หัวข้อ : ศึกจอมขมังเวท เล่ม 1 ตอนที่ 1

โพสต์เมื่อ 24 ก.ย. 2561, 17:32


ตอนที่ ๑

ผู้วิเศษเมราส



ข้าคือเมราส
ผู้ถูกกล่าวขานว่าเปรื่องปราดที่สุด
ผู้ถูกกล่าวขานว่าเรืองฤทธิ์ที่สุด
ในแดนมนุษย์
ข้าจึงคิดว่า
ขอเพียงข้าไม่ย่อท้อ
แม้สิ่งที่ข้ามุ่งหวังจะยากเย็นเพียงใด
ก็สัมฤทธิ์ผลได้...



ข้ามีนามว่า เมราส เป็นชาวตารีฮ์โดยกำเนิด พ่อของข้าคือ ผู้วิเศษคอลฟ์ ดำรงตำแหน่งผู้วิเศษประจำตัวราชาตอริค และผู้วิเศษแห่งอาณาจักรตารีฮ์ควบคู่กัน แม่ของข้าคือ จอมเวทนาฟาซี ดำรงตำแหน่งสิบสองจอมเวทแห่งอาณาจักรตารีฮ์ อันได้แก่จอมเวทผู้ได้รับคัดเลือกว่าเป็นจอมเวทที่มีพลังเวทและความสามารถสูงที่สุดสิบสองคนของอาณาจักร แต่เมื่อข้าอายุได้หนึ่งขวบปี แม่ของข้าก็ล้มป่วยเสียชีวิตด้วยโรคที่แม้แต่พ่อของข้าก็ไม่อาจรักษา...

ข้าเป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องสามคน พี่ชายคนโต คินาซา แก่กว่าข้ายี่สิบปี ส่วนพี่ชายคนรอง ลูฟา แก่กว่าข้าสิบห้าปี พี่ทั้งสองต่างก็เป็นจอมเวทชั้นสูงที่เก่งกาจหาตัวจับยาก แต่พ่อบอกว่าพี่ทั้งสองต่างก็ด้อยกว่าข้า เพราะข้าพิเศษมาตั้งแต่เกิด...

พ่อบอกว่าตั้งแต่วันที่ถือกำเนิด ข้าก็มีพลังเวทสูงเทียบขั้นจอมเวทชั้นกลาง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากนั้นพลังเวทของข้าก็แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งพ่อของข้าก็ไม่ทราบว่าข้ามีพลังเวทสูงเพียงไร เพราะไม่เคยคิดทำการทดสอบอย่างจริงจัง

ข้าทราบว่าพ่อภูมิใจในตัวข้ามาก เพราะนอกจากพลังเวทที่สูงเหนือเด็กวัยเดียวกันหลายเท่าแล้ว ข้ายังเรียนข้ามชั้นหลายต่อหลายครั้ง จนชื่อเสียงของข้าเป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่ผู้ใช้เวทในนครหลวง ซึ่งผลของมันทำให้ข้าถูกมองด้วยสายตาริษยาและไม่เป็นมิตรจากเด็กวัยเดียวกัน พร้อมกับถูกผู้ที่ต้องการประจบพ่อพยายามเข้ามาเอาอกเอาใจจนข้านึกรำคาญ ข้าจึงตัดปัญหาด้วยการขลุกอยู่แต่ในบ้าน อยู่แต่ในห้องหนังสือของพ่อ อันเป็นแหล่งขุมทรัพย์แห่งความรู้ของข้า จะเว้นก็แต่เวลาเรียน เพราะข้าต้องไปเรียนที่คฤหาสน์ของ อาจารย์ดิสลู

เนื่องจากพ่อมักมีงานยุ่งอยู่เสมอ จึงวานให้ จอมเวทดิสลู สหายของพ่อซึ่งดำรงตำแหน่งสิบสองจอมเวทแห่งอาณาจักรเช่นเดียวกับแม่ของข้าช่วยสอนวิชาความรู้ต่างๆ ที่ผู้ใช้เวทพึงรู้ให้ข้าแทน นอกจากข้าแล้ว ยังมีบุตรธิดาของจอมเวทอีกหลายคนที่อาจารย์ดิสลูประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ต่างๆ ให้

และในสถานที่เรียนแห่งนี้เองที่ข้าได้รับรู้บางสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของข้าโดยสิ้นเชิง...



