หัวข้อ : ศึกจอมขมังเวท เล่ม 1 ตอนที่ 2

โพสต์เมื่อ 24 ก.ย. 2561, 17:58

ตอนที่ ๒

จอมแพทย์ เฟย์รา เฟน



ข้าคือเฟย์รา เฟน
ข้าไม่มีเวทมนตร์
ทั้งที่มีพ่อเป็นถึงผู้วิเศษ
แต่ทุกคนก็บอกว่าข้าฉลาด
ข้าคิดเก่ง จำเก่ง
และมีพรสวรรค์ในการเป็นหมอ
เหมือนที่พ่อข้าเคยเป็น
ดังนั้น ข้าจึงมุ่งหวังจะเป็นหมอที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน
ข้าคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ที่ข้าสามารถทำได้…

 
 

นามของข้าคือ เฟย์รา เฟน ข้าอาศัยอยู่กระท่อมชายป่ากับพ่อมาแต่ข้าจำความได้ พ่อของข้าคือ ลูค เฟน เป็นจอมเวท และเป็นหมอเพียงคนเดียวในแถบนั้น

วันหนึ่ง ข้าจำได้รางๆ ว่ามีชายแปลกหน้าสวมเสื้อผ้าแปลกๆ ไม่เหมือนพ่อ และไม่เหมือนพวกพรานป่ามาหาพ่อ แล้วพ่อกับข้าก็ต้องเก็บข้าวของเดินทางไปกับชายแปลกหน้าคนนั้น ไปยังสถานที่ที่ชื่อว่า นครหลวงมาอ์

นับจากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ไม่ได้กลับไปยังกระท่อมชายป่าแห่งนั้นอีกเลย ข้ามีบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่โตมากเสียจนทำเอาข้ายืนมองตาโตอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน ตอนนั้นข้าอายุได้ ๔ ขวบ

ข้ามารู้ในภายหลังว่าชายแปลกหน้าคนนั้นคือทูตจาก ราชาเวเนส ที่ถูกส่งมาเชิญพ่อไปรับตำแหน่ง ผู้วิเศษแห่งอาณาจักรมาอ์ สืบต่อจาก ผู้วิเศษราเซย์ ที่เสียชีวิตไปแล้ว

บ้านหลังใหม่ของข้าอยู่ภายในเขตกำแพงวังตรงส่วนตำหนักหน้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงโตมากับบรรดาเจ้าชายและบุตรหลานขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย เพราะสถานที่เรียนหนังสือของบุตรหลานชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือผู้ใช้เวท ต่างก็อยู่ในเขตตำหนักหน้าทั้งสิ้น

ตอนอยู่กระท่อมชายป่า คนที่ข้าได้พบมีแต่พรานป่าที่แวะมาเยี่ยมเยียนขอรับการรักษา หรือขอปันยาจากพ่อนานๆ ครั้ง การมาอยู่ในเมืองทำให้ข้าได้พบเห็นและรู้จักเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นครั้งแรก

ตอนแรกข้าก็พอใจที่มีเพื่อนเล่นมากมายอยู่หรอก แต่ไม่นานข้าก็พบว่าข้ามีสิ่งที่ไม่เหมือนเพื่อนสองอย่าง อย่างแรกคือข้าไม่มีแม่อย่างเพื่อนคนอื่นๆ  อย่างที่สองคือในกลุ่มเด็กที่มีสายเลือดของผู้ใช้เวท ข้าเป็นคนเดียวที่ไม่มีพลังเวท

ข้าไม่อยากแตกต่างจากเพื่อน เที่ยงวันนั้นเมื่อพ่อแวะกลับมาที่บ้าน ข้าจึงถามพ่อว่า

“พ่อ ทำไมข้าถึงไม่มีแม่เหมือนคนอื่นเขาล่ะ ?”

พ่อโน้มตัวลงอุ้มร่างกลมป้อมของข้าขึ้นสู่อ้อมแขน แล้วตอบว่า

“ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่มีแม่หรอกนะ เฟย์รา ลูกก็เช่นกัน แม่ของลูกชื่อ เฟย์”

“ข้ามีแม่จริงเหรอ ? แม่สวยไหม ? แม่อยู่ที่ไหน ?” ข้าถามอย่างตื่นเต้น

พ่อพยักหน้า นัยน์ตาพ่อดูปวดร้าวและหม่นเศร้าเหลือเกินเมื่อตอบข้าว่า

“แม่ของลูกเป็นหญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่พ่อเคยพบมา และเวลานี้แม่ของลูกอยู่บนฟ้า”

ข้าขมวดคิ้ว “ทำไมแม่ไปอยู่บนฟ้า ? ทำไมแม่ไม่มาอยู่กับข้าอย่างแม่ของคนอื่นเล่า ?”

“แม่ของลูกก็ไม่ได้อยากไปหรอก แต่แม่เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ”

“เรื่องสำคัญอะไรหรือพ่อ ?”

“บอกไปตอนนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจ ไว้เจ้าโตแล้วก็จะรู้เอง” พ่อเลี่ยง

ข้าหน้างอ “อีกตั้งนานกว่าข้าจะโต แม่ไม่รักข้าหรือ ถึงไม่เคยกลับมาให้ข้าเห็นหน้าเลย”  แล้วข้าก็เบะปาก “ข้าอยากเจอแม่”

พ่อลูบศีรษะข้าเบาๆ ดุเสียงอ่อน “อย่าเอาแต่ใจสิ เฟย์รา”

ข้าก้มหน้างุด พูดเสียงเครือ “ทีคนอื่นเขายังได้อยู่กับแม่ทุกวันเลย”

พ่อมองข้าแล้วถอนใจ

“ถ้าลูกอยากเจอแม่มาก อย่างนั้นคืนนี้พ่อจะทำให้ลูกฝันเห็นแม่ก็แล้วกัน”

ข้าค่อยยิ้มออก รีบกอดคอพ่ออย่างประจบ

“พ่อทำได้ก็ไม่บอก ทำให้ข้าเห็นแม่ตอนนี้เลยดีกว่า นะพ่อนะ”

พ่อผลักศีรษะข้าเบาๆ อย่างหมั่นไส้

“มากไปแล้ว เจ้าลูกลิง ! ได้คืบจะเอาศอกเชียวนะ พ่อบอกว่าคืนนี้ก็ต้องรอให้ถึงคืนนี้สิ นี่เพิ่งจะเที่ยงเอง เดี๋ยวพ่อต้องกลับไปทำงานต่อด้วย” แล้วพ่อก็วางร่างกลมป้อมของข้าลงยืนกับพื้น

“แหม...” ข้าทำหน้ามุ่ย เอามือประสานกันตรงท้ายทอย แหงนหน้าพูดต่อ “พ่อ คนอื่นๆ เขาว่าข้าแปลกที่ไม่มีพลังเวทด้วย”

“แล้วเพื่อนๆ ที่เล่นกับลูกทุกคนมีพลังเวทกันหมดอย่างนั้นหรือ ?” พ่อย้อนถาม

ข้าส่ายหน้า “ก็เปล่าหรอกพ่อ แต่พวกนั้นบอกว่าลูกของผู้ใช้เวททุกคนต้องใช้เวทมนตร์ได้ พ่อเป็นผู้วิเศษ แล้วทำไมข้าถึงไม่มีพลังเวทล่ะ ?”

