หัวข้อ : องก์ที่ 2 หากรักมีชีวิตอื่น (5)

โพสต์เมื่อ 9 ต.ค. 2560, 21:39

องก์ที่ 2
หากรักมีชีวิตอื่น (5)

 

ก่อนจะเดตกัน ยังต้องไปกินข้าวเช้าก่อน เนี่ยอี้ล่วงหน้าไปที่ร้านอาหารก่อน เนี่ยเฟยเฟยเก็บของเสร็จจึงตามหลังไปในครึ่งชั่วโมงถัดมา เจอสวี่ซูหรานถือกะดาษในมือหลายม้วนท่าทางรีบร้อนที่หน้าประตูร้านอาหารพอดี เนี่ยเฟยเฟยหลีกทางให้ เชิญเขาเข้าไปก่อน สวี่ซูหรานชะงัก พูดกับเธอว่า “พอดีเลย ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน เซ็ตภาพที่เมื่อวานเลือกออกมา อยากให้คุณร่วมให้ความเห็นด้วยหน่อย”

เนี่ยเฟยเฟยดูนาฬิกา ตอบเขาว่า “งั้นหลังข้าวเช้าฉันจะกันเวลาให้ครึ่งชั่วโมง...”

มีสตาฟในกองถ่ายคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี สวี่ซูหรานเรียกตัวมาสั่งว่า “คุณช่วยไปบอกแฟนของคุณเนี่ยหน่อยนะว่า ผมขอยืมเวลาอาหารเช้าของเธอคุยเรื่องงานกับเธอนิดหน่อย”

เนี่ยเฟยเฟย “หา?”

สวี่ซูหราน “ผมขอลาให้คุณเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาแล้วนะ?”

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ได้แต่ยอมตาม เธอพูดอย่างหมดแรง “ไม่มีปัญหาแล้วค่ะ”

 

สวี่ซูหรานเลือกนั่งที่โต๊ะกลางแจ้งแบบสองที่นั่ง แล้วให้บริกรต่อโต๊ะเพื่อวางรูปถ่าย ภายในผนังกระจกคือห้องอาหารหลัก ตอนเนี่ยเฟยเฟยนั่งลง เห็นเนี่ยอี้มองมาที่เธอ เธอจึงโบกมือให้เขา ชี้ที่นาฬิกาข้อมือ แล้วทำมือเป็นจำนวน 9 ตามด้วยทำมือ OK เนี่ยอี้พยักหน้า

สวี่ซูหรานประหลาดใจ “เผื่อเวลาให้ผม 90 นาที? ใจกว้างดีนี่ ตอนนี้ 08:40 น. งั้นเราสองคน...”

เนี่ยเฟยเฟยพูดอย่างเยือกเย็น “คิดมากไปแล้วค่ะ ผู้กำกับสวี่ เรามารีบรบรีบจบ รีบทำงานให้เสร็จก่อน 09:00 น.กันเถอะ”

สวี่ซูหรานนั่งลง “แค่ 20 นาทีเอง?”

เนี่ยเฟยเฟย “นานมากแล้วค่ะ คุณดูสิ ในเรื่อง ‘ผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก 4’ ผู้ก่อการร้ายระเบิดพระราชวังเครมลินของรัสเซีย ก็ใช้เวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้น นั่นน่ะพระราชวังเครมลินเชียวนะ ใน Transformers ดีเซปทิคอนส์ถล่มฮ่องกงครึ่งเกาะ ก็ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 20 นาทีเหมือนกัน นั่นน่ะฮ่องกงตั้งครึ่งเกาะเชียวนะ”

สวี่ซูหรานมองหน้าเธออยู่อึดใจใหญ่ พูดยิ้มๆ ว่า “เนี่ยเฟยเฟย คุณนี่น่าสนใจดีนะ” แล้ววางรูปถ่ายในมือลง “กับแฟนคุณ คุณก็ล้อเล่นแบบแถๆ อย่างนี้ด้วยรึ?”

เนี่ยเฟยเฟยมองเนี่ยอี้ เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ “พอไหวค่ะ”

สวี่ซูหรานก็มองเนี่ยอี้ด้วย “เขาดูไม่เหมือนคนที่ชอบพูดล้อเล่นเลยนะ”

เนี่ยเฟยเฟย “ทุกคนก็บอกแบบนี้ค่ะ แต่คุณลองเดาดูสิ ถ้าฉันพูดกับเขาเหมือนที่พูดกับคุณเมื่อกี้ เขาจะตอบว่ายังไง?”

สวี่ซูหราน “ทฤษฎี 20 นาทีนั่นน่ะรึ?”

เนี่ยเฟยเฟยพยักหน้า “ทฤษฎี 20 นาที”

สวี่ซูหราน “เหลวไหล?”

เนี่ยเฟยเฟยส่ายหน้า “เขาต้องพูดแหงๆ ว่า เนี่ยเฟยเฟย เชื่อไหมว่าผมก็แยกร่างคุณได้ในเวลาแค่ไม่ถึง 20 นาทีเหมือนกัน”

สีหน้าสวี่ซูหรานบรรยายไม่ถูก

เนี่ยเฟยเฟย “อย่าสงสัยเลย เขาเป็นยอดฝีมือด้านเทควันโด แยกร่างฉันได้ภายในเวลาแค่ไม่ถึง 20 นาทีจริงๆ นั่นแหละ”

สวี่ซูหราน “พวกคุณรักกันมาก”

เนี่ยเฟยเฟยชะงัก สีหน้าแข็งทื่อ พึมพำว่า “อืม พอไหวอยู่ค่ะ” แล้วเปลี่ยนเรื่องว่า “มา ทำงานๆ เรามาเริ่มจากภาพไหนก่อนดี?”

 

จากเดิมนัดเนี่ยอี้ไว้ว่าเสร็จ 09:00 น. เอาเข้าจริงกว่าจะเสร็จ ปาเข้าไป 09:30 น. พอสวี่ซูหรานลุกจากโต๊ะไป เซี่ยหมิงเทียนก็ถือแก้วกาแฟเข้ามาเสียบแทนทันที แซวว่าระวังจะโดนพวกสาวๆ นักแสดงที่พยายามเข้าไปจีบเนี่ยอี้ระหว่างที่เนี่ยเฟยเฟยคุยงานอยู่กับสวี่ซูหรานแย่งตัวเนี่ยอี้ไปนะ

เนี่ยเฟยเฟยศอกกลับว่าคำพูดกับน้ำเสียงเธอสวนทางกันอยู่นะ เซี่ยหมิงเทียนเลยหัวเราะ บอกว่า ถ้าเนี่ยอี้จีบติดง่ายขนาดนี้ คงเสร็จเธอไปนานแล้ว เจี่ยนซีน่ะสวยขนาดดาราพวกนั้นเห็นแล้วต้องละอายไปกินยาพิษฆ่าตัวตายเลยด้วยซ้ำ เนี่ยอี้ยังไม่หวั่นไหวเลยสักนิด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเนี่ยอี้มาลงเอยกับเนี่ยเฟยเฟยนะ เธอคงสงสัยไปนานแล้วว่าเนี่ยอี้อาจจะเป็นเกย์

เนี่ยเฟยเฟย “แล้วถ้าฉันเลิกกับเนี่ยอี้ล่ะ?”

เซี่ยหมิงเทียนพูดอย่างมั่นใจมาก “งั้นเนี่ยอี้ต้องชอบผู้ชายชัวร์ป้าบ”

เนี่ยเฟยเฟยเห็นว่าเธอควรต้องช่วยพูดแก้ต่างแทนเนี่ยอี้ในเรื่องนี้สักหน่อย จึงบอกว่า “หมิงเทียนเอ๋ย คนเราจะฟันธงอย่างมั่นใจขนาดนี้ไม่ได้หรอก ต่อให้ฉันกับเนี่ยอี้เลิกกัน ก็จะมาบอกว่าแนวโน้มทางเพศของเนี่ยอี้มีปัญหาไม่ได้ มันต้องมีหลักฐานประกอบด้วย ถ้ามีปัญหาเรื่องแนวโน้มทางเพศจริงๆ เขาต้องมีคนที่ชอบอยู่ หรือสนิทกับใครเป็นพิเศษ...”

เซี่ยหมิงเทียนพูดฝืนๆ “เนี่ยอี้เขา...สนิทกับพี่ชายฉันเป็นพิเศษ...”

เนี่ยเฟยเฟย “......”

เซี่ยหมิงเทียน “......”

สองสาวเงียบกริบกันไปทั้งคู่ สุดท้ายเซี่ยหมิงเทียนพูดขึ้นว่า “ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แล้วเธอจะทำยังไง พี่สะใภ้ฉันล่ะจะทำยังไง? ฉันน่ะชอบเธอกับชอบพี่สะใภ้ฉันมากเลยนะ”

เนี่ยเฟยเฟย “เธอคิดมากเกินไปแล้ว พี่ชายเธอเจ้าชู้ออกขนาดนั้น จะเป็นเกย์ได้ยังไง มีแฟนสาวเปลี่ยนหน้าไม่เคยขาดแบบนั้น แถมตอนนี้ยังแต่งงานแล้วด้วย...”

เซี่ยหมิงเทียนเงียบไปชั่วครู่ พูดต่อว่า “ไม่แน่ที่แต่งงานอาจจะเพื่อประชดเนี่ยอี้ก็ได้ หวังให้เนี่ยอี้สารภาพว่ารักเขาไง ในหนังเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น”

เนี่ยเฟยเฟย “แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สารภาพรักไม่ใช่เหรอ? แสดงว่าเนี่ยอี้เขา...”

เซี่ยหมิงเทียน “ผลคือไม่นึกว่าจะประชดแรงไป เนี่ยอี้เลยมาหมั้นกับเธอซะเลย”

เนี่ยเฟยเฟยมองหน้าเพื่อนอยู่พักใหญ่ เถียงไม่ออก

 

ห้านาทีให้หลังค่อยปลีกตัวจากเซี่ยหมิงเทียนไปหาเนี่ยอี้ได้ เวลานั้นตรงหน้าเนี่ยอี้ไม่มีคนนั่งอยู่แล้ว เนี่ยเฟยเฟยไปนั่งลง เห็นแก้วนมวางอยู่ ไม่รู้ว่าของใครกินเหลือไว้หรือเปล่า จึงเลื่อนออกไป เนี่ยอี้เลื่อนแก้วนมกลับมา พูดว่า “เพิ่งใส่น้ำผึ้งให้เมื่อกี้ ยังไม่มีใครกิน”

เนี่ยเฟยเฟย “ไม่แน่ว่าฉันอาจจะแค่ไม่ชอบดื่มนมก็ได้”

เนี่ยอี้ “ตัดคำ ‘ไม่แน่ว่า’ ออก ประโยคนี้จะฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น”

เนี่ยเฟยเฟยพูดยิ้มๆ “แหม ทำไมเอาแต่คอยจับผิดคำพูดฉันอยู่เรื่อย รู้ว่าฉันไม่ฉลาดแล้วไม่ยอมอ่อนข้อให้กันบ้างเลยเหรอ?”

เนี่ยอี้มองหน้าเธอ ยิ้มออกมานิดๆ ในที่สุด ยื่นขนมปังที่ทาแยมเรียบร้อยไปให้ “ยอมอ่อนข้อให้ไม่ได้ช่วยพัฒนาไอคิวของคุณสักหน่อย ให้นมคุณกินต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง”

เนี่ยเฟยเฟย “คุณยิ้มแล้วน่าดูมากเลยค่ะ เนี่ยอี้ คุณต้องยิ้มบ่อยๆ นะ”

เนี่ยอี้หุบยิ้ม อึดใจใหญ่ พูดว่า “คุณให้ผมแค่วันเดียว”

เนี่ยเฟยเฟยเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรนะคะ?”

เนี่ยอี้หันมองไปนอกหน้าต่าง พูดโดยไม่หันหน้ามา “ในเมื่อได้ตัดสินใจที่จะจบลงแล้ว ทำไมถึงยังอยากจะเดตกับผมอีก?”

ทำไม? เพราะคุณจะกลายเป็นความทรงจำอันแสนสำคัญของฉันน่ะสิ การพบกันและบอกลาครั้งนี้ จะกลายเป็นอดีตที่แสนสำคัญของฉันเช่นกัน อดีตที่แสนสำคัญแบบนี้ หากให้มันเปิดฉากอย่างสงบ ดำเนินไปอย่างกระอักกระอ่วน ตามด้วยจบลงอย่างปวดร้าว ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว

แต่ความจริงนี้น่ะ พูดไม่ได้หรอก

เนี่ยเฟยเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบเขาว่า “เพราะเราสองคนกำลังจะกลายเป็นอดีตของกันและกัน ฉันหวังว่าอดีตจะปิดฉากลงด้วยดีได้ทุกฉากทุกตอน”

เนี่ยอี้ทวนคำ “ปิดฉากลงด้วยดี” หันกลับมามองเธอ “การปิดฉากลงด้วยดีแบบที่คุณคาดหวัง เป็นแบบไหน?”

เนี่ยเฟยเฟยมองออกไปที่ชายหาดซึ่งเริ่มมีคนเดินเล่นอยู่ประปราย “เป็นแบบพวกเขาก็ดีออกค่ะ เดินเล่นในดงไม้ เดินเล่นริมหาด คุยกันเหมือนเมื่อก่อน...ดูเหมือนเราจะคุยกันตอนกลางคืนตลอดเลย เรื่องแบบเดินเล่นด้วยกันตอนกลางวันมีน้อยมาก”

เนี่ยอี้ “คุณงานยุ่งมากตลอด”

เนี่ยเฟยเฟย “วันนี้ฉันไม่ยุ่ง”

เนี่ยอี้ลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้เธอ “จะพาคุณไปที่แห่งหนึ่ง”

 

จากตรงนี้ไปจะเป็นการเล่าผ่านมุมมองของเนี่ยอี้

วันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2023 คืนวันนั้นฝนตกตลอด

ช่วงค่ำ เนี่ยอี้นึกถึงครั้งแรกที่เขาเดตกับเนี่ยเฟยเฟย นั่นเป็นวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ผ่านมาแล้ว 6 ปี เหตุที่เหตุการณ์เมื่อ 6 ปีก่อนผุดขึ้นมาในศีรษะกะทันหัน คงเป็นเพราะเมื่อบ่ายวันนี้เขาเห็นสวีหลีเฟยที่ระเบียงทางเดินผ่านสวน

สวีหลีเฟยย้ายจากโรงพยาบาลบนเกาะนาโกย่าเข้ามาพักที่บ้านเนี่ยอี้สิบวันแล้ว สิบวันก่อนเขาไปที่เกาะนาโกย่าบอกเธอว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะย้ายโรงพยาบาลกัน” แต่ไม่ได้บอกเธอว่า โรงพยาบาลสำหรับรักษาเธอที่ดีที่สุด คือบ้านของเขาเอง

เมื่อสามปีก่อน เพื่อรักษาเนี่ยเฟยเฟย เขาได้เปลี่ยนบ้านของตัวเองให้กลายเป็นโรงพยาบาลส่วนตัวที่ดีที่สุดสำหรับรักษาโรคยีน

เลขาฉู่จัดให้สวีหลีเฟยพักที่ห้องที่เธอเคยพัก เธอไม่มีความทรงจำเหลืออยู่แม้แต่น้อย ฟังว่าเธอถามเลขาฉู่ว่า “ที่นี่คือที่ไหนคะ? ทำไมถึงพาฉันมาที่นี่ล่ะ? ฉันคือใคร?” ฟังว่าเธอยังถามหยั่งเสียงเลขาฉู่ด้วยว่า “ฉันคือเนี่ยเฟยเฟยใช่หรือเปล่า?”

เลขาฉู่ตอบว่า “นี่คือบ้านตระกูลเนี่ยที่ผลิตยา คุณป่วย มีแต่ Yee ที่รักษาคุณให้หายได้ คุณคือสวีหลีเฟย คุณปู่คุณเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อ Yee สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่” ส่วนคำถามหลัง เลขาฉู่ไม่สามารถตอบได้

(เนี่ย) เฟยเฟย...สวีหลีเฟย โรคเดียวกัน อาการแบบเดียวกัน ตัวเลขช่วงเวลาที่โรคกำเริบแบบเดียวกัน ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถอยู่เหนือกฎของธรรมชาติไปได้ ดังนั้นเขาสามารถมอบชีวิตให้เธอได้ กลับไม่อาจมอบสุขภาพที่ดีให้เธอได้

เลขาฉู่พูดโอ้อวดเกินจริงแล้ว สวีหลีเฟยป่วยจริง อาจจะไม่มีใครรู้จักอาการของโรคของเธอดียิ่งไปกว่าเขา แต่เมื่อสามปีก่อนเขาไม่สามารถรักษาภรรยาของเขาเองให้หายได้ มาตอนนี้เขาก็จนปัญญาจะรักษาเธอได้เช่นกัน

เธอถามได้ดี เธอคือใคร

เมื่อสองเดือนก่อนมีข่าวเรื่องเธอจะแต่งงานกับหร่วนอี้เฉินแว่วออกมา ที่ร้านน้ำชาบนเกาะนาโกย่า หร่วนอี้เฉินประกาศสงครามกับเขาด้วยท่าทางคุกคามเต็มที่

“(สวี) เฟยเฟยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต้องเป็นเพราะอยากจะเริ่มต้นใหม่แน่ๆ ไม่ว่าระหว่างคุณกับเธอจะเคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน ผมจะไม่มีทางปล่อยมือทั้งนั้น ครั้งนี้ผมหาตัวเธอพบก่อน คุณไม่มีทางโชคดีเหมือนครั้งก่อนอีก”

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอหร่วนอี้เฉิน พูดคำพูดที่ราวกับเคยเจ็บปวดสิ้นหวังเพราะความรักมาก่อน กลับมีดวงตาที่ไม่เคยผ่านความสิ้นหวังมาก่อน เนี่ยอี้วางถ้วยน้ำชาลง ถามหร่วนอี้เฉิน “คุณคิดว่าเธอคือเนี่ยเฟยเฟย? เธอไม่ใช่”

หร่วนอี้เฉินเลิกคิ้วอย่างผยอง “เนี่ยเฟยเฟยที่รักคุณถึงจะเป็นเนี่ยเฟยเฟย เนี่ยเฟยเฟยที่รักผม สำหรับคุณแล้วก็ไม่ใช่เนี่ยเฟยเฟยอีก ใช่ไหม?”

เขาทำการวิจัยวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เขาเคยเชื่อสนิทใจว่า ขอเพียงยีนทั้งหมดของร่างกายสิ่งมีชีวิตนั้นยังคงเรียงลำดับกันเหมือนยีนของเธอทุกประการ อย่างนั้นนั่นก็คือเธอ แต่ถ้าในแง่ของหลักชีววิทยาแล้ว เธอยังคงเป็นเธอ ในด้านอารมณ์ความรู้สึก เธอกลับจำเขาไม่ได้อีก ไม่สนิทชิดเชื้อกับเขาอีก ไม่ต้องการเขาอีก อย่างนั้นเธอยังคงเป็นเธออยู่อีกหรือเปล่า?

ปัญหานี้ไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่หร่วนอี้เฉินจะถามออกมาได้

สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด คือเธอยังคงมีชีวิตอยู่

เขาตอบหร่วนอี้เฉินเสียงราบเรียบ “เธอจะรักใครก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่เธอยังคงมีชีวิตอยู่”

ขอแค่เธอยังคงมีชีวิตอยู่

 

ตกค่ำ เขานั่งในห้องทำงาน ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นระเบียงชมวิว แต่เพราะชอบมานั่งกันบ่อย ภายหลังเขาจึงให้เสริมหลังคาและกั้นผนังกระจกทำเป็นห้องทำงาน เนี่ยเฟยเฟยชอบมานั่งเล่นไอแพดปริศนาคำทายในห้องนี้อยู่บ่อยๆ เขาเองก็ชอบเข้ามานั่งอ่านหนังสือในห้องนี้บ่อยๆ เนี่ยเฟยเฟยมักจะถามคำถามพิลึกๆ จากเกมปริศนาคำทายให้เขาช่วยตอบเป็นประจำ

บางครั้งเนี่ยเฟยเฟยก็รู้สึกตัวเหมือนกัน ถามเขาอย่างละอายใจว่า “เอ เนี่ยอี้ คุณรู้สึกว่าบางครั้งฉันก็พูดมากจังหรือเปล่าคะ?”

เขาย้อนถามว่า “ไม่งั้นรึ?”

เนี่ยเฟยเฟย “ยังไงก็แต่งงานกันไปแล้ว จะขอคืนของก็ไม่ได้แล้วใช่ไหมล่ะ?”

เขาพูดเสียงเรียบเรื่อย “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้หรอก...”

เนี่ยเฟยเฟยจะเข้ามาคลอเคลียข้างหลังเขา มือหนึ่งยันเท้าแขนโซฟา วางศีรษะบนบ่าเขา มองเขายิ้มๆ “อดทนมาตั้งนานขนาดนี้ยังไม่คืนของ ยังไงก็ตัดใจไม่ลงใช่ไหมล่ะ?”

เขายังคงจำความรู้สึกที่ผมยาวสลวยของเธอปัดไล้ช่วงคอเขาได้ ยังไงก็ตัดใจไม่ลงใช่ไหมล่ะ?

หลังเนี่ยเฟยเฟยจากไป เขามักจะมาอยู่ที่ห้องนี้คนเดียว นานๆ ครั้งก็จะนอนค้างคืนที่นี่ เวลานอนที่นี่ เขาจะฝันถึงเธอ ฝันถึงเมื่อครั้งที่เธอชวนเขาออกเดตเป็นครั้งแรก

รายละเอียดในความฝันจะต่างกับความจริงเล็กน้อย ในความเป็นจริง ตอนที่เขาบอกเธอว่า “จะพาคุณไปที่แห่งหนึ่ง” เธอทำหน้าสงสัย แล้วยิ้มออกมาเหมือนนึกอะไรออก “เอ เนี่ยอี้ คุณอยากจะเซอร์ไพรซ์ฉันหรือ? งั้นฉันขอไปแต่งตัวก่อนนะคะ”

 

ตอนนั้นเขาพาเธอไปเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าพื้นที่กว้างใหญ่มากแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับมหาสมุทรอินเดีย มีทุ่งหญ้า มีพื้นที่ชื้นแฉะ และมีป่าทึบ สมัยเขายังวัยรุ่น เขาชอบกีฬาที่ท้าทาย มักจะมาขับรถวิบากที่นี่อยู่บ่อยครั้ง เคยขับรถทะลุป่าดิบชื้นละแวกนี้มาแล้วหลายครั้ง

วันนั้นเธอแต่งตัวสวยมาก มาย้อนนึกดูในภายหลัง เขายังแปลกใจตัวเองว่า ทั้งที่ตัวเขากำลังตั้งสมาธิกับการขับรถ ไม่ได้หันไปมองเธอ แต่ทำไมถึงได้รับรู้และมองเห็นทุกสีหน้ากิริยาของเธออย่างชัดเจน

เพื่อให้เขามีสมาธิในการขับรถ เธอแทบจะไม่ชวนคุยเลย แต่สายตามองวิวสองข้างทางเป็นประกาย คุณแม่ของเธอเล่าให้เขาฟังว่า เนี่ยเฟยเฟยชอบธรรมชาติ สมัยเด็กๆ เธอชอบดูหนังเกี่ยวกับทะเลมากที่สุด ต่อมาพอทำงานเป็นช่างถ่ายภาพใต้น้ำ ก็เปลี่ยนมาเป็นชอบดูหนังเกี่ยวกับการผจญภัยในป่ามากที่สุด

เขาพาเธอขับรถไปถึงทะเล มีนักท่องเที่ยวอยู่แค่ไม่กี่คน เธอถอดรองเท้าลงเดินย่ำหาดพลางถามเขาว่า “เอ เนี่ยอี้ ทำไมถึงพาฉันมาที่นี่ล่ะคะ?”

ทุกครั้งเวลาเธอจะถามอะไรเขา เธอมักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า “เอ” เสมอ น้ำเสียงจะให้อารมณ์นุ่มนวลอ่อนหวานกว่าปกติ

เขาตอบว่า “คุณอยากมาเดินเที่ยวที่ชายหาดไม่ใช่หรือ?”

เธอพึมพำว่า “ฉันอยากมาเดินเที่ยวชายหาดก็จริง แต่แค่ชายหาดที่นอกโรงแรมก็ได้แล้วค่ะ แบบนั่งเครื่องบินตั้งสองชั่วโมงตามด้วยขับรถอีกหนึ่งชั่วโมงอย่างนี้...นี่เป็นแค่การนัดเดตก่อนเลิกกันเท่านั้น...”

เขาคิดในใจ ต่อไปเธอต้องพูดว่า “เนี่ยอี้ คุณนี่ทำอะไรจริงจังมากเลย” เธอเหลียวกลับมามองจริงๆ เรียวปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “เนี่ยอี้ คุณทำเรื่องอะไรก็สมบูรณ์แบบไปหมดเลย”

เขารู้ดีว่าคำชมนี้ไม่ได้ต้องการให้เขาตอบ แต่ก็เอ่ยปากอยู่ดีว่า “ผมชอบที่นี่ อยากจะพาคุณมาดู”

 

ความจริงแล้ว ก็ใช่ว่าเขาจะจริงจังไปเสียทุกเรื่องหรอก เพียงแต่ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายที่เขาจะให้เธอได้ เขาก็อยากจะให้เธอได้เห็นในสิ่งที่ต่างออกไปบ้าง

เมื่อก่อนเขาคิดว่าที่เขาทะนุถนอมเธอ เพราะเธอคือคนในครอบครัวของเขา ตอนอยู่ที่เขาอวี้จงซาน เขาถึงค่อยคิดได้อย่างชัดเจนว่าความจริงแล้วไม่ใช่ เวลาเขาดีกับเธอ เขามองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งมาโดยตลอด ไม่ใช่มองว่าเป็นคนในครอบครัว แต่เมื่อเขาจะบอกข้อสรุปนี้ของเขาให้เธอรู้ เธอก็ได้ตัดสินใจไปเสาะหาคนที่ใช่ยิ่งกว่าเสียแล้ว และคนคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วด้วย

เขายังจำได้ว่าในตอนนั้นหลังจากดื่มเหล้าลงไป เธอได้เล่าให้เขาฟังถึงรักแรกของเธอ รุ่นพี่ที่แก่กว่าเธอสามปี หนุ่มน้อยอัจฉริยะ มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังวัยรุ่น เธอเฝ้าไล่ตามฝีเท้าของเขามาโดยตลอด เมื่อเช้าเลขาฉู่แจ้งข้อมูลมาว่า คนคนนั้นน่าจะเป็นสวี่ซูหราน

รอบตัวเธออาจจะมีอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังวัยรุ่นอยู่เยอะมาก แต่รุ่นพี่ที่แก่กว่าเธอสามปี นอกจากเขาแล้ว ก็มีแต่สวี่ซูหรานที่ทำงานในวงการศิลปะเท่านั้น

ถึงเขากับเธอจะเรียนโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน แต่เขาเรียนข้ามชั้นมากเกินไป ตอนที่เธอเข้าเรียน เขาก็เรียนจบไปนานแล้ว เขากับเธอน่าจะไม่เคยได้เจอกัน เขาย่อมไม่มีทางเป็นรุ่นพี่ที่เธอเทิดทูนบูชาคนนั้น อย่าว่าแต่เขาศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่เธอไม่ได้สนใจ

ส่วนสวี่ซูหรานเรียนโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับเธอ ตอนอายุสิบกว่าปีก็อาศัยการถ่ายรูปสร้างชื่อเสียง ต่อมาถึงค่อยเริ่มเปลี่ยนไปเป็นผู้กำกับ ก่อนอายุยี่สิบปี เธอกับสวี่ซูหรานแทบจะเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันทุกประการ

ตอนมื้อเช้าเห็นเธอคุยกับสวี่ซูหราน ดูเธอดีใจมาก หน้าตาเบิกบานยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา

ไล่ตามมาหลายปี ในที่สุดเธอก็ไล่ตามมาจนถึงวันนี้

เธอบอกเขาว่า อยากให้เขาส่งเสริม

ส่งเสริม นี่เป็นคำศัพท์ใหม่เอี่ยมสำหรับเขาจริงๆ

 

ความคิดเนี่ยอี้ถูกเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงขัดจังหวะ

เนี่ยเฟยเฟยดึงขากางเกงขึ้นยืนแช่เท้าอยู่ในน้ำทะเล บ่นว่า “ถ้าตอนนี้มีไอศกรีมสักแท่ง จะเป็นเดตที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีมาแล้ว”

เขาไปยืนอยู่ข้างๆ เธอ ช่วยบังลมทะเลให้ “รู้ไหมว่าอะไรที่เรียกว่า คิดมากเกินไป?”

เนี่ยเฟยเฟย “มีแต่ผู้หญิงโรแมนติกไม่บูชาเงินอย่างพวกฉันเท่านั้นแหละที่เวลาแบบนี้แค่มีไอศกรีมสักแท่งก็เอาชนะใจพวกเราได้แล้ว ถ้าคุณไปเจอผู้หญิงที่บูชาเงินเป็นพระเจ้า มีหรือจะโอ๋ได้ง่ายๆ แบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องให้คุณซื้อเรือยอร์ชขนาด 50 เมตรสักลำมาจอดอยู่ตรงนี้ให้เธอนอนตากลมถึงจะจบเรื่องได้” แล้วทำท่านึกได้ “อันที่จริง...มันก็ไม่มีอะไรไม่ดีล่ะนะ คุณว่าจริงไหม โอ๋ยากแสดงว่าหลอกยาก ต้องรีบเรียนรู้เข้าไว้ซะแล้ว”

เวลาเธอพูดจาเหลวไหลมักจะทำให้เขารู้สึกว่าน่ารักดี “ไม่ต้องไปเรียนนอกรายการมากเกินไปนัก คุณหลอกยากมากอยู่แล้ว”

เธอยิ้มจนตาหยี “รอเดี๋ยว ให้ฉันได้เคลิบเคลิ้มสักสามสิบวิ คุณอุตส่าห์ชมฉันเชียวนะ”

จังหวะนั้นนักท่องเที่ยวสองสามีภรรยาสูงอายุมาขอให้เธอช่วยถ่ายรูปให้พอดี เธอก็ลืมที่ตัวเองพูดไว้ว่าขอเคลิบเคลิ้มสามสิบวินาที หันไปช่วยถ่ายรูปให้สองสามีภรรยานั้น

พอถ่ายรูปให้สองสามีภรรยาเสร็จ ฝ่ายภรรยาสูงวัยเสนอจะถ่ายรูปคู่ให้เธอกับเขา เธอหันมาถามเขาอย่างขอความเห็น “เนี่ยอี้ จะถ่ายไหมคะ?”

พอเห็นเขาพยักหน้า เธอก็วิ่งหน้าบานมายืนข้างหน้าเขาโดยรักษาระยะห่าง มือประสานกันตรงหน้าอย่างเรียบร้อย

หญิงสูงวัย “เข้าไปชิดกันกว่านี้อีกได้จ้ะ”

เธอยิ้ม “แบบนี้แหละ ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”

ทั้งที่ถ่ายรูปคู่แท้ๆ ระยะห่างระหว่างเขากับเธอกลับสามารถแทรกตัวเธออีกคนเข้ามาตรงกลางได้ แต่ในคืนนั้นของเมื่อครึ่งเดือนก่อน มือเธอวางแนบกับแขนเขาอย่างใจกล้ามากชัดๆ ลูบไล้และหยุดชะงักอย่างแฝงอารมณ์เร้ารัญจวน เธอเคยมองดูเขาในระยะใกล้มากขนาดนั้น แตะผมของเขา เธอยังจะจูบเขาอีกด้วย

หญิงสูงวัยมองเขากับเธอยิ้มๆ “คงไม่ได้ทะเลาะกันอยู่หรอกนะ? ต้องสวีทกันมากกว่านี้หน่อยสิจ้ะ”

เธอเอียงหน้ามาดูระยะห่างของเขากับเธอ “อ่า ห่างเกินไปนิดละ” แล้วเหมือนถามความเห็นเขา “งั้นฉันเข้าไปใกล้อีกนิดนะคะ”

เขาถามเธอ “ผมเป็นรูปปั้นหรือ?”

ปฏิกิริยาตอบโต้เธอชั้นหนึ่ง รีบแก้ตัวทันที “เปล่านะ ถ่ายรูปกับรูปปั้นฉันไม่โพสต์ท่านี้หรอกค่ะ ฉันจะชูสองนิ้ว” แล้วฉีกยิ้มกว้างชูสองนิ้วจริงๆ

เธอแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร แต่ไม่ยอมเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ตัวเขาอีกเด็ดขาด เขาพูดว่าเขากับเธออาจจะล้ำเส้นกันเสียแล้ว เธอก็สามารถทำให้ระหว่างเขากับเธอไม่มีทางใดๆ ที่จะล้ำเส้นกันได้อีกจริงๆ ใครจะรู้ความเท่าเธอได้อีก?

จังหวะนั้นเสียงคลื่นซัดใส่หินโสโครกดังมากจนเธอเผลอหันไปมอง หญิงสูงวัยพูดเตือนว่า “คุณหนู มองกล้องจ้ะ”

ผลคือทั้งเขาและเธอไม่มีใครมองกล้องสักคน พริบตานั้นเขากุมข้อมือเธอดึงมาข้างหลังโดยแรง เธอไม่ทันตั้งตัว เซล้มใส่อกเขา มือเขาโอบเอวเธอไว้ จังหวะที่เธอเงยหน้า จุมพิตของเขาก้มลงสัมผัสขมับเธอ

เธอตกตะลึงจังงังอยู่ในวงแขนเขา แต่ไม่ได้ผลักเขาออก

ริมฝีปากเขาผละจากขมับเธอ อึดใจใหญ่ เธอลืมตาขึ้น

เขากับเธอเคยกอดกันมาแล้วหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงร่างกายของเธออย่างชัดเจน บอบบาง อ่อนนุ่ม เบาหวิว ทำให้เกิดอุปาทานราวกับทันทีที่คลายมือ จะพลิ้วลอยจากไปในบัดดล เขารัดแขนเน่นขึ้นอย่างลืมตัว เธอไม่ได้แสดงอาการอึดอัด ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะแนบเข้าหาเขาตามแรงมือ ราวกับว่าเธอเองก็ปรารถนาจะร่นระยะห่างระหว่างเราลงเช่นกัน แม้จะแค่มิลลิเมตรเดียวก็ตามที

แต่เธอดูจะตะลึงพรึงเพริดอยู่เล็กน้อย ตอนที่แหงนหน้าขึ้นมองเขา หางตาเธอเปียกชื้นนิดๆ ใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่น่าประหลาดที่นี่เป็นองศาในการขอจุมพิตอย่างประจวบเหมาะจนเหนือคาด

เขาก้มหน้าลงจูบเธอ ตอนเขาก้มหน้าลงจูบเธอ ริมฝีปากเขายิ้มนิดๆ ภาพนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในกล้องดิจิตอลรุ่นเก่าตัวหนึ่ง

ตอนเขาปล่อยเธอ ใบหน้าเธอค่อยๆ แดงก่ำขึ้นทีละนิดๆ ราวกับดอกชาภูเขาที่เร่งภาพให้ค่อยๆ ผลิบาน ขนตาเธอสั่นระริก แต่พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้แสดงออกมาทางใบหน้า “นี่คือจูบลาหรือว่า...”

เขากอดเธออีกครั้ง “ไม่ใช่”

“งั้นคืออะไรคะ?”

“ไม่มีคำจำกัดความอื่น หมายความตามการกระทำนั่นแหละ”

เธอนิ่งคิด แล้วยิ้มอ่านไม่ออกให้เขา จากนั้นวิ่งไปขอดูรูปที่หญิงสูงวัยถ่ายเธอกับเขาเมื่อครู่นี้

 

กลับขึ้นรถอีกครั้ง เธอยังคงรักษากิริยานั่งชิดประตู เอ่ยปากพูดนานๆ ครั้ง เขานึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้เคยบอกเธอไปว่าเขารู้ว่าเวลาเธอกลัวเธอจะพูดมาก เวลาตื่นเต้นกังวลเธอจะทำกิริยาเดิมซ้ำๆ เวลานี้เธอได้ฝึกที่จะกลบเกลื่อนไม่เผยอารมณ์ออกมาจนเขาเองก็ดูไม่ออก ไม่งั้อย่างนั้นอนนี้เขาคงรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง

เขาพาเธอขับผ่านป่าทึบ ให้เธอหยุดลงไปถ่ายรูปสัตว์ป่าที่พบตามรายทางเป็นระยะๆ เธอดูตื่นตาตื่นใจมาก

ขากลับ เขาพาเธอกลับคนละทางกับขามา เธอบอกว่า “ถึงไม่มีไอศกรีม นี่ก็เป็นการเดตที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีมาอยู่ดี”

เขาถามว่า “เมื่อก่อนเวลาคุณเดต เป็นยังไงบ้าง?”

เธอพูดเสียงยียวน ถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม เนี่ยเซียนเซิงเพิ่งมานึกได้ว่ารู้สึกหึงหรือคะ?”

เขาเตือนเธออย่างหวังดี “ตอนนี้คุณอยู่ในป่าทึบไร้ผู้คน และผมเป็นผู้ควบคุมพาหนะเพียงคันเดียวที่มี น้ำดื่ม ยังมีอาหาร”

เธอไม่สนใจที่เขาพูดโดยสิ้นเชิง “แน่มากนักหรือ? ชอบขู่ฉันอยู่เรื่อย แน่จริงคุณลองทิ้งฉันไว้ที่นี่ดูสิ”

เขาหยุดรถทันทีอย่างเด็ดขาด เธอทำหน้าตกตะลึง “เอ๋ เอาจริงหรือคะ?” ตอนเขาโน้มตัวไปช่วยเปิดประตูให้เธอ เธอรีบเกาะมือเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณก่อนสมองจะสั่งการ “ใต้ฝ่าพระบาท เฉินนนนนนผิดไปแล้ว”

ปฏิกิริยาทางร่างกายที่ดีมาก

เขาเอียงหน้าไปมองเธอ “ผมไม่มีงานอดิเรกขับรถให้ขุนนางฝ่ายนอก”

เธออ่านเจตนาเขาออกในพริบตา ตอบอย่างคล่องแคล่วมาก “ใต้ฝ่าพระบาท เฉินเชี่ยผิดไปแล้ว”

เขากับเธอมองหน้ากันสามวินาที

“ผิดไปแล้ว จากนั้นล่ะ?” เขาพูด

เธอนิ่งคิด แล้วค่อยสารภาพออกมาว่าก่อนหน้านี้เคยแต่เดตกับคังซู่หลัว ก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ เล่าว่าเคยเดตกับหร่วนอี้เฉินด้วย เคยพาหร่วนอี้เฉินไปฟังดนตรี

นี่เป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาขับรถไปพลางถามเธอไปพลางว่า “ใคร?”

เธอตอบอย่างเปิดเผย “แฟนคนก่อนค่ะ เคยคบกัน 2-3 เดือนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย รักศิลปะลงลึกถึงกระดูก พอมีเวลาว่างฉันเลยพาเขาไปฟังละครเพลง แต่ว่า...ว่ากันตามหลักแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นการเดตหรอก มาคิดดูตอนนี้...” เธอยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เหยียบคันเร่งกะทันหันจนเธอตกใจสุดขีดพูดต่อไม่ออก เพราะเส้นทางข้างหน้าดูน่าหวาดเสียวมาก

พอลดความเร็วลงอีกครั้ง เธอก็โวยวายใส่เขาใหญ่ ขณะที่เขาหัวเราะ สุดท้ายเธอถามเสียงเหมือนจะร้องไห้เพราะยังกลัวไม่หายว่า “เมื่อกี้ฉันพูดอะไรผิดใช่ไหม? คุณไม่ได้กำลังแก้แค้นฉันอยู่นะ? เนี่ย...เนี่ยอี้ พูดจริงๆ นะ คุณช่วยเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นได้มั้ย?”

เขาไม่ตอบ มือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือทำท่าให้เธอเอนตัวมาหา เธอเอนไปหาด้วยสีหน้าใกล้สติแตกเต็มแก่ พอเข้าใกล้มากพอ เขารั้งศีรษะเธอมาจูบตรงหว่างคิ้ว

เธอมองเขาอย่างงุนงง “เนี่ยอี้ คุณ...”

เขาปล่อยเธอแล้ว ทุ่มเทสมาธิกับการขับรถต่อ ปากพูดว่า “ปล่อยตัวตามสบาย ทางเส้นนี้ใกล้มาก ไม่มีทางมีปัญหาหรอก”

 

เนี่ยอี้ได้ตระหนักว่าเนี่ยเฟยเฟยมีประวัติความรักของตัวเอง ก็ในคืนงานแต่งงานของเซี่ยหลุน ตอนที่เธอเล่าเรื่องรักแรกของเธอให้เขาฟัง

สำหรับหญิงสาวอายุ 23 ปีที่ร่าเริง ฉลาด มีความสามารถโดดเด่น การที่เธอจะมีรักแรกและเคยมีแฟน เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างมาก

ความจริงแล้ว ยามเมื่อเขาต้องการใช้คำว่าชอบมาให้จำกัดความความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ เขายังคงไม่ได้มองปัญหาเหล่านั้นว่ามีความสำคัญอะไรมากนักอยู่เหมือนเดิม เมื่อก่อนเธอเคยชอบใคร และมาตอนนี้เธอชอบใคร

บางทีเขาอาจจะไม่ชอบให้เธอเอ่ยถึงพวกเขาเหล่านั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาแคร์หรือคิดจะทำความเข้าใจพวกเขาเหล่านั้น รู้เขารู้เราร้อยชัยไม่พลาด นั่นหมายถึงคู่ต่อสู้ แต่ในพจนานุกรมของเนี่ยอี้ มีคำที่ใช้กันเป็นปกติหลายคำมากที่ไร้ความหมายเหมือนไม่มีตัวตนสำหรับเขา ที่เป็นคำนามก็เช่นคำว่าคู่แข่ง ที่เป็นคำกริยาก็เช่นคำว่าริษยาเคียดแค้น คำว่าศัตรูหัวใจยิ่งใหม่เอี่ยมเข้าไปใหญ่

ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสิ่งที่เขาแคร์ เกี่ยวกับอนาคตของเขากับเนี่ยเฟยเฟยนี่ เขาแคร์มาก แต่เธอบอกว่าอยากให้เขาส่งเสริมเธอ ส่งเสริม นี่เป็นศัพท์ใหม่เอี่ยมเช่นกัน ถ้าเขาส่งเสริมเธอ นั่นก็คือปล่อยให้เธอไปไล่ตามคนที่เธอชอบตามที่เธอมุ่งหวัง แต่ถ้าคนคนนั้นไม่ดีพอล่ะ?

ตอนอยู่บนเกาะไวโอเล็ต เขาเคยบอกก็จริงว่า ถ้าเธออยากจะได้มากยิ่งกว่านี้ เธอก็คู่ควร เขาไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเธอเข้าใจได้ถูกต้องหรือเปล่า ที่เขาบอกว่า “มากยิ่งกว่านี้” หมายความว่าสิ่งที่เธอต้องการดียิ่งกว่าที่เขาจะให้เธอได้

ตอนนั้นเธอถามเขาว่า “ถ้าเกิดมีเวลาที่ฉันอยากจะได้มากยิ่งกว่านี้ ทำไมคุณถึงเป็นคนมอบให้ฉันไม่ได้ล่ะ?”

เหมือนจะเป็นการยืนยันคำตอบของเขาเมื่อวันนั้น ยามเมื่อเขาต้องการให้เธอมากยิ่งกว่า เธอกลับไม่แน่ว่าจะอยากได้มัน

กับเรื่องความรักนี้ การที่ทั้งผู้ให้และผู้รับต่างเหมาะสมอย่างมากไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เขารู้ดีมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นผลลัพธ์แบบนี้ของเขากับเธอในวันนี้ จึงสมเหตุสมผลมาก

แต่ถ้าเธอยืนกรานที่จะไปจากเขา อย่างน้อยเธอต้องหาผู้รับความรักจากเธอที่ปลอดภัยพอให้ได้

ถ้าคนคนนั้นไม่ปลอดภัย เรื่องที่เขาต้องทำก็มากแล้วละ

บางทีคนคนนั้นไม่ปลอดภัยพอสิถึงจะดี

จนถึงตอนนี้ ระหว่างเขากับเธอมีผลลัพธ์อย่างหนึ่งแล้วจริงๆ แต่มันก็เหมือนทำการทดลองนั่นแหละ บ่อยครั้งที่ผลลัพธ์ไม่แน่ว่าจะเท่ากับเป็นบทสรุป

 

ระหว่างทางขากลับ เนี่ยเฟยเฟยเกริ่นขึ้นมาอย่างลังเล ทำท่าจะถามอะไรเขา แต่ก่อนจะทันได้ตัดสินใจเด็ดขาดถามออกมา ทั้งสองก็พบรถติดหล่มระหว่างทางหนึ่งคัน คนขับเป็นเด็กสาววัยรุ่นพี่น้องชาวจีนสองคน เนี่ยอี้จึงรับเด็กสาวทั้งสองขึ้นรถมา พาไปส่งที่โรงแรม

พ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นรอรับลูกสาวสองคนอยู่ ขอบคุณเนี่ยอี้กับเนี่ยเฟยเฟยใหญ่ แต่พอเนี่ยอี้ขับรถไปจอดในที่จอดรถของโรงแรม และเดินมาจะเข้าประตูโรงแรม ก็เจอคนพ่อด่าลูกสาวคนโตอย่างโมโหหนักมาก จับความได้ว่าลูกสาวคนโตชวนน้องออกไปเที่ยวจนได้เรื่อง ส่วนลูกสาวคนโตก็พูดว่า น้องต่างหากที่เป็นคนชวนเธอ แต่พ่อไม่เชื่อ ตบหน้าลูกสาวคนโตด้วย บอกว่าโกหกจนเป็นสันดาน ด่าลูกถึงตรงนี้ ก็หันมาเห็นเนี่ยอี้กับเนี่ยเฟยเฟยพอดี จึงพากันเลี่ยงกลับเข้าโรงแรมไป

หลังมื้อค่ำวันนั้น เนี่ยอี้กับเนี่ยเฟยเฟยเจอเด็กสาวคนพี่ท่าทางลนลาน เสื้อเปื้อนเลือด บอกว่าเธอเผลอฆ่าน้องสาวซะแล้ว เนี่ยอี้รีบถามว่าห้องไหน จากนั้นทั้งสองรีบตรงไปที่ห้องนั้น เจอประตูห้องเปิดอยู่ น้องสาวถูกมีดปอกผลไม้แทงนอนอยู่ในห้อง ยังไม่ตาย เนี่ยอี้รีบแจ้งทางโรงแรมให้มาจัดการ ทางโรงแรมแจ้งพ่อแม่เด็ก พ่อเด็กโกรธมาก ส่วนทางโรงแรมรีบตามหาตัวเด็กสาวคนพี่ที่แทงน้อง เนี่ยอี้กับเนี่ยเฟยเฟยหมดธุระ พากันกลับห้องไปอาบน้ำ

เนี่ยอี้เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผู้จัดการโรงแรมก็โทรหาเขาบอกว่าหาตัวเด็กสาวคนพี่เจอแล้ว อยู่ด้านนอกของชั้นบนสุดของหอนาฬิกาโรงแรม เด็กสาวคิดจะฆ่าตัวตาย เนี่ยเฟยเฟยเป็นคนหาเด็กสาวเจอ น่าจะเพราะระเบียงห้องของเธอหันหาตำแหน่งนั้นของหอนาฬิกาพอดี และได้โทรแจ้งทางโรงแรม จากนั้นเธอรีบไปยังตำแหน่งที่เด็กสาวอยู่ทันที ท่าทางเป็นห่วงเด็กสาวคนนั้น และเนื่องจากที่นี่ในตอนนี้ เนี่ยเฟยเฟยเก่งภาษาจีนที่สุด ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่มีใครพูดจีนได้ จึงต้องปล่อยให้เนี่ยเฟยเฟยพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กสาวไป แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เป็นภาษาจีนกำลังเร่งเดินทางมาแล้ว

เนี่ยอี้ไม่มีนิสัยตำหนิโทษว่าใคร  เรื่องเกิดขึ้นแล้ว จะแก้ไขสถานการณ์ยังไงต่างหากที่เป็นเรื่องควรทำเป็นอันดับแรก เขาตัดบทผู้จัดการโรงแรมว่า “ปูเบาะลมเรียบร้อยหรือยัง?”

ผู้จัดการโรงแรม “ปูเรียบร้อยแล้วครับ พนักงานกู้ภัยของเราเป็นมืออาชีพกันทั้งนั้น”

เขามองหน้าคนพูด น้ำเสียงราบเรียบ “เป็นมืออาชีพถึงขั้นต้องให้แขกของโรงแรมเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย”

ผู้จัดการโรงแรมเหงื่อแตกพลั่ก “เพียงแต่ภาษาจีนไม่ไหวจริงๆ น่ะครับ”

 

สุดท้ายเนี่ยอี้แอบตามขึ้นไปช่วยเนี่ยเฟยเฟยอีกแรง พอย่องเข้าไปใกล้พอ ก็ได้ยินเนี่ยเฟยเฟยกำลังเล่าเรื่องที่อาจารย์ของเธอเป็นเกย์ และความเกือบแตก ต้องอ้างเธอเป็นแฟนเพื่อกลบเกลื่อน จนตอนนั้นเธอโดนทุกคนในมหาวิทยาลัยวิพากษ์วิจารณ์โจมตีหนักมาก เด็กสาวฟังแล้วรู้สึกเห็นใจ ท่าทีจึงเริ่มอ่อนลง เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังบ้างว่าพ่อรักแต่น้องเชื่อแต่น้อง น้องโกหกปั้นเรื่องปั้นหน้าเก่ง ใส่ความเธอครั้งแล้วครั้งเล่าจนพ่อเชื่อสนิท และเกลียดเธอ หาว่าเธอขี้โกหก

เนี่ยเฟยเฟยแนะนำว่าไม่ลองคุยกับพ่อตรงๆ อย่างเปิดอกดูล่ะ? เด็กสาวบอกไม่มีประโยชน์ และตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะเธอแทงน้องแบบนั้น พ่อคงยิ่งโกรธหนักมาก เนี่ยเฟยเฟยจึงแนะนำให้เด็กสาวออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวซะ ระหว่างที่เด็กสาวลังเล จังหวะนี้ เนี่ยอี้ได้พุ่งเข้าไปรวบตัวเด็กสาวไว้ เกิดการดิ้นรนปลุกปล้ำกันเล็กน้อยกว่าจะล็อคตัวเด็กสาวไว้ได้ เขาหวุดหวิดได้ตกจากหอนาฬิกา ดีที่ได้เสาขวางไว้

พอจบเหตุการณ์นี้ เนี่ยเฟยเฟยตกใจมากจนร้องไห้ต่อว่าเขาที่เอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนี้ เนี่ยอี้ย้อนกลับว่าเธอเองนั่นล่ะที่พาตัวเองเข้าไปเสี่ยงก่อน เขาถึงต้องทำแบบนี้ สุดท้ายเขาต้องกอดปลอบเธอไว้ ปล่อยให้เธอร้องไห้ระบายความกลัวออกมาอยู่นานมาก

 

ห้องพักที่เลขาฉู่จองให้ทั้งสองเป็นห้องคู่ที่มีประตูเชื่อมถึงกัน เนี่ยอี้ให้เนี่ยเฟยเฟยเข้าไปนอนในห้อง ส่วนเขาออกมานอนที่โซฟาหน้าห้องเธอ แล้วเขาก็ไข้ขึ้นหมดสติไป

เนี่ยอี้ตื่นมา 03:15 น. พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง และถูกให้น้ำเกลืออยู่ ส่วนเนี่ยเฟยเฟยฟุบหลับอยู่ข้างๆ ตัวเขา เนี่ยอี้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ดึงเข็มน้ำเกลือที่ใกล้หมดขวดแล้วออก ลงจากเตียง อุ้มเนี่ยเฟยเฟยนอนบนเตียง แล้วไปอาบน้ำ จากนั้นมายืนรินน้ำดื่ม

ระหว่างดื่มน้ำ นาฬิกาดิจิตัลที่เนี่ยเฟยเฟยตั้งไว้ส่งเสียงปลุกพอดี เธอตื่นมาเจอเนี่ยอี้ตื่นแล้ว ก็รีบเปลี่ยนผ้าปูเตียงผืนที่เปียกให้ กับจะมาเช็ดตัวให้ เนี่ยอี้ห้ามเธอไว้ บอกเขาเช็ดตัวเรียบร้อยแล้ว และให้เธอไปนอนพักซะ

เนี่ยเฟยเฟย “ไม่ได้ค่ะ ฉันต้องอยู่เป็นเพื่อน...ฉันต้องดูแลคุณ”

เนี่ยอี้ขมวดคิ้วนิดๆ “อย่าอวดเก่ง ผมไม่มีตรงอื่นที่ไม่สบาย แค่ยังไม่ง่วงเพราะเพิ่งตื่นเท่านั้น ตอนนี้คุณทั้งเหนื่อยมากและง่วงมาก ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนผมหรอก”

เนี่ยเฟยเฟยเงียบไปพักใหญ่ ค่อยพูดว่า “ทำไมคุณถึงอวดเก่งได้ แต่ฉันอวดเก่งไม่ได้คะ?”

เนี่ยอี้อึ้งไปที่โดนเธอหาว่าอวดเก่ง “ผมอวดเก่งเมื่อไหร่...”

เนี่ยเฟยเฟย “เลขาฉู่โทรมาเมื่อตอนเที่ยง บอกว่าพักนี้คุณเหนื่อยมาก ชีวิตประจำวันคุณรวนไปหมด เที่ยงคืนวันที่ 28 บินไปอเมริกา นั่งเครื่องบินนาน 13 ชั่วโมง วันที่ 30 บินจากอเมริกามาประเทศ K บินนาน 16 ชั่วโมง แล้วนั่งรถอีกสองชั่วโมงครึ่งจากเมือง K มาถึงแหลมที่ฉันอยู่ แถมถนนยังไม่ดีอีก

“ความจริงเดตครั้งนี้ฉันแค่เสนอไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้สำคัญอะไรเลย คุณปฏิเสธฉันก็ไม่เป็นไรหรอก แล้วยังเรื่องของศาสตราจารย์ Evans อีก คุณไม่มีความจำเป็นต้องบินไปอเมริกาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย ฟังว่าโจวเพ่ยออกมาประกาศเปิดเผยความรักของเขากับศาสตราจารย์แล้วหรือคะ? กระทั่งงานศพของศาสตราจารย์ เขายังไม่กล้าไปร่วมเลย ครั้งนี้เขา...คุณทำได้ยังไงกันคะ?” แล้วยิ้มออกมาโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก “ช่างเถอะ ความจริงนั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกเหมือนกัน เนี่ยอี้ ทั้งหมดที่คุณทำนี้ต่างทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณอย่างมาก ฉันแค่รู้สึกว่า ฉันไม่ใช่คนบอบบางจนต้องให้ใครมาคอยปกป้องฉันไว้ในเรือนกระจกอยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่าเรื่องที่ทำร้ายฉันน่ะ ฉันไม่เห็นว่า...”

เนี่ยอี้ “คุณไม่ได้เห็นว่าเรื่องพวกนั้นมีความสำคัญอะไร การที่คุณมองอย่างนั้นได้เป็นเรื่องดี ผมเองก็ไม่เห็นว่าเรื่องพวกนั้นมีความสำคัญอะไรเหมือนกัน ที่จำเป็นต้องไปอเมริกา...เพราะว่าหลังจากนั้นมีหนังสือพิมพ์ออกข่าวที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งมีผลกระทบกับการแต่งงานของเราสองคน”

วันที่เนี่ยอี้กลับมาจากเขาอวี้จงซาน หนังสือพิมพ์บางฉบับของเมือง S ก็ลงข่าวเรื่องของศาสตราจารย์ Evans กับเนี่ยเฟยเฟยแบบจินตนาการบรรเจิดมาก ถึงจะใช้ชื่อย่อทั้งหมด แต่ผู้อ่านก็พอจะเดาได้ว่าหมายถึงใคร และข่าวนี้มีทำให้ผู้ใหญ่ของบ้านเนี่ยอี้บางคนมีคอมเมนต์ เขาจึงต้องไปอเมริกาเพราะเหตุนี้

ความจริงเรื่องพวกนี้ เนี่ยอี้เห็นว่าเนี่ยเฟยเฟยไม่จำเป็นต้องรู้ และปกติเลขาฉู่ไม่ใช่คนปากมาก เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมครั้งนี้เลขาฉู่ต้องบอกเรื่องนี้ให้เนี่ยเฟยเฟยรู้

เนี่ยเฟยเฟยฟังแล้วตะลึงไปเลย ถามงงๆ ว่า “คุณหมายความว่า เพื่องานแต่งงานของเราสองคน คุณถึงได้ไปเคลียร์เรื่องนี้ที่อเมริกาหรือคะ? งั้นเจตนาของคุณ...คือหลังจากสำรวจตัวเองดูแล้ว คุณยังคงเห็นว่าเราสองคนแต่งงานกันได้ คุณไม่เคยคิดที่จะแยกทางกับฉันใช่ไหมคะ?”

เขาไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าเขาต้องการผูกมัดเธอ จึงคิดอยู่สองวินาที ค่อยพูดว่า “ผมรู้ดีว่าคุณฝังใจกับรักแรกของคุณมาก”

เนี่ยเฟยเฟยกลั้นหายใจ “ค...คุณรู้?”

เขาพยายามย้อนถามเธออย่างมีสติ “แต่ว่าเฟยเฟย คุณเคยคิดบ้างไหมว่า บางทีเขาอาจจะไม่ได้ดีมากอย่างที่คุณคิด บางทีเขาอาจจะเคยมีความรักมาแล้วหลายครั้ง แถมยังมีแฟนสาวที่ตั้งใจจะแต่งงานด้วยแล้ว การรักเขาต่อไปไม่เป็นผลดีอะไรเลยสำหรับคุณ แถมยังอาจจะทำร้ายจิตใจคุณได้ เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้เข้า คุณจะทำยังไง?”

เธอเหมือนจะถอนหายใจโล่งอก “หา...คนที่ฉันชอบ เขาไม่เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ”

เขามองหน้าเธออย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง พูดเสียงเรียบ “ความจริงแล้วเขาเป็นคนแบบนั้น”

จากข้อมูลที่เลขาฉู่สืบมาได้ สวี่ซูหรานเป็นเพลย์บอยขนานแท้ ไม่แค่มีชีวิตรักที่ฟุ่มเฟือยมากเท่านั้น ยังมั่วมากอีกด้วย

เธอทำหน้าข้องใจนิดๆ นิ่งคิดแล้วพูดว่า “เนี่ยอี้ ฉันรู้สึกว่าเราเหมือนจะมีความเข้าใจผิดกันอยู่นิดหน่อย...”

เขาตัดบทเธอ “เวลาแบบนี้ แต่งงานกับผมดีกว่าอีก”

เนี่ยเฟยเฟยตะลึง “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ...”

หากความรักคือการทดลอง เขาอยากจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และสิ่งที่นำมาทดลองคือเธอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น ต้องใช้วิธีการและจังหวะที่เธอสามารถปรับตัวได้ ดำเนินไปทีละก้าวๆ จะดีที่สุด

เขาสำรวจดูสีหน้าของเธออย่างใจเย็น “มีคนบางคนไม่ดีพอ ไม่เหมาะสม งั้นก็ให้ลืมเขาเสีย ต่อให้คุณเปลี่ยนใจอยากจะได้การแต่งงานที่มีความรัก ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธผมในทันที บางทีเราอาจจะร่วมกันทดลองความปรารถนาของคุณได้ เฟยเฟย คุณไม่ได้เกลียดผม”

เธอเงยหน้าขึ้นทันควัน เหมือนตกใจอะไรอย่างมาก อึดใจใหญ่ ค่อยพูดเบาๆ ว่า “จะว่าฉันคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด คุณหมายความว่า..คุณจะทดลองชอบฉันดู? คุณหมายความว่าอย่างนี้ใช่ไหม? แต่เพราะอะไรล่ะ...เพราะชินเสียแล้วหรือ?”

ปฏิกิริยาแบบนี้ตัดสินใจยากอยู่ว่าเธอยินดีหรือต่อต้าน นิ่งคิดอยู่ชั่วแล่น เขาถามเธอว่า “แล้วคุณล่ะ ยินดีจะลองดูไหม? ในเมื่อที่ผ่านมาเราสองคนเหมาะสมกันมาก ชีวิตแต่งงานที่คุณต้องการในวันหน้า ผมคิดว่าเราก็สามารถทำความคุ้นเคยได้ไม่เลวเหมือนกัน”

เธอมองเขาอยู่เนิ่นนาน จากนั้นถามเขาว่า “เนี่ยอี้ คุณรู้หรือเปล่าว่าที่คุณพูดออกมาพวกนี้หมายความว่ายังไง?”

ตอนที่พูดอย่างนี้ เธอได้เข้ามาใกล้เขา มือซ้ายวางบนหัวเข่าเขา มือขวาวางบนไหล่เขา เป็นท่าเดียวกับเมื่อคืนนั้นทุกประการ ครั้งนี้เขาไม่ได้หลบเลี่ยงเธอ ปล่อยให้ริมฝีปากของเธอเข้ามาใกล้ริมฝีปากเขา แต่เธอกลับหยุดลงในจังหวะนี้ ต่างฝ่ายต่างสามารถสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกันได้ เสียงเธอแผ่วเบาราวกับใยไหม

“คุณมีเส้นแบ่งเขตเยอะมาก แต่ฉันไม่มี ไม่แน่ว่าฉันอาจจะทำอย่างนี้กับคุณบ่อยๆ บางทีตอนที่มีอารมณ์ฉันยังอาจจะ...” ลมหายใจจากปลายเสียงพาให้ผิวจักจี้นิดๆ แต่สุดท้ายลมหายใจนี้ก็ไม่ได้กลายเป็นจูบ เธอเก็บถ้อยคำที่เหลือไว้ในเรียวปาก คลี่ยิ้ม ยันบ่าเขาไว้เหมือนเดิมทำท่าจะผละออกห่าง

กลับถูกเขากุมไหล่ไว้

เธอผละออกห่างไม่ได้ มองหน้าเขาอย่างประหลาดใจนิดๆ เขาเหลือบสายตาขึ้นมองเธอ ดีมาก ระยะห่างนี้ แค่หันหน้านิดเดียวก็สามารถทำให้จูบนั้นเป็นจริงได้

ตอนที่ริมฝีปากสัมผัสกัน เธอชะงักค้างด้วยความผิดคาดอย่างเห็นได้ชัด เธอประเมินเขาต่ำเกินไป หรือประเมินตัวเธอเองต่ำเกินไปกันแน่? แต่เธอไม่ได้ขัดขืน และไม่ได้ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายควบคุมอย่างเต็มที่เหมือนเมื่อตอนกลางวัน นิ่งชะงักแค่ 2-3 วินาทีก็เริ่มจูบตอบ ท่าทีในการจูบตอบเปิดเผยจริงใจอย่างมาก

เธอแสดงท่าทีอ่อนโยนและเย้ายวนอย่างที่สุดออกมาต่อหน้าเขาเต็มที่ไม่มีออมรั้ง กระซิบเรียกชื่อเขา เนี่ยอี้

นั่นเป็นจูบที่ยาวนานมาก

ที่นอกหน้าต่าง ฝนไม่ทราบเริ่มตกตั้งแต่เมื่อไร

 

หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่มันได้เกิดขึ้น เขากับเธอได้แต่งงานกับในวันที่ 7 ตุลาคมของปีนั้น หลังจากแต่งงานกันได้สองเดือนก็มีลูกคนแรก

ผ่านมาหกปีแล้ว

ฝนของมหาสมุทรอินเดียในคืนนั้นก็เหมือนกับคืนนี้ ไม่สิ ก็เหมือนกับย่ำรุ่งวันนี้

เขาดื่มน้ำชาพลางนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่ง เขากับเธอดูหนังอยู่ในหอประชุมใบไม้แดงด้วยกัน คืนนั้นเธอพูดเยอะมาก

“เมื่อชินกับการใช้ชีวิตสองคนแล้ว คนหนึ่งมาจากไปกะทันหัน จะเหงามากสักแค่ไหน”

“ตัวอย่างเช่นฉันตายลงตรงหน้าคุณ ระหว่างเชื่อว่าฉันตายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว กับเชื่อว่าวิญญาณของฉันยังคงกลับมาดูทีวีเป็นเพื่อนคุณอยู่ทุกคืน อย่างไหนจะทำให้คุณรู้สึกดีกว่ากัน?”

“เนี่ยอี้ ถ้าฉันจากคุณไปก่อน คุณจะรู้สึกเหงาหรือเปล่า?”

“คุณคิดว่าไงล่ะ เนี่ยเฟยเฟย”
แก้ไขเมื่อ 9 ต.ค. 2560, 23:42 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 9 ต.ค. 2560, 21:39

1 ความคิดเห็น