะรักแรกพบสวีหลีเฟย วันนั้นดึกมากแล้ว ฉันนึกว่าเขาจะมาขอเข้าพักซะอีก บอกตามตรงไม่ได้เจอแขกหล่อมากขนาดนี้มาตั้งนานแล้ว ยังอยากจะบอกเลยว่าเห็นแก่ที่เขาหล่อขนาดนี้จะลดให้ 20% เขากลับเอารูปถ่ายของเฟยเฟย (ชื่อเล่นของสวีหลีเฟย) ออกมา ถามฉันว่าผู้หญิงในภาพได้มาพักที่นี่บ้างไหม ฉันบอกเขาว่าเฟยเฟยไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่เป็นคนบนเกาะนี้ เขาดูตกใจมากเลย” (ตัว “เฟย” ของสวีหลีเฟย กับตัว “เฟย” ของเนี่ยเฟยเฟย เขียนต่างกันเล็กน้อย)

ชิงหยวนไม่เคยถามสวีหลีเฟยเกี่ยวกับเรื่องของ vic  ไม่ว่ายังไงหลังจากนั้นสวีหลีเฟยกับ vic ก็คบเป็นแฟนกันจริงๆ แต่อยู่ๆ วันหนึ่งของเมื่อสองเดือนก่อน  vic ก็ไม่มาร้องเพลงที่บาร์อีกเลย พอ vic ไม่มีเป็นวันที่สี่ สวีหลีเฟยก็มาโผล่ที่บาร์ของเขา บอกว่า “พักนี้ขาดค่าขนมใช้อีกแล้ว คุณคงไม่รังเกียจที่ฉันจะมาทำงานพิเศษหาเงินนิดหน่อยหรอกนะ?”

ชิงหยวนแซวว่า “vic ไม่ใช่เธอร้องเพลงไม่ใช่เหรอ?”

สวีหลีเฟยยิ้มนิดๆ กดดับบุหรี่ พูดเสียงเบามาก “เขาไม่มีสิทธิ์มาสั่ง”

จากนั้นเช้าวันนี้เขาก็ได้เห็นข่าว vic หมั้นบนหน้าหนังสือพิมพ์

สวีหลีเฟยเงียบไปพักใหญ่ ค่อยเหมือนตื่นจากภวังค์ ถามว่า “เมื่อกี้คุณถามฉันว่าอะไรนะ? อ๋อ คุณถามว่าหร่วนอี้เฉินจะกลับมาเมื่อไหร่ เขาไม่กลับมาแล้วล่ะ เราเลิกคบกันแล้ว”

ชิงหยวนงงไป “เธอพูดถึงใครน่ะ?”

สวีหลีเฟยยิ้ม “Vic คุณไม่รู้ชื่อจีนของเขาหรอกหรือ? ชื่อจีนของเขาคือ หร่วนอี้เฉิน”

 

หลังจากวันที่นัดเจอกันที่ waiting bar ชิงหยวนก็ไม่ได้เจอสวีหลีเฟยอีกเลยอยู่หลายวัน มาได้รับโทรศัพท์ของสวีหลีเฟยอีกทีก็หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง เธอโทรมาขอให้เขาเป็นผู้ช่วยถ่ายภาพนอกสถานที่

ปกติสวีหลีเฟยจะรับงานถ่ายภาพแบบนี้ก็ต่อเมื่อไม่มีจะกินแล้วจริงๆ คนจ้างครั้งนี้คือ ฟู่เซิงเซิง คู่หมั้นของหร่วนอี้เฉิน ชิงหยวนถามสวีหลีเฟยว่า ที่รับงานนี้ เพราะไม่รู้ว่าคนจ้างคือฟู่เซิงเซิง หรือไม่รู้ว่าฟู่เซิงเซิงเป็นคู่หมั้นของหร่วนอี้เฉิน?

สวีหลีเฟย “รู้ทั้งสองอย่าง ทำไมหรือ?”

ชิงหยวนทำหน้าตะลึงมาก “รู้...รู้แล้วเธอยังรับงานนี้อีกเรอะ?”