ข้าในตอนนี้รู้ว่าเวลานั้น พ่อเองก็ไม่ทราบคำตอบที่แท้จริงของคำถามของข้า แต่พ่อก็ได้คิดคำตอบเอาไว้แล้ว นั่นคือ

“ที่ลูกไม่มีพลังเวท เป็นเพราะแม่ของลูกไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผู้ใช้เวทอย่างไรเล่า เฟย์รา”

ข้าฟังคำตอบของพ่อแล้วงุนงงนัก

“ถ้าแม่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผู้ใช้เวท อย่างนั้นแม่เป็นอะไรหรือพ่อ ?”

พ่ออธิบายอย่างอ่อนโยน “แม่ของลูกเป็นคนที่พิเศษยิ่งกว่าใครในโลกนี้ และเพราะแม่ของลูกพิเศษไม่เหมือนใคร ลูกถึงได้พิเศษไม่เหมือนใครด้วยเช่นกัน” จากนั้นขู่ข้าว่า “ถ้าแม่รู้ว่าลูกไม่พอใจที่ตัวเองเหมือนแม่ แม่เขาจะเสียใจได้นะ” ท้ายประโยคพ่อทำเสียงขู่

และได้ผล...ข้าไม่กล้าถามถึงเรื่องนี้อีกเลย แต่เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน

“พ่อ ทำไมข้าถึงไม่ต้องสวมชุดผู้ใช้เวทล่ะ ? ข้าเป็นลูกของผู้วิเศษ ไม่ใช่ลูกของผู้ใช้เวทชั้นล่างเสียหน่อย”

บุตรธิดาของผู้ใช้เวทชั้นล่างบางคนที่มีพลังเวทอ่อนมากจนแทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา จะถูกถือว่าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา และไม่จำเป็นต้องสวมชุดผู้ใช้เวท

“ก็ลูกใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไม่ใช่หรือ”

“แต่ข้าอยากสวมชุดผู้ใช้เวทเหมือนอย่างพ่อนี่ !” ข้าพูดอย่างดื้อดึง

“ถึงเจ้าจะสวมชุดผู้ใช้เวท แต่เวลาเรียนหนังสือ เจ้าก็ต้องไปเรียนกับพวกมนุษย์ธรรมดาที่ต่างก็ไม่ได้สวมชุดผู้ใช้เวท และมันจะทำให้เจ้ายิ่งแตกต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดนะ เจ้าจะเอาอย่างนั้นหรือ ?”

...จริงด้วย ข้าลืมคิดถึงเรื่องนี้เสียสนิท... ข้าเริ่มลังเล ก่อนจะพูดเสียงอ่อย “อย่างนั้นข้าไม่สวมชุดผู้ใช้เวทก็ได้”

หลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็ได้ทราบว่าคำว่า อยู่บนฟ้า หมายถึง ตายไปแล้ว เพราะเด็กที่อายุมากกว่าบอกข้า และกว่าที่ข้าจะรู้ความหมายของคำว่า ตาย ก็หลังจากนั้นอีกหลายเดือน เมื่อปู่ของเพื่อนคนหนึ่งถึงแก่กรรม

ข้าทราบว่าพ่อเป็นชายหนุ่มรูปงาม เพราะแอบได้ยินนางกำนัลคุยกันถึงพ่อ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงพ่อข้า พวกนางต่างทำท่าเคลิ้มฝัน พวกนางต่างแสดงความพึงพอใจให้พ่อเห็นอย่างเปิดเผยอยู่บ่อยครั้ง แต่พ่อข้าก็ไม่เคยหวั่นไหว พ่อไม่เคยแสดงความสนใจหญิงสาวคนใดเลย พ่อไม่เคยคิดจะแต่งงานใหม่ พ่อบอกข้าอยู่เสมอว่า

“เฟย์ราลูกรัก หญิงที่พ่อรักมีเพียงแม่ของลูกคนเดียว พ่อจะไม่แต่งงานกับใครอีกนอกจากแม่ของลูก”

ความที่มักถูกล้อเลียนเรื่องไม่มีแม่และไม่มีพลังเวทเสมอๆ ทำให้ข้าไม่ชอบเล่นกับเด็กอื่น และกลายเป็นเด็กเก็บตัวไปในที่สุด

แม้จะไม่ได้ไปเล่นกับใคร ข้าก็ไม่เดือดร้อน เพราะข้าได้พบสิ่งซึ่งน่าสนใจยิ่งกว่าการละเล่นใดๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบมาก่อน นั่นคือ...การเรียนหนังสือและการอ่านตำรายาสมุนไพรของพ่อ

ก่อนหน้านี้ตอนอาศัยอยู่ที่กระท่อมชายป่า ข้าไม่เคยเห็นหนังสือพวกนี้เลยสักเล่ม แต่พอย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง มันก็มาจากไหนเยอะแยะไปหมดไม่ทราบ สงสัยว่าเมื่อก่อนพ่อคงจะซ่อนมันไว้จากสายตาซอกแซกและมืออันแสนซุกซนของข้าเป็นแน่

ตำรายาสมุนไพรเหล่านี้เหมือนสร้างโลกใหม่ให้แก่ข้า แม้ข้าจะไม่มีพลังเวท แต่ใครๆ ก็บอกว่าข้าเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ข้าชอบที่จะศึกษาเรียนรู้ อาจารย์ผู้สอนทุกคนต่างชมว่าข้าสามารถเรียนรู้ได้เร็วจนน่าทึ่ง เรียนรู้เร็วมากเสียจนหลังจากเริ่มเรียนไปได้เพียงสี่ปี อาจารย์ทุกคนก็ไม่มีสิ่งใดจะสอนข้าได้อีก ผู้ที่จะสอนความรู้ที่กว้างและลึกยิ่งขึ้นให้แก่ข้าได้ จึงเหลืออยู่เพียงผู้เดียว คือพ่อของข้าเอง

