หัวข้อ : ศึกจอมขมังเวท เล่ม 1 ตอนที่ 3

โพสต์เมื่อ 24 ก.ย. 2561, 18:52

 ตอนที่ ๓

หนี !


ย้อนกลับไปยังสมัยของราชาเวเนสแห่งอาณาจักรมาอ์...

ค่ำวันหนึ่ง ผู้วิเศษลูค เฟน ได้ขอเข้าพบราชาเวเนสผู้เป็นนายเหนือหัว และยื่นจดหมายในมือให้ พร้อมกับกล่าวว่า

“จดหมายเวทจากมณฑลอะมาวัน ผู้ส่งมาคือจอมเวทคีนุบ ข้าเพิ่งได้รับมันเมื่อสักครู่นี้เอง”

ราชาเวเนสซึ่งเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานมีสง่ารับจดหมายมาเปิดอ่าน เนื้อความในจดหมายมีว่า

 

เรียนท่านลูค เฟน

 

ขณะนี้มีสัตว์อสูรตนหนึ่งอาละวาดไล่สังหารชาวบ้านในเขตเมืองเบลัน เมืองสกา และเมืองโคทีวา สามเมืองที่มีเขตแดนติดกับป่ามายาของมณฑลอะมาวัน สัตว์อสูรตนนี้เริ่มออกอาละวาดเมื่อต้นเดือนสี่ โดยเริ่มจากดักเล่นงานชาวบ้านและชาวเมืองที่เดินทางไปมา ไม่ว่าจะเป็นระยะทางสั้นๆ ระหว่างหมู่บ้าน หรือระยะทางไกลระหว่างเมืองต่อเมือง จากนั้นมันจึงเริ่มกระทำการอุกอาจด้วยการบุกเข้าสังหารคนในหมู่บ้าน

แรกเริ่ม ท่านเจ้าเมืองได้ให้กองทัพพร้อมด้วยจอมเวทประจำเมืองออกติดตามไล่ล่าสัตว์อสูรตนนี้ แต่มันร้ายกาจและว่องไวมาก คมอาวุธของทหารไม่อาจทำอันตรายมันได้ นอกจากนี้มันยังมีเวทมนตร์เหนือกว่าจอมเวทประจำเมือง ทำให้จอมเวทประจำเมืองที่ติดตามกองทัพไปถูกมันเล่นงานบาดเจ็บสาหัส

เมื่อกองทหารของเมืองที่ส่งออกไปปราบมันมีอันต้องพ่ายแพ้กลับมา ท่านเจ้าเมืองของเมืองเบลัน เมืองสกา และเมืองโคทีวา จึงได้ร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากท่านผู้ว่าการมณฑล ท่านผู้ว่าการมณฑลจึงได้ให้ข้าพร้อมด้วยกองทหารประจำมณฑลไปปราบสัตว์อสูรตนนี้

แต่สัตว์อสูรตนนี้เจ้าเล่ห์นัก มันไม่ยอมปรากฏกายออกมาเผชิญหน้าพวกเรา และเอาแต่ลอบดักเล่นงานหมู่บ้านโดยเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ จนกองทหารไม่สามารถจะตามไปได้ทัน ข้าจึงตัดสินใจนัดหมายจอมเวทประจำเมืองคนอื่นๆ ออกตามล่ามันโดยไม่ต้องมีกองทหารติดตามไป

พวกข้าได้เผชิญหน้ากับมันในที่สุด สัตว์อสูรตนนี้มีรูปลักษณ์เป็นเสือลายพาดกลอนที่มีขนาดใหญ่กว่าเสือลายพาดกลอนทั่วไปเท่าตัว มีปีกและนัยน์ตาสีทอง มีหางเป็นงูสีเขียว มันสามารถบินได้รวดเร็วยิ่งกว่าสายลม เคลื่อนไหวได้ว่องไวจนพวกเราโจมตีไม่ทัน และมีพลังเวทสูงกว่าข้า หลังจากเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับมันมาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม จอมเวทคนหนึ่งก็ถูกเล่นงานในจังหวะที่พลั้งเผลอจนบาดเจ็บสาหัส