สวีหลีเฟย “ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับนี่ เธอจ้างมาก้อนโตมาก อีกอย่างฉันอยากรู้ด้วยว่าเธอคิดจะทำอะไร”

ชิงหยวนทำหน้าอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วส่ายหน้ายิ้มๆ “เธอไม่รู้จิตใจผู้หญิงซะแล้ว หลังจากสาวน้อยแย่งแฟนคนอื่นมาได้จะทำอะไรได้ เรื่องพรรค์นี้เธอยังเห็นจากในบาร์ของฉันมาไม่พออีกรึ? มันก็ไม่แคล้วสองอย่าง ไม่อยากอวด ก็ท้าทาย ไม่ใช่สิ การอวด มันก็คือการท้าทายแบบหนึ่งดีๆ นี่เอง”

 

วันที่นัดถ่าย นัดเจอกันช่วงบ่ายเกือบเย็น ฟู่เซิงเซิงยังถ่ายทำอะไรสักอย่างไม่เสร็จ สวีหลีเฟยกับชิงหยวนจึงรออยู่นอกฉากที่กองถ่ายต้องถ่ายทำ จนเมื่อฟู่เซิงเซิงถ่ายเสร็จ เดินควงหร่วนอี้เฉินเข้ามาหาทั้งสอง สวีหลีเฟยก็ถามชิงหยวนว่า

“ฉันไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ขอถามคุณหน่อย ถ้าที่คุณฟู่เซิงเซิงนี่ควรแขนหร่วนอี้เฉินมาตรงหน้าฉันเพื่อจะอวด ฉันควรแสดงกิริยายังไงดีเธอถึงจะพอใจ?”

ชิงหยวน “พูดตรงๆ ถึงผมจะเป็นกึ่งแฟนคลับของเธอ แต่ผมว่าเธอเดินคู่กับ vic แล้วดูเตี้ยไปหน่อยนะ แล้วก็ตอนนี้ในใจคุณทั้งโกรธทั้งเสียใจมากแค่ไหน คุณแสดงออกมาให้เธอเห็นก็โอเคแล้ว เธออุตส่าห์ยอมทุ่มทำตั้ถึงนาดนี้ ไม่ใชเพื่ออย่างนี้เรอะ? ว่าแต่คุณเถอะ เธอทำแบบนี้คืออยากหาเรื่องคุณชัดๆ คุณยังจะไปทำให้เธอพอใจอีก คุณประสาทรึเปล่า?”

สวีหลีเฟย “ก็เธอยังค้างเงินตามสัญญาอยู่อีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้จ่ายให้ฉันนี่”

 

ระหว่างที่หร่วนอี้เฉินกับฟู่เซิงเซิงเดินเข้ามาหา สวีหลีเฟยก็นึกถึงตอนที่ยังคบกับหร่วนอี้เฉิน

เธอคบกับเขาอยู่สี่เดือนกว่า และเกือบจะแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว เธอถึงขนาดวางแผนจะรื้อบ้านทิ้งแล้วสร้างใหม่ให้กว้างขวางขึ้น เวลามีลูกจะได้ไม่อึดอัดคับแคบเกินไป แต่คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า นาทีข้างหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

คืนวันนั้นของเมื่อสองเดือนก่อน หร่วนอี้เฉินเมาแอ๋กลับมา เข้าประตูมาปุบ ก็จ้องหน้าเธอเขม็งเหมือนไม่รู้จัก ขมวดคิ้วถามเธอว่า “คุณคือใคร?”

สวีหลีเฟยนึกว่าเขาเมาจนสติสตังไม่ค่อยปกติ จึงถอดรองเท้าให้เขาพลางพูดเล่นว่า “ผู้น้อยสวีหลีเฟย นายน้อยมักจะเรียกผู้น้อยว่าเฟยเฟยเจ้าค่ะ”

หร่วนอี้เฉินจ้องหน้าเธอเขม็งอีกพักหนึ่ง ส่ายหน้า “ไม่ คุณไม่ใช่เฟยเฟย” (ตัว “เฟย” ของเนี่ยเฟยเฟย)

สวีหลีเฟยพาเขาไปนั่งที่โซฟา พูดเล่นด้วยต่อ “ทำไมฉันถึงไม่ใช่เฟยเฟยล่ะ?”