ข้ามักหมกตัวอยู่ในห้องเป็นวันๆ เพื่ออ่านตำราของพ่อเหล่านั้น ข้ามีความจำดี ข้าอ่านและจำตำราทั้งหมดของพ่อได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบขวบ หลังจากนั้นข้าก็เริ่มไปปะเหลาะหา ท่านอิชชา หมอหลวงประจำราชสำนักเป็นรายต่อไป

ข้าไปขอยืมตำราและถามถึงวิธีการรักษาโรคต่างๆ รวมถึงสรรพคุณและรูปร่างของยาสมุนไพรนานาชนิดกับท่านอิชชาบ่อยๆ  ท่านอิชชาเองก็ชอบข้าไม่น้อย ท่านมักจะสนทนากับข้าด้วยความเต็มใจทุกครั้ง ท่านอิชชายังบอกข้าเสมอว่า

“สักวันหนึ่ง เจ้าจะได้เป็นหมอที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน เฟย์รา เฟน”

 

เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ข้ากำลังนอนอ่านหนังสือปกแพรอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในเขตคฤหาสน์ ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนดังลั่นมาจากอุทยานท้ายตำหนักร้างซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก

“ช่วยด้วย ! ช่วยด้วยยยยย ! ใครก็ได้ช่วยตามหมอมาหน่อยเร็ววววว !”

ข้ารีบวิ่งไปทางต้นเสียงทันที และได้เห็น เกส บุตรชายวัยสิบขวบของมหาเสนาบดีกีรากำลังประคองเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันที่ข้าจำได้ว่าคือ เจ้าชายวานันซา น้องชายร่วมมารดาของ เจ้าชายรัชทายาทเวอร์นอน

มือเจ้าชายวานันซาบวมเป่งเป็นสีแดงคล้ำ สีหน้าซีดจนออกเขียว ข้ารีบถามทันที “เจ้าชายโดนอะไรกัด ?”

เกสหน้าซีดเผือด ตอบละล่ำละลักลิ้นแทบจะพันกัน “แมงป่องสีแดงตัวใหญ่ พวกเราจะจับมันใส่ขวด แต่พลาด เจ้าชายถูกต่อย...”

“ตัวใหญ่ขนาดไหน สีแดงแบบไหน ?” ข้าถามพร้อมกับงัดปากเจ้าชายออก แล้วม้วนหนังสือที่พกติดตัวมายัดใส่เข้าไป

เกสกระชากแขนข้าโดยแรง “จะทำอะไรน่ะ เจ้าเด็กไม่มีแม่ !”

ข้าสะบัดแขนทันควัน แรงสะบัดส่งเกสล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า

“หุบปากเถอะน่า ! ไม่เห็นหรือไงว่าเจ้าชายกำลังชัก เจ้าชายอาจกัดลิ้นตัวเองได้ !”

ข้าปลดผ้าคาดศีรษะอันเป็นผ้าผืนเดียวที่สะอาดที่สุดบนตัวออกมามัดแขนของเจ้าชายเหนือรอยถูกแมงป่องต่อยจนแน่น จากนั้นชักมีดพกขนาดเล็กที่มักพกติดตัวเสมอออกมา จรดส่วนปลายซึ่งคมและสะอาดที่สุดของมีดกรีดผ่านจุดสีแดงที่เห็นได้ชัดกลางฝ่ามือที่บวมเป่งอย่างรวดเร็ว

พ่อเป็นคนสอนข้าว่า อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หมอที่ดีต้องสามารถใช้สิ่งของรอบกายแทนอุปกรณ์รักษาได้ในยามฉุกเฉิน ข้าไว้ผมยาวเพราะเบื่อการต้องตัดผมบ่อยๆ และใช้ผืนผ้าคาดหน้าผากไว้เพื่อป้องกันผมปลิวมาระหน้า เวลานี้ผ้าผืนนี้ก็เกิดประโยชน์แล้ว

เกสเห็นข้ากรีดมีดใส่ฝ่ามือเจ้าชาย ก็กระชากคอเสื้อข้าโดยแรง ตะคอกเสียงกร้าว

“มันจะมากไปแล้วนะเจ้าคนถ่อย ! เจ้ากล้าทำร้ายเจ้าชาย !”

ข้าสะบัดเบาๆ ก็หลุดจากมือเกสอีกครั้ง และผลักเกสกระเด็นผงะหงาย

“เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ! ข้าจะรีดพิษที่ปนอยู่ในเลือดออกมาให้มากที่สุด จะได้ช่วยบรรเทาอาการก่อนจะไปหายามาใส่ ไม่อย่างนั้นเจ้าชายคงได้ตายก่อนถึงมือหมอแน่ !” ข้าเอานิ้วกดรอบปากแผลบนมือเจ้าชายวานันซาโดยแรงจนเลือดสีแดงคล้ำเกือบดำไหลออกมาเป็นลิ่มๆ ปากก็ถามซ้ำเสียงเครียด “ข้าถามว่าแมงป่องนั่นตัวใหญ่แค่ไหน สีแดงแบบไหนไงเล่า !”

เกสอ้าปากค้างอย่างงุนงง ก่อนจะตะกุกตะกักตอบคำถามแต่โดยดี

“มะ...แมงป่องใหญ่...ใหญ่เท่าฝ่ามือ สีแดงคล้ำ” จากนั้นเอามือคลึงหน้าอกเบาๆ บ่นอุบอิบว่า “เจ้าตัวผอมนิดเดียว เอาแรงมาจากไหนตั้งมากมายกันนะ”

“รูแมงป่องอยู่ตรงไหน ?” ข้าถามต่อโดยไม่สนใจเสียงบ่นอุบอิบของเกส

เกสชี้ไปยังตำแหน่งซึ่งห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งวา ข้าหันไปมองจุดที่เกสชี้ แล้วกวาดตาสำรวจบริเวณโดยรอบ

เพียงกวาดตามองรอบเดียว แต่เก็บรายละเอียดทั้งหมดสู่ความทรงจำอย่างครบถ้วนแม่นยำ ความคิดแล่นวาบผ่านสมองข้าอย่างรวดเร็ว แล้วข้าจึงค่อยรู้สึกคลายใจลง หันมาตั้งหน้าตั้งตาเค้นเลือดให้เจ้าชายวานันซาต่อไปเงียบๆ โดยมีเกสจ้องเขม็งอย่างเอาใจช่วยเต็มที่

ไม่นาน เลือดที่ไหลก็เริ่มกลายเป็นสีแดงสด และสีหน้าเจ้าชายเปลี่ยนจากซีดเขียวเป็นซีดขาว เกสร้องตะโกนอย่างลิงโลด

“เจ้าชายรอดตายแล้ว !”