ทุกอย่างมันเริ่มจากคำถามคำถามหนึ่งของเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง

“อาจารย์ ทำไมพวกเราต้องเชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์ด้วย ?”

คนถามคือ นาลู เพื่อนร่วมชั้นผู้แก่วัยกว่าข้าสี่ปี

ข้าซึ่งเวลานั้นอายุ ๗ ขวบหันไปมองนาลูอย่างประหลาดใจ วิชาต่างๆ ที่พวกข้าเรียนนั้นมีบางวิชาที่ถามได้เมื่อไม่เข้าใจ และมีบางวิชาที่มีไว้ให้จดและจำโดยห้ามถาม ทุกคนต่างทราบเรื่องนี้ดี แล้วเหตุใดนาลูถึงได้กล้าถามคำถามในวิชาที่ห้ามถามกันเล่า ?

อาจารย์ดิสลูขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

“เจ้าไม่ได้ตั้งใจฟังที่อาจารย์บอกไปเมื่อครู่หรอกหรือ นาลู ? ที่เราต้องทำเช่นนั้นอย่างเคร่งครัด เพราะมันเป็นคำสอนของ ท่านปราชญ์นีรุส”

“แล้วเหตุใดท่านปราชญ์นีรุสถึงได้บอกให้พวกเราทำอย่างนั้นเล่า อาจารย์ ?” นาลูถามต่อ

อาจารย์ดิสลูหน้าตึง “คำสอนของท่านปราชญ์นีรุสมีไว้ให้ปฏิบัติตาม ไม่ได้มีไว้ให้เด็กอย่างเจ้ามาสงสัย ผู้ที่กล้าข้องใจในคำสอนของท่านปราชญ์นีรุสจะต้องถูกลงโทษ ! นาลู ก้าวออกมาข้างหน้าเดี๋ยวนี้ !”

นาลูหน้าซีด แต่ก็ก้าวออกไปหน้าชั้นตามคำสั่งของอาจารย์โดยไม่กล้าขัดขืน ข้ามองนาลูถูกเฆี่ยนอย่างเห็นใจ พร้อมทั้งนึกสงสัยว่าอะไรกันนะที่ทำให้นาลูถามคำถามนี้ขึ้นมา

แม้จะนึกสงสัย แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงตอนเลิกเรียน ข้าก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท ด้วยมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่ารออยู่ที่บ้าน

วันรุ่งขึ้น กลุ่มเพื่อนนักเรียนกระซิบกระซาบกันว่าเมื่อคืนนี้อาจารย์ดิสลูไปเยี่ยมพ่อของนาลู และเล่าพฤติกรรม อันน่าละอาย ของนาลูให้ฟัง พ่อของนาลูโกรธจัดและลงโทษนาลูซ้ำ ทั้งอาจารย์ดิสลูยังบอกยกเลิกที่จะสอนเวทมนตร์ให้กับนาลูตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ข้าตกใจกับข่าวนี้มาก เพราะไม่คิดว่าแค่คำถามเพียงคำถามเดียวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้ และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้คำถามของนาลูติดตรึงอยู่ในใจข้าอย่างลึกล้ำ จนข้าตั้งใจว่าจะต้องหาคำตอบที่แท้จริงของคำถามนี้ที่น่าเชื่อถือกว่า เพราะท่านปราชญ์นีรุสสอนเช่นนี้ ให้ได้ !



๑๑ ปีผ่านไป...

เงาร่างคุ้นตาที่ยืนพิงราวระเบียงลูกกรงหินอ่อนสีขาวสูงเทียมเอวบนทางเดินทอดสู่เรือนพักอาศัยส่วนตัว ทำให้นัยน์ตาของผู้วิเศษคอลฟ์ทอแววฉงน แล้วจึงเลือนหายไปพร้อมกับคลี่ยิ้ม รอยยิ้มซึ่งละลายความเคร่งขรึมที่ปรากฏบนดวงหน้าเป็นเนืองนิตย์ลงเสียสิ้น

“มีอะไรหรือ เมราส ?”

ชายหนุ่มผู้มายืนดักรอยืดตัวตรง

“ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะถามพ่อ”

ผู้วิเศษเฒ่าเลิกคิ้ว ทั้งที่หลังเวลาอาหารเย็นของทุกวัน เขาและบุตรชายทั้งสามมักจะพูดคุยและถกเถียงกันถึงเรื่องที่ได้พบเห็นมาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เมราสกลับทนรอถึงเวลานั้นไม่ไหว หรือจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ลูฟาและคินาซารู้ ?