หร่วนอี้เฉินพิงศีรษะกับโซฟา หลับตาลง เหมือนจมอยู่ในห้วงความคิด “เขาบอกผมว่าคุณไม่ใช่เธอ” เงียบไปหลายวินาที พูดอีกว่า “ผมรู้สึกว่าเขาพูดถูก คุณไม่ใช่เธอจริงๆ”

เมื่อก่อนเวลาหร่วนอี้เฉินเมา เขาจะเงียบมากไม่พูดมากอย่างครั้งนี้ เธอนึกอยากรู้ขึ้นมา จึงถามว่า

“งั้นคุณลองบอกมาหน่อย ถ้าฉันไม่ใช่เฟยเฟยแล้วฉันเป็นใคร?”

หร่วนอี้เฉินลืมตาขึ้นเหมือนงงๆ ครู่ใหญ่ค่อยพูดว่า “คุณก็คือเฟยเฟยเหมือนกัน ใช่ คุณก็คือเฟยเฟยเหมือนกัน” (ตัว เฟย ของสวีหลีเฟย) ขมวดคิ้วทำท่าคิดอีกครู่หนึ่ง พูดช้าๆ ว่า “แต่คุณคือสวีหลีเฟย ไม่ใช่เนี่ยเฟยเฟย”

จนถึงตอนนี้สวีหลีเฟยก็ยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ ถามต่อไปเรื่อยเปื่อยว่า “เนี่ยเฟยเฟย? เนี่ยเฟยเฟยคือใครคะ?”

หร่วนอี้เฉินหลับตาลงอีกครั้ง นานมากจนเธอนึกว่าเขาหลับไปแล้ว เขาค่อยตอบว่า “คนที่ผมชอบ”

สวีหลีเฟยจำไม่ได้ว่าคืนนั้นเธอคิดอะไรบ้าง แต่คืนนั้นเหมือนผ่านไปช้ามาก กว่าจะข่มตาหลับลงได้ก็ตอนที่ฟ้าเริ่มสาง ตื่นมาก็เลยเที่ยงแล้ว หร่วนอี้เฉินได้จากไป ไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้เลยนอกจากกระดาษโน้ตแผ่นเดียว

ในกระดาษโน้ตเขียนบอกเธอว่า “ขอโทษด้วย ถึงเวลาที่ควรจะแยกทางกันแล้ว” ตัวหนังสือไม่กี่ตัวเขียนขึ้นอย่างหวัดมาก เธอไม่รู้ว่าตอนที่เขาเขียนข้อความนี้ เขาสร่างเมาหรือยัง พอโทรไปหา กลับมีแต่เสียงสายไม่ว่าง

คืนวันนั้น เธอเปิดไฟในบ้านสว่าง มองดูบ้านที่ว่างเปล่า ค่อยได้สติตื่นจากอาการมึนงงมาตลอดทั้งวัน

ถึงเรื่องจะเกิดขึ้นกะทันหัน แต่เธอกับหร่วนอี้เฉินก็แยกทางกันแล้วจริงๆ

หลังจากนั้นเธอถึงได้ยินข่าวลือเรื่องหร่วนอี้เฉินรักแรกพบเธอ ได้ยินเรื่องเล่าลือที่ว่าตอนได้พบเธอครั้งแรก หร่วนอี้เฉินเอารูปถ่ายของเธอเที่ยวสอบถามไปทั่วทั้งเกาะ เธอถึงค่อยลำดับความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ในที่สุด

นั่นไม่ใช่รูปถ่ายของเธอ นั่นน่าจะเป็นรูปถ่ายของเนี่ยเฟยเฟย บางทีเธอกับเนี่ยเฟยเฟยอาจจะหน้าตาเหมือนกันมาก หร่วนอี้เฉินจึงจำผิดคน...รักผิดคนมาตลอด ดังนั้นเขาถึงได้บอกเธอว่าขอโทษ เขาย่อมจะไม่ได้รักเธออย่างแน่นอน ดังนั้นถึงได้บอกเธอว่าถึงเวลาที่ควรจะแยกทางกันแล้ว