ข้าตระหนักว่าพวกเราไม่อาจเอาชนะมันได้ จึงตัดสินใจถอยไปตั้งหลัก และสั่งให้ทุกคนใช้เวทบังตาหลบหนีจากมาได้โดยปลอดภัย จากนั้นรีบเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านลูค เฟน

 

หวังอย่างยิ่งว่าพวกข้าจะได้รับข่าวดี

 

ลงนาม จอมเวทคีนุบ

จอมเวทประจำมณฑลอะมาวัน

 

หลังอ่านจดหมายในมือจบ ราชาเวเนสเงยหน้าขึ้นถามผู้วิเศษประจำตัว

“ท่าทางร้ายกาจไม่เบาเลยทีเดียว จะให้ใครติดตามไปช่วยท่านด้วยหรือไม่ ?”

ลูคกล่าวเสียงเรียบ “ข้าอยากจะลองพยายามโดยลำพังดูก่อน”

วันรุ่งขึ้น ผู้วิเศษลูค เฟน ได้มุ่งหน้าสู่มณฑลอะมาวันเพื่อจัดการกับสัตว์อสูรตนนี้ตามบัญชาของราชาเวเนส

 

เมื่อไปถึงบริเวณที่สัตว์อสูรอาละวาด ผู้วิเศษหนุ่มใช้เวทค้นหาพบตัวสัตว์อสูรต้นเหตุในเวลาอันรวดเร็ว มันคือเสือลายพาดกลอนขนาดยักษ์ที่มีปีกสีทองและมีหางเป็นงูพิษสีเขียวดังที่จอมเวทคีนุบบอกมาในจดหมายเวท มันกำลังเดินงุ่นง่านไปทั่วเพราะหาเหยื่อไม่พบ เนื่องจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงพากันอพยพหนีไปหมดแล้ว

ศีรษะมหึมาหันขวับมาทันทีที่ร่างของลูคปรากฏขึ้นใกล้ๆ  นัยน์ตาสีทองเปล่งแสงวาวโรจน์  มันแสยะยิ้มเห็นเขี้ยวคมกริบ แล้วร่างซึ่งใหญ่กว่าเสือลายพาดกลอนทั่วไปเท่าตัวก็พุ่งโผนเข้าใส่โดยไม่ให้โอกาสผู้วิเศษหนุ่มตั้งตัว !

น่าเสียดาย...การที่มันเจอแต่จอมเวทมาโดยตลอด ทำให้มันประมาทผู้วิเศษลูค เฟน เกินไป

เพียงชั่วเสี้ยวเวลาที่เสือร้ายกระโจนเข้าหา ผู้วิเศษหนุ่มได้เสกดาบเวทมนตร์ห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีเขียวขึ้นมากำกระชับในมือ แล้วใช้ตัวดาบฟาดสัตว์อสูรกระเด็นห่างออกไปสุดแรง !

แม้จะหวังเพียงหยั่งเชิงโดยไม่ได้เจตนาทำร้ายจริงจัง ชั่วพริบตาที่สัมผัส ดาบเวทมนตร์ยังฝากรอยไหม้ไว้บนตัวสัตว์ร้ายเป็นแถบยาวสีดำเห็นได้ชัดเจน

เสือร้ายกลิ้งตัวลุกขึ้นโดยพลันพร้อมกับคำรามเสียงต่ำ คราวนี้มันได้ทราบความร้ายกาจของผู้วิเศษหนุ่มแล้วว่าเหนือกว่าศัตรูที่มันเคยเจอมามาก มันจึงระวังตัวกว่าเดิม สยายปีกพุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศ แล้วบินวนไปรอบๆ เพื่อหาโอกาสจู่โจมอย่างระมัดระวัง