มือเหี่ยวย่นเล็กน้อยด้วยวัยยื่นไปโอบบ่ากว้างของบุตรชายคนเล็กที่เวลานี้ตัวสูงกว่าตนแล้วให้เดินไปด้วยกัน

“มา ! ไปคุยกันที่ห้องทำงานของพ่อดีกว่า”

เมราสเดินไปตามแรงมือของผู้เป็นพ่ออย่างว่าง่าย

ห้องทำงานผู้วิเศษคอลฟ์กว้างขวางโปร่งสบาย ผนังทาสีน้ำตาลเข้มขรึม พื้นปูพรมทอมือลายเรียบง่ายสีน้ำเงิน กลางห้องคือโต๊ะทำงานตัวใหญ่ทำจากไม้เนื้อแข็ง บนโต๊ะมีเอกสารต่างๆ จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังโต๊ะทำงานคือหน้าต่างบานคู่ที่เปิดกว้าง มองออกไปเห็นสวนหย่อมร่มรื่นเงียบสงบ ชั้นวางหนังสือสูงจดเพดานเรียงรายเต็มตลอดทุกด้านของผนัง ทุกช่องชั้นอัดแน่นไปด้วยหนังสือหลากสีสันหลายรูปแบบ บ่งบอกนิสัยใฝ่รู้ของเจ้าของห้องเป็นอย่างดี นิสัยใฝ่รู้ที่ถ่ายทอดสู่บุตรชายคนเล็กอย่างครบถ้วน

หลังจากนั่งลงหลังโต๊ะทำงานเป็นที่เรียบร้อย ผู้วิเศษเฒ่าก็เป็นฝ่ายเริ่มโดยเอ่ยถามบุตรชายซึ่งนั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม

“เอาละ มีอะไรจะถามพ่อหรือ ?”

เมราสจ้องตาพ่อแน่วนิ่ง ถามเสียงหนัก

“พ่อ ทำไมพวกเราผู้ใช้เวทถึงต้องเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของมนุษย์ด้วย ?”

แววแปลกใจปรากฏขึ้นในดวงตาผู้เป็นพ่อ ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว “เพื่อสมดุลและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างไรเล่า แม้อำนาจของพวกเราผู้ใช้เวทจะสามารถควบคุมธรรมชาติและทำได้ในหลายๆ สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ แต่เราก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่มีชีวิตอมตะ เรายังต้องกิน ต้องดื่ม และรู้จักป่วยไข้เช่นเดียวกับมนุษย์ อีกทั้งมนุษย์มีจำนวนมหาศาลนัก มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ ในเมื่อพวกเราไม่มีทางเลี่ยงพวกมนุษย์ได้ จึงจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ และพยายามที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”

ชายหนุ่มต่อให้ว่า “ธรรมชาติของมนุษย์มักไม่ชอบผู้ที่ผิดแผกไปจากพวกตน หรือมีอำนาจเหนือตน ดังนั้นการอยู่ร่วมกับมนุษย์จึงจำเป็นต้องปรับตัวตามมนุษย์ มีชีวิตอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้น” จากนั้นตัดบทว่า “ข้อความจาก คัมภีร์เวท ที่เขียนโดย นีรุส ”

คัมภีร์เวท คือคำเรียกย่อของ คัมภีร์ประวัติศาสตร์ผู้ใช้เวท เป็นคัมภีร์ที่ผู้ใช้เวททุกคนต้องศึกษานั่นเอง

“ถูกต้อง ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว ยังจะถามทำไมอีก ?”

“พ่อเชื่อที่นีรุสเขียนอย่างนั้นหรือ ?”

ผู้วิเศษเฒ่ามองตาบุตรชาย สิ่งที่เห็นมีเพียงแววตาที่ไม่บ่งบอกความคิดความนัยใดๆ ทั้งสิ้น จึงรู้สึกหงุดหงิด และเลื่อนเก้าอี้ไม้แกะสลักตัวใหญ่ออก ลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนยังริมหน้าต่าง เอ่ยตอบทั้งที่ยังหันหลังให้

“ท่านนีรุสคือผู้วิเศษอันดับหนึ่ง ทั้งยังเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ในทุกศาสตร์และเป็นผู้พยากรณ์อีกด้วย ท่านคือผู้วิเศษที่มีอำนาจสูงสุดเท่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ แล้วเจ้าคิดว่าพ่อไม่ควรเชื่อสิ่งที่ท่านเขียนอย่างนั้นหรือ ?”