พอคิดได้กระจ่าง สวีหลีเฟยก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะน่าขำ และน่าเจ็บปวด หลังจากนั้นเธอก็ไปร้องเพลงที่ร้านของชิงหยวนหนึ่งสัปดาห์ ได้เงินมาก้อนหนึ่ง ก็สะพายกล้อง หิ้วสัมภาระเดินทางไปทางตะวันตก บอกว่าไปจาริกแสวงบุญ หลังจากกลับมาตัวก็ดำไปถึงสองเบอร์

สวีหลีเฟยชินกับการใช้กล้องอนาล็อค ในบ้านสร้างห้องมืดเล็กๆ ไว้หนึ่งห้อง เธอล้างรูปถ่ายในห้องมืดอยู่หนึ่งสัปดาห์ ได้รูปถ่ายขาวดำออกมาเกือบร้อยรูป เป็นรูปหน้าคนที่กำลังมีความทุกข์ในแบบต่างๆ ทั้งหมด ทั้งเสียใจ เศร้าใจ โกรธ ดิ้นรน เลื่อนลอย ฯลฯ มีทุกเพศทุกวัย จากนั้นเธอบอกชิงหยวนว่า “ดูสิว่าในโลกนี้ทุกคนต่างมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กๆ”

สวีหลีเฟยเก็บภาพถ่ายเหล่านี้ไว้ในกล่องไม้ จากนั้นก็กลับเป็นปกติเหมือนไม่ได้เจอเรื่องสะเทือนใจอะไรมาเลย

เมื่อครึ่งเดือนก่อน สวีหลีเฟยเห็นข่าวการหมั้นของหร่วนอี้เฉินในทีวี หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ในกล่องจดหมายรับงานก็ได้รับจดหมายขอนัดพบจากผู้จัดการส่วนตัวของฟู่เซิงเซิง บอกว่าฟู่เซิงเซิงเห็นภาพถ่ายวิวทะเลกับเกาะที่สวีหลีเฟยถ่ายลงในเน็ตแล้วชอบมาก เลยอยากให้เธอช่วยถ่ายภาพส่วนตัวบนเกาะให้สักชุด ให้ค่าตอบแทนสูงมาก พักนี้สวีหลีเฟยกำลังขาดเงิน อยากจะเปลี่ยนกล้องถ่ายรูปตัวใหม่อยู่พอดี ถ่ายให้ฟู่เซิงเซิงชุดเดียวเท่ากับถ่ายให้คนอื่นสิบชุด เธอจึงรับงานนี้

 

หร่วนอี้เฉินกับฟู่เซิงเซิงเดินเข้ามาจนใกล้ ชิงหยวนปั้นหน้าเข้าไปทักทายก่อนอย่างเป็นมิตร ฟู่เซิงเซิงเห็นสวีหลีเฟยเดินตามหลังชิงหยวนมา ก็กอดแขนหร่วนอี้เฉินอย่างสนิทสนมกว่าเดิม ปั้นหน้าพูดว่าพอดีคู่หมั้นฉันแวะมาหา เลยจะขอเปลี่ยนจากที่ตกลงกันไว้เดิมว่าถ่ายเดี่ยวเป็นถ่ายคู่ คงไม่มีปัญหานะ? น้ำเสียงมีแวววัวสันหลังหวะเล็กๆ เพราะถึงจะแสดงเก่งยังไง ก็ยังอายุแค่ 21 ปี ยังเด็กอยู่

สวีหลีเฟยบอก ไม่มีปัญหา จะถ่ายตามแบบที่กำหนดไว้เดิมหรือเลือกท่าโพสต์ใหม่แบบสำหรับถ่ายคู่?

หร่วนอี้เฉินขมวดคิ้ว ปากพูดกับฟู่เซิงเซิง แต่ตามองสวีหลีเฟยเขม็ง “ไม่ต้องเปลี่ยน คุณถ่ายไปคนเดียว ผมจะกลับโรงแรมไปก่อน”

ฟู่เซิงเซิงรีบกอดแขนเขาพูดอ้อนทันที “ไหนว่าจะถ่ายเป็นเพื่อนฉันไงคะ”

หร่วนอี้เฉินยังคงมองหน้าสวีหลีเฟย “ผมไม่ชอบช่างภาพ”