ลูคเปิดจิตของตนสู่ใจของสัตว์อสูร ทว่าพบแต่เพียงความสับสนปั่นป่วนและการต่อต้านอย่างดุร้ายจนยากจะแทรกแซงเข้าไปได้ จึงได้แต่ถอนใจ สัตว์อสูรตรงหน้าในยามนี้เป็นเหมือนช้างตกมันที่ขาดสติ มุ่งแต่จะทำลายทุกชีวิตที่อยู่ใกล้เพียงถ่ายเดียวโดยไม่สามารถได้ยินคำเกลี้ยกล่อมปลอบประโลมใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปลอบให้มันสงบและกล่อมให้มันยอมกลับเข้าป่าไปเองได้ ซึ่งนั่นทำให้เขาเหลือวิธีคลี่คลายเรื่องนี้เพียงวิธีเดียว วิธีที่เขาไม่ชอบมากที่สุด

เขาต้องฆ่ามัน...

ผู้วิเศษหนุ่มกระชับดาบในมือแน่นขึ้น จงใจเปิดช่องว่างเพื่อให้เสือร้ายพุ่งเข้าจู่โจม

และมันก็หลงกลเข้าเต็มที่...

ปีกสีทองขยับไหว ร่างยักษ์สีดำสลับเหลืองพุ่งวาบลงหาจากทางด้านหลังในพริบตา !

ก่อนกรงเล็บอันคมกริบจะสัมผัสถูกเป้าหมาย ร่างของผู้วิเศษหนุ่มได้หายวับไปพร้อมๆ กับที่ความรู้สึกปวดแปลบแทบขาดใจแล่นวาบจู่โจมสัตว์อสูรร่างยักษ์ ปีกสีทองข้างหนึ่งขาดกระเด็น ตามด้วยอีกข้างอย่างกระชั้นชิด ฝอยเลือดสาดกระจายออกรอบด้านราวกับน้ำพุสีแดงสด !

ร่างยักษ์แหงนศีรษะตะกุยสองเท้าหน้ากลางอากาศ แผดเสียงคำรามกึกก้องด้วยความเจ็บปวด

ลูคไม่รอช้า ขยับมาอยู่ด้านหน้าในพริบตา แล้วแทงดาบเวทซ้ำใส่ช่วงอกที่เปิดโล่งทันที !

ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนดาบเวทจะสัมผัสเป้าหมาย ลางสังหรณ์บางอย่างบังคับให้ปลายดาบผู้วิเศษหนุ่มเบนจากตำแหน่งหัวใจของสัตว์ร้าย เปลี่ยนเป็นพุ่งเข้าปักกลางท้องจนมิดด้าม แล้วรีบหายตัวหนีออกพ้นระยะกรงเล็บอย่างรวดเร็ว

ร่างลายสลับเหลืองดำสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ก็ล้มครืนลงนอนหายใจรวยริน ลูคยื่นมือออกไปข้างหน้า ร่างสัตว์อสูรกระตุกเฮือกเมื่อดาบเวทหลุดจากท้องของมันพุ่งกลับไปยังมือเจ้าของ

แม้จะพลาดจากตำแหน่งหัวใจ ทว่าบาดแผลที่สัตว์ร้ายได้รับก็ยังหนักหนาถึงตาย เพียงแต่ยืดเวลาออกไปอีกเล็กน้อยเท่านั้น

หลังจากดาบเวทหลุดออก เลือดจากบาดแผลก็ไหลเร็วกว่าเดิมจนย้อมพื้นดินบริเวณนั้นกลายเป็นสีเข้ม ลูคมองแล้วถอนใจอย่างหม่นเศร้า เขาไม่ชอบฆ่าสัตว์ไม่ว่าจะชนิดใดทั้งสิ้น แต่ครั้งนี้เขาหมดทางเลี่ยงจริงๆ  ผู้วิเศษหนุ่มตั้งใจจะรอจนไฟชีวิตของสัตว์อสูรดับมอด แล้วจึงค่อยนำร่างของมันไปฝัง

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พื้นดินที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงคล้ำแผ่ขยายออกไปทุกขณะ...