“จริงอยู่ นีรุสเก่งกาจสารพัดเป็นสัพพัญญู แต่พ่ออย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ข้าคิดว่านีรุสมองข้ามบางอย่างไป”

คอลฟ์ย่นหัวคิ้ว หันกลับมาตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก

“เจ้าไม่ควรเอ่ยนามท่านนีรุสเฉยๆ เช่นนั้น ควรจะเรียกท่านว่า ท่านนีรุส”

เมราสไม่สนใจคำตำหนิของผู้เป็นพ่อ ยังคงเรียกผู้วิเศษผู้เป็นประดุจปูชนียบุคคลของเหล่าผู้ใช้เวทอย่างไร้ความเคารพยำเกรงเช่นเคย

“นีรุสกล่าวว่า ธรรมชาติของมนุษย์มักไม่ชอบผู้ที่ผิดแผกไปจากพวกตน หรือมีอำนาจเหนือตน ดังนั้นการอยู่ร่วมกับมนุษย์จึงจำเป็นต้องปรับตัวตามมนุษย์ มีชีวิตอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้น แต่ในสังคมมนุษย์เองก็มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงที่พวกมนุษย์เรียกว่า ชนชั้น คำว่า ชนชั้น ทำให้มนุษย์บางคนเกิดมาไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้อย่างฟุ่มเฟือย ในขณะที่บางคนทำงานหนักชั่วชีวิต ก็ยังยากจนอดมื้อกินมื้ออยู่เช่นเดิม เป็นเช่นนี้มานับพันปี หรือชนชั้นสูงเหล่านั้นไม่ใช่ผู้ที่ผิดแผกมีอำนาจเหนือมนุษย์คนอื่นๆ ? และข้าไม่เคยเห็นมนุษย์ที่เป็นชนชั้นล่างแสดงอาการต่อต้านแต่อย่างใด ทั้งชนชั้นล่างเหล่านั้นยังคิดว่าความไม่เสมอภาคนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับเสียอีก นี่คือประการแรกที่ข้าคิดว่านีรุสมองข้ามไป”

“ประการที่สองเล่า ?” ผู้วิเศษเฒ่าหันกลับมามองหน้าบุตรชายด้วยแววตาเฉยเมย

แม้สีหน้าของพ่อจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ชายหนุ่มทราบดีว่าพ่อเริ่มจะไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำ เขาก็จะทำต่อไปจนถึงที่สุด เมราสจึงลุกจากที่นั่ง เดินมาเผชิญหน้าพ่อ พร้อมกับพูดต่อไป

“ประการที่สองคือ พวกเราผู้ใช้เวทมีจำนวนน้อยมาก น้อยกว่ามนุษย์ชั้นอภิสิทธิ์ชนเสียอีก หากมนุษย์สามารถใช้อภิสิทธิ์ซึ่งพวกเขาเรียกว่า ชาติกำเนิด ที่ทำให้พวกเขาได้เกิดมาเป็น ชนชั้นสูง ทำทุกสิ่งตามอำเภอใจได้ แล้วเหตุใดพวกเราผู้ใช้เวทซึ่งมีอำนาจอย่างแท้จริง มีฤทธิ์ที่จะใช้บันดาลในสิ่งที่ตนเองปรารถนา จะทำสิ่งใดตามใจตัวเองโดยไม่ต้องฟังคำสั่งของมนุษย์บ้างไม่ได้ ในเมื่อพวกเราซึ่งมีอำนาจนานัปการสามารถที่จะเอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นล่างผู้สร้างปัจจัยพื้นฐานอันมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตได้เหนือกว่ามนุษย์ไร้ประโยชน์ที่ดีแต่วางอำนาจว่าตนเป็นชนชั้นสูงมากนัก”

“เจ้าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน ?”