ข้ามองเลือดที่กลายเป็นสีเลือดปกติอย่างพอใจ แต่ก็ยังออกตัวว่า

“ยังไม่แน่หรอก ต้องให้ท่านอิชชาตรวจยืนยันก่อนถึงจะแน่ใจได้” แล้วข้าก็ช้อนร่างเจ้าชายวานันซาขึ้นอุ้มอย่างง่ายดาย พร้อมกับหันไปสั่งเกสว่า

“เจ้าจงรีบวิ่งไปบอกท่านอิชชาว่าเจ้าชายถูก แมงป่องแดงสกันดา ต่อย ข้าจะอุ้มเจ้าชายล่วงหน้าไปที่คลังโอสถ”

หลังได้สติจากอาการปากอ้าตาค้างอีกรอบที่เห็นข้าอุ้มเจ้าชายวานันซาที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าตัวข้าเองเสียอีกขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้ว เกสก็พยักหน้าแรงๆ ก่อนจะรีบวิ่งตื๋อจากไป ส่วนข้าก็อุ้มเจ้าชายเร่งฝีเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังคลังโอสถ

หากจะว่าข้าไร้พลังเวทโดยสิ้นเชิง ก็ดูจะไม่จริงเสียทีเดียว อย่างน้อยข้าก็มีพละกำลังเหนือกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก

เมื่อข้าอุ้มเจ้าชายวานันซามาถึงคลังโอสถ และแจ้งชื่อตัวยาที่ต้องการเรียบร้อย ท่านอิชชาผู้เป็นเจ้าของตำรายาในปากเจ้าชายก็มาถึงพอดี

ระหว่างที่ท่านอิชชาตรวจอาการของเจ้าชาย ขุนนางผู้ดูแลคลังโอสถก็นำสมุนไพรตามที่ข้าสั่งเข้ามาวางไว้ให้ ท่านอิชชาสำรวจตัวยาเหล่านั้น แล้วหันมายิ้มให้ข้า

“ไม่มีอะไรที่ข้าต้องทำเพิ่มอีกแล้ว เจ้าจัดการได้ดีมาก”

ข้ายิ้มกว้าง รู้สึกหัวใจพองฟูด้วยความภาคภูมิใจจนคับอก

 

เย็นวันนั้น เมื่อพ่อกลับมาจากทำงานและได้ทราบเรื่องนี้ พ่อถามข้าว่า

“ลูกรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือแมงป่องแดงสกันดา ?”

ข้าตอบว่า “เพราะเกสบอกว่าเจ้าชายถูกแมงป่องสีแดงตัวใหญ่ต่อย แมงป่องแดงสกันดาเป็นแมงป่องที่อาศัยในเขตร้อนชื้นเช่นทางตอนใต้ของอาณาจักรมาอ์ของเรา และชอบอาศัยอยู่ในพงหญ้า ที่สำคัญคือชอบกินหญ้าสกันดา จึงได้ชื่อว่าแมงป่องแดงสกันดา ข้าเห็นว่าหญ้าในสวนหย่อมนั่นส่วนใหญ่เป็นหญ้าสกันดา จึงเดาว่าน่าจะเป็นแมงป่องพันธุ์นี้ และบังเอิญเดาถูก”

เมื่อฟังที่ข้าพูดจบ พ่อก็ยิ้ม...เป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ

วีรกรรมครั้งนี้ทำให้ข้าได้เพื่อนแท้มาสองคน คือ เกส และเจ้าชายวานันซา นับแต่นั้นมาก็ไม่มีเด็กคนไหนกล้าว่าข้าเป็นเด็กไร้พลังเวท หรือเด็กนอกคอก หรือลูกไม่มีแม่อีก เพราะเกสและเจ้าชายวานันซาจะชกปากคนพูดทันที

เมื่อได้เพื่อนที่ถูกใจ ข้าก็ออกไปเล่นข้างนอกมากขึ้น และเลิกนิสัยชอบเก็บตัวอ่านตำราอยู่แต่ในห้องไปโดยปริยาย ทว่าความนิยมใฝ่รู้ของข้าก็มิได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ข้ายังคงอ่านตำราเหล่านั้นทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

นอกจากนี้ ท่านอิชชาได้ขออนุญาตพ่อให้ข้าไปเป็นหมอฝึกหัดกับท่านที่นอกเขตวังทุกวันตั้งแต่เช้าถึงบ่าย และพ่อก็อนุญาต ข้าจึงได้เริ่มเป็นหมอฝึกหัด และเรียนรู้มากพอจนพร้อมที่จะเริ่มทำงานอย่างจริงจังในสองปีต่อมา เพียงแต่พ่อเห็นว่าข้ายังอายุน้อยเกินกว่าจะประกอบอาชีพหมอเต็มตัว จึงให้ข้าทำงานโดยอยู่ในความดูแลของท่านอิชชาต่อไป

ทุกสิ่งในชีวิตข้าดำเนินไปอย่างสงบราบเรียบและมีความสุข จนกระทั่งปีที่ข้าอายุได้ ๑๓ ปี

ปีนั้น ราชาเวเนส บิดาของวานันซาและเจ้าชายเวอร์นอนล้มป่วยเสียชีวิต เจ้าชายเวอร์นอนจึงขึ้นครองราชย์สืบแทน เป็น ราชาเวอร์นอน แล้วลางร้ายก็เริ่มปรากฏนับแต่นั้นมา...

 

ในท้องพระโรงกว้างใหญ่โอ่โถงอันเป็นสถานที่ว่าราชการของวังหลวงแห่งอาณาจักรมาอ์ เสียงตวาดถามอย่างโกรธกริ้วของ ราชาเวอร์นอน ราชาคนใหม่แห่งอาณาจักรดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรงในระหว่างออกว่าราชการ

“ทำไมถึงไม่ได้ ?!”

สายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของราชาหนุ่มจ้องเขม็งไปยังใบหน้าเรียบเฉยของผู้วิเศษประจำตัวซึ่งยืนอยู่ห่างจากบัลลังก์ที่เขานั่งไปทางด้านขวาไม่มากนัก

“เพราะไม่มีเหตุจำเป็นใดที่จะก่อสงคราม” ผู้วิเศษลูค เฟน ตอบเสียงเรียบโดยไม่หวาดหวั่นต่อสายตากินเลือดกินเนื้อของผู้เป็นนายเหนือหัว

“เหตุจำเป็นคือมันเป็นความต้องการของข้าอย่างไรเล่า ท่านหูหนวกรึ ?! ข้าอายุ ๒๕ แล้ว หาใช่อายุ ๑๔ ไม่ ข้ามีสิทธิ์ในอำนาจราชาเต็มที่ตามกฎมนเทียรบาลทุกประการ !”

“เรื่องนั้นข้าทราบดี ขุนนางทุกคนในที่นี้ต่างก็ทราบดีเช่นกัน แต่แม้กระทั่งองค์ราชาเวเนสเองก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่อาจทำตามประสงค์ได้ และเหตุผลของท่านก็อ่อนเกินไป ข้ายอมรับไม่ได้” ผู้วิเศษหนุ่มตอบอย่างใจเย็น

ราชาหนุ่มลุกขึ้นแผดเสียงกร้าว

“หน้าที่ของท่านคือฟังคำสั่งข้า ไม่ใช่เถียงข้า !”

ท่าทีคุกคามนั้นหาได้เกิดผลใดๆ ต่อเป้าหมายไม่ สีหน้าของผู้วิเศษหนุ่มยังคงเรียบเฉย น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม “นอกจากตำแหน่งผู้วิเศษประจำตัวท่านที่ต้องรับฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านแล้ว ข้ายังมีอีกตำแหน่งคือ ผู้วิเศษแห่งอาณาจักร ดังนั้นข้าจึงยอมให้ท่านทำให้อาณาจักรล่มสลายโดยที่ศพของราชาเวเนสบิดาของท่านยังไม่ทันเย็นไม่ได้”

“ยังไม่ทันลองรบดูด้วยซ้ำ ท่านทราบได้อย่างไรว่ามาอ์จะล่มสลาย ? ท่านดูถูกกองทัพของเราเกินไปแล้ว !”

“ข้าหาได้ดูถูกกองทัพของเราไม่ ข้าเพียงไม่กล้าดูถูกตารีฮ์และรีฮุน อาณาจักรทั้งสาม มาอ์ ตารีฮ์ รีฮุน คานอำนาจกันได้นานเกือบพันปีเพราะเหตุใด ? ต่อให้มาอ์สามารถล้มตารีฮ์หรือรีฮุนได้ ก็ต้องสูญเสียกำลังทหารไปเป็นจำนวนมาก ท่านคิดหรือว่าอาณาจักรที่มองการสู้รบอยู่เฉยๆ จะไม่ฉวยโอกาสซ้ำเติม”

“พวกท่านก็วางแผนไปสิ วางแผนให้มาอ์สามารถเอาชนะอีกสองอาณาจักรได้ มันหน้าที่ของพวกท่านไม่ใช่หรือ ?!”

“และมันจะง่ายกว่านั้นมากหากไม่ก่อสงครามเสียเลย เพราะจะได้ไม่ต้องยุ่งยากวางแผนที่มองไม่เห็นทางสำเร็จใดๆ”

ราชาเวอร์นอนตวาดลั่น “แต่ข้าอยากจะยิ่งใหญ่ !”

“ท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดอยู่แล้ว...ในอาณาจักรมาอ์แห่งนี้”

“แค่นั้นมันยังไม่พอ !”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เสียใจอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องบอกท่านว่า ข้าจะไม่ช่วยเหลือท่านใดๆ ทั้งสิ้นในเรื่องทำสงครามรวมดินแดน หากมติขุนนางไม่เห็นด้วยกับท่าน”

ราชาเวอร์นอนเบนเป้าไปยังขุนนางคนอื่นๆ แทนที่โดยพลัน

“พวกท่านได้ยินแล้วใช่ไหม ? บอกไปสิว่ายินดีทำตามที่ข้าต้องการ !”

เหล่าขุนนางซึ่งยืนเรียงรายเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าราชาหนุ่มต่างนิ่งเงียบงันจนราชาหนุ่มโมโหเดือด “ว่าอย่างไรเล่า เป็นใบ้กันไปหมดแล้วหรือไง ?!”

มหาเสนาบดีกีรา กระแอมเบาๆ ก่อนจะกล่าวอย่างระมัดระวัง

“ข้าคิดว่าคำพูดของท่านลูคมีเหตุผลอย่างยิ่ง เวลานี้อาณาจักรมาอ์ของเราไม่พร้อมจะก่อสงครามไม่ว่าจะในด้านใด คงจะเป็นการดีกว่าหากองค์ราชาจะสงบใจให้เยือกเย็น และไตร่ตรองเรื่องสงครามรวมดินแดนอีกครั้ง...”

คำพูดหลังจากนั้นของขุนนางคนอื่นๆ มีแต่กล่าวสนับสนุนวาจาของผู้วิเศษลูค เฟน และเกลี้ยกล่อมให้ราชาหนุ่มเลิกล้มความคิดทำสงครามขยายดินแดน จนราชาเวอร์นอนอยากจะสั่งให้ทหารจับขุนนางเหล่านี้รวมทั้งผู้วิเศษลูค เฟน ไปประหารเสียให้หมดนัก

แต่ในเมื่อไม่สามารถทำได้ ราชาหนุ่มจึงได้แต่เนรเทศตัวเองไปให้พ้นหน้าบรรดา พวกกวนโมโห โดยเลี่ยงไปพักผ่อนยังตำหนักคิมหันต์ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเขตนครหลวงออกไปไม่มากนักแทน

 

ระหว่างที่ข่าวเรื่องราชาคนใหม่แห่งอาณาจักรมาอ์ต้องการทำสงครามรวมดินแดนเป็นที่โจษจันไปทั่วอาณาจักร ผู้ใช้เวทแปลกหน้าผู้หนึ่งก็ได้เดินทางมาถึงนครหลวงอย่างเงียบเชียบ

เสียงพูดคุยถึงความปรารถนาจะก่อสงครามของราชาคนใหม่ที่มีอยู่ทั่วทั้งนครหลวงจุดรอยยิ้มบนริมฝีปากหยักลึกได้รูปของผู้มาเยือน นัยน์ตาสีเขียวทองซึ่งอยู่ใต้เงาหมวกคลุมเปล่งประกายวาบ

...โอกาสมาถึงแล้ว...

 

สวนดอกไม้งดงามจับตา ทิวไม้เรียงรายร่มรื่น ฝูงนกฝูงปลาหลากสีสัน รวมถึงอาหารเลิศรสประดามีในตำหนักคิมหันต์ ไม่อาจช่วยบรรเทาอารมณ์ขุ่นมัวเพราะถูกขัดใจอย่างรุนแรงของราชาหนุ่มได้เลย สิ่งเดียวที่ช่วยระบายความหงุดหงิดได้บ้างในตำหนักพักร้อนแห่งนี้มีเพียงการล่าสัตว์เท่านั้น

บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ราชาเวอร์นอนกำลังยิงนกป่าเล่นเป็นการระบายอารมณ์ขุ่นเคือง มือที่กำลังน้าวศรเล็งไปยังเป้าหมายชะงักลงชั่วขณะเมื่อทหารองครักษ์เข้ามารายงานว่า “องค์ราชา มีผู้ใช้เวทซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษผู้หนึ่งขอน้อมพบ”

ราชาหนุ่มมีสีหน้าฉงน ลดศรในมือลง ถามเสียงทรงอำนาจ

“เป็นทูตจากอาณาจักรใดหรือ ?”

ที่ถามไปดังนี้เป็นเพราะเท่าที่ราชาหนุ่มทราบ ผู้วิเศษมีจำนวนน้อยมาก ผู้วิเศษที่ราชาหนุ่มเคยพบมีเพียงผู้วิเศษราเซย์ ผู้วิเศษคนก่อนของอาณาจักรมาอ์ และผู้วิเศษลูค เฟน ผู้วิเศษคนปัจจุบันเท่านั้น ราชาหนุ่มทราบว่าผู้วิเศษคนอื่นๆ ต่างกระจายเป็นผู้วิเศษประจำอาณาจักรทั้งสองที่เหลือ หรือไม่ก็ซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่ง อาจจะเป็นกลางป่า กลางหุบเขา หรือกลางทะเลทราย ดังนั้นผู้วิเศษที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมาขอพบเขา จึงมีเพียงทูตจากอาณาจักรตารีฮ์ หรืออาณาจักรรีฮุน ทว่าน่าแปลกนักที่ผู้วิเศษผู้นี้มาขอเข้าพบเขาในตำหนักเล็กๆ เช่นนี้ แทนที่จะขอเข้าพบตามพิธีการในวัง

“หามิได้ มิใช่ทูตของอาณาจักรใดทั้งสิ้น” องครักษ์ตอบ

ราชาหนุ่มเริ่มสนใจขึ้นมา

...หรือจะเป็นผู้วิเศษที่ซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่แปลกๆ ที่เล่าลือกันนั้น ?...

“ให้เข้ามาพบที่ห้องรับแขกก็แล้วกัน” สั่งไปในที่สุดด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้วิเศษเร้นกายจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร และที่สำคัญ...มีธุระอะไร

 

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ก้าวเข้ามายืนโค้งคำนับราชาหนุ่มในระยะห่างพอควรด้วยอิริยาบถเนิบช้าสง่างามนั้นสวมชุดคลุมสีเทามีหมวกคลุมเช่นที่บรรดาผู้ใช้เวทนิยมสวม มือขาวสะอาดได้รูปใต้แขนเสื้อยาวรุ่มร่ามยกขึ้นเลื่อนหมวกคลุมศีรษะที่ทอดเงาลงมาบังใบหน้าครึ่งบนออก เผยให้เห็นดวงหน้างามสง่าสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อราวกับช่างฝีมือเอกบรรจงปั้น นัยน์ตาสีเขียวเข้มเหลือบทองดุจแสงตะวันกลางป่าลึกแฝงประกายปราดเปรื่องเยือกเย็นประดับโดดเด่นอยู่กลางดวงหน้าขาวนวล เส้นผมสีเงินดกหนาเป็นเงาระยับราวเส้นไหมที่ทอจากเงินถักเป็นเปียเดี่ยวเส้นใหญ่ทิ้งตัวอยู่กลางหลัง

และสุดท้าย...จุดรูปหยดน้ำสีแดงสดดุจหยดเลือดแต้มที่ปรากฏกลางหน้าผากแสดงศักดิ์ฐานะอย่างชัดเจน...

“ข้ามีนามว่า เมราส บุตรผู้วิเศษคอลฟ์แห่งตารีฮ์” ชายหนุ่มผู้อ้างตนว่าเป็นผู้วิเศษแนะนำตัวเอง

“บุตรผู้วิเศษคอลฟ์ ?” ราชาเวอร์นอนเลิกคิ้วสูง ร่างเอนพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย เอียงกายเท้าคางกับหลังมือ “ข้าทราบมาว่า ผู้วิเศษลูฟา บุตรผู้วิเศษคอลฟ์ได้รับสืบทอดตำแหน่งผู้วิเศษแห่งตารีฮ์แทนพ่อ...”

“ลูฟาคือพี่ชายคนรองของข้า” ชายหนุ่มผมเงินตอบเสียงเรียบ

ราชาเวอร์นอนเหยียดยิ้ม กล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “ข้าไม่ทราบและไม่สนใจอยากทราบดอกว่าผู้วิเศษคอลฟ์มีบุตรกี่คน และเจ้าคือบุตรของผู้วิเศษคอลฟ์จริงหรือไม่ แต่หากเจ้าเป็นผู้วิเศษจริง เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเล่าว่านอกจากผู้วิเศษลูฟา ผู้วิเศษคอลฟ์ยังมีบุตรอีกคนที่ได้เป็นผู้วิเศษ ในเมื่อการเป็นผู้วิเศษมันน่าภาคภูมิใจถึงขนาดที่ไม่น่าจะปิดเป็นความลับ ? และหากเจ้าเป็นผู้วิเศษจริง  เจ้าจะดั้นด้นมาถึงมาอ์ด้วยเหตุใด อยู่ที่ตารีฮ์ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ ?”

ใบหน้าผู้มาเยือนสงบเฉยไม่มีร่องรอยไฟโทสะยามกล่าวว่า

“เรื่องที่ข้าเป็นผู้วิเศษนั้น ขอเพียงท่านส่งจอมเวทสัก ๒ - ๓ คน มาทดสอบ ก็ย่อมจะทราบได้ในทันที ส่วนสาเหตุที่ข้าเดินทางมายังอาณาจักรมาอ์ เป็นเพราะข้าไม่พอใจจะรับใช้ราชาตอริคแห่งตารีฮ์” เมราสเลี่ยงที่จะตอบคำถามแรกอย่างจงใจ

ราชาเวอร์นอนหัวเราะในลำคอ ...กำลังนึกเบื่อๆ อยู่พอดีก็มีเหยื่อมาให้แกล้งแก้เบื่อถึงที่ ข้าหรือจะปล่อยโอกาสงามๆ นี้... ราชาหนุ่มดีดนิ้วเปาะ ทหารองครักษ์คนเดิมตรงเข้ามาคำนับเบื้องหน้ารวดเร็วทันใจ จอมราชันแห่งมาอ์ออกคำสั่งเสียงทรงอำนาจ

“ไปตามจอมเวทที่เก่งที่สุดที่อยู่เฝ้าตำหนักมาสามคนเดี๋ยวนี้ !”

...ให้จอมเวทสามคนรุม หากเป็นพวกที่คิดจะมาหลอกลวงข้าละก็ จะเอาให้ตายคาที่อยู่ตรงนี้เลยเชียว !... ราชาหนุ่มคิดในใจ

องครักษ์ขานรับคำสั่ง แล้วถอยออกไปอย่างเงียบกริบ

อึดใจใหญ่ให้หลัง จอมเวทวัยกลางคนสองคนและวัยชราหนึ่งคนในชุดคลุมสีเทาก็เดินเข้ามา ทั้งสามเดินผ่านผู้วิเศษหนุ่มตรงเข้าไปคำนับราชาเวอร์นอนโดยไม่มีทีท่ารับรู้ว่า ณ ที่นั้นมีบุคคลแปลกหน้าผู้หนึ่งยืนอยู่

“องค์ราชามีกิจใดจะเรียกใช้พวกข้าหรือ ?” จอมเวทชราถามอย่างนอบน้อม

ราชาเวอร์นอนชี้มาทางผู้วิเศษหนุ่ม “มีผู้อ้างตนว่าเป็นผู้วิเศษ ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเขาพูดจริง หรือบังอาจมาหลอกลวงข้า”

จอมเวททั้งสามหันไปทางทิศที่มือของราชาหนุ่มชี้ แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทั้งสามมีเพียงความว่างเปล่า...

จอมเวทวัยกลางคนทั้งสองขมวดคิ้ว นึกในใจอย่างหงุดหงิด

...องค์ราชาคิดจะล้อพวกเราเล่นอย่างนั้นหรือ ?...

จอมเวทเฒ่านั้นมีประสบการณ์มากกว่าจอมเวทวัยกลางคนทั้งสอง นัยน์ตาซึ่งยังคงคมกริบผิดกับวัยทอประกายวาววับ สมองซึ่งจดจำบทเรียนแห่งชีวิตไว้มากมายไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว

...ท่าทางขององค์ราชาไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลย แสดงว่าในห้องนี้มีผู้ใช้เวทอีกคนหนึ่งอยู่จริง ผู้ใช้เวทคนนั้นคงกำลังใช้เวทบังตาอยู่ แต่เวทบังตาจะใช้ได้ผลก็แต่กับผู้ใช้เวทที่มีพลังเวทสูงกว่าผู้ใช้ไม่เกินเท่าตัว หรือมีพลังเวทอ่อนกว่าผู้ใช้ ดังนั้นแม้ผู้ใช้เวทผู้นั้นจะมีพลังเวทด้อยกว่าเรา ก็ยังสามารถซ่อนกายจากพวกเราสามคนได้ แต่นั่นหมายถึงว่าองค์ราชาต้องมองไม่เห็นผู้ใช้เวทผู้นั้นเช่นกัน ทว่านี่องค์ราชากลับสามารถมองเห็นผู้ใช้เวทผู้นั้นในขณะที่พวกเรามองไม่เห็น ผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ระดับนี้ได้จะต้องมีพลังเวทสูงมาก อย่างน้อยต้องสูงกว่าเราเท่าตัว และผู้ที่มีพลังเวทสูงถึงขนาดนั้นก็มีแต่...

“องค์ราชาล้อพวกข้า...”

เสียงของจอมเวทวัยกลางคนปลุกจอมเวทเฒ่าจากภวังค์ ความคิดจะออกปากห้ามปรามพวกพ้องของจอมเวทเฒ่าเพิ่งผุดขึ้น คำพูดของจอมเวทวัยกลางคนยังเปล่งออกมาไม่ทันจบประโยคเสียด้วยซ้ำ ทั้งสามก็พลันขยับตัวไม่ได้ ภาพเบื้องหน้าดับหายไปในบัดล !

ราชาเวอร์นอนเบิกตากว้าง ผวาเอนกายไปข้างหน้าอย่างลืมตัว มือเกร็งจับที่เท้าแขนแน่น

จอมเวททั้งสามของเขา...กลายเป็นหินไปแล้ว !

สิ่งที่ราชาเวอร์นอนเห็นคือ หลังจากที่จอมเวททั้งสามเข้ามาในห้อง ผู้วิเศษเมราสก็เดินเข้าไปหาทั้งสาม แต่จอมเวททั้งสามเหมือนมองไม่เห็นผู้วิเศษหนุ่ม เขาเห็นผู้วิเศษหนุ่มเอานิ้วแตะที่กลางหน้าผากจอมเวททั้งสามอย่างรวดเร็ว ครั้นแล้วจอมเวททั้งสามก็กลายเป็นหินไปในพริบตา !

เมราสมองอาการตกตะลึงของราชาหนุ่มด้วยแววตาสงบนิ่ง กล่าวเนิบช้า

“ดังที่ท่านได้เห็น เวลานี้จอมเวททั้งสามต่างต้องคำสาปของข้า หากข้าไม่คลายคำสาป ทั้งสามจะต้องอยู่ในสภาพเป็นหินเช่นนี้ไปชั่วชีวิต ท่านต้องการให้เป็นดังนั้นหรือไม่ ?”

ราชาเวอร์นอนตกตะลึงพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อรู้สึกว่าหัวใจที่เต้นถี่รัวสงบลง จึงค่อยสั่งด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ทำให้พวกเขากลับเป็นเหมือนเดิม !”

ผู้วิเศษหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย “น้อมรับบัญชา” จากนั้นหันไปโบกมือ

ร่างของจอมเวททั้งสามพลันเปลี่ยนจากหินกลับมาเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อดังเดิม จอมเวทวัยกลางคนทั้งสองเบิกตากว้างแทบถลน เพราะเพิ่งมองเห็นผู้วิเศษหนุ่มก็ตอนนี้เอง ส่วนจอมเวทเฒ่าไม่มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด หันไปกล่าวต่อผู้เป็นนายอย่างสงบ

“น้อมเรียนองค์ราชา ชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้วิเศษอย่างแน่นอน”

 

หลังจากสั่งให้จอมเวททั้งสามออกไปแล้ว ราชาเวอร์นอนก็หันมามองผู้วิเศษแปลกหน้าด้วยสายตาสนเท่ห์และสนอกสนใจกว่าเดิม

“เอาเป็นว่าท่านเป็นผู้วิเศษจริงๆ แล้วผู้วิเศษอย่างท่านมีธุระใดกับข้า ? หรือเพราะพี่ชายของท่านได้เป็นผู้วิเศษแห่งอาณาจักรตารีฮ์เสียแล้ว ท่านจึงต้องระเหเร่ร่อนมายังอาณาจักรมาอ์ ? ถ้าเช่นนั้นละก็เสียใจด้วย เพราะข้ามีผู้วิเศษประจำตัวแล้ว”

ในอาณาจักรหนึ่งจะมีผู้วิเศษแห่งอาณาจักรได้เพียงคนเดียว เพราะหากมีผู้วิเศษสองคน ระหว่างผู้วิเศษทั้งสองอาจเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ เหมือนเสือสองตัวไม่อาจอยู่ร่วมถ้ำ

เมราสมองชายหนุ่มตรงหน้า ราชาเวอร์นอนมีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ผมสั้นเพียงต้นคอหยักศกน้อยๆ เกาะแนบศีรษะได้รูปสวย ใบหน้าจัดได้ว่ารูปงาม เพิ่งจะอายุยี่สิบห้าปี ความคิดยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ยังเลือดร้อนและมั่นใจในตัวเอง คิดว่าตนเก่งกาจและเฉลียวฉลาดเหนือผู้ใด เหมาะจะเป็นหุ่นเชิดของเขาอย่างที่สุด คิดแล้วจึงคลี่ยิ้มบาง เอ่ยเนิบช้า

“ข้าได้ยินคำโจษขานว่าท่านปรารถนาจักทำสงครามรวมดินแดน ต้องการสร้างมหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เหนืออาณาจักรใด”

ราชาเวอร์นอนหรี่ตาลง ...เจ้านี่จะมาไม้ไหนกันแน่ ?... ก่อนจะตอบว่า

“ไม่ว่าท่านได้ยินข่าวนั้นมาจากที่ใดก็ตาม ท่านได้ยินมาถูกต้องแล้ว !”

ผู้วิเศษหนุ่มยังคงยิ้มน้อยๆ ดุจเดิม “ข้าคิดว่านั่นเป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่น่าชื่นชมนัก ข้าเกิดและเติบโตในอาณาจักรตารีฮ์ ทั้งยังเคยเดินทางไปเยือนอาณาจักรรีฮุน ข้าขอบอกว่าสองอาณาจักรนั้นไม่มีผู้ใดที่จะเป็นคู่แข่งท่านได้แม้แต่คนเดียว ราชาตอริคแห่งตารีฮ์สูงวัยมากแล้ว ทั้งยังละโมบและขลาดเขลา อาณาจักรรีฮุนเองแม้ราชาไบยาตจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็ไร้ซึ่งปณิธานใดๆ สมควรอย่างยิ่งที่ราชาผู้มีปณิธานยิ่งใหญ่เช่นท่านจะรวมอาณาจักรทั้งสามเข้าด้วยกัน และสร้างตำนานบทใหม่ให้แก่โลกนี้”

คำพูดของผู้วิเศษหนุ่มตรงหน้าช่างถูกใจราชาเวอร์นอนนัก ราชาหนุ่มยันร่างขึ้นจากท่าเอนข้างตามสบาย ยืดกายไปข้างหน้าเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด

“ท่านพูดจริงหรือ ?”

“ข้าขอยืนยันว่าสิ่งที่ข้ากล่าวเป็นความจริงทุกประการ”

ราชาหนุ่มถอนใจเฮือก ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้โดยแรง

“น่าเสียดายจริงๆ ที่ท่านไม่ได้เป็นผู้วิเศษของข้า  ผู้วิเศษลูค เฟน ผู้วิเศษของข้าคัดค้านสงครามชนิดหัวชนฝา พวกขุนนางเองต่างก็เกรงใจและเกรงกลัวพลังอำนาจของผู้วิเศษลูค เฟน จนไม่เห็นหัวข้ากันหมด มันน่าโมโหนัก !”

“ผู้วิเศษประจำตัวนั้นปกติผู้ใดเป็นผู้เลือกหรือ ?” เมราสถามอย่างจงใจ

“ย่อมต้องเป็นราชาน่ะสิ ความจริงข้าก็อยากเปลี่ยนผู้วิเศษอยู่เหมือนกัน แต่ในมาอ์ไม่มีผู้ใช้เวทคนใดเก่งกาจกว่าผู้วิเศษลูค เฟน และเหล่าขุนนางต่างก็ชื่นชมเขามาก ต่างคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการที่ข้าจะปลดเขาออกจากตำแหน่ง ข้าเองก็เห็นความจำเป็นของการที่ต้องมีผู้ใช้เวทที่เก่งที่สุดเป็นผู้วิเศษประจำตัวอยู่เหมือนกัน ถึงจำต้องทนอยู่นี่อย่างไรเล่า”

“แล้วหากมีผู้วิเศษไร้นายที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าผู้วิเศษลูค เฟน เล่า ?”

ราชาเวอร์นอนชะงัก หรี่ตาลง “ท่านหมายถึงตัวท่านหรือ ?”

เมราสยิ้มเย็นโดยไม่ตอบ ดวงตาราชาหนุ่มทอประกายวาบ ริมฝีปากขยับยิ้มเหี้ยม

“หากท่านเก่งกว่าผู้วิเศษลูค เฟน จริง...ก็พอมีหวัง แต่คงยากอยู่ดี เพราะพวกขุนนางคงอ้างว่าผู้วิเศษลูค เฟน ไม่ได้กระทำสิ่งใดบกพร่อง จึงไม่สมควรปลดเขาออก นอกเสียจากว่าผู้วิเศษลูค เฟน จะตาย...” ราชาเวอร์นอนเลิกคิ้ว

“ก่อนอื่นท่านควรแสดงให้ข้าเห็นก่อนละว่า ท่านมีความสามารถเหนือกว่าผู้วิเศษลูค เฟน จริงหรือเปล่า ?”

 
หมายเหตุ : ตัวอย่างลงให้ถึงตอนที่ 5

Admin เข้าร่วมเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 17:58

0 ความคิดเห็น