บัดดลนั้น ลูคก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง สัตว์อสูรตรงหน้าเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ร่างใหญ่มหึมาค่อยๆ หดเล็กลง...กรงเล็บหดหายไป ขนสีเหลืองสลับดำเลือนหายไป รูปร่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากสัตว์อสูรกลายมาเป็นเด็กหนุ่มวัยประมาณสิบห้าปีในชุดคลุมผู้ใช้เวทที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด จอมเวทหนุ่มน้อยที่กำลังบาดเจ็บสาหัส...

นี่เองสิ่งที่ลางสังหรณ์ของเขาเตือน

ลูครีบตรงเข้าไปร่ายเวทสะกดหนุ่มน้อยไม่ให้กลายร่างเป็นสัตว์อสูรได้ จากนั้นใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลให้อย่างรวดเร็ว

ด้วยพลังเวทอันทรงฤทธิ์มหาศาล เพียงชั่วอึดใจ บาดแผลของจอมเวทหนุ่มน้อยตรงหน้าก็หายสนิท ลูคจึงถอยออกมา รอจนเด็กหนุ่มพยุงกายลุกขึ้นนั่ง ค่อยเอ่ยถามว่า

“เป็นอย่างไรบ้าง ?”

เด็กหนุ่มตอบอย่างอ่อนระโหย “ไม่เจ็บแล้ว ขอบคุณท่านอย่างมาก”

“เจ้าเป็นลูกครึ่งสัตว์อสูรสินะ ?”

ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยผมสีน้ำตาลแดงผงกลง

“ข้าชื่อ เซีย แม่ของข้าเป็นสัตว์อสูร ส่วนพ่อเป็นผู้ใช้เวท”

“แล้วพ่อแม่ของเจ้าเล่า ?”

เด็กหนุ่มประสานมือวางบนตัก ใบหน้าก้มต่ำในอาการคอตก

“ตอนนี้แม่ข้าคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่ามายา พอข้าโตพอจะหาอาหารเองได้ แม่ก็แยกจากข้าไป ส่วนพ่อ...แม่บอกว่าพ่อสาปให้แม่กลายเป็นมนุษย์ ผ่านคืนนั้นแล้วพ่อข้าก็จากไป แม่ข้ากลายเป็นสัตว์อสูรดังเดิมในวันรุ่งขึ้น ข้าคือผลพวงจากหนึ่งคืนนั้น”

ผู้วิเศษหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่งกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะถอนใจเบาๆ ถามอย่างเคร่งขรึม “แล้วเหตุใดเจ้าจึงทำร้ายคนอื่นเล่า ?”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันควัน นัยน์ตาทอประกายร้อนรน

“ข้าไม่ได้ตั้งใจนะท่าน ! ข้าเกิดในร่างมนุษย์นี้ และอยู่ในร่างมนุษย์มาโดยตลอดจนเมื่อเดือนก่อน ตอนที่ข้าอายุครบสิบห้าปี อยู่ๆ ร่างของข้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นดังที่ท่านเห็น และข้าก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ข้าทำร้ายผู้คนทั้งที่ในใจร่ำร้องบอกให้หยุด มือและเท้าของข้าไม่ฟังคำสั่ง จนกระทั่งท่านมาถึง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง ข้าดีใจที่มีผู้หยุดข้าได้เสียที”

นี่เองคือสาเหตุอาการตกมันของสัตว์อสูรตนนั้น...

“เจ้าบอกว่าพ่อของเจ้าเป็นผู้ใช้เวท แต่จากที่เจ้าเล่า เจ้าไม่น่าจะเคยพบหน้าพ่อของเจ้ามาก่อน แล้วใครกันหรือที่เป็นผู้สอนการใช้เวทมนตร์ให้แก่เจ้า ? หรือจะเป็นแม่ที่เป็นสัตว์อสูรของเจ้า ?” เท่าที่เขาทราบจากการท่องเที่ยวอยู่ในป่ามายาเป็นเวลาหลายปี สัตว์อสูรตามชายแดนล้วนแต่ไม่มีเวทมนตร์ และสัตว์อสูรที่มีเวทมนตร์นั้นอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในเขตที่กระทั่งผู้วิเศษก็ไม่สามารถย่างกรายเข้าไปแล้วกลับออกมาโดยปลอดภัยได้ ดังนั้นมารดาของเซียจึงน่าจะเป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีเวทมนตร์เสียมากกว่า

“ไม่มีใครสอนหรอก ข้าแอบเห็นจอมเวทที่เข้ามาล่าสัตว์ในป่าบางคนใช้เวทมนตร์ จึงลองเลียนแบบดูเท่านั้น” เซียตอบซื่อๆ

...เด็กคนนี้เก่งไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว สามารถหัดใช้เวทมนตร์ด้วยตัวเองจนเป็นโดยไม่ต้องมีใครสอน... ลูคคิดในใจอย่างนึกทึ่ง ก่อนจะถามต่อ

“แล้วนี่เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ?”

เซียนิ่งงัน ก่อนจะกล่าวเบาๆ “ข้าไม่รู้...ข้าอยากอยู่ในโลกภายนอก ไม่อยากอยู่ในป่ามายา แต่ข้ากลัว...กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นสัตว์อสูรและไล่ฆ่าคนอื่นอีก”

ผู้วิเศษหนุ่มมองสีหน้าเหมือนเด็กหลงทางอย่างครุ่นคิด แล้วจึงยื่นมือไปตบบ่าหนุ่มน้อย พร้อมกับยิ้มกว้าง

“เจ้ากลับไปกับข้าก็แล้วกัน ข้ามีบุตรชายอายุ ๖ ขวบ ชื่อเฟย์รา เขาเป็นเด็กค่อนข้างเก็บตัว ข้าอยากให้เขารู้จักเข้ากับคนอื่นเสียบ้าง หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าอยากให้เจ้าช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้เขาด้วย”

เซียลังเล “อย่าดีกว่า ท่านจะเดือดร้อนได้หากข้าเกิดเปลี่ยนร่างขึ้นมา ท่านไม่กลัวบุตรของท่านจะถูกข้าฆ่าหรือ ?”

ผู้วิเศษหนุ่มยิ้ม “ข้าสะกดร่างสัตว์อสูรของเจ้าได้ แล้วเราค่อยหาวิธีควบคุมการเปลี่ยนร่างของเจ้ากันอีกที ข้าเคยเห็นลูกครึ่งสัตว์อสูรอย่างเจ้ามาบ้างเหมือนกัน และคนพวกนั้นต่างก็สามารถควบคุมการเปลี่ยนร่างของตัวเองได้ ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะทำได้ด้วย เพียงแต่ยังไม่ทราบวิธีการเท่านั้น”

ผู้วิเศษหนุ่มพาเซียกลับไปยังนครหลวงมาอ์ และบอกกับทุกคนว่าเซียเป็นญาติผู้น้องของตน

ขณะที่ผู้วิเศษลูค เฟน ยังคิดหาทางช่วยไม่ให้เซียต้องเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์อสูรไม่ออกนั้น เขาก็พบว่าไม่จำเป็นต้องคิดอีกแล้ว เพราะวันหนึ่ง เซียมาบอกเขาอย่างตื่นเต้นว่าตนเองสามารถควบคุมการเปลี่ยนร่างได้แล้ว ปรากฏว่าวิธีการควบคุมนั้นก็เพียงแค่หลังจากที่เขาเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์อสูรในครั้งแรก จะต้องมีผู้ที่มีความสามารถเหนือกว่ามาทำให้เขาคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ดังเดิม แล้วหลังจากนั้นเขาจะสามารถควบคุมการเปลี่ยนร่างได้ดังต้องการ

ด้วยเหตุนี้เซียจึงจงรักภักดีกับผู้วิเศษลูค เฟน มาก ด้วยความช่วยเหลือของลูค เซียได้งานเป็นจอมเวทประจำตัวของคหบดีในนครหลวงผู้หนึ่งซึ่งมีคฤหาสน์อยู่ไม่ห่างจากวังหลวงมากนัก บ้านพักที่เซียได้รับอยู่ติดกับคฤหาสน์ของเศรษฐีนายจ้างนั่นเอง

ฝีมือของเซียร้ายกาจไม่เบาเลยทีเดียว จัดเป็นจอมเวทที่เก่งกาจเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่จอมเวทชั้นสูงด้วยกัน เชื่อว่าหากไม่ใช่เพราะตำแหน่งสิบสองจอมเวทในยามนั้นต่างมีผู้ประจำตำแหน่งอยู่พร้อม เซียคงได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบสองจอมเวทแห่งอาณาจักรมาอ์อย่างแน่นอน...

 

นับแต่ผู้วิเศษลูค เฟน คัดค้านความคิดจะก่อสงครามของราชาเวอร์นอนอย่างหัวชนฝาในวันนั้นเป็นต้นมา ราชาหนุ่มมักหงุดหงิดและพูดจาแดกดันผู้วิเศษประจำตัวเสมอเมื่อพบหน้า ซึ่งก็ไม่บ่อยนักนอกจากยามจำเป็น...ด้วยความต้องการของราชาหนุ่มเอง แต่บ่ายวันนี้ช่างประหลาดเสียจริง บ่ายวันที่กลับมาจากตำหนักคิมหันต์ ราชาเวอร์นอนได้พูดคุยทักทายลูคอย่างอารมณ์ดีผิดปกติ ทั้งยังสั่งให้ลูคร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

แม้จะนึกแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ลูคก็น้อมรับคำสั่งแต่โดยดี

เมื่อเลิกงานและกลับมาถึงบ้าน บุตรชายโทน เฟย์รา เฟน ซึ่งเพิ่งผ่านวันเกิดครั้งที่สิบสามมาได้ไม่นานก็วิ่งตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางเหมือนรอการกลับมาของเขาอยู่นานแล้ว เด็กชายพูดอย่างร่าเริง

“พ่อ ! วันนี้ข้าขอไปนอนค้างที่บ้านเซียนะ เซียเขาบอกว่ามีอะไรจะอวดข้า”

ผู้วิเศษหนุ่มยิ้มพลางลูบศีรษะบุตรชายอย่างเอ็นดู “ได้สิ ลูกทานข้าวเย็นที่บ้านเซียเลยก็แล้วกัน เพราะวันนี้องค์ราชาเชิญพ่อไปทานอาหารเย็น”

“เอ๋ ! องค์ราชาเชิญพ่อไปทานข้าว ?” เฟย์ราลดเสียงลงเอาหลังมือป้องปากทำท่ากระซิบกระซาบ “เขาไม่กลัวว่าเห็นหน้าพ่อแล้วจะทานข้าวไม่ลงหรือ ?”

ลูคเขกศีรษะบุตรชายเบาๆ พลางหัวเราะหึหึ

“ปากเจ้าชักจะร้ายขึ้นทุกวันแล้วนะ หัดมาจากใครกันหือ ?”

“ก็หัดจากพ่อนั่นแหละ ข้ารู้นะว่าเวลาประชุมขุนนาง พ่อเองก็ปากคมไม่ใช่เล่น วานันซาบอกข้า ข้าก็เลยทำตัวเป็นลูกที่ดีด้วยการเลียนแบบพ่อไง” เฟย์รายักคิ้วข้างเดียว

ลูคหัวเราะก้องแล้วส่ายหน้า “เข้าใจพูดจริงนะเจ้าลูกลิง”

“ข้าไปบ้านเซียก่อนนะพ่อ” เฟย์ราร้องทิ้งท้าย แล้วร่างสูงเก้งก้างอย่างวัยรุ่นที่เริ่มจะยืดตัวก็ผลุนผลันวิ่งจากไป

ผู้วิเศษหนุ่มมองตามหลังบุตรชายไปด้วยสังหรณ์ประหลาด เหมือนเขาจะได้เห็นหน้าลูกรักเป็นครั้งสุดท้าย...

 

คืนนั้นเฟย์ราฝัน...ฝันถึงเรื่องในอดีตมากมายอย่างที่ไม่เคยฝันมานานแล้ว

เริ่มแรก เด็กชายฝันถึงตอนที่เขายังเด็ก สมัยที่ยังอยู่กระท่อมชายป่ากับพ่อ ทุกเช้าพ่อมักเอาสมุนไพรออกไปตากแดด แล้วเขาก็มีหน้าที่ทั้งเขี่ยทั้งกวาดมันให้กระจุยกระจายเพื่อจะได้เห็นพ่อทำหน้าดุๆ ไม่ก็ทำหน้าระอากับความซุกซนของเขา ซึ่งมันดีกว่าสีหน้าเศร้าซึมที่มักปรากฏอยู่เสมอ และพลอยทำให้เขาหดหู่ไปด้วยนั่นมากนัก

ทันใดนั้นภาพความฝันได้เปลี่ยนไป...จากกระท่อมที่เคยอยู่เมื่อวัยเด็กกลายมาเป็นห้องกว้างใหญ่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่จากภาพอาหารซึ่งวางเรียงรายบนโต๊ะเตี้ยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าใจกลางห้อง และภาพพ่อของเขานั่งหันหน้าเข้าหาราชาเวอร์นอนจากคนละฟากโต๊ะ ทำให้เด็กชายเดาได้ไม่ยากว่าที่นี่คือที่ใด

ในห้องนั้นมีเพียงผู้วิเศษลูค เฟน และราชาเวอร์นอน รอบด้านไม่มีนางกำนัลคอยปรนนิบัติรับใช้ดังที่ควรจะเป็น อาหารมื้อนั้นกินเวลานานมากเสียจนกว่าจะรับประทานเสร็จ ตะวันก็ลาลับฟ้าไปหลายเพลาแล้ว

หลังอาหาร ราชาเวอร์นอนชวนผู้วิเศษหนุ่มคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างเบิกบานผิดปกติ ครั้นแล้วราชาหนุ่มก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างทันทีทันใด

“ข้าเคยได้ยินเรื่องดาบเวทมนตร์ของท่านมานานโดยที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน ท่านจะเสกมันออกมาให้ข้าชมเป็นขวัญตาได้หรือไม่ ?”

แววสงสัยวูบผ่านนัยน์ตาลูค กระนั้นผู้วิเศษหนุ่มก็ตอบอย่างนอบน้อม

“รับบัญชา”

ลูคลุกขึ้นยืน แบมือขวาออก เปลวไฟสีเขียวค่อยๆ ผุดจากใจกลางฝ่ามือสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วรวมตัวกันเป็นรูปดาบที่มีเปลวไฟสีเขียวลุกโรจน์เต้นระริกห่อหุ้มเอาไว้ ช่างเป็นดาบที่งดงามจับตาจนราชาเวอร์นอนจ้องมองอย่างตกตะลึง ร้องชมว่า

“งามจริงๆ ! ดาบแห่งเปลวไฟ”

เมื่อชมความงามของดาบเวทมนตร์จนพอใจแล้ว ราชาหนุ่มก็ยิ้มเหี้ยม และตะโกนขึ้นโดยพลัน

“ช่วยด้วย ! ผู้วิเศษลูค เฟน คิดจะฆ่าข้า !!”

ลูคยังไม่