ฟู่เซิงเซิงอ้อนต่อ “แต่ว่าไม่มีช่างภาพคนอื่นแล้วนี่คะ เมื่อวานนี้คุณเพิ่งพูดเองว่าจะดีกับฉัน ถ้าคุณไม่ถ่ายเป็นเพื่อนฉัน งั้นฉันก็ไม่ถ่ายละ”

ชิงหยวนเห็นว่าหร่วนอี้เฉินพูดแบบนี้ทำร้ายจิตใจกันเกินไป กำลังจะพูดอะไรบ้าง สวีหลีเฟยก็จุดบุหรี่สูบ แล้วพูดว่า “ในสัญญาเขียนไว้แล้วว่า ต่อให้พวกคุณยกเลิกไม่ถ่ายกะทันหัน ทางฉันก็ไม่คืนเงินมัดจำให้ พวกคุณลองคิดดูอีกทีนะ”

หร่วนอี้เฉินพาลใส่ทันที “คุณอยากถ่ายรูปคู่ให้ผมขนาดนี้เชียว? งั้นถ่ายคอนเซปป์ป่าทึบแล้วกัน ให้ฟู่เซิงเซิงใส่ชุดกระโปรงสีขาววิ่งออกมาจากป่าทึบ จากนั้นวิ่งเข้ามาชนใส่อกผม ให้คุณถ่ายชั่วพริบตานั้นออกมา แล้วก็ภาพวิ่งไล่จับกัน ภาพจูบกัน” เขาเอามือเสยผมอย่างหงุดหงิด สายตายิ่งเย็นชา “ถ่ายแบบนี้แหละ”

ความจริงแล้วรายละเอียดที่ว่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่หร่วนอี้เฉินกับสวีหลีเฟยเคยตกลงกันไว้ ตอนนั้นทั้งสองขลุกอยู่บนโซฟาดู DVD ด้วยกัน ภาพบนหน้าจอเป็นป่าทึบที่ม่านหมอกบางๆ ปกคลุม หร่วนอี้เฉินดูอย่างอินมาก พูดกับสวีหลีเฟยว่า “ต่อไปตอนเราถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันไปถ่ายกันที่นี่แหละ”

สวีหลีเฟยที่นอนหนุนอกเขาอยู่ยิ้มออกมา “ใช่ค่ะ ต้องเป็นเวลาที่พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นด้วยนะ แสงที่แสบตาถูกต้นไม้ยักษ์พวกนั้นกรองไว้ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ฉันสวมมงกุฎดอกไม้ สวมชุดกระโปรงสีขาว วิ่งลนลานออกมาจากในป่า ชนเข้าใส่หน้าอกคุณพอดี ฉันเงยหน้าขึ้นมองคุณ แสงจะต้องส่องมาจากทางนี้” เธอชี้มือ “แบบนี้ใบหน้าด้านข้างจะยิ่งดูมีมิติ ส่วนสีหน้าของคุณ ก็ต้องตกตะลึง ในดวงตาต้องมีแววชื่นชมอยู่นิดๆ...อย่าว่าเลย ที่นี่นี่เหมาะจะถ่ายรูปพรีเวดดิ้งคอนเซปป์นี้มากจริงๆ ถัดมายังถ่ายภาพจำพวกวิ่งไล่จับกันเอย ภาพจูบกันเอยได้ด้วย ใช้แสงแบบที่ดูสลัวๆ ลึกลับๆ หน่อย...”

เขาขัดจังหวะเธอพูดซ้ำว่า “ไล่จับ จูบกัน...” แล้วยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร รั้งคอเธอมาจูบ

 

สวีหลีเฟยดับบุหรี่ คิดในใจ ทำไมคนเราถึงต้องทำร้ายกันด้วย?

ชิงหยวนดูจะรู้สึกว่าการถ่ายรูปแบบนี้โหดร้ายเกินไปสำหรับสวีหลีเฟย จึงยิ้มประจบพูดว่า “ตอนนี้บ่ายสี่โมงกว่าแล้ว อีกเดี๋ยวเดียวแสงในป่าจะอ่อนเกินไปแล้ว คง...”

สวีหลีเฟยตัดบทเพื่อนว่า “ใช้แสงเสริม คุณหนูฟู่ไปแต่งหน้าเพิ่ม ถ้ามีกระโปรงขาวก็เปลี่ยนไปสวมกระโปรงขาว แล้วเริ่มถ่ายกันได้”

ระหว่างที่ถ่าย หร่วนอี้เฉินเอาแต่มองหน้าสวีหลีเฟยเขม็งโดยที่ฟู่เซิงเซิงซึ่งซบหน้ากับอกเขาอยู่มองไม่เห็น สวีหลีเฟยเจอเข้าไปหลายเทค จึงต้องพูดว่า “หลุบตาลงด้วยค่ะ จะลืมตาหรือหลับตาก็ได้ ถึงต้องเสแสร้งก็ช่วยเสแสร้งให้มันดูอินหน่อย”

หลังจากพูดประโยคนี้ออกไป หร่วนอี้เฉินก็ไม่มองหน้าเธออีกเลย

กว่าจะถ่ายเสร็จปาเข้าไปสองทุ่ม ระหว่างทางนั่งเรือกลับ ชิงหยวนได้ยินสวีหลีเฟยถามเขาว่า “ทำไมคนเราถึงต้องทำร้ายกันและกันด้วย?”

ชิงหยวนนิ่งคิดอยู่นาน ตอบเบาๆ ว่า “อาจเป็นเพราะต้องการยืนยันว่าตัวเองยังคงสำคัญมากสำหรับอีกฝ่ายละมัง”

สวีหลีเฟยยิ้ม “หยวนหยวน คุณนี่เป็นนักปราชญ์จริงๆ”

 

กลับถึงบ้านวันนั้น สวีหลีเฟยก็เริ่มมีไข้ต่ำ เธอนึกว่าไปตากแดดตากลมมาจึงมีไข้ จึงกินยาลดไข้แล้วไปนอน ตื่นเช้ามาไข้ไม่ลด แถมอาการยิ่งหนักกว่าเดิม ตอนลุกมารินน้ำในครัวดื่ม เธอหน้ามืดเป็นลมหมดสติไป เคราะห์ดีที่ลูกชายคนเล็กของโรงเตี๊ยมข้างบ้านปีนหน้าต่างเข้าไปพบเข้า สวีหลีเฟยจึงถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล

ชิงหยวนไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เอามือถือ โน้ตบุ๊ก และกวาดของทุกอย่างในลิ้นชักโต๊ะของสวีหลีเฟยใส่ถุงพลาสติกมาให้ ในนั้นมีปากกาบันทึกเสียงด้วย 1 เล่ม

สวีหลีเฟยไข้ลด สีหน้าดูดีขึ้นแล้ว แต่สภาพบอกว่าป่วยไข้ขึ้นมาหลายวัน และหมอยังคงให้นอนโรงพยาบาลดูอาการอีก 2-3 วัน เธอบอกว่าปากกาบันทึกเสียงไม่ใช่ของเธอ เด็กข้างบ้านเก็บขวดที่ลอยมากับทะเลได้ ปากกานี้อยู่ในขวด ตอนเอาออกมาเปิดดู มันก็เสียแล้ว ไม่มีเสียง จึงเอามาให้เธอลองซ่อมดู เธอซ่อมเสร็จแล้ว ก็ยังไม่มีเสียง คาดว่าถ่านน่าจะหมด จึงบอกชิงหยวนว่ามาเยี่ยมครั้งหน้า ช่วยเอาถ่านมาให้เปลี่ยนด้วยนะ

ชิงหยวนบอกว่า vic ยังอยู่บนเกาะที่ถ่ายรูปนั่น จะให้เขาบอก vic ไหมว่าเธอป่วย? สวีหลีเฟยบอกว่าไม่ต้อง เธอแค่เป็นหวัดติดเชื้อแรงหน่อยเท่านั้น ความจริงต่อให้เธอป่วยตายไปก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องไปบอกเขา เพราะเธอกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว

ชิงหยวนคิดอยู่นาน ค่อยพูดว่า “ผมรู้สึกว่าพอเลิกกับเขาแล้ว ความจริงคุณดูเสียใจมาก”

สวีหลีเฟย “คนสองคนที่รักกันมาก จากนั้นมาแยกทางกัน ต่างก็เจ็บปวด แน่ละว่ามันไม่หายดีภายในเวลาแค่เดือนสองเดือนหรอก แต่สักวันหนึ่งเรื่องพวกนี้จะผ่านพ้นไป ฉันกำลังรอให้ถึงวันนั้น ดังนั้นคุณไม่ต้องหวังดีมาเกลี้ยกล่อมให้ฉันเดินย้อนกลับไปหรอก”

 

ผ่านไปอีก 2-3 วัน ชิงหยวนมาเยี่ยมสวีหลีเฟยอีกครั้ง เอาถ่านมาให้ด้วย สวีหลีเฟยลองใส่ถ่านใหม่ในปากกาบันทึกเสียงดู เสียบหูฟัง เปิดเครื่อง ปากกาบันทึกเสียงก็ทำงาน มีเสียงออกมา เสียงหญิงสาวคนหนึ่ง

สวีหลีเฟยฟังเสียงจากในปากกาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูห้องถูกเคาะสองครั้ง บุรุษพยาบาลเปิดประตูเข้ามา ข้างหลังมีผู้ชายแปลกหน้าตามหลังมาด้วยหนึ่งคน และหมอพยาบาลอีกหนึ่งโขยง ในจำนวนนี้มีหมอเจ้าของไข้ของสวีหลีเฟยอยู่ด้วย สวีหลีเฟยแปลกใจว่าเธอก็ไม่ได้ป่วยหนักอะไร มากันทำไมเยอะแยะ

ชายแปลกหน้าตัวสูงมาก บุคลิกดีมาก เขากำลังก้มหน้าลงฟังหมอเจ้าของไข้ของเธอพูดอะไรบางอย่าง ในหูของสวีหลีเฟย เสียงของหญิงสาวในปากกายังคงพูดไปเรื่อยๆ

“ฉันไม่อยากนำพาคำพูดเหล่านี้จากไป ฝังอยู่ใต้ทะเลลึกตลอดกาลร่วมกับฉัน ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้ฟัง เช่นนั้นเขาก็จะได้รู้ว่า ในโลกใบนี้ ฉันได้เหลืออะไรไว้ให้เขา...”

ชายแปลกหน้าพยักหน้าให้หมอเจ้าของไข้ สวีหลีเฟยเอาหูฟังออก หมอเจ้าของไข้พาหมอพยาบาลคนอื่นๆ ออกไปจากห้อง เหลือแต่ชายแปลกหน้าอยู่ในห้องคนเดียว เขามองดูเธออย่างสงบอยู่ปลายเตียง

สวีหลีเฟยถามออกไปว่า “คุณคือใคร?” เสียงของเธอเหมือนกับเสียงของผู้หญิงในปากกาบันทึกเสียงไม่มีผิดเพี้ยน สวีหลีเฟยตกตะลึง

ชายแปลกหน้าตอบเธอเบาๆ “เนี่ยอี้”

เธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ตอนที่ได้ยินชื่อนี้ อีกชื่อหนึ่งได้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เธอลองถามดูว่า “คุณก็แซ่เนี่ย? งั้นเนี่ยเฟยเฟยเป็นอะไรกับคุณ?”

ในห้องคนไข้เงียบกริบไปหลายวินาที สีหน้าชายแปลกหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เธอกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนอย่างประหลาด เสียงของเขาที่เอ่ยตอบก็อ่อนโยนมาก “เธอเป็นภรรยาของผม”

สวีหลีเฟยตกตะลึง ทำท่าจะจับอะไรบางอย่างที่วาบขึ้นมาในศีรษะได้

หร่วนอี้เฉินเอารูปถ่ายของเนี่ยเฟยเฟยไปเที่ยวสอบถามตามหาเสียทั่ว สุดท้ายหาตัวเธอพบ คนที่เคยเห็นรูปถ่ายใบนั้นต่างบอกว่า ผู้หญิงในรูปถ่ายใบนั้นหน้าเหมือนเธอเปี๊ยบ

หร่วนอี้เฉินปักใจยึดติดกับเนี่ยเฟยเฟย ที่แยกทางกับเธอเพราะพบว่าเธอไม่ใช่เนี่ยเฟยเฟย แต่พอเธอล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล บนเกาะกลางทะเลที่อยู่ไกลลิบแห่งนี้ สามีของเนี่ยเฟยเฟยกลับมาโผล่ในห้องคนไข้ที่เธอพักอยู่กะทันหัน

ยี่สิบกว่าปีมานี้สวีหลีเฟยหวาดกลัวแต่เรื่องที่ตัวเองควบคุมไม่ได้เท่านั้น การคิดโยงอย่างไม่แน่ใจอยู่ในศีรษะ ทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างหาได้ยากยิ่ง

เนี่ยอี้ก้มหน้าลงมองเธอ น้ำเสียงนิ่งมาก “คุณยังอยากจะถามอะไรผมอีก?”

สวีหลีเฟยตะลึง “งั้นเนี่ยเฟยเฟย...เป็นอะไรกับฉัน?”

ดวงตาดำสนิทของเนี่ยอี้เหมือนมีแววปวดร้าววาบขึ้น เธอไม่แน่ใจ แววตานั้นวาบขึ้นวูบเดียวก็หายไป เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แค่พูดปลอบใจว่า “คืนนี้คุณพักผ่อนให้สบายเถอะ พรุ่งนี้เราจะย้ายโรงพยาบาลกัน”

 

คืนนั้น เนี่ยอี้นั่งอยู่ในห้องคนไข้ของสวีหลีเฟยอยู่นานมาก แต่ไม่พูดอะไรอีกเลยแม้แต่คำเดียว ถึงสวีหลีเฟยจะหลับตาลงก็ยังคงรู้สึกได้ว่า สายตาของเนี่ยอี้จับอยู่ที่เธอตลอดเวลา

ต่อมาเธอหลับไป ตื่นมาอีกที เนี่ยอี้ก็ไม่อยู่แล้ว เธอพลิกตัว ทับปากกาบันทึกเสียง ถึงค่อยนึกได้ว่าลืมปิดเครื่อง จึงเอาหูฟังขึ้นมาสวมดู เสียงของหญิงสาวในปากกายังคงพูดต่อไป

“เมื่อกี้พูดไปถึงไหนแล้วนะ? อ๋อ ใช่ เหตุการณ์บนเกาะไวโอเล็ต ตอนนั้นคุณจูบฉัน คุณคงจะสังเกตเห็นท่าทางเงอะงะของฉันแล้วละสิ ฉันตกตะลึงจังงังไปเลย”

เสียงของหญิงสาวในปากกากำลังหัวเราะ “แน่นอนละว่านั่นไม่ใช่จูบแรกของฉันหรอก จูบลาตอนที่แยกทางกับคุณที่หอประชุมใบไม้แดงนั่นต่างหากค่ะที่ใช่ น่าเสียดายที่ตอนนั้นฉันใจเสาะเกินไป แค่กล้าจูบมุมปากคุณเท่านั้น”

เสียงหญิงสาวหยุดไปครู่ใหญ่ “ยังห่างจากเวลาพระอาทิตย์ตกดินอีกนาน เราพูดเรื่องอื่นกันบ้างดีกว่า ดูสิ เนี่ยอี้ ต่อให้เป็นแค่ความทรงจำ ขอเพียงเกี่ยวข้องกับคุณ มันก็มอบความกล้าหาญให้แก่ฉันแล้ว”

มือที่กุมปากกาบันทึกเสียงของสวีหลีเฟยกระตุกโดยแรงทันที เธอได้ยินเสียงผู้หญิงในปากกาเรียกชื่อ “เนี่ยอี้” อย่างชัดเจน และผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเธอตลอดก่อนเธอจะหลับไป ก็บอกเธอว่าเขาชื่อ “เนี่ยอี้” เช่นกัน

เสียงในปากกาเล่าแจ้วๆ ไปถึงเหตุการณ์กว่าที่เธอจะได้แต่งงานกับเนี่ยอี้...
แก้ไขเมื่อ 9 ต.ค. 2560, 21:13 โดย หลินโหม่ว

Admin เข้าร่วมเมื่อ 2 ต.ค. 2560, 08:24

0 ความคิดเห็น