“จากสภาพแวดล้อมที่ได้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และจากสมองของตัวข้าเอง”

ผู้วิเศษคอลฟ์มองหน้าบุตรชายด้วยสายตาเย็นชา

“หากเราทำดังที่เจ้าพูด สมดุลจะถูกทำลาย พวกมนุษย์จะไม่พอใจ และจะลุกฮือขึ้นต่อต้านเราด้วยเหตุผลดังที่ท่านนีรุสได้กล่าวไว้ พวกเรามีจำนวนน้อยกว่ามนุษย์มากนัก การลุกฮือขึ้นต่อต้านพวกเราของมนุษย์อาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้พวกเราผู้ใช้เวทต้องดับสูญจนหมดสิ้นก็เป็นได้ ในยุคของท่านนีรุสก็แทบจะเกิดเหตุการณ์นี้มาแล้ว โชคดีที่ท่านนีรุสระงับมันไว้ได้ และต้นเหตุแห่งวิกฤติการณ์ในครั้งนั้นก็คือผู้ที่มีความคิดเช่นเจ้านั่นล่ะ ! เสียแรงที่เจ้าสามารถท่องข้อความใน คัมภีร์เวท ได้ กระทั่งเหตุผลง่ายๆ แค่นี้เจ้ากลับไม่เข้าใจ เจ้าดูถูกมนุษย์เกินไป !”

“ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์ลุกฮือขึ้นต่อต้านใครมาก่อน ข้าเชื่อว่าพ่อเองก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน แล้วจะให้ข้าเชื่อว่ามนุษย์สามารถทำให้พวกเราล่มสลายได้อย่างไร ?”

“แม้พ่อจะไม่เคยเห็น แต่ก็ไม่คิดจะทดลอง และไม่นึกอยากเห็นมันเกิดขึ้นในชั่วอายุของพ่อแน่”

“หมายความว่าเหตุผลแห่งการกระทำของพ่อมาจากตำราที่เขียนขึ้นโดยคนที่ตายไปนานถึงพันปีแล้วเท่านั้นหรือ ?”

“ตำราของ ผู้ใช้เวท นักปราชญ์ และ ผู้พยากรณ์ที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาในประวัติศาสตร์ผู้ใช้เวท” ผู้วิเศษเฒ่าแก้ “และข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าใช้คำพูดให้เกียรติและเคารพยำเกรงท่านนีรุสกว่านี้”

เมราสยังคงไม่สนใจแววเตือนในน้ำเสียงผู้เป็นพ่อเช่นเคย ชายหนุ่มกล่าวอย่างเชื่อมั่นในตัวเองเต็มที่

“แม้พ่อจะพูดอย่างนั้น แต่ข้าว่าตำราเล่มนั้นมันเก่าเกินไปแล้วละพ่อ ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ถึงเวลาที่ผู้ใช้เวทจะขึ้นมาอยู่เหนือพวกมนุษย์เสียที !” แล้วมองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาประหลาด

“ทำไมพ่อไม่ลองลุกขึ้นแข็งข้อต่อพวกมนุษย์ดูเล่า ?”

ผู้วิเศษเฒ่าขมวดคิ้วจนเกิดรอยย่นลึก วันนี้เมราสดูแปลกมาก...เขาสงสัยนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุตรชายคนเล็กกันนะ

“พ่อว่าเจ้าไปตรองให้ถี่ถ้วนอีกครั้งจะดีกว่า เจ้ายังเด็กนักถึงได้มีความคิดเช่นนี้ เราเลิกพูดเรื่องนี้เถิด”

เมราสไม่ยอมหยุด ยังคงกระตุ้นว่า “พ่อไม่กล้า ! พ่อกลัว ! กลัวอะไรหรือ ? หากพ่อกลัวว่าจะเป็นการละเมิดต่อคำสาบานและทำให้พลังเวทเสื่อมสูญไปหมดละก็ ไม่ต้องกังวล พวกข้าสามคนจะปกป้องพ่อไปชั่วชีวิตเอง ข้าจะไปฆ่าราชาตอริค...”

“เหลวไหล ! พอได้แล้ว เมราส !”

ผู้วิเศษเฒ่าตัดบทเสียงกระด้างก่อนบุตรชายจะพูดจบประโยค แต่ผู้เป็นลูกยังไม่ยอมหยุด เอ่ยเสียดสีต่อว่า

“ดูพ่อสิ แค่พูดถึงมันพ่อก็ยังไม่กล้าฟัง พ่อรับคำสั่งจากพวกมนุษย์จนเคยชินเสียแล้วหรือ ?”

“มันจะมากไปแล้วนะเมราส พ่อบอกให้เลิกพูดเรื่องนี้ !” น้ำเสียงผู้วิเศษเฒ่าเย็นเฉียบพอๆ กับแววตา อันเป็นสัญญาณบอกลูกๆ ทุกคนว่าสิ่งที่กระทำอยู่นั้นควรจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ก่อนที่จะต้องเจอกับความเด็ดขาดของผู้เป็นพ่อ

แต่มันก็ยังไม่อาจหยุดเมราสได้อยู่ดี...

นัยน์ตาสีเขียวทองของผู้เป็นลูกจ้องตอบนัยน์ตาสีเดียวกันของผู้เป็นพ่อเขม็งโดยไม่หลบ ขณะที่ปากยังคงพูดต่อไป

“พ่อลองทำดูสิ...ลองแทนที่ตำแหน่งของราชาตอริคอย่างไรเล่า !”

ผู้วิเศษคอลฟ์ตวาดลั่น

“หุบปาก ! หากเจ้ายังพูดเรื่องนี้อีก ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ใช่ลูกของข้า !”

เมราสนิ่งงัน เขาทราบว่าพ่อพูดจริง จึงนึกผิดหวังอยู่ในใจ

ในที่สุดเขาก็เกลี้ยกล่อมพ่อไม่สำเร็จ แต่เขาก็เตรียมทำใจกับผลลัพธ์ของเรื่องนี้ล่วงหน้ามานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขาอายุสิบห้า...

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนัก “พ่อห้ามความคิดของข้าไม่ได้ ข้าจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์ จะไม่เป็นเบี้ยล่างของมนุษย์ ข้าจะเป็นนายของตัวเอง มนุษย์นั้นเหมาะเพียงจะเป็นทาสเท่านั้น !”

ผัวะ !

หน้าชายหนุ่มสะบัดตามแรงฝ่ามือผู้เป็นพ่อทันที ผู้วิเศษเฒ่าโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ เค้นเสียงลอดไรฟัน

“ข้าขอสั่งให้เจ้ากล่าวคำสาบานว่าจะภักดีต่อราชาตอริคเดี๋ยวนี้ !”

ชายหนุ่มกำมือแน่น ปฏิเสธทันควัน

“ไม่ !”

ดวงตาผู้วิเศษเฒ่าลุกวาบ “อย่างนั้นข้าคงต้องบังคับเจ้าเสียแล้ว...”

สีหน้าผู้เป็นลูกสงบนิ่งไม่มีแววหวั่นเกรง เอ่ยเสียงเรียบ

“พลังของพ่อบังคับข้าไม่ได้ เพราะเวลานี้ พลังของข้าเหนือกว่าพ่อแล้ว !”

“อย่าผยองให้มากนัก !” นัยน์ตาผู้วิเศษเฒ่าเปล่งแสงเจิดจ้า

เมราสยืนนิ่ง มองประสานนัยน์ตาที่แฝงอำนาจมนตร์สะกดของบิดาอย่างไม่ครั่นคร้าม

ผู้วิเศษคอลฟ์รู้สึกประหลาดนัก...แทนที่นัยน์ตาซึ่งเขาพยายามใช้เวทมนตร์ควบคุมจะอ่อนแสงลง มันกลับเปล่งประกายประหลาด ราวกับเขากำลังจ้องมองบ่อน้ำอันลึกล้ำไม่เห็นก้น บ่อน้ำซึ่งแฝงอำนาจดึงดูดให้พยายามเพ่งมองเพื่อให้เห็นจุดสิ้นสุด ทว่ายิ่งมองกลับยิ่งเลือนราง ยิ่งมองจุดสิ้นสุดนั้นกลับยิ่งไกลห่าง และตัวเขาก็ถลำลึกลงไปในบ่อน้ำนั้นมากขึ้นทุกที...ทุกที

ผู้วิเศษเฒ่ารู้สึกตัวโดยพลัน และพยายามกระชากจิตตนเองออกจากการถูกดึงดูดโดยบ่อน้ำอันลึกล้ำแห่งนี้อย่างเต็มที่ ทว่าอำนาจของบ่อน้ำแห่งนี้มหาศาลนัก มันพันธนาการเขาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่อาจหลุดพ้นได้ ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใด !

ผู้วิเศษเฒ่าใจหายวาบ รู้สึกอย่างเลือนรางว่าวิญญาณใกล้จะหลุดลอยออกจากร่าง ความหวาดผวาต่อความตายอันไม่เคยประสบมาก่อนค่อยๆ กัดกินหัวใจอย่างโหดเหี้ยม...

ทันใดนั้นบ่อน้ำมรณะได้สลายไปอย่างกะทันหัน วิญญาณที่ถูกดูดออกจากกายหวนกลับคืนร่าง สติสำนึกทั้งมวลหวนคืนมาอย่างฉับพลันทันใด

สองขาผู้วิเศษเฒ่าอ่อนแรงแทบยืนไม่อยู่ มีเพียงกำลังใจอันแข็งแกร่งเท่านั้นที่ทำให้ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงโดยแรงพร้อมกับเสียงหอบหายใจดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบ หัวใจเต้นรัวกระหน่ำเนื่องจากความพยายามดิ้นรนและความหวาดผวา บนหน้าผากกว้างอันมีริ้วรอยแห่งวัยปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพราย ดวงหน้าสูงวัยซีดเผือด

ผู้วิเศษเฒ่าเข้าใจแล้ว...

แม้ไม่เคยประสบภาวะเช่นนี้มาก่อน แต่เขาทราบดีว่านี่หมายความว่าอย่างไร

มนตร์สะกดจิตของเขาสะท้อนกลับมาเล่นงานเขาเอง และการจะเกิดกรณีเช่นนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเขาใช้มนตร์สะกดจิตต่อผู้ใช้เวทที่มีพลังเวทสูงกว่าตนเท่านั้น...

เสียงแหบห้าวอ่อนระโหยลอดผ่านริมฝีปากผู้วิเศษเฒ่าเบาหวิวแทบเป็นกระซิบ

“ตั้งแต่เมื่อไรกัน...แล้วเหตุใดถึงไม่มีสัญลักษณ์ปรากฏบนหน้าผากเจ้า ?”

“เช้าวันหนึ่งของสามปีก่อน เมื่อตื่นขึ้นมา ข้าก็เห็นสัญลักษณ์ผู้วิเศษปรากฏอยู่บนหน้าผากข้าแล้ว ข้าคิดว่าการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับน่าจะเป็นผลดีต่อข้ามากกว่าการประกาศบอกใครๆ ข้าจึงตัดสินใจใช้เวทบังตาบังมันเอาไว้”

แม้เวทบังตาจะใช้ได้ผลกับผู้ใช้เวททั่วไป แต่หากคอลฟ์ที่เป็นผู้ใช้เวทระดับผู้วิเศษใช้เวทตาทิพย์ ก็จะยังสามารถมองเห็นสัญลักษณ์ผู้วิเศษของเมราสได้อยู่ดี แต่เนื่องจากผู้วิเศษเฒ่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเมราสจะได้รับเลือกเป็นผู้วิเศษเร็วถึงเพียงนี้ เพราะเขาคิดว่าเมราสจะเป็นผู้วิเศษได้ก็ด้วยวิธีสืบทอดต่อจากเขาเท่านั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าบุตรชายคนเล็กจะเป็นผู้วิเศษสืบทอดต่อจากผู้วิเศษคนอื่น...ผู้วิเศษที่เขาไม่เคยรู้จัก ทั้งไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่ามีตัวตนอยู่ในโลก

เมื่อไม่เคยมีเจตนาจะเพ่งมอง จึงถูกอำพรางได้โดยง่าย...

บัดนี้เมื่อผู้วิเศษเฒ่าใช้เวทตาทิพย์มองตรงไป ก็เห็นสัญลักษณ์รูปหยดน้ำสีแดงสดปรากฏบนหน้าผากบุตรชายอย่างชัดเจน

คอลฟ์นิ่งอึ้ง มองบุตรชายคนเล็กเหมือนมองคนแปลกหน้า เหมือนจวบจนวันนี้เขาค่อยมองเห็น...ค่อยรู้ซึ้งว่าบุตรชายคนเล็กซึ่งเป็นลูกคนโปรดนั้นเป็นคนอย่างไร

เขาเสียใจที่ไม่ระแคะระคายเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้...

ผู้วิเศษเฒ่ามองหน้าบุตรชายแน่วนิ่ง แล้วเอ่ยเสียงเย็น...เย็นเยียบที่สุดเท่าที่เมราสเคยได้ยินมา

“นับแต่นี้เจ้าไม่ใช่ลูกของข้าอีกต่อไป ข้าจะถือว่าข้าไม่เคยมีลูกอย่างเจ้า จงออกไปให้พ้นจากบ้านข้า และจงอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีกจนกว่าเจ้าจะเปลี่ยนความคิด !”

ชายหนุ่มมองหน้าพ่อซึ่งเพิ่งไล่เขาออกจากบ้านโดยไม่เอ่ยอะไร นัยน์ตาของเขาว่างเปล่า ครั้นแล้วจึงคุกเข่าลง แนบหน้าผากจรดพื้นแทบเท้าพ่อ จากนั้นลุกขึ้นหันหลังเดินจากไปเงียบๆ

เมราสเดินออกจากคฤหาสน์ที่อาศัยมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ ออกจากนครหลวงตารีฮ์ และสุดท้าย...ออกจากอาณาจักรตารีฮ์...



“น้ำชาที่สั่ง”

เสียงพนักงานร้านร้องบอกพร้อมกับวางกาน้ำชาทรงสูงลงเบื้องหน้าชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทา ใบหน้าซึ่งซ่อนอยู่ใต้เงาหมวกคลุมผงกเล็กน้อย

“ขอบใจ”

พนักงานร้านยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินจากไป

ชายหนุ่มหยิบถ้วยชาซึ่งครอบอยู่กับพวยกาวางลงบนโต๊ะ แล้วรินน้ำชาร้อนจัดสีเข้มลงในถ้วย

ทันทีที่น้ำชาสัมผัสก้นถ้วย ไอร้อนก็สลายไป

เขาไม่ชอบทานของร้อน ไม่ชอบและไม่เคยทำใจให้ชอบได้เลยสักครั้ง ทั้งที่ชาวตารีฮ์ต่างนิยมดื่มชาร้อนจัดคลายหนาว

ชายหนุ่มจิบน้ำชาอย่างใจลอย เสียงพูดคุยของแขกโต๊ะอื่นในร้านมิได้แผ้วพานเข้ามาในห้วงความคิดแม้แต่น้อย

เขาออกจากบ้านมาได้สามเดือนแล้ว และเดินทางมาถึงเมืองขนาดกลางแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่แถบชายแดนของ อาณาจักรรีฮุน เมื่อวานนี้เอง

เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่เขาเคยไปเยือน เมืองนี้จัดเป็นเมืองที่โชคดีมากทีเดียว โชคดีที่มีผู้ปกครองที่ดี จึงสามารถมีร้านอาหารขนาดกลางสะอาดสะอ้านราคาเยาที่แม้แต่ชนชั้นล่างก็สามารถเข้ามานั่งสั่งอาหารได้ ในขณะที่บางเมืองโชคร้ายกว่ากันมาก เพราะมีได้เพียงร้านอาหารสำหรับพ่อค้าผู้มีอันจะกินและเหล่าขุนนางเท่านั้น

ทันใดนั้น ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ความรู้สึกบางอย่างวาบขึ้นโดยแรง เสียดแทงหัวใจจนเจ็บแปลบ !

มือที่ถือถ้วยชายกขึ้นจิบชะงักงัน แล้วสั่นระริกจนต้องรีบวางถ้วยชาลงกับพื้นโต๊ะ

...พ่อตายแล้ว...เขารู้สึกได้ถึงวินาทีที่ลมหายใจของพ่อขาดห้วง...

อาการสั่นสะท้านแผ่ลามไปทั่วร่าง ความคิดประหวัดไปถึงวันนั้น วันที่เขาจงใจยั่วให้พ่อโกรธจัดจนตัดพ่อตัดลูก เพื่อว่าสิ่งที่เขาจะทำในภายหน้าจะได้ไม่เกี่ยวโยงสร้างความเดือดร้อนให้พ่อในฐานะที่เป็น พ่อ ของเขาอีกต่อไป

ไม่นึกเลยว่าพ่อจะคิดมากจนถึงกับตรอมใจตายเร็วเพียงนี้ พ่อที่รักเขาซึ่งเป็นลูกคนเล็กมากที่สุด ลูกคนเล็กที่เคยเชื่อฟังพ่อมาโดยตลอด จนกระทั่งวันสุดท้ายนั้น...

น้ำหยดหนึ่งหยาดลงกระทบพื้นโต๊ะ ตามด้วยอีกหนึ่งหยด

ชายหนุ่มขยับท่อนแขนปาดน้ำตาทิ้ง นัยน์ตาสีเขียวทองเปล่งประกายวาบ

...พ่อ...ลูกหัวดื้อคนนี้ขอโทษ และเสียใจ แต่ข้าไม่มีทางล้มเลิกความคิดนี้แน่ !...

หมายเหตุ : ตัวอย่างมีให้อ่านเล่มละ 5 ตอน


แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 17:33 โดย Admin

Admin เข้าร่วมเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 17:32

0 ความคิดเห็น