หัวข้อ : เรื่องย่อ หนอนหนังสือยึดอำนาจ (Honzuki no Gekokujou) ภาค 1-1

โพสต์เมื่อ 11 ก.ย. 2561, 15:39

หนอนหนังสือยึดอำนาจ
(Honzuki no Gekokujou)
เรื่องโดย : Kazuki Miya
มังงะ ภาค 1 (จบ)
https://www.nekopost.net/manga/3750/1
 
มังงะ ภาค 3
https://www.nekopost.net/manga/5498
 
เรื่องย่อตอนก่อนๆ
http://www.linmou-seria.com/forum/65/topic
 
เรื่องย่อจากเว็บนายท่าน มีถึงภาค 3 ช่วงกลางๆ (ยังลงเรื่อยๆ)
https://goshujin.tk/index.php?topic=157.0
 

spoil เรื่องย่อ ภาค 1-1

 

นางเอกชื่อ โมโตสุ อูราโนะ อายุ 22 ปี เป็นคนที่คลั่งไคล้หนังสือมาก ชอบอ่านหนังสือทุกอย่างทุกแนว ตั้งแต่หนังสือวิชาการความรู้ยันหนังสือนิยาย ขอให้เป็นหนังสือ ชีชอบหมด ชอบจับต้อง ชอบดมกลิ่น ชอบสะสม

วันหนึ่ง เกิดแผ่นดินไหว อูราโนะโดนบรรดาหนังสือร่วงตกลงมาจากชั้นวางทับตาย ก่อนตายเธอได้อธิษฐานว่า

“พระเจ้า...ขอให้ฉันได้ไปเกิดในที่ที่ได้อ่านหนังสือเยอะๆ ด้วยเถอะ...”

 

อูราโนะรู้สึกตัวตื่นมาในร่างของเด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ชื่อไมน์ และกำลังมีไข้ จากนั้นจึงค่อยๆ เรียนรู้ว่า นี่คือโลกต่างมิติ ผู้คนมีผมและสีตาสารพัดสี และตัวเธอมีทั้งความทรงจำที่ผ่านมาของไมน์ กับความทรงจำในชาติก่อน ดังนั้นจึงเหมือนกับว่า ไมน์คนก่อนไข้ขึ้นจนป่วยตายไป แล้ววิญญาณอูราโนะมาเข้าร่าง เลยฟื้นคืนชีพมาโดยมีความทรงจำของทั้งสองคน

ไมน์มีพ่อ แม่ และพี่สาว 1 คน

พ่อของไมน์ ชื่อกุนเทอร์ เป็นหัวหน้าทหารเฝ้าประตูเมือง หน้าตาถึกๆ เถื่อนๆ ตัวโต รักครอบครัวและเห่อ + หวงลูกสาวมาก

แม่ของไมน์ ชื่อเอวา ทำงานอยู่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า มีทักษะการเย็บปักถักร้อยสูงมาก

พี่สาวของไมน์ ชื่อโทรี่ แก่กว่าไมน์ 1 ปี ฝันจะเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าเหมือนแม่

ครอบครัวไมน์มีฐานะยากจน เป็นชนชั้นล่างของสังคม แค่พออยู่พอกิน เสื้อผ้าที่สวมมีแต่ของมือสองที่มีรอยปะ สุขอนามัยภายในบ้านก็ไม่ค่อยดี ของเสียทุกอย่างทั้งอึ ฉี่ ใช้วิธีเทออกไปนอกหน้าต่าง

ตัวไมนต์เองอ่อนแอมากกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า ออกแรงนิดเดียวก็เหนื่อย และไข้ขึ้นบ่อย อารมณ์เปลี่ยนแปลงนิดหน่อยก็จับไข้นอนซม ตัวก็โตช้าจนดูตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

ช่วงแรกที่รู้สึกตัว ไมน์พยายามมองหาหนังสืออ่านไปทั่วบ้าน รื้อค้นของในบ้านจนเละ และต้องผิดหวังเมื่อหาไม่พบสักเล่ม จึงร้องไห้โฮด้วยความสิ้นหวัง และไข้ขึ้นนอนซม...

ระหว่างเบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรทำ ไมน์รำคาญผมยาวที่ทั้งร้อนและเหนอะหนะของตัวเอง อยากตัด แต่โทรี่บอกว่าผมไมน์สวยเหมือนท้องฟ้าตอนกลางคืน (ผมสีน้ำเงิน) ไม่ควรตัด ไมน์จึงขอให้โทรี่เหลาไม้เป็นปิ่นให้ แล้วนำมาเกล้าผม โทรี่เห็นแล้วทึ่งมาก เพราะในโลกนี้ไม่มีการใช้ปิ่นเกล้าผม แต่ท้วงด้วยว่า ไมน์จะรวบผมเกล้าขึ้นหมดแบบนี้ไม่ได้ มีแต่ผู้หญิงแต่งงานแล้วที่ทำผมทรงนี้ได้ ไมน์จึงใช้วิธีเกล้าผมครึ่งเดียว (ตามในรูป) ไมน์อยากสระผมที่เหนียวสกปรกด้วย แต่ไม่มีแชมพู

 

วันหนึ่ง แม่พาไมน์ไปตลาด เพราะนึกว่าไมน์เหงาที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว (โทรี่ออกไปหาของป่าในป่านอกเมือง) ทำให้ไมน์ได้ออกนอกบ้านเป็นครั้งแรก โดนแม่แบกขึ้นหลังไป เพราะไมน์เดินไม่ไหว

ไมน์พยายามมองหาร้านขายหนังสือ และสังเกตดูร้านรวงตามทางที่ผ่าน พบว่าป้ายร้านมีแต่ภาพ ไม่มีตัวหนังสืออยู่เลย จนไมน์เริ่มกลัวว่าหรือโลกนี้จะยังไม่มีตัวหนังสือ? แต่ในตลาด ไมน์เห็นป้ายไม้เขียนตัวเลขบอกราคาของ และเห็นหนังสือในตู้โชว์ของร้านค้าร้านหนึ่ง ก็ดีใจมาก ถามเจ้าของร้านว่า มีร้านขายหนังสืออยู่ที่ไหน? เจ้าของร้านบอกว่าไม่มีหรอก ร้านขายหนังสือน่ะ เพราะหนังสือราคาแพงมาก ส่วนหนังสือนี้ ชนชั้นสูงเอามาจำนำ เลยขายไม่ได้ ไมน์พยายามขอยืมหนังสือมาเปิดอ่านดู แต่เจ้าของร้านไม่ให้

ไมน์ตัดสินใจว่า ในเมื่อไม่มีหนังสือขาย งั้นเธอจะเขียนมันขึ้นมาเอง เธอจะต้องมีหนังสือของตัวเองให้ได้

 

แต่จะเขียนหนังสือ ก็ต้องมีกระดาษ ซึ่งในความทรงจำของไมน์คนก่อน ไม่มีเรื่องกระดาษอยู่เลย จึงไม่รู้จะไปหาซื้อกระดาษได้ที่ไหน

โทรี่ไปหาของป่ากลับมาพอดี ไมน์ไปดูๆ ในตะกร้าของโทรี่ เจอผลไม้หน้าตาคล้ายอะโวคาโดที่นำมาทำยาสระนวดได้ เลยขอโทรี่ โทรี่นึกว่าน้องจะเอาไปกิน ก็ยกให้สองผล ไมน์ได้มาแล้วก็เอามาวางบนโต๊ะไม้ เอาค้อนทุบ น้ำกระจายเลอะเทอะโดนทั้งพี่ทั้งแม่ด่าค่ะ เลยจ๋อยไป แล้วอ้อนโทรี่ให้ช่วยคั้นน้ำมันอะโวคาโดให้หน่อย โทรี่จึงสอนวิธี ว่าต้องทุบบนแท่นเหล็ก เพราะพื้นไม้จะดูดน้ำมัน และให้เอาผ้าพันก่อนทุบ จะได้ไม่เลอะเทอะ กับต้องทุบให้แหลกละเอียด น้ำมันถึงจะออก

สุดท้ายไมน์แรงไม่พอ โทรี่ต้องช่วยทำให้ จากนั้นไมน์ก็เอาของที่มีอยู่ในบ้านมาผสมกัน จนได้ยาสระ+นวดผมเข้มข้น จึงเทใส่น้ำร้อน โทรี่ตกใจมากว่าไมน์ทำอะไร ไมน์จึงบอกว่านี้คือจะเอามาสระผม แล้วทำให้ดู กับสระให้โทรี่ด้วย ผมออกมานิ่มสวยมาก พอจะเทน้ำทิ้ง แม่รีบมาห้าม ขอเอามาสระผมด้วยคน...

 

วันรุ่งขึ้น หลังจากพ่อแม่ออกไปทำงานแล้ว เหลือแต่ไมน์กับโทรี่อยู่เฝ้าบ้าน โทรี่พบว่าพ่อลืมของ แต่จะเอาของไปให้พ่อที่ประตูเมืองไปให้พ่อโดยทิ้งไมน์ไว้คนเดียวไม่ได้ ไมน์เลยเสี่ยงไปกับโทรี่ด้วย แต่แค่เดินมาถึงหน้าบ้าน ไมน์ก็เหนื่อยแทบตายแล้ว ทำให้ไมน์ช็อคมากว่าร่างกายนี้จะอ่อนแอไม่มีแรงขั้นสุดอะไรเบอร์นี้ แต่โชคดีว่ามีเด็กผู้ชายข้างบ้านรุ่นเดียวกันสามคนเดินผ่านมา และกำลังจะออกนอกเมืองไปหาของป่ากันพอดี คือราฟ ลุทซ์ และเฟย์ โดยราฟอายุเท่าโทรี่ เป็นพี่ชายของลุทซ์ ส่วนลุทซ์อายุเท่าไมน์

ลุทซ์อาสาช่วยแบกไมน์ให้เพราะไมน์เดินไม่ไหว ราฟจึงบอกว่าเขาจะแบกไมน์ให้เอง แล้วให้ลุทซ์ถือสัมภาระของเขาให้แทน

ระหว่างเดินไปประตูเมือง จากบทสนทนาของราฟกับโทรี่ ทำให้ไมน์จับได้ว่า ท่าทางราฟจะแอบชอบโทรี่ ราฟชมผมของโทรี่ว่าสวยมาก หอมด้วย ลุทซ์จึงจับผมไมน์มาดมและชมผมไมน์ด้วย ทำเอาไมน์เขิน (เด็กๆ ทำแล้วน่ารักดี)

ไมน์กับโทรี่ไปถึงประตูเมืองจนได้ คุณพ่อกุนเทอร์จอมเห่อลูกสาวอวดลูกสาวใหญ่เลย ว่าลูกสาวฉันฉลาดน่ารักที่สุด

ทหารเฝ้าประตูเมือง มีอยู่คนหนึ่งท่าทางดูดีกว่าเพื่อน ชื่ออ๊อตโต เป็นทหารคนเดียวที่รู้หนังสือ คำนวณตัวเลขเป็น เพราะเคยเป็นพ่อค้าเร่มาก่อน จึงถูกมอบหมายให้ทำงานเอกสารและคำนวณทั้งหมด

ในห้องทำงานของพ่อ ไมน์พบชั้นวางหนังสือที่มีเอกสารเก็บอยู่ และมี “กระดาษ”

ไมน์เข้าไปดูอ๊อตโตใกล้ๆ เห็นว่าเขากำลังเขียนตัวหนังสืออยู่ พ่อไมน์รีบจับลูกสาวไว้ไม่ให้เข้าไปกวนอ๊อตโตทำงาน ไมน์จึงชี้ที่กระดาษ น้ำหมึก และปากกาคอแร้งแล้วถามพ่อว่า นั่นเรียกว่าอะไร? (ถามคำศัพท์) พอกุนเทอร์ตอบ ไมน์ค่อยรู้ว่าทำไมถามโทรี่แล้วโทรี่ไม่เข้าใจ เพราะไมน์เรียกคำพวกนี้เป็นภาษาญี่ปุ่น

ไมน์ประสานมือทำตาปิ๊งๆ อ้อนพ่อขอให้ซื้อกระดาษให้ หนูอยากเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษแบบนั้น พ่อบอกซื้อให้ไม่ได้ และไมน์ก็เขียนหนังสือไม่เป็นด้วย ไมน์ขอให้พ่อช่วยสอนให้ อ๊อตโตหัวเราะพรืดทันที ถามว่าหัวหน้าเขียนหนังสือได้ด้วยหรือครับ? ไมน์ช็อคไปเลย เพิ่งรู้ว่าความรู้ของพ่อเท่าเด็กประถมต้น แค่อ่านพยัญชนะออกและเขียนชื่อเพื่อนได้ ไม่มีความรู้พอจะสอนเธอ

เห็นไมน์ทำหน้าผิดหวังในตัวพ่อ อ๊อตโตจึงช่วยอธิบายว่า ทหารเฝ้าประตูเมืองมีหน้าที่รักษาความสงบสุขของชาวเมือง ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญและมีเกียรติ ทหารเฝ้าประตูเมืองไม่มีความจำเป็นต้องรู้หนังสือมาก เพราะการรายงานเหตุการณ์ทั่วไปต่อเบื้องบนใช้แค่ปากเปล่าก็พอ เพราะไม่มีอะไรซับซ้อนถึงขนาดต้องเขียนรายงาน เหตุการณ์ใหญ่ที่ต้องเขียนรายงาน จะเป็นหน้าที่ของพวกอัศวิน (ที่เป็นชนชั้นสูงล้วนๆ)

พอไมน์เข้าใจแล้ว ก็หันไปทำตาปิ๊งๆ อ้อนพ่อให้ซื้อกระดาษให้ต่อ กุนเทอร์ทำท่าอึ้ง บอกซื้อให้ไม่ได้หรอก เพราะแค่แผ่นเดียว ก็ราคาเท่าเงินเดือนพ่อทั้งเดือนแล้ว ไมน์เลยช็อคอีกหน ที่กระดาษมันแพงหูดับตับไหม้ขนาดนี้ และค่อยเข้าใจว่าทำไมไม่เห็น “ร้านหนังสือ” เลย เพราะราคามันแพงเกินกว่าที่สามัญชนหาเช้ากินค่ำจะซื้อหามาไว้ในครอบครองได้

อ๊อตโตเห็นท่าทางจ๋อยของไมน์ก็สงสาร เสนอว่าถ้าอยากเขียนหนังสือ ใช้กระดานชนวนแทนไหม? เขามีของที่เขาเคยใช้ จะเอามาให้ไมน์ใช้ ไมน์ดีใจมาก บอกขอบคุณและขอให้อ๊อตโตช่วยสอนเขียนหนังสือให้ กุนเทอร์หน้าหงิกเลยที่เสียฟอร์มต่อหน้าลูกสาว

ไมน์กลับไปถึงบ้านก็วางแผนว่าจะทำยังไงดีถึงจะมีหนังสือในครอบครองได้ ในเมื่อไม่สามารถซื้อได้ ก็ต้องทำขึ้นมาเองด้วยสองมือ เริ่มจากทำกระดาษ

ในชาติที่แล้ว แม่ของอูราโนะมีงานอดิเรกชอบเรียนรู้และทำสิ่งแปลกๆ หลายอย่าง เช่น แชมพูสระนวด สบู่ ตะกร้าสานจากกระดาษหนังสือพิมพ์ที่บิดเป็นแท่ง ถักลูกไม้ กระดาษญี่ปุ่น ฯลฯ และขี้เบื่อง่าย ทำให้อูราโนะที่ต้องทำของพวกนี้เป็นเพื่อนแม่ต้องช่วยทำต่อจนเสร็จแทนแม่ จึงพลอยมีความรู้เหล่านี้ไปด้วย

อูราโนะเคยทำกระดาษรีไซเคิลจากกล่องนม และเคยทำกระดาษญี่ปุ่น แต่การทำสิ่งเหล่านั้นต้องมีอุปกรณ์และเครื่องจักรช่วย ถ้าเธอเป็นผู้ใหญ่ ก็คงหาทางทำกระดาษญี่ปุ่น แต่ไมน์เป็นแค่เด็กที่ร่างกายอ่อนแอ เธอจึงต้องคิดหาทางทำกระดาษที่เด็กตัวเล็กๆ อย่างเธอสามารถทำได้ด้วยสองมือของตัวเอง

ไมน์เริ่มคิดว่ากระดาษใยยุคโบราณของอารยธรรมโลกมีอะไรบ้าง เริ่มต้นที่กระดาษปาปิรุสของอิยิปต์ จึงวิ่งไปหาโทรี่ให้ช่วยพาเข้าไปในป่าเพื่อเก็บต้นหญ้ามาเลาะเยื่อสานเป็นกระดาษปาปิรุส

โทรี่ปฏิเสธทันที บอกว่าไมน์เดินไปถึงป่าไม่ไหวหรอก ถึงเดินไปไหว ไปถึงป่า ก็ต้องหาของป่า ต้องปีนต้นไม้ซึ่งไมน์ปีนไม่เป็น และต้องแบกของป่ากลับมาซึ่งหนักและลำบากกว่าขาไป แล้วยังต้องรีบกลับมาให้ทันก่อนประตูเมืองปิด ทำให้ระหว่างทางหยุดพักก็ไม่ได้ ไมน์ฟังแล้วจ๋อยไป ยอมรับว่าการเข้าป่ายากเกินไปสำหรับตัวเธอในตอนนี้

โทรี่บอกว่าตอนนี้ใกล้หน้าหนาวแล้ว ของที่หาจากป่าได้ลดลงแล้วด้วย และถามไมน์ว่าอยากได้อะไร ไมน์บอกไปว่าอยากได้ต้นหญ้าที่ต้นหนาหน่อยและยืดตรง โทรี่จึงบอกว่าจะเข้าไปหามาให้ แต่อย่าตั้งความหวังมาก

เอวากลับมาบ้านพอดี โทรี่จึงออกจากบ้านเข้าป่าไปหาของป่า + หาต้นหญ้าให้ไมน์ ส่วนแม่จะออกไปทำงาน จึงพาไมน์ไปฝากไว้ที่บ้านคุณยายที่รับเป็นพี่เลี้ยงช่วยเลี้ยงดูเด็กๆ ในละแวกนั้น (ก่อนอูราโนะจะมาอยู่ในร่างไมน์ แม่พาไมน์ไปฝากที่นั่นบ่อยๆ เวลาไม่มีใครอยู่บ้านดูแลไมน์ ก่อนนี้ที่ไม่ได้พาไปเพราะไมน์ไข้ขึ้น ตอนนี้หายไข้แล้วเลยพาไป)

ที่บ้านคุณยายพี่เลี้ยงเด็ก มีเด็กเล็กแบบยังคลานต้วมเตี้ยมพูดไม่ได้อยู่อีกหลายคน ไมน์โตสุด ไมน์ช็อคอีกรอบว่านี่ฉันโดนจัดอยู่กลุ่มเดียวกับเด็กพวกนี้เรอะ และการ “ดูแลเด็กเล็ก” ของคุณยายทำไมน์ช็อคหนักอีกรอบ เพราะเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีห้ามเด็กเอาของเล่นสกปรกเข้าปาก ไม่มีปลอบเด็กร้อง ไม่มีห้ามเด็กตีเด็กคนอื่น พอเด็กฉี่ ก็แค่เช็ดแล้วเอาของที่ใช้เช็ดโยนออกนอกหน้าต่าง

พอโทรี่กลับจากป่าแวะมารับน้องสาว ไมน์ร้องไห้โฮวิ่งไปกอดโทรี่ ประมาณหนูอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ไม่เอาแล้วที่นี่ ไมน์มองเห็นหลายๆ อย่างที่เธออยากจะแก้ไข แต่เด็กน้อยวัยห้าขวบลูกคนจนอย่างเธอไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้

ไมน์ออกจากบ้านพี่เลี้ยงไปเจอลุทซ์กับราฟ จึงได้รู้ว่าโทรี่เข้าป่าไปกับพี่น้องคู่นี้ ส่วนต้นหญ้าที่เก็บมา เป็นอาหารไก่ บ้านของลุทซ์กับราฟเลี้ยงไก่ จึงต้องตุนอาหารไก่สำหรับหน้าหนาว หญ้านี้คืออาหารไก่ โทรี่จึงขอส่วนลำต้นของหญ้ามาให้ไมน์

 

ไมน์ได้หญ้ามาแล้วก็เตรียมหาทางแอบออกนอกบ้านไปลอกเอาเยื่อออกมา แต่โดนแม่ลากตัวไปช่วยงานเตรียมตัวรับหน้าหนาว โดยให้ไปช่วยพ่อ

เนื่องจากช่วงหน้าหนาว จะมีพายุหิมะ จะไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน แม้แต่งานก็หยุด ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำอย่างบ้านของไมน์จึงต้องหางานทำฆ่าเวลาหารายได้เสริมภายในบ้าน

กุนเทอร์ให้ไมน์ช่วยดูบานพับที่ใกล้พัง แต่ไมน์ดันตาดีเกินไป เห็นจุดที่ต้องซ่อมเยอะไปหมด จนพ่อต้องไล่ให้ไปช่วยแม่แทน เพราะขืนให้ไมน์ช่วยดู จะต้องซ่อมหมดแม้แต่รอยร้าวเล็กๆ ซึ่งการซ่อมต้องใช้เงิน ที่บ้านไม่มีเงินมากขนาดนั้น ไมน์จึงคอตกนึกในใจว่าความจนนี่มันแย่ที่สุด

บ้านไมน์จนมาก ของใช้หลายๆ อย่างจึงต้องทำเอง ไม่มีเงินไปซื้อหา รวมถึงเทียนไข

เอวาจุดไฟในเตาผิง แล้วให้ไมน์ช่วยละลายไขมันวัวเพื่อใช้ทำเทียนไข ซึ่งกลิ่นเหม็นมาก (หนูไมน์ตัวเตี้ยมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน ต้องยืนบนเก้าอี้ที่เป็นลังไม้) พอไขมันวัวละลายได้ที่ แม่ก็ตักไขข้างบนออกแล้วทำท่าจะยกหม้อลง ไมน์จึงแนะให้ใส่เกลือ ตักฟองออกอีกหน่อย และรอให้ตกตะกอน จะได้น้ำมันที่ใสขึ้นและเหม็นน้อยลง เอวาลองทำตาม ก็ได้น้ำมันใสอย่างที่ไม่เคยมีจริงๆ

ต่อไปโทรี่ลากไมน์มาช่วยกันทำเทียนไขจากน้ำมันนี้ ไมน์ลองแปะใบสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมบนลำเทียน เผื่อเทียนจะหอมขึ้น โดนโทรี่เอ็ดว่าเอาสมุนไพรมาเล่นสิ้นเปลือง และอนุญาตให้ทำแค่ 5 แท่ง (หลังจากนี้ เทียนแบบนี้จะเป็น 1 ในสินค้าของไมน์ เทียนที่มีกลิ่นหอม)

ทำเทียนไขเสร็จ ระหว่างรอให้แห้ง ไมน์เห็นแม่ถือฟืนเดินเข้าห้องเก็บของ ก็ตามไปดู พบว่าด้านในห้องเก็บของมีห้องอีกชั้น แม่บอกว่าเป็นห้องสำหรับรับมือฤดูหนาว พื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องนั้นใช้เก็บไม้ฟืน ซึ่งมันเยอะมากจนไมน์คิดว่าหน้าหนาวของที่นี่คงโหดร้ายและยาวนานน่าดู และยุคนี้คงยังไม่มีปัญหาเรื่องตัดไม้ทำลายป่า เพราะบ้านเดียวยังใช้ฟืนเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงทั้งเมือง

เตรียมฟืนเสร็จแล้ว แม่ก็ต้องเตรียมปั่นด้าย ย้อมด้าย เพื่อเตรียมทอผ้าในช่วงหน้าหนาวให้คนในบ้านใช้ โดยเฉพาะชุดสำหรับพิธีศีลจุ่มของโทรี่

ที่โลกนี้มีศาสนาเดียว เป็นศาสนาที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ มีวิหารประจำเมือง มีนักบวชประจำวิหาร ชาวเมืองทุกคนจะต้องเข้าพิธีศีลจุ่มเมื่ออายุครบ 7 ขวบ โดยพิธีนี้ (น่าจะ) มีปีละ 2 ครั้ง คือในฤดูร้อน กับฤดูหนาว เมื่อผ่านพิธีศีลจุ่ม เท่ากับเป็นพลเมืองเต็มตัว ถือว่ามีตัวตน และสามารถทำงานมีรายได้ (เด็กฝึกหัด) ในเมืองนี้มีกฎหมายห้ามเด็กที่ยังไม่เข้าพิธีศีลจุ่มเป็นเด็กฝึกงาน ทำงานหารายได้เป็นจริงเป็นจัง

ด้านโทรี่ ก็เอาไม้มาเหลาเตรียมสำหรับสานตะกร้าตุนไว้ในช่วงหน้าหนาวที่ว่างมาก เพื่อจะเอาไปขายรวดเดียวในฤดูใบไม้ผลิ ไมน์ตั้งใจจะทำปาปิรุส แต่เนื่องจากไม่เคยอ่านเกี่ยวกับวิธีทำ เลยได้แต่เดาเอาว่าน่าจะเอามาสานกัน

ไมน์ขอให้โทรี่ช่วยเลาะเยื่อของต้นหญ้าเป็นเส้นๆ ให้ แล้วเอามาล้างจนสะอาดอย่างมีความสุข ตามด้วยเอาไปตากให้แห้ง (สรุป โทรี่ทำให้หมด ไมน์ตำตาปิ๊งๆ พี่คะพี่ขาอ้อนพี่สาวขอให้ช่วยอย่างเดียว)

โทรี่มองไมน์แล้ว “.......” ข้องใจอย่างแรงว่าน้องสาวตูเปี้ยนไป๋ไม่เหมือนเมื่อก่อน คิดทำแต่ของพิเรนทร์แปลกๆ โทรี่เอาไปบ่นกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็บอก แค่ตอนนี้ไมน์แข็งแรงขึ้น ทุกคนไม่ต้องใจหายใจคว่ำว่าไมน์จะจากเราไปวันไหน ก็ดีมากแล้ว และขอให้โทรี่ช่วยเป็นพี่สาวที่ดี โทรี่ก็รับปาก

 

วันนี้ไมน์ตื่นเช้ามา ก็อยู่ในเกวียนเรียบร้อย เป็นวันที่ทั้งครอบครัวเดินทางไปนอกเมืองเพื่อร่วมกับชาวบ้านคนอื่นๆ ช่วยกันจับหมูเชือด + แยกชิ้นส่วน ทำการถนอมอาหารเนื้อหมูทั้งวัน ถึงแม้ก่อนหน้านี้ ตอนที่แม่พาไมน์ไปตลาด จะซื้อเนื้อสัตว์ตุนไว้สำหรับหน้าหนาวเยอะแยะแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ

อูราโนะ หรืออาจจะไมน์ด้วย กลัวภาพโชกเลือดมาก เช่น เห็นคนฆ่าไก่ (ตอนไปตลาด) สับคอ ถอนขน ฯลฯ จะกลัวมากจนเป็นลม ถึงได้ขอไปอาศัยพักที่ร้านค้าซึ่งมีหนังสือร้านนั้น ระหว่างที่แม่ไปหาซื้อของในตลอดต่อ

ปีที่แล้วไมน์เคยมาร่วมในวันเชือดหมูแล้ว (อูราโนะยังไม่เข้าร่าง) และป่วยสลบคาเกวียน มาปีนี้ก็ซ้ำรอยเดิม ถึงแม้จะมีหน้าที่แค่นั่งเฝ้าเกวียน ไม่ต้องลงไปช่วย แต่พอไมน์ได้เห็นชาวบ้าน (รวมถึงพ่อของไมน์) ช่วยกันจับหมู แทงคอปล่อยเลือด ผ่าเอาเครื่องในออกมา ไมน์ก็เป็นลมสลบเหมือดคาเกวียน (นอกจากเห็นภาพจะๆ แล้ว แค่ฟังคำบรรยาย ไมน์ก็ทนฟังไม่ไหวด้วย เป็นหนึ่งในจุดอ่อนของไมน์ที่ในภายหลังโดนท่านหัวหน้านักบวชเอามาใช้ข่มขู่เพื่อสนตะพายไมน์ไว้ใช้งาน)

 

ไมน์ฟื้นจากสลบ พบว่านอนอยู่บนม้านั่งยาวในห้องทำงานของทหารเฝ้าประตูเมือง (ห้องทำงานของพ่อไมน์) และได้เจอกับอ๊อตโต อ๊อตโตบอกว่าพ่อไมน์อุ้มไมน์มาส่งท่าทางลนลานน่าดู ฝากให้อ๊อตโตช่วยดูแลลูกสาวให้หน่อยระหว่างเขาไปช่วยทำงานแยกส่วนรมควันเนื้อหมู ไว้เสร็จงานแล้วจะมารับไมน์กลับ อ๊อตโตเห็นไมน์ทำหน้าหงอย ก็ถามว่าเหงาหรือที่พ่อแม่ไม่อยู่ ไมน์บอกว่าเปล่า แค่ไม่รู้จะทำอะไรดีระหว่างรอ เพราะคงอีกนานกว่าพ่อจะมารับ อ๊อตโตจึงไปเอากระดานชนวนพร้อมชอล์กมาให้ เขียนชื่อไมน์ให้ดู แล้วบอกให้หัดเขียนไประหว่างที่เขาไปยืนเฝ้าประตูเมือง

ไมน์ดีใจมาก ทั้งหัดเขียนชื่อและเขียนภาษาญี่ปุ่นลงในกระดาษแล้วลบอย่างสนุกมือ ด้วยความที่ตื่นเต้นดีใจมากเกินไป กว่าพ่อแม่จะมารับ ก็พบว่าไมน์ไข้ขึ้นนั่งฟุบอยู่กับโต๊ะ (เวลาอารมณ์ขึ้นหรือลงมาก ไม่ว่าดีใจมาก ตื่นเต้นมาก หรือหดหู่ เศร้ามาก ไมน์จะไข้ขึ้นต้องนอนซมหลายวันทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นเคสอารมณ์แนวเศร้า หดหู่ จะมีอันตรายถึงชีวิตเพิ่มขึ้นมา อันจะเริ่มเกิดขึ้นหลังจากนี้)

อย่างไรก็ตาม การได้กระดานชนวนและได้ชอล์กมาหัดเขียน ทำให้ไมน์มีความสุขมากแม้จะต้องจับไข้นอนซมไปหลายวันหลังจากนั้น

 

เข้าหน้าหนาวเต็มตัว เช้าวันนี้หิมะตกแต่เช้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไมน์นั่งหง่าวไม่มีอะไรทำอยู่ในบ้าน ส่วนแม่นั่งซ่อมแซมเสื้อผ้าชำรุดใต้แสงเทียนที่ต้องใช้อย่างประหยัด ซ่อมผ้าเสร็จแล้ว แม่เรียกโทรี่ไปที่หูกทอผ้า สอนวิธีทอผ้าให้ เพราะโทรี่คิดจะเป็นช่างตัดผ้าในโรงงานเหมือนแม่ ไมน์จึงไปเอาเส้นใยหญ้าที่เตรียมไว้มาพยายามสานเป็นกระดาษปาปิรุสแบบเดาสุ่ม

ไมน์พยายามสานอยู่หลายวัน แต่ด้วยความที่แสงสว่างไม่เพียงพอ + เส้นใยหญ้าเล็กมาก สานล้วสานอีกอยู่หลายวันยังมองแทบไม่เห็นความคืบหน้า ไมน์เริ่มรู้ตัวว่าล้มเหลว การทำกระดาษด้วยวิธีนี้ไม่เวิร์ค แม่เองมองว่าไมน์เล่นไร้สาระ จึงสั่งให้เลิกได้แล้ว และไปช่วยโทรี่สานตะกร้าสำหรับขายหารายได้พิเศษตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ ไมน์รับคำจ๋อยๆ และขอให้โทรี่ช่วยหยิบไม้สำหรับสานตะกร้าที่เหลาไว้เรียบร้อยมาให้ โทรี่จะช่วยสอน ไมน์บอกว่าไม่ต้อง เธอสานเป็น เพราะเคยเรียนวิธีสานตะกร้าด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ม้วนบิดเป็นแท่งสมัยเป็นอูราโนะ

ระหว่างที่ไมน์สานตะกร้าอย่างคล่องแคล่ว ก็สังเกตเห็นผ้าที่แม่กำลังทออยู่ จึงถามว่านั่นเสื้อของพี่โทรี่หรือ?ผ้าบางจังเลย แม่บอกว่าใช่ เป็นผ้าที่จะใช้ตัดเป็นชุดสำหรับใส่ในพิธีศีลจุ่มหน้าร้อน แต่ยังกังวลอยู่เลยว่า ไมน์ตัวเล็กกว่าโทรี่มาก ชุดของโทรี่ไมน์คงใส่ไม่ได้ จะเอายังไงกับชุดพิธีศีลจุ่มของไมน์ดี จากนั้นแม่ก็หันมาบอกให้ไมน์เริ่มเรียนรู้การทอผ้าได้แล้ว เพราะถ้าทอผ้าไม่เก่ง จะไม่มีใครคิดว่าลูกสวย ไมน์คิดในใจว่างั้นอย่างฉันคงไม่มีทางเป็นกุลสตรีแสนสวยได้แหงๆ แต่ถ้าทอผ้าแล้วเอามาใช้แทนกระดาษได้ เธอจะยอมทอก็ได้

ไมน์สานตะกร้าเสร็จออกมามีลวดลายสวยงามแบบที่ในยุคนี้ไม่เคยมี แม่เห็นแล้วทึ่งมากเอ่ยชมว่าไมน์ไปเป็นช่างฝีมือสานตะกร้าขายได้เลย แต่ไมน์ไม่ดีใจเลย เฉยๆ มากกับคำชม (อะไรที่ไม่เกี่ยวกับหนังสือ ไมน์จะไม่กระตือรือร้นเลย) โทรี่มองตะกร้าที่ไมน์สานแล้วหันมามองของตัวเอง พูดหงอยๆ ว่าฉันเป็นพี่แท้ๆ แต่ทำได้ไม่ดีเท่าน้อง ไมน์รีบปลอบใจให้โทรี่รู้สึกดีว่าวิธีสานตะกร้านี่คุณยายพี่เลี้ยงสอนมาน่ะ หนูนั่งทำตลอดตอนที่พี่ออกไปหาของป่า หนูเลยถนัด แล้วพี่โทรี่ทำอะไรได้ดีกว่าหนูตั้งหลายอย่างนะ หนูสิอิจฉาพี่จะตาย

โทรี่ฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นมาก ยิ้มพลางบอกว่าเธอจะพยายามสานตะกร้าให้ออกมาสวยกว่าไมน์ให้ได้ ไมน์ให้กำลังใจว่าพี่โทรี่ต้องทำได้แน่

มาถึงเรื่องกระดาษ ไมน์เลิกล้มความคิดจะทำกระดาษปาปิรุส หันไปมองอารยธรรมอย่างอื่นแทน อย่างถัดไปที่จะลองทำดู คือแผ่นดินเหนียว อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ทำแผ่นดินเหนียว สลักตัวหนังสือลงไป แล้วนำไปอบในเตา ถึงฤดูใบไม้ผลิเมื่อไหร่จะเริ่มทำแผ่นดินเหนียว

 

เช้าวันที่หิมะหยุดตก ท้องฟ้าสดใส เป็นวันที่ต้นปารุ ต้นไม้เวทมนตร์จะขึ้น โทรี่เข้ามาปลุกไมน์กับพ่ออย่างสดใส แล้วออกไปเก็บผลปารุกับพ่อ ส่วนไมน์อยู่บ้านสานตะกร้ารอ โทรี่กลับมาพร้อมกับผาปารุสามผล ไมน์เข้ามาดูเพราะไม่เคยเห็น โทรี่เอากิ่งไม้ไปลนไฟแล้วเจาะรูที่เปลือกผลปารุ จากนั้นเทน้ำใส่ถ้วย กลิ่นน้ำปารุหอมมาก อธิบายให้ไมน์ฟังว่า น้ำปารุหวานอร่อย แถมยังสกัดน้ำมันจากผลได้ และกากยังเอาไปเป็นอาหารสัตว์ได้ด้วย

ต้นปารุเป็นต้นไม้ที่จะขึ้นในเช้าวันที่อากาศสดใสหลังวันหิมะตกเท่านั้น ต้องเข้าไปเก็บในป่า วิธีเก็บคือต้องปีนขึ้นไปบนต้น ใช้มือเปล่าที่ไม่ใส่ถุงมือจับกิ่งจนกว่ากิ่งจะอุ่นถึงจะหักกิ่งที่มีผลติดอยู่ได้ ต้นปารุมีเวทมนตร์ป้องกันไฟทำให้ไฟหายไปได้ จึงไม่สามารถใช้จุดไฟช่วยเร่งให้ต้นมันอุ่นได้ และเก็บได้เฉพาะตอนเช้าจนถึงเที่ยงเท่านั้น ตอนเที่ยงพอแดดเริ่มแรง ต้นปารุจะเริ่มสั่นเขย่าจนใบลั่นกราว จากนั้นลำต้นจะเริ่มสูงขึ้นๆ แล้วโยกไหวแรงเหมือนผู้หญิงสะบัดผม ผลที่ไม่โดนเก็บจะกระเด็นหลุดจากต้นหายวับไป จากนั้นต้นปารุทั้งต้นก็จะหายวับไปเลย

วิธีเก็บผลปารุยุ่งยากมาก แต่ผลของมันก็อร่อยมาก เด็กๆ ลูกคนจนจึงไปเก็บกันทุกครั้งที่มีให้เก็บ ไมน์ไม่เคยได้ไป เพราะไม่มีปัญญาปีนต้นปารุ และขืนถอดถุงมืออังกิ่งมันให้อุ่นกลางหิมะ ไมน์ได้ป่วยแน่

โทรี่ให้ไมน์ลองชิมน้ำปารุก้นถ้วย ไมน์ชอบมาก ว่ารสชาติหวานเหมือนน้ำกะทิ (คนไทยคงไม่กล้าซดน้ำกะทิเพียวๆ...แต่คนจีน คนญี่ปุ่นดูจะชอบ ที่จีนมีน้ำกะทิกระป๋องขายเป็นเครื่องดื่มด้วย...)

หลังคั้นน้ำมันจากผลปารุแล้ว ก็เหลือกากปารุใส่อยู่ในถุงเป็นอาหารไก่ พ่อให้ไมน์เอาไปให้ที่บ้านลุทซ์เพื่อแลกไข่ไก่กลับมา ไมน์เห็นกลิ่นหอมดี คิดว่าน่าจะกินได้ จึงลองหยิบขึ้นมากินดู โทรี่ตกใจรีบวิ่งเข้ามาห้าม แต่ไมน์กินลงไปแล้ว และบอกว่ามันหวานอร่อยดีนะ มันกินได้ล่ะ

สองพี่น้องเอากากปารุไปเคาะประตูบ้านลุทซ์ ลุทซ์มาเปิดประตู เห็นกากปารุ ก็บอกว่าอาหารสัตว์น่ะมีพอแล้ว ขอพวกเนื้อแทนได้ไหม? เพราะพวกพี่เอาเนื้อส่วนของฉันไปกินหมดแล้ว (ลุทซ์มีพี่ชายอีก 3 คน) ไมน์เลยบอกว่ากินกากปารุนี่แทนสิ ลุทซ์โวยว่าใครจะไปกินอาหารไก่กัน โทรี่จึงบอกว่า นายอาจจะไม่เชื่อ แต่มันกินได้จริงๆ นะ และอร่อยด้วย จากนั้นขอเข้าไปสาธิตวิธีกินในบ้านลุทซ์

พอลุทซ์ได้ลองชิมกากปารุดู ปรากฏว่าหวานอร่อยจริงๆ พวกพี่ชายของลุทซ์ได้ยินเข้า ก็เข้ามาแย่ง ไมน์จึงเสนอว่า เธอทำให้อร่อยกว่านี้ได้ แต่เธอไม่มีแรงทำ ให้พวกผู้ชายช่วยออกแรงทำให้ จากนั้นก็บอกให้เอาเครื่องไม้เครื่องมือกับวัตถุดิบ คือนม เนย และไข่ไก่มา จากนั้นบอกสูตรทำฮอตเค้กปารุ ตั้งชื่อว่าเค้กปารุ พวกพี่น้องลุทซ์กินแล้วชอบกันมาก ส่วนไมน์เอาหนึ่งแผ่นมาแบ่งกันกินกับโทรี่ ทุกคนบอกว่าไมน์สุดยอดเลย ไมน์บอกว่าความจริงมีอีกหลายเมนูเลยที่ใช้ผลปารุทำให้อร่อยได้ แต่เธอไม่มีแรงทำ ลุทซ์จึงอาสาว่างั้นเขาจะทำให้เอง ไมน์เป็นเทพธิดาของเขา อุตส่าห์สอนให้ทำของอร่อยขนาดนี้ ดังนั้นบอกมาได้เลยว่าจะให้ทำอะไร

(ฮอตเค้กปารุ จะกลายเป็นขนมเฉพาะฤดูกาลยอดฮิตของบ้านเด็กกำพร้าที่ไมน์เป็นผอ.ในอนาคต)

 

อีกหนึ่งเช้าที่อากาศแจ่มใส แม่กับโทรี่ออกไปเก็บผลปารุ พ่อเลยพาไมน์ไปที่ประตูเมืองด้วย แล้วค่อยให้แม่กับโทรี่แวะรับขากลับ

หลังจากแม่กับโทรี่ออกไปแล้ว ไมน์ถามพ่อว่าวันนี้พี่อ๊อตโตมาด้วยไหม? พ่อบอกว่าน่าจะมานะ ไมน์ก็เย้ งั้นหนูขอเอากระดานชนวนไปด้วย จากนั้นก็ไปหยิบกระดานชนวนใส่ตะกร้า ใส่เสื้อหนาวอย่างกระตือรือร้นมาก (เพราะกะให้อ๊อตโตช่วยสอนตัวหนังสือใหม่ๆ) พ่อเห็นแล้วหงุดหงิด ถามว่า ไมน์ นี่ลูกชอบอ๊อตโตขนาดนั้นเลยเหรอ? ไมน์ตอบหน้าบานว่า “ค่ะ หนูรักเขา!” กุนเทอร์ช็อคมาก (คิดลึกไปแล้วค่ะคุณพ่อ)

ระหว่างเอาไมน์ขี่คอพาไปประตูเมือง กุนเทอร์เปรยว่า เจ้าอ๊อตโตแต่งงานแล้วนะ รักเมียมากด้วย ในหัวมีแต่เรื่องเมีย ไมน์ฟังแล้ว เอ่อ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนูเหรอคะพ่อ มาบอกเรื่องนี้กับลูกสาววัยห้าขวบทำไมเนี่ย? สรุป อ๊อตโตโดนพ่อไมน์เขม่นแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่...

พอไปถึงประตูเมือง อ๊อตโตกำลังนั่งทำรายงานงบประมาณ กุนเทอร์มองอ๊อตโตตาขวาง พูดว่าฝากดูแลลูกสาวฉันด้วย แล้วออกไปเฝ้าประตูเมือง ไมน์ขอโทษอ๊อตโตว่าดันเผลอชมอ๊อตโตให้พ่อฟัง พ่อเลยเขม่นหน้าอ๊อตโต จากนั้นขอให้อ๊อตโตช่วยสอนตัวหนังสือใหม่ๆ ให้ เธอจะนั่งหัดเขียนเงียบๆ ไม่รบกวน อ๊อตโตก็โอเค

ระหว่างที่หัดเขียนตัวหนังสือ ไมน์ดูเอกสารที่อ๊อตโตทำ (ไมน์อ่านตัวเลขได้ คงสังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นตัวเลข) จึงถามว่าทำอะไรอยู่หรือคะ? อ๊อตโตบอกว่าทำรายงานงบประมาณ แต่ทหารส่วนใหญ่ไม่เก่งตัวเลข มีเขาทำได้อยู่คนเดียว งานนี้เลยมาลงที่เขา ไมน์ดูๆ แล้ว สังเกตเห็นว่ามีการคูณผิด จึงทักออกไป อ๊อตโตแปลกใจมากที่ไมน์อ่านตัวเลขได้ แล้วยังคำนวณเป็น ไมน์จึงบอกว่าเคยเห็นตัวเลขตอนแม่พาไปตลาด เลยอ่านออก แต่ถึงเธอจะคำนวณตัวเลขได้ แต่เธออ่านตัวหนังสือไม่ออกนะ

อ๊อตโตได้ฟังก็นิ่งคิด แล้วขอร้องให้ไมน์ช่วยคิดเลขให้เขาหน่อย ไมน์ลังเลอยู่ว่าการขอให้เด็กอายุห้าขวบช่วยนี่ ความจริงมันแย่มาก แต่คิดอีกแง่ สถานการณ์คงแย่มากจริงๆ ถึงยอมทำขนาดขอให้เด็กห้าขวบช่วย จึงตกลงช่วย แลกกับชอล์กสำหรับเขียนกระดานชนวน เพราะเธอใช้เขียนไปเยอะจนไม่กล้าขอให้แม่ซื้อให้เพิ่ม อ๊อตโตตกลง (ความจริงชอล์กนี่ฮีเบิกได้ ไม่ต้องจ่ายเอง -_- ) จากนั้นไมน์ก็ช่วยคิดเลขให้เสร็จอย่างรวดเร็วโดยไม่ใช้ลูกคิด (ตั้งคูณในกระดานชนวนนั่นแหละ)

อ๊อตโตดีใจมากที่งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดเยอะ บอกว่าไมน์คิดเลขเก่งแบบนี้ น่าจะเหมาะกับอาชีพค้าขาย ไว้ถ้าอยากทำอาชีพนี้ เขาจะแนะนำสมาคมการค้าให้ ไมน์บอกว่าจะลองคิดดู ในใจคิดว่าถ้าต่อไปเปิดร้านขายหนังสือ ก็คงต้องอาศัยสมาคมการค้า อ๊อตโตบอกอีกว่า เรื่องที่ไมน์อยากเรียนเขียนหนังสือ ไว้เขาจะสอนให้ด้วย ปีหน้าไมน์จะได้มาช่วยเขาทำเอกสารได้ ไมน์ดีใจมาก เพราะได้ทำเอกสาร = ได้จับปากกา ได้ใช้น้ำหมึกเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษ (อ๊อตโตเข้าใจว่าไมน์ดีใจที่จะได้มาช่วยงานเขา ความจริงไม่ใช่เฟ้ย)

พอตอนเที่ยง แม่กับโทรี่ก็แวะมารับไมน์กลับบ้าน

 

หลายวันต่อมา ชุดสำหรับพิธีศีลจุ่มของโทรี่ก็ทำเสร็จ ไมน์เห็นว่าน่าจะประดับชุดเพิ่มอีกหน่อย แต่ก็คิดว่าอาจเป็นธรรมเนียมที่ไม่ให้ประดับชุดมาก เลยมาลองเล่นการประดับทางอื่น และถามว่าโทรี่จะทำผมแบบไหนในวันพิธีศีลลุ่ม โทรี่บอกว่าก็ทำผลแบบนี้แหละ ไมน์บอกว่าไม่ได้ เธอจะทำให้โทรี่น่ารักให้ได้มากที่สุดในวันนั้นเอง แล้ววางแผนถักลูกไม้ทำกิ๊บติดผมให้โทรี่

สมัยเป็นอูราโนะ เธอเคยหัดถักลูกไม้ จึงทำเป็น ไมน์ไปอ้อนพ่อให้ช่วยเหลาไม้ทำเข็มถักลูกไม้ให้ เพราะเข็มถักนีตติ้งของแม่ใหญ่เกินไป พ่อก็ทำให้ แถมอารมณ์ดีขึ้นเพราะลูกสาวอ้อน จากนั้นไมน์ก็ขอเศษด้ายของแม่มาถัก ทีแรกแม่ไม่ให้ บอกว่าสิ้นเปลือง ไมน์ดื้อขอโดยบอกว่าหนูอยากใช้เข็มถักที่พ่อทำให้นี่ พ่อจึงช่วยพูดให้ แม่เลยยอม ไมน์เลยหยอดคำหวาน “หนูรักพ่อที่สุด” กุนเทอร์เลยยิ่งอารมณ์ดี (คุณพ่อเห่อลูกสาว -_- )

ตอนไมน์ถักลูกไม้ แม่กับโทรี่มามุงดูอย่างสนใจ พอถักเสร็จหนึ่งดอก แม่ขอลองทำดู และทำได้อย่างคล่องแคล่วจนไมน์ทึ่งว่าแม่เก่งจัง แม่บอกว่าลูกสิเก่งกว่าแม่อีกที่รู้วิธีทำของแบบนี้ จากนั้นแป๊บเดียว ลูกไม้ประดับกิ๊บติดผมของโทรี่ก็เสร็จเรียบร้อย ขาดแต่กิ๊บ ไมน์จึงขอให้พ่อช่วยเหลาไม้ทำกิ๊บเสียบผมให้ เป็นอันเสร็จ จากนั้นถักเปียให้โทรี่ใหม่ แล้วติดกิ๊บ ให้โทรี่สวมชุดพิธีศีลจุ่ม ออกมาน่ารักมาก

หลังจากนั้น เข็มถักของไมน์ก็โดนแม่ยึดไปอยู่ในกล่องใส่อุปกรณ์เย็บผ้าเป็นที่เรียบร้อย

 

เริ่มย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ไมน์ก็อ้อนโทรี่ให้ช่วยพาเข้าป่าไปด้วยคน โทรี่ปฏิเสธ บอกว่าไมน์เดินไม่ไหวหรอก แต่ถ้าพ่ออนุญาต โทรี่จะยอมพาไป ไมน์จึงไปขอร้องพ่อ พ่อไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าไมน์เดินไม่ไหวแน่ๆ ไมน์ถามว่าต้องทำยังไงพ่อถึงจะยอมให้เธอเข้าป่า? พ่อจึงบอกว่า งั้นไว้ไมน์เดินไปกลับประตูเมืองได้โดยไม่สลบหรือหมดแรงเมื่อไหร่ พ่อจะยอมให้เข้าป่า ไมน์ตกลง และถามเพิ่มว่า ที่ว่าเดินไปกลับประตูเมืองนี่ คือเดินไปถึงแล้วเดินกลับมาเลยหรือ? พ่อบอกว่าไม่ใช่ ไปถึงประตูเมืองแล้ว ให้ไมน์ไปเรียนหนังสือกับอ๊อตโต

ไมน์แปลกใจที่พ่อยอมให้เธอเรียนหนังสือกับอ๊อตโต (เลิกอิจฉาอ๊อตโตซะทีเนอะคุณพ่อกุนเทอร์) พ่อจึงอธิบายว่า เพราะอ๊อตโตชมว่าไมน์ฉลาดหัวดีมาก น่าจะทำงานที่ต้องใช้หัว ไม่ต้องใช้แรงมากได้ดี ซึ่งสามารถทำที่บ้านได้ ไม่เป็นภาระต่อร่างกาย และได้เงินดีกว่าด้วย ไมน์ถามว่าที่ว่างานใช้หัวนี่ คืองานอะไรบ้าง กุนเทอร์ตอบว่า พวกงานเตรียมเอกสารให้กับฝ่ายปกครอง (หน่วยงานบริหารเมือง) หรือชนชั้นสูง เพราะงานที่พ่อกับแม่รู้จัก ดูจะไม่เหมาะกับไมน์เลยด้วย พ่อจึงเห็นด้วยว่าให้ไมน์ทำงานตามที่อ๊อตโตแนะนำน่าจะดีกว่า

จากนั้นพ่อหันไปบอกให้โทรี่ช่วยพาไมน์ไปป่าด้วย เมื่อไมน์สามารถไปป่าได้ด้วยตัวเองแล้ว ซึ่งก่อนหน้าที่ไมน์จะเข้าป่าเองได้ พ่อจะเป็นคนพาไมน์เดินไปประตูเมือง ขากลับจะให้ลุทซ์ช่วยเดินมาส่งไมน์ (กุนเทอร์ให้ค่าขนมลุทซ์นิดหน่อยเป็นสินน้ำใจ) โทรี่พูดอย่างไม่เต็มใจว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไมน์จะเป็นภาระให้เธอ กุนเทอร์จึงบอกว่าถ้าไมน์เข้าป่าเองไม่ได้ ก็จะเป็นภาระโทรี่ให้อยู่ดี ระหว่างที่สองคนพูดโต้ตอบกัน ไมน์ทำหน้าจ๋อย เพิ่งรู้ว่าเธอที่ร่างกายอ่อนแอเป็นภาระให้ครอบครัวมากแค่ไหน

หลังจากนั้นไมน์ก็เริ่มการเทรนร่างกายเพื่อให้สามารถเข้าป่าได้ โดยเดินไปที่ประตูเมืองกับพ่อ ซึ่งก็หมดแรงกลางทางจนพ่อต้องอุ้ม ระหว่างที่พ่ออุ้มเดิน ไมน์ถามพ่อว่า ให้อ๊อตโตมาสอนหนังสือเธอ จะไม่รบกวนการทำงานของอ๊อตโตเหรอ? พ่อจึงบอกว่า อ๊อตโตมีงานสอนหนังสือให้ทหารใหม่ที่เพิ่งผ่านศีลจุ่มอยู่แล้ว ไมน์แค่ไปเรียนด้วย และอ๊อตโตอยากสอนไมน์ เพื่อให้ไมน์มาเป็นผู้ช่วยหลังจากไมน์ผ่านศีลจุ่มแล้ว ความจริงตอนนี้ถือว่าไมน์เป็นผู้ช่วยของอ๊อตโตแล้ว แต่เนื่องจากกฎหมายของเมืองห้ามเด็กที่ยังไม่ผ่านศีลจุ่มทำงานรับเงินเดือน เลยเรียกว่า “ไปเรียนหนังสือกับอ๊อตโต” แทน และรับค่าตอบแทนเป็นชอล์ก ไมน์คิดในใจว่าท่าทางอ๊อตโตจะอยากได้เธอไปเป็นผู้ช่วยสุดๆ เลยนะเนี่ย สงสัยคิดล่วงหน้าไปถึงรายงานงบประมาณปีหน้าแล้วแหงๆ

ไปถึงประตูเมือง มีทหารใหม่เป็นเด็ก 4-5 คนนั่งเรียงให้อ๊อตโตสอน ตรงหน้าแต่ละคนมีชอล์กกับกระดานชนวน ไมน์เข้าไปนั่งด้วย ฟังที่สอนไปเงียบๆ + หัดเขียนตัวอักษร อ๊อตโตไปดูที่ไมน์หัดเขียน พบว่าไมน์เขียนได้เร็วมาก ลายมือสวยมากด้วย

พอผ่านไปครู่หนึ่ง ไมน์ที่เห็นพวกเด็กๆ เริ่มทำหน้าเบื่อๆ เหนื่อยๆ ก็เสนออ๊อตโตว่าให้เปลี่ยนไปสอนอย่างอื่นสลับกันดู เช่น สอนตัวเลข สอนวาดรูปแปลนเมือง ฯลฯ เพราะการสอนอย่างเดียวนานๆ จะจดจ่อสมาธิได้ไม่นาน (ไมน์นึกถึงคาบเรียนของเด็กประถม) อ๊อตโตก็ทำตาม แล้วบ่นว่าสอนเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบนี้ เด็กมันไม่จำกันพอดี ไมน์เลยบอกว่า เรื่องที่ต้องสอนมีมากเกินไป สอนหมดในวันเดียวไม่ได้หรอก ต้องค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญพี่อ๊อตโตอย่าคิดว่าพวกเขาเหมือนหนูสิ อีกอย่าง ต้องให้มีการสอบด้วย ใครจำไม่ได้อยู่ท่องไปไม่ให้กลับบ้าน แต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบในตัวเอง

ขากลับ ตอนเดินจากประตูเมืองกลับบ้าน ลุทซ์ช่วยเดินช้าๆ เดินๆ หยุดๆ ไปกับไมน์จนถึงบ้าน วันรุ่งขึ้นไมน์ไข้ขึ้นเพราะออกแรงมากไป พอหายไข้ก็เดินไปประตูเมืองกับพ่อต่อด้วยความมุ่งมั่นจะเข้าป่าไปเอาดินเหนียวให้ได้

ไมน์ค่อยๆ เดินได้อึดขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น กินอาหารได้มากขึ้น ป่วยน้อยลง

ผ่านไปสามเดือน ไมน์ก็สามารถเดินจากประตูเมืองกลับมาบ้านได้รวดเดียวโดยไม่พัก ไมน์ดีใจมาก ทุกคนในบ้านก็ดีใจ พ่อแม่และโทรี่ชมไมน์กันใหญ่ พอไมน์ดีใจ อารมณ์พุ่งพรวด ไข้ก็ขึ้นอีกแล้ว

พอไข้ไมน์ลด พ่อก็อนุญาตให้เข้าป่าได้ ไมน์จึงเตรียมตัวพร้อมเอาตะกร้าใส่ช้อนขุดดินไปด้วย พ่อเห็นแล้วพูดย้ำว่า นี่คือแค่ให้เข้าป่าไปแล้วนั่งพัก จากนั้นรอกลับมาพร้อมทุกคนนะ ไม่ใช่ให้ไปทำงานจนตัวเองเหนื่อย ไมน์รับปาก (แต่ไม่คิดจะทำตาม) พ่อเลยฝากโทรี่ช่วยคุมไมน์อีกแรง

 

ไปถึงในป่า ไมน์นั่งพัก พอคนอื่นๆ รวมถึงลุทซ์ไปหาของป่ากันหมด ไมน์ก็เริ่มแผนขุดดินเหนียว แต่ดินแข็งกว่าที่คิด แถมไมน์ไม่มีแรง ขุดไม่ค่อยได้เรื่อง ขุดไปได้ไม่เท่าไหร่ ลุทซ์มาเจอก็ปรี้ดแตก ด่าใหญ่เลย บอกว่าให้ไมน์นั่งพักเฉยๆ อย่าทำอะไรให้ตัวเองเหนื่อย แล้วนี่ไมน์ทำอะไร? ไมน์บอก ขุดดิน ลุทซ์บอกรู้แล้วว่าขุดดิน จะขุดเอาไปทำอะไร? ไมน์เลยบอกว่าอยากได้ดินเหนียว ลุทซ์ถามว่าดินเหนียวคืออะไร? ไมน์บอกลักษณะไป ลุทซ์ก็ชี้ไปที่ริมลำธาร บอกดินแบบนี้อยู่ทางโน้น ไมน์ก็ดี๊ด๊าถือช้อนจะวิ่งไปขุด โดนลุทซ์หยิกหูกลับมาถามว่าวันนี้งานของเธอคือ “การพัก” เธอหูหนวกเรอะ?

ไมน์โวยวายว่า แต่มีแต่ไอ้นี่ที่ไมน์อยากได้ และมันไม่ได้สำคัญสำหรับคนอื่นด้วย ถ้าไมน์ไม่ขุดเอง แล้วใครจะมาขุดให้ล่ะ? ลุทซ์เลยถอนหายใจ บอกเดี๋ยวเขาขุดให้เอง ช่วยบอกทีแล้วกันว่าจะเอาดินเหนียวไปทำอะไร เขาจะได้ไม่เสียแรงเปล่า ไมน์บอกว่าจะเอามาปั้นเป็นแผ่นกระดาษ และถามว่าลุทซ์มาช่วยขุดดินแบบนี้ ไม่ต้องทำงานอย่างอื่นหรือ? ลุทซ์บอกว่า ตั้งแต่ตอนที่ไมน์ทำเค้กปารุให้ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยไมน์ทุกอย่าง แล้วชูช้อนขุด พูดว่าไมน์พกไอ้นี่มาด้วย คงไม่คิดจะนั่งพักเฉยๆ ตั้งแต่แรกแล้วสินะ ไมน์เหงื่อแตกยอมรับผิดว่าวางแผนจะมาขุดดินเหนียวแต่แรกแล้ว

พอขุดดินเหนียวมาได้ ก็เอามาปั้นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ หลายแผ่น แล้วเอากิ่งไม้เขียนตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นเป็นนิทานก่อนนอนที่เอวาเล่าให้ฟัง จากนั้นวางตากไว้แถวนั้น

ระหว่างทำงานง่วน พวกเฟย์ดันวิ่งผ่านมาเหยียบดินเหนียวที่ตากไว้แบนหมดอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ไมน์เสียใจมากจนร้องไห้ และโกรธมากกก

ฉากไมน์โกรธนี้ เพราะในนิยายเขียนโดยให้ไมน์เป็นคนเล่าเรื่อง จึงไม่มีการเอ่ยถึงอาการของไมน์ตอนโกรธ แต่ในมังงะจะวาดภาพบรรยายตามที่ในเนื้อเรื่องภายหลังได้ย้อนเล่าว่า ตอนไมน์โกรธ ตาของไมน์เปลี่ยนจากสีทองเป็นสีรุ้ง ตัวก็เรืองแสง ซึ่งดูน่ากลัวมากในสายตาคนอื่น (ที่เป็นสามัญชน ถ้าเป็นชนชั้นสูง จะรู้ว่านี่คืออาการของการปล่อยเวทมนตร์ออกมาจากร่าง)

พวกเฟย์ต่างตกใจกลัว โทรี่ที่ได้ยินเสียงเอะอะก็เข้ามาห้ามและปลอบไมน์ด้วยคน พวกเฟย์ขอโทษ ลุทซ์ปลอบใจไมน์ว่าโกรธไปก็ไม่ช่วยอะไร มาช่วยกันทำดินเหนียวใหม่ดีกว่า พวกเฟย์ก็รับปากด้วยว่าจะช่วยขุดและปั้นดินเหนียวอีกแรง ไมน์ถึงค่อยหายโกรธ

ก่อนกลับบ้าน ลุทซ์แนะให้เอาดินเหนียวที่ปั้นเสร็จไปเก็บไว้ในโพรงตรงโคนไม้ ลุทซ์บ่นกับโทรี่บ่นว่า ไมน์โมโหอาละวาดแบบนี้ กลับบ้านไปได้ไข้ขึ้นนอนซมไป 2-3 วันอีกแน่เลย แล้วไมน์ก็ไข้ขึ้นนอนซมไป 2-3 วันตามที่ทั้งสองคนทำนายจริงๆ แถมโดนพ่อดุด้วย

พอหายไข้ ฝนก็ตกหนัก ไมน์ตกใจมาก กลัวดินเหนียวที่อุตส่าห์ทำเสร็จจะเละ พยายามจะเข้าไปในป่าให้ได้ แต่แม่ไม่อนุญาต

กว่าฝนจะหยุด ปาเข้าไปหนึ่งสัปดาห์ ดินเหนียวเปียกเละหมดตามที่คาด ได้แต่ทำกันใหม่

พอทำใหม่อีกรอบเสร็จ ไมน์ดี๊ด๊าเอากลับบ้านมาเผา ปรากฏว่าดินเหนียวแตกเป็นชิ้นๆ ล้มเหลวจ้า แถมโดนแม่ด่าที่ทำเตาเลอะ ต้องเก็บกวาดเตาอีกต่างหาก

 

แผนทำกระดาษดินเหนียวล้มเหลว ไมน์ยังไม่ทันได้เริ่มแผนใหม่ วันพิธีศีลจุ่มของโทรี่ก็มาถึง

พ่อไมน์ติดประชุมที่มีชนชั้นสูงระดับสูงเข้าประชุมด้วยพอดี เลยไม่สามารถอยู่รอรับโทรี่หลังจบพิธีได้ พ่อดูจ๋อยมาก ไมน์นึกถึงผู้ปกครองที่ติดงานวันกีฬาสีของลูกที่เรียนอยู่ชั้นประถมเลย

ไมน์ช่วยถักเปียให้โทรี่อย่างน่ารัก วันนี้แม่ที่จะเดินไปเป็นเพื่อนโทรี่ก็แต่งตัวสวยด้วยชุดที่ไม่มีรอยปะชุน พอโทรี่เดินออกจากบ้านไปรวมกลุ่มกับเด็กคนอื่นๆ มีแต่คนชมว่าโทรี่น่ารักเหมือนเจ้าหญิง ปิ่นประดับผมก็สวยมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน ถามว่าใครทำให้? โทรี่ทำท่าจะบอกว่าไมน์ทำให้ ไมน์รีบพูดว่าทั้งครอบครัวช่วยกันทำ ดอกไม้แม่ช่วยถัก ปิ่นไม้พ่อช่วยเหลา

พิธีศีลจุ่ม เด็กๆ (ลูกสามัญชนทั้งหลาย) จะเดินไปที่วิหาร มีคนในเมืองยืนสองฝั่งถนนร้องตะโกนอวยพร พอเข้าไปถึงวิหาร คนที่ไปส่งก็แยกย้ายกลับ เหลือแต่ผู้ปกครองรอรับลูกกลับออกมาจากในวิหาร การเข้าพิธีศีลจุ่ม เป็นเหมือนการลงทะเบียนทำบัตรประชนชนว่าเป็นพลเมืองของเมืองนั้น จะได้สิทธิ์ในการเป็นพลเมืองเต็มตัว

ถ้าเป็นลูกของชนชั้นสูง จะมีการเชิญนักบวชไปทำพิธีให้ที่บ้าน

 

หลังส่งโทรี่เข้าวิหาร ไมน์ก็ลากพ่อที่ทำท่าอาลัยอาวรณ์ไปทำงานที่ประตูเมือง

ระหว่างที่พ่อไมน์กับอ๊อตโตประชุม มีทหารถือเอกสารเข้ามาหาอ๊อตโตท่าทางรีบร้อน แต่อ๊อตโตติดประชุม ไมน์เลยบอกว่าถ้าเป็นเอกสารแนะนำตัวของชนชั้นสูง เธอช่วยอ่านให้ได้นะ อ๊อตโตสอนเธอหมดแล้ว เธอเป็นผู้ช่วยของอ๊อตโต ทหารใหม่จึงยื่นหนังสือแนะนำตัวให้ไมน์ บอกว่ามีพ่อค้าเอาหนังสือแนะนำตัวนี้มาให้

ไมน์อ่านหนังสือแนะนำตัวแล้วบอกว่า เป็นหนังสือแนะนำตัวจากบารอนบรอนเพื่อส่งของให้บารอนกลาส ต้องใช้ตราประทับของหัวหน้ากอง แต่ทุกคนเข้าประชุมอยู่ ไมน์จึงแนะนำให้ทหารพาพ่อค้าไปรอที่ห้องรอสำหรับชนชั้นสูงระดับล่าง (ชนชั้นสูง = ชนชั้นขุนนาง แบ่งเป็นระดับสูง ระดับกลาง ระดับล่าง โดยน่าจะ บารอน, ไวส์เคานท์ = ชนชั้นสูงระดับล่าง; เอิร์ล (เคานท์), มาร์ควิส = ชนชั้นสูงระดับกลาง; ดยุคขึ้นไป = ชนชั้นสูงระดับสูง) จากนั้นอธิบายกับพ่อค้าไปว่า ทุกคนกำลังเข้าประชุมกับชนชั้นสูงระดับสูงอยู่ พ่อค้าน่าจะเข้าใจ

พอจบประชุม กุนเทอร์จะรีบพาไมน์กลับบ้าน ไมน์รีบห้ามไว้ แล้วรายงานอ๊อตโตเรื่องพ่อค้าเอาเอกสารแนะนำตัวมาให้ อ๊อตโตชมว่าไมน์จัดการได้ดีมากสมเป็นผู้ช่วยเขาและขอบใจ พ่อไมน์หันไปมองตาขวาง บอกไมน์เป็นลูกสาวฉันต่างหากเฟ้ย

กลับถึงบ้าน ที่บ้านไมน์ฉลองให้โทรี่ที่อายุครบเจ็ดขวบ พ่อกับแม่ให้ของขวัญโทรี่เป็นชุดใหม่กับอุปกรณ์ตัดเย็บ ส่วนไมน์ พ่อให้ของขวัญเป็นมีดสั้นหนึ่งเล่ม เพราะต่อไปโทรี่ต้องเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกงานแล้ว ไมน์จึงต้องทำงานบ้านแทนโทรี่ ต้องเข้าป่าไปเก็บของป่าแทนโทรี่ด้วย ซึ่งต้องใช้มีดในการเก็บฟืน

ไมน์ดีใจว่า มีมีดเล่มนี้ น่าจะสามารถใช้ทำกระดาษแผ่นไม้ของจีนโบราณ อารยธรรมลุ่มแน่น้ำฮวงโหได้

 

หลังจากโทรี่เริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกงาน แม่ก็เริ่มให้ไมน์ช่วยทำงานบ้านที่โทรี่เคยช่วยทำ แต่ไมน์ก็ทำงานบ้านได้ไม่ดีเลยสักอย่าง เพราะแรงน้อยมาก และเหนื่อยง่าย ความจริงสมัยเป็นอูราโนะ เธอทำงานบ้านได้สารพัด ทำอาหารได้มากมาย แต่ทุกอย่างเหล่านั้น มีเครื่องอำนวยความสะดวกช่วยทั้งหมด มีเครื่องซักผ้า มีไมโครเวฟ มีเครื่องดูดฝุ่น ฯลฯ ขณะที่ที่นี่ไม่มีอะไรเลย

จะตักน้ำจากบ่อ ไมน์ก็สาวน้ำเต็มถังขึ้นมาไม่ไหว หิ้วน้ำเต็มถังกลับบ้านก็ไม่ไหว ต้องทยอยหิ้วทีละน้อย ซึ่งเสียเวลามาก สรุปว่าแม่ตักเองเร็วกว่า

จะช่วยจุดไฟในเตา ถึงจะเคยไปออกค่ายตั้งแคมป์เลยรู้วิธีวางฟืน แต่ตอนตั้งแคมป์ใช้ไฟแช็กจุด มาตอนนี้ต้องใช้หินเหล็กไฟ และไมน์กลัวสะเก็ดไฟที่เหมือนดอกไม้ไฟ กลัวมันลุกไหม้โดนตัว เลยไม่กล้าจุด สรุปว่าแม่จัดการให้

เรื่องทำอาหาร ไมน์สามารถบอกสูตรและสอนวิธีทำได้ แต่ยกมีดหั่นผักมือเดียวไม่ไหว ต้องยกสองมือ และตัวเตี้ยเกินไป ถึงเอาเก้าอี้รองขา ก็ยังเตี้ยไปอยู่ดี สรุปได้แต่ช่วยหั่นผักนิดๆ หน่อยๆ

ไมน์หดหู่ในความอ่อนแอของร่างกายตัวเองมาก พ่อจึงปลอบว่า พ่อไม่ได้คาดหวังให้ไมน์ช่วยทำงานบ้านได้เหมือนอย่างโทรี่หรอกนะ ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่ต้องคอยใจหายใจคว่ำอยู่เรื่องเวลาไมน์ป่วย ว่าครั้งนี้ไมน์จะไปไหม จะยังได้อยู่กับพวกเราอีกไหม ดังนั้นแค่ที่ตอนนี้ไมน์ร่าเริงออกไปเดินนอกบ้าน ออกไปป่าได้ พ่อก็ดีใจมากแล้ว

ตอนตามโทรี่เข้าป่าไปช่วยเก็บของป่า ไมน์ได้แต่เก็บกิ่งไม้ร่วง ส่วนโทรี่ใช้เลื่อยตัดกิ่งไม้เหมาะๆ อย่างชำนาญ ไมน์เห็นแล้วอิจฉาความแข็งแรงของพี่สาวมาก ส่วนตัวไมน์ก็เริ่มเลือกกิ่งไม้เหมาะ ใช้มีดสั้นเหลาให้เป็นแผ่นไม้บางๆ ขนาดเท่าๆ กัน เพื่อเตรียมร้อยเข้าด้วยกันเป็นกระดาษไม้ไผ่แบบจีนโบราณ

ลุทซ์มาเห็นไมน์กำลังเหลาไม้ ก็ถามว่า กำลังทำของแทนแผ่นดินเหนียวอยู่เหรอ? ไมน์ถามว่ารู้ได้ยังไง? ลุทซ์ตอบว่า ก็สีหน้าเธอดูมีความสุขมาก เหมือนจะเอากิ่งไม้ที่เหลาอยู่มาถูไถกับหน้างั้นแหละ ตอนทำแผ่นดินเหนียว เธอก็ทำหน้าแบบนี้ จำไม่ได้เหรอ? ไมน์ฟังแล้วอายมาก เพราะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้

ลุทซ์อาสาช่วยเหลาแผ่นไม้ให้ โดยขอแลกกับการให้ไมน์ช่วยแนะนำลุทซ์ให้รู้จักกับอ๊อตโต ลุทซ์บอกว่าอยากเป็นพ่อค้าเร่ รู้ว่าอ๊อตโตเคยเป็นพ่อค้าเร่มาก่อน และมีเส้นสายกับสมาคมการค้า จึงอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับพ่อค้าเร่จากอ๊อตโต ไมน์รับปาก

 

วันรุ่งขึ้น ตอนไปที่ประตูเมือง ไมน์ถามอ๊อตโตว่าถ้าอยากเป็นพ่อค้าเร่ต้องทำยังไง? อ๊อตโตตกใจมาก นึกว่าไมน์อยากเป็นพ่อค้าเร่เพราะเขา และกลัวพ่อไมน์จะด่าเขา ไมน์บอกว่าเพื่อนไมน์ต่างหากที่อยากเป็น อ๊อตโตจึงฝากไปบอกให้เพื่อนไมน์ลืมมันไปซะเถอะ เป็นพ่อค้าเร่น่ะลำบากมาก ไมน์บอกว่าไมน์ก็คิดงั้น แต่ให้อ๊อตโตที่เคยเป็นพ่อค้าเร่เป็นคนบอก จะได้ผลกว่าให้ไมน์บอก อ๊อตโตจึงตกลงจะนัดเจอกับลุทซ์ในวันหยุดครั้งหน้า ให้ไมน์พาลุทซ์มาหา

ไมน์ขอเปลี่ยนค่าจ้างที่ช่วยงานอ๊อตโตจากชอล์กเป็นน้ำหมึกแทน อ๊อตโตบอกว่างั้นไมน์ต้องทำงานให้เขาฟรีสามปี ไมน์ช็อคมากที่ไม่แค่กระดาษโคตรแพง น้ำหมึกก็โคตรแพง เลยได้แต่คิดหาทางทำน้ำหมึกเอง

 

ระหว่างเหลาแผ่นไม้อยู่ในป่า ไมน์บ่นเรื่องจะหาทางทำน้ำหมึกเองยังไงดี ลุทซ์ถามว่าน้ำหมึกคืออะไร? ไมน์อธิบายว่าคือของที่จะใช้เขียนลงบนแผ่นไม้นี่ได้ ลุทซ์จึงแนะนำว่า งั้นลองใช้ขี้เถ้าไม่ก็เขม่าดูไหม? ไมน์ร้องชมลุทซ์ว่าอัจฉริยะ!

ไมน์กลับบ้านไปขอขี้เถ้าจากแม่ แม่บอกไม่ได้ เพราะขี้เถ้าต้องเก็บไว้ใช้ทำสบู่ กับใช้ทำให้หิมะละลาย ไมน์เลยขอเขม่าแทน แม่ยิ้มเลย ถามว่าไมน์อยากทำความสะอาดเตาเหรอ? ได้เลยจ้า แล้วไปเย็บผ้าขี้ริ้วมาเป็นชุดให้ไมน์ใส่อย่างไว ไมน์ใส่ชุดผ้าขี้ริ้ว มีผ้าผูกหัวกันผมเปื้อนอีกผืน คอสเพลย์เป็นซินเดอเรลล่าทำความสะอาดเตา ได้เขม่ามาเพียบ และเพราะใช้แรงมากไป วันรุ่งขึ้นเลยป่วยไข้ขึ้นนอนซม

พอเข้าป่าได้อีกที ไมน์เอาเขม่าให้ลุทซ์ดู แล้วลองหาทางทำน้ำหมึกกัน ทีแรกผสมน้ำเฉยๆ แล้วไม่เวิร์ค เพราะเขม่าไม่ละลาย แต่จะผสมน้ำมันที่เป็นตัวทำละลายก็สิ้นเปลือง แม่ไม่มีทางให้

ไมน์ลองนึกถึงสิ่งที่ใช้เขียนอย่างอื่น นึกถึงดินสอ สีเทียน สีไม้ แล้วนึกขึ้นได้ว่าไส้ดินสอทำจากกราไฟต์ผสมดินเหนียว เลยลองเอาดินเหนียวผสมกับเขม่าปั้นเป็นแท่งเหมือนดินสอ ตากจนแห้ง เหลาปลายให้แหลม เอาผ้าพันกันเปื้อนแล้วลองเขียนดู ปรากฏว่าเขียนได้ แม้จะหักง่ายก็ตาม ไมน์ดีใจมาก ปั้นดินเหนียวผสมเขม่าออกมาเยอะแยะ กับเหลาแผ่นไม้ตุนไว้ เอาไปเก็บในห้องเก็บฟืนของที่บ้าน โดยวางแยกกับฟืนที่ที่บ้านใช้

วันหนึ่ง ไมน์พบว่าแผ่นไม้ที่เหลาไว้หายไปหมด ก็ตกใจโวยวายจนแม่เข้ามาดู แม่จึงบอกว่าแม่เอาไปใช้หมดแล้ว เพราะนึกว่าเป็นฟืนที่ไมน์หามาให้ ไมน์เสียใจมาก เป็นอีกครั้งที่ตาไมน์เปลี่ยนเป็นสีรุ้ง ครั้งนี้เพราะความเศร้าเสียใจอย่างหนัก + หมดเรี่ยวแรงกำลังใจ

ไมน์รู้สึกว่ามีความร้อนพุ่งออกมาจากภายในตัว ค่อยๆ กลืนกินสติ กลืนกินร่างกาย ขยับตัวไม่ได้ แล้วสลบไปทันที

ครั้งนี้ไมน์ไข้ขึ้นติดกันห้าวัน ระหว่างนี้อยู่ในสภาพเบลอๆ มองไม่ค่อยเห็น และไม่ค่อยได้ยินอะไร รับรู้เลือนๆ ว่ามีคนเข้ามาเยี่ยมดูอาการ จนวันหนึ่ง ลุทซ์เข้ามาเยี่ยม ไมน์จึงพยายามรวบรวมสติจะมองหน้าลุทซ์ให้เห็น และฟังเสียงลุทซ์ให้ได้ จึงพบว่าพอพยายามรวบรวมสติ ความร้อนที่วิ่งพล่านไปทั่วตัวก็หดลงกลับเข้ามาในตัว

ไมน์ฟ้องลุทซ์ว่าแม่เอาแผ่นไม้ไปเผาทำฟืนหมดแล้ว เธอรู้สึกว่าเธอถูกลิขิตแล้วว่าไม่มีทางได้อ่านหนังสือ ลุทซ์บอกว่างั้นก็ใช้ของที่จะไม่โดนเข้าใจผิดเอาไปเผาสิ ไมน์ถามว่าใช้อะไรล่ะ? ลุทซ์คิด แล้วตอบว่าไม้ไผ่ ไมน์จึงเริ่มมีกำลังใจ

ลุทซ์บอกว่าเขาจะเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นแผ่นไม้ให้ไมน์เอง เพื่อแลกกัน ไมน์ต้องหายไข้และพาเขาไปแนะนำให้รู้จักกับอ๊อตโต สัญญากันแล้วนะ ไมน์รับปาก และพยายามควบคุมความร้อนในตัวให้หดเล็กลง

แต่วันถัดมา ไมน์ได้ยินเสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างในบ้าน ปรากฏว่าแม่ไมน์เอาไม้ไผ่ที่ลุทซ์เหลามาให้ไมน์ไปเผาเพราะเข้าใจว่าลุทซ์เก็บฟืนมาแทนไมน์ พอรู้ว่าไม่ใช่ ก็บอกว่าไม้ไผ่มันเหมือนไม้ที่เอามาใช้สานตะกร้า เลยถูกเข้าใจผิดได้ง่าย แม่ห้ามไมน์กับลุทธ์เอาไม้ไผ่เข้าบ้านอีก ไมน์ผิดหวังอีกครั้ง

ครั้งนี้ ไมน์เริ่มยอมแพ้ให้กับความร้อน ความร้อนในร่างนี้ ทำให้ไมน์เริ่มเข้าใจได้ว่า บางทีหนูไมน์ตัวจริงคงจะตายเพราะความร้อนนี้ และร่างกายที่อ่อนแอทำอะไรไม่ได้แบบนี้มันแย่สิ้นดี คิดว่าร่างแบบนี้หายไป ก็คงจะไม่มีใครสนใจหรอก

แต่ในตอนนี้เอง เสียงของลุทซ์ก็ดังขึ้นในใจ ที่บอกว่าจะช่วยไมน์ทำกระดาษ แต่ไมน์ต้องรักษาสัญญาพาเขาไปพบอ๊อตโต ถ้าไมน์ตายไปตอนนี้ ก็คือผิดสัญญา ไมน์จึงฮึดสู้ สุดท้ายก็รอดมาได้ ความร้อนในตัวหายไป กลับมาแข็งแรงเหมือนห้าวันที่ผ่านมาไม่ได้ป่วยเลย ทำให้ไมน์งงมาก

เนื่องจากตั้งแต่มาอยู่ในร่างหนูไมน์ ก็ไข้ขึ้นล้มหมอนนอนเสื่อบ่อยมากจนเป็นเรื่องปกติ เลยไม่เคยคิดอะไร แต่ต่อมา พอฝึกร่างกายจนแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และป่วยน้อยลง ไมน์ถึงเริ่มสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างอาการไข้ขึ้นตามปกติ กับความร้อนที่พุ่งออกมาจากใจกลางร่างแล้วแผ่ไปทั่วร่าง จนทำให้ร้อนไปทั้งตัวและเหมือนจะกลืนกินร่าง ซึ่อาการอย่างหลังนี้ ถ้าเพ่งสมาธิควบคุม มันจะค่อยๆ หดเล็กลง ไมน์นึกภาพว่ามีกล่องใบหนึ่งอยู่ในตัว เวลาบังคับให้ความร้อนนี้หดเล็กลง คือยัดมันใส่ลงไปในกล่อง แล้วปิดฝาอย่างแน่นหนา พอทำได้ ร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติทันทีเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้ป่วย ไม่มีอาการเพลียหลังฟื้นไข้อย่างที่ควรเป็น

 

หลังจากหายป่วย ไมน์ไปที่ประตูเมืองตามปกติ ขอโทษอ๊อตโตที่ป่วยเสียหลายวัน และปรึกษาว่า เธอมีของที่อยากทำแต่ยังทำไม่สำเร็จ และจะรอให้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยทำก็รอไม่ไหว ถ้าเป็นพี่อ๊อตโตจะทำยังไง? อ๊อตโตบอก ก็จ้างให้คนอื่นทำแทนสิ ไมน์บอก แต่เธอไม่มีค่าจ้างจะให้นี่ อ๊อตโตจึงบอกว่า ถ้าเป็นเขา จะไปหาคนที่สามารถทำให้ได้ แล้วพูดหว่านล้อมให้ฝ่ายนั้นอยากทำให้เองโดยสมัครใจ ถ้าไปได้สวยก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย หรือจ่ายแค่สินน้ำใจเล็กน้อยก็พอ

ไมน์นึกถึงที่อ๊อตโตให้เธอมาเป็นผู้ช่วยทำงานให้แลกกับชอล์ก (ที่ฮีขอเบิกได้ ไม่ต้องจ่ายเอง) แล้วคิดว่าความคิดของอ๊อตโตนี่ช่างสมกับเป็นพ่อค้าจริงๆ หาทางลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้กำไรสูงสุด ไมน์เริ่มเอาไอเดียของอ๊อตโตมาพิจารณาอย่างจริงจัง

อ๊อตโตบอกเวลานัดกับไมน์เป็นวันพรุ่งนี้ และพูดแบบที่ทำให้ไมน์ตีความว่า อ๊อตโตหมายถึง อย่าให้ฉันต้องเจอกับคนที่จะทำให้ฉันผิดหวังล่ะ ทำให้ไมน์เริ่มรู้ว่าท่าทางการนัดพบครั้งนี้จะสำคัญมาก น่าจะเป็นการนัดสัมภาษณ์ให้ลุทซ์เข้าเป็นเด็กฝึกงานพ่อค้า ไม่ใช่แค่การนัดเจอหน้าธรรมดา

ในป่าวันนั้น ไมน์ตัดสินใจจับลุทซ์อาบน้ำสระผมอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ บอกให้ลุทซ์ใส่ชุดที่ดูดีที่สุดมา และให้ไปก่อนเวลานัดนานพอสมควร เพื่อสร้างความประทับใจแรกพบสูงสุด รวมถึงสอนวิธีพูดทักทายให้ลุทซ์ คำถามที่ลุทซ์อาจจะโดนถามตอนสัมภาษณ์ ให้ลุทซ์ไปคิดเตรียมคำตอบมาล่วงหน้า เช่น ถ้าได้เป็นพ่อค้าเร่แล้วอยากจะทำอะไรต่อ? ไมน์ย้ำว่าถ้าลุทซ์ไม่แสดงความรู้สึกที่อยากจะเป็นพ่อค้าจริงๆ คงไม่มีทางเป็นได้แน่

ลุทซ์เลยย้อนถามไมน์ว่า ถ้าไมน์โดนถามแบบนี้ จะตอบว่ายังไง? ไมน์บอกว่า ฉันจะตอบว่าฉันอยากเป็นแม่ค้าเพราะอยากจะขายกระดาษ ฉันจะสอนวิธีทำกระดาษให้คนอื่นแล้วให้คนอื่นทำกระดาษให้ ลุทซ์ถามว่าไม่ใช่ทำหนังสือเหรอ? ไมน์บอกว่าหนังสือขายยาก เพราะนอกจากเธอ คงไม่มีใครอยากได้สักกี่คน แต่กระดาษน่ะไม่เหมือนกัน กระดาษสามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย

 

ไมน์กับลุทธ์ในสภาพดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปยืนรอตรงจุดนัดพบก่อนเวลานัด และพบว่าอ๊อตโตพาผู้ชายแปลกหน้ามาด้วยหนึ่งคน อายุพอๆ กับอ๊อตโต ดูจากการเสื้อผ้าแต่งกาย ดูดีกว่าใครที่ไมน์เคยเห็น แววตาคมกริบดูเอาเรื่อง บุคลิกท่าทางทำให้ไมน์คิดว่า ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นพ่อค้าที่รวยไม่ใช่เล่น แต่บุคลิกแววตาไม่ได้ดูสุขุมเยือกเย็นแก่ประสบการณ์อย่างบรรดาอภิมหาเศรษฐีประธานบริษัทใหญ่ในยุคของอูราโนะ ออกจะดูเหมือนเจ้าของกิจการที่กำลังสร้างตัวขยายกิจการอย่างรวดเร็วและเก่งพอตัวมากกว่า

อ๊อตโตแนะนำชายแปลกหน้าว่าชื่อเบนโน เป็นเพื่อนของเขาเอง และเป็นพ่อค้าในเมืองนี้ อ๊อตโตแนะนำกับเบนโนว่าไมน์เป็นผู้ช่วยของเขา และบอกว่าถึงไมน์จะตัวเล็ก ดูเหมือนอายุแค่ 3-4 ขวบ แต่ความจริงอายุ 6 ขวบแล้ว

ไมน์ทักทายเบนโนอย่างสุภาพ ลุทซ์ก็ด้วย ทักทายได้โดยเสียงไม่สั่น เบนโนทักทายตอบ แล้วถามอ๊อตโตว่า นี่นายเอาเด็กที่ยังไม่เข้าพิธีศีลจุ่มมาเป็นผู้ช่วยเรอะ? อ๊อตโตรีบแก้ว่า ตอนนี้ไมน์กำลังเรียนหนังสือเพื่อที่หลังเข้าพิธีศีลจุ่ม จะได้มาเป็นผู้ช่วยของเขาต่างหาก เบนโนพูดว่า แต่เสียงนายฟังเหมือนตอนนี้เด็กคนนี้ก็ทำงานเป็นผู้ช่วยนายอยู่แล้วเลยนะ? อ๊อตโตรีบกลบเกลื่อนว่าอย่าพูดอะไรที่มันไม่จำเป็นสิ

ไมน์ฟังวิธีการพูดของผู้ใหญ่ทั้งคู่ แล้วพอจะจับนัยได้ว่า สองคนนี้ไม่คิดจะรับลุทซ์เข้าเป็นเด็กฝึกงานมาแต่แรก แค่กะจะมาพูดเพื่อให้ลุทซ์ตัดใจ ดังนั้นไมน์จึงพยายามมองหน้าจับแววตาของเบนโน เพื่อจะแก้ไขสถานการณ์นี้ให้ลุทซ์

เบนโนชี้ที่ปิ่นปักผมของไมน์ บอกว่าเขาสงสัยมาตั้งแต่เห็นแล้วว่ามันคืออะไร ขอดูหน่อยได้ไหม? ไมน์เอาปิ่นยื่นไปให้ดู คิดในใจว่าเบนโนสมกับที่เป็นพ่อค้า สายตาสังเกตเห็นของแปลกๆ ที่น่าจะทำเงินได้ไวจริงๆ

เบนโนเอาปิ่นไปดูกับอ๊อตโต เห็นว่าก็เป็นแค่แท่งไม้ธรรมดา ไมน์บอกว่ามันก็แท่งไม้ธรรมดานั่นแหละ พ่อเหลาให้ จากนั้นรับปิ่นกลับมาเกล้าผมอย่างคล่องแคล่ว

เบนโน อ๊อตโต กับลุทซ์เพิ่งเคยเห็นไมน์เกล้าผม จึงพากันทึ่ง เบนโนพูดต่อว่าผมของไมน์สวยมาก เป็นมันเลื่อมและดูสะอาด ถามว่าทำได้ยังไง? ไมน์พูดยิ้มๆ บอกว่าใช้ของบางอย่างสระ ซึ่งวิธีทำเป็นความลับค่ะ กับคิดในใจว่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วจะหลอกถามข้อมูลได้ง่ายๆ ฟรีๆ เรอะ? ฝันไปเถอะ!

เบนโนหันไปถามลุทซ์แทนว่าผมของลุทซ์ก็ใช้ของอย่างเดียวกันสระเหรอ? ลุทซ์บอกว่า ไมน์ใช้น้ำยาของไมน์สระให้เขาเมื่อวานนี้เอง เบนโนหลอกถามข้อมูลไม่สำเร็จ ได้แต่เปิดศึกจ้องตากับไมน์เปรี๊ยะๆ

อ๊อตโตรีบพาเข้าเรื่องพ่อค้าเร่ที่ลุทซ์อยากรู้ และบอกให้ลุทซ์ตัดใจเสีย อธิบายว่าการเป็นพ่อค้าเร่นั้นลำบากมาก เขาถามลุทซ์ว่า เวลาอยากได้น้ำ ลุทซ์ทำยังไง? ลุทซ์บอกว่าไปตักจากบ่อ อ๊อตโตบอก แต่ข้างนอกเมืองน่ะ ไม่มีบ่อให้ตักน้ำหรอกนะ อยากได้น้ำต้องไปเอาจากแม่น้ำหรือลำธาร และพ่อค้าเร่ไม่มีทางเดินทางเลียบแม่น้ำไปตลอดได้ พ่อค้าเร่มือใหม่ยิ่งไม่มีทางรู้ได้ว่าที่ไหนบ้างที่มีแหล่งน้ำ แผนที่ก็ราคาแพงมาก ไม่มีปัญญาซื้อ การใช้ชีวิตกินนอนบนรถม้าแคบๆ ตลอดก็ลำบากมาก เมื่อเดินทางมากเข้า สวนกับพ่อค้าเร่ด้วยกันจนพอจะคุ้นหน้า ค่อยสามารถแลกเปลี่ยนข่าวสารกันได้ว่าเส้นทางไหนปลอดภัย เส้นทางไหนมีโจร มีสัตว์ร้าย ตรงไหนมีแหล่งน้ำ สะสมข้อมูลไปทีละนิด

ดังนั้นปกติแล้วอาชีพพ่อค้าเร่จึงเป็นอาชีพที่สืบจากพ่อสู่ลูก พ่อจะค่อยๆ บอกข้อมูลที่ตัวเองได้รู้มาแก่ลูก อาชีพนี้ไม่มีเด็กฝึกหัด ต้องเริ่มด้วยตัวเองทั้งหมด แน่นอนว่าพ่อค้าเร่ที่เริ่มต้นเองจากศูนย์นั้นลำบากสุดๆ และปลายทางที่พ่อค้าเร่ทุกคนต้องการในบั้นปลายของชีวิต คือการได้สถานะพลเมืองของเมืองไหนสักเมือง หยุดชีวิตเร่ร่อนที่แสนลำบากสักที แล้วตั้งร้านค้าในเมืองนั้น ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมั่นคง

ดังนั้นสำหรับลุทซ์ที่คิดจะละทิ้งสถานะพลเมืองของเมืองนี้เพื่อไปเป็นพ่อค้าเร่ จึงเป็นทางเลือกที่โง่มาก

การที่ใครสักคนซึ่งไม่ได้เกิดมาและผ่านพิธีศีลจุ่มในเมืองนั้นจะได้สถานะพลเมืองของเมืองนั้นมา ต้องจ่ายแพงมากๆ อ๊อตโตเองต้องใช้เงินเก็บตอนเป็นพ่อค้าเร่ทั้งหมดของตัวเองเพื่อซื้อสถานะพลเมืองของเมืองนี้ เงินหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่จะเอามาตั้งร้านค้าตั้งตัว

ลุทซ์ฟังแล้วจ๋อยมาก ไมน์ถามว่า งั้นทำไมอ๊อตโตถึงมาเป็นทหารเหรอ? อ๊อตโตเล่าว่า เพราะตอนมาค้าขายที่เมืองนี้ เขาได้เจอโครินนา ภรรยาของเขาในตอนนี้ แล้วตกหลุมรักแรกพบทันที ตอนนั้นโครินนาอายุ 15 ปี อ๊อตโตขอแต่งงาน โครินนาเป็นช่างตัดเย็บมือเซียน เธอมีลูกค้าประจำของตัวเองในเมืองนี้และไม่คิดจะเสียมันไปเพราะการเป็นภรรยาพ่อค้าเร่ที่ต้องรอนแรมเดินทางไปทั่ว จึงตอบปฏิเสธอ๊อตโต

อ๊อตโตไปที่วิหารประจำเมือง ขอซื้อสถานะพลเมืองของเมืองนี้ทันที ตามด้วยไปขอสมัครเป็นทหารกับพ่อของไมน์ที่เขาได้เจอบ่อยครั้งจากการแวะมาค้าขายที่เมืองนี้จนพอจะสนิทกัน ค่อยไปขอโครินนาแต่งงาน

ไมน์ฟังแล้วอึ้ง ว่านี่มันใช่พฤติกรรมของพ่อค้าที่ฉลาดเรอะ เบนโนบอกเพิ่มว่า พ่อแม่อ๊อตโตได้สถานะพลเมืองของเมืองอื่น ซึ่งในกรณีที่พ่อแม่ได้สถานะพลเมืองอยู่ก่อนแล้ว ลูกมาขอสถานะพลเมือง จะได้ลดครึ่งราคา ตอนแรกอ๊อตโตเก็บเงินเตรียมไปขอสถานะพลเมืองที่เมืองเดียวกับพ่อแม่ แล้วจะใช้เงินอีกครึ่งที่เหลือตั้งร้านค้า นี่กลายเป็นว่าเอาเงินมาทุ่มซื้อสถานะพลเมืองที่เมืองนี้จนหมด (เหลือแค่เงินพอแต่งงานกับโครินนา) สุดท้ายด้วยความบ้านี้ ทำให้โครินนารับปากแต่งงานด้วย ในสภาพเขยแต่งเข้า คืออาศัยอยู่ที่บ้านของโครินนา

อ๊อตโตบอกว่า ถ้าลุทซ์เป็นพ่อค้าเร่แค่เพราะอยากจะออกจากเมืองไปดูโลกกว้าง งั้นเป็นพ่อค้าทั่วไปก็ได้ เพราะก็ได้ออกไปหาวัตถุดิบนอกเมืองเหมือนกัน ไมน์แนะนำมาอย่างนี้ ลุทซ์ค่อยรู้ว่าไมน์คิดแทนเขาหมดแล้ว

ไมน์บอกลุทซ์ว่า ถึงจะเป็นพ่อค้าเร่ไม่ได้ แต่ก็เป็นเด็กฝึกงานเพื่อเป็นพ่อค้าในเมืองได้นะ เบนโนจึงถามลุทซ์ว่า ถ้าอย่างนั้น ในฐานะที่เธอเป็นคนที่อ๊อตโตแนะนำให้ฉัน หลังจากเป็นพ่อค้าแล้ว เธอคิดจะขายอะไร? จะเป็นพ่อค้า ต้องมีของที่ขายแล้วได้กำไรถึงจะเป็นพ่อค้าได้

ไมน์รู้ว่า การที่พ่อค้าจะรับเด็กฝึกงานสักคน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหมายถึงต้นทุนจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องจ้างแล้วคุ้มค่า

ลุทซ์ตอบไม่ได้ว่าอยากจะขายสินค้าอะไร ไมน์จึงเสนอขึ้นว่า ลุทซ์ นายอยากจะขายกระดาษที่ฉันจะทำไหม? ลุทซ์ตอบตกลง บอกว่าผมจะทำสินค้าอะไรก็ตามที่ไมน์คิด แล้วเอามาขายด้วยกัน ไมน์จึงหันไปบอกเบนโนว่า เธออยากจะเป็นแม่ค้า เป็นเป้าหมายอย่างที่ 2 ของเธอ

เบนโนถามว่างั้นเป้าหมายที่ 1 ของไมน์คืออะไร? อ๊อตโตถามว่าเป็นผู้ช่วยของเขาเหรอ? ไมน์ตอบว่าไม่ใช่ เธออยากเป็นบรรณารักษ์คอยจัดหนังสือ เบนโนบอกว่า งานแบบนั้นเขาไม่ให้สามัญชนทำหรอก มีแต่ชนชั้นสูงที่ได้ทำ ไมน์จึงบอกว่า ดังนั้น เธอจึงจะเป็นแม่ค้าแทน เธออยากทำกระดาษที่ทำมาจากพืช ไม่ใช่หนังสัตว์ ซึ่งต้นทุนจะถูกกว่ากันมาก สามารถขายได้กำไรดีอย่างแน่นอน

เบนโนถามว่ามีตัวอย่างไหม? ไมน์บอกว่าตอนนี้ไม่มี แต่เธอสามารถทำขึ้นมาให้ได้ภายในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ก่อนที่เธอกับลุทซ์จะเข้าพิธีศีลจุ่มในฤดูร้อน ถ้ากระดาษที่เธอกับลุทซ์ทำออกมาผ่าน จะให้เธอกับลุทซ์ได้เข้าเป็นเด็กฝึกงานของเบนโนได้ไหม? เบนโนตอบตกลง

พอคุยจบ ทำท่าจะแยกกัน ไมน์ก็นึกขึ้นได้ ถามผู้ใหญ่ทั้งสองคนว่า เธอมีอาการป่วยแปลกๆ เหมือนมีความร้อนพุ่งออกมาจากกลางตัว เหมือนจะกลืนกินตัวเอง พอใช้ใจบังคับ มันก็จะหดเล็กลงหายเข้าไปในตัวได้ พอจะรู้จักอาการป่วยแบบนี้บ้างไหม? อ๊อตโตบอกว่าไม่รู้จัก ส่วนเบนโนมองไปทางอื่น ตอบว่าไม่รู้จักเหมือนกัน

แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 2561, 19:07 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 11 ก.ย. 2561, 15:39

1 ความคิดเห็น