แอดมินมีตำนานที่น่าสนใจของจีนมาเล่าให้ฟังกันอีกเช่นเคย สำหรับตำนานนี้หลาย ๆ คนอาจจะเคยรู้จักกันมาบ้างแล้ว
แต่เย็นนี้เราจะมาทำความรู้จัก "ผานกู่" แบบเจาะลึกกันค่ะ
ผานกู่ (盘古) คือเทพผู้บุกเบิกฟ้าดินในยุคตำนานของจีน
ตำนานผานกู่บุกเบิกฟ้าดินมีรายละเอียดดังนี้
ในยุคแรกเริ่มนั้นผืนฟ้าและแผ่นดินยังไม่ได้แยกออกจากกันเช่นปัจจุบัน แต่หลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่ในก้อนกลมขนาดใหญ่โดยมีลักษณะเป็นเหมือนไข่ไก่ที่เนื้อไข่ขาวและไข่แดงปะปนอยู่ด้วยกันภายใน โดยก้อนกลมและสภาพภายในที่ทุกสิ่งปะปนกันโดยไม่มีการแบ่งแยกนี้เรียกว่า “ฮุ่นตุ้น” (混沌) ภายในฮุ่นตุ้นนี้มีจิตวิญญาณอยู่ และเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายล้านปี จิตวิญญาณภายในฮุ่นตุ้นก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ขนาดเล็ก ซึ่งก็คือผานกู่ ผานกู่นั่งขดตัวนอนหลับสนิทอยู่ในฮุ่นตุ้นเหมือนดั่งทารกขัดตัวอยู่ในครรภ์ของมารดา
จำเนียรกาลผ่านไปอีกนับล้านปี ร่างกายของผานกู่ซึ่งนั่งขดตัวหลับสนิทอยู่ในฮุ่นตุ้นได้ขยายขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นมนุษย์ยักษ์ที่มีร่างกายสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อร่างกายสมบูรณ์เต็มที่แล้ว ผานกู่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ครั้นพบว่ารอบกายมีแต่ความมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่าง ผานกู่ก็บันดาลโทสะแผดร้องก้องขอแสงสว่าง
เสียงร้องของผานกู่ดังไปถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อเง็กเซียนฮ่องเต้ได้ทราบว่าผานกู่ตื่นแล้วก็โสมนัสยิ่ง และหยิบขวานเล่มหนึ่งขึ้นมาขว้างเข้าไปในฮุ่นตุ้นให้ผานกู่ ชั่วพริบตาที่ขวานพุ่งเข้ามาในฮุ่นตุ้น ผานกู่ได้มองเห็นแสงสว่างที่สะท้อนคมขวานแวบหนึ่ง จึงตกใจและตรงเข้าไปคลำหาหยิบขวานเล่มนั้นด้วยความประหลาดใจว่าขวานเข้ามาอยู่ในฮุ่นตุ้นได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ขวานเล่มนี้ทำให้ผานกู่มีความหวังที่จะทำลายความมืดมิดตรงหน้า ดังนั้นผานกู่จึงเหวี่ยงขวานฟันใส่ความมืดมิดตรงหน้าเต็มแรงทันที ผลคือความมืดมิดถูกผ่าออกจากกันจนเผยให้เห็นแสงสว่างจากภายนอกเสี้ยวหนึ่ง ทำให้ผานกู่ดีใจอย่างมาก แต่ผานกู่เพิ่งจะนึกดีใจได้เพียงครู่เดียว รอยแยกแสงสว่างที่เกิดจากคมขวานก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงหากัน อันบ่งบอกว่าหากไม่รีบทำอะไรสักอย่าง แสงสว่างนั้นจะหายไปอีกครั้งในเวลาไม่นาน ผานกู่รีบทิ้งขวานในมือลงแล้วตรงเข้าไปหารอยแยกนั้น จากนั้นออกแรงยกครึ่งบนของรอยแยกที่กำลังทิ้งตัวลงหาครึ่งล่างขึ้นอย่างสุดกำลัง
ในที่สุดแสงสว่างก็ยังคงอยู่ แต่เมื่อมายกครึ่งบนของฮุ่นตุ้นเช่นนี้ ทำให้ผานกู่ได้ทราบว่าครึ่งบนของฮุ่นตุ้นหนักมาก และขอเพียงเขาผ่อนแรงลง ครึ่งบนของฮุ่นตุ้นก็จะทิ้งตัวลงมาหาครึ่งล่างบดบังแสงสว่างให้หายไปในเวลาอันรวดเร็ว ผานกู่จึงไม่กล้าปล่อยมือจากฮุ่นตุ้น และพยายามเหยียดแขนดันครึ่งบนของฮุ่นตุ้นขึ้นไป
ผลจากการพยายามเหยียดแขนนี้ส่งผลให้ร่างของผานกู่เหยียดขยายสูงใหญ่ขึ้นทุกวันวันละหนึ่งวา ส่งผลให้รอยแยกอันเกิดจากคมขวานขยายกว้างขึ้นวันละหนึ่งวาเช่นกัน และฮุ่นตุ้นที่ถูกแยกออกจากกันนี้ ส่วนที่ใสและเบาได้ลอยขึ้นไปอยู่ข้างบนกลายเป็นท้องฟ้า ส่วนที่ขุ่นข้นและหนักได้ตกลงมายังเบื้องล่างกลายเป็นแผ่นดิน และจากการที่ถูกผานกู่แยกทั้งสองส่วนออกจากกัน ส่งผลให้ผืนฟ้าลอยสูงจากแผ่นดินมากขึ้นทุกวันวันละหนึ่งวา ส่วนแผ่นดินก็หนาขึ้นทุกวันวันละหนึ่งวา จำเนียรกาลผ่านไปเช่นนี้เป็นเวลา 18,000 ปี ผืนฟ้าและแผ่นดินก็อยู่ห่างกันไกลมากจนสุดจะนับได้
เมื่อผานกู่เห็นว่าผืนฟ้าและแผ่นดินอยู่ห่างกันมากจนไม่มีทางที่จะตกลงมาบรรจบกันได้อีก จึงค่อยคลายใจลงและปล่อยมือ จากนั้นหันไปมองสภาพรอบกาย ก็พบว่าเบื้องบนที่เดิมทีมีแต่ความขุ่นข้นดำมืดได้กลายเป็นท้องฟ้าสีฟ้าใสกระจ่างที่แผ่ไปกว้างไกลสุดสายตา ส่วนข้างล่างที่เขาเหยียบอยู่ก็เปลี่ยนจากความขุ่นข้นดำมืดของฮุ่นตุ้นกลายเป็นพื้นดินสีน้ำตาลแดงที่หนาจนไม่อาจประมาณ ผานกู่ดีใจมากจนแหงนหน้าหัวเราะก้องกังวาน
แต่แล้วเนื่องจากผานกู่ดีใจมากเกินไปจนหัวเราะเนิ่นนานเกินกว่าที่ร่างกายและจิตใจจะทนไหว ร่างจึงล้มตึงลงทั้งยืนและสิ้นชีวิต หลังจากล้มลงสิ้นชีวิตแล้ว ร่างของผานกู่ก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า จากนั้นทุกส่วนของร่างกายผานกู่ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
ตาซ้ายของผานกู่ได้เหาะพุ่งไปยังทิศตะวันออก แล้วแปรดวงอาทิตย์สาดแสงเจิดจ้ามาสู่โลก ส่วนตาขวาได้เหาะพุ่งไปยังทิศตะวันตก แล้วแปรเป็นดวงจันทร์สาดแสงสีเงินนวลตาสู่แผ่นดิน ลมหายใจแปรเป็นสายลมวสันต์อันอบอุ่นและเมฆหมอกบนผืนฟ้า เสียงแปรเป็นอสนีแลบลั่น เส้นผมและหนวดเคราได้เหาะพุ่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศบนผืนฟ้า แล้วแปรเป็นดวงดาวกะพริบพราว แขนขาแปรเป็นสามภูผาห้าบรรพตอันสูงตระหง่านกางกั้นเป็นเขตแดนประจำทิศทั้งสี่ เส้นเอ็นและเส้นเลือดแปรเป็นถนนหนทาง กล้ามเนื้อแปรเป็นผืนนา ฟันและกระดูกแปรเป็นแร่และอัญมณีอันล้ำค่าต่างๆ ใต้ผินดิน ผิวหนังและเส้นขนได้แปรเป็นต้นไม้ใบหญ้า หยาดเหงื่อได้แปรเป็นหยาดพิรุณและน้ำค้างให้ความชุ่มชื้นแก่โลกหล้า โลหิตได้แปรเป็นแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮวงโหหลั่งไหลให้ชีวิตแก่แผ่นดิน
กล่าวกันว่าหลังจากที่ผานกู่สิ้นชีวิตแล้ว วิญญาณได้กลายมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “มนุษย์คือวิญญาณของปวงสรรพสิ่งในผืนพิภพนี้”
Cr.
https://goo.gl/iyCAAw
แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 2561, 10:49 โดย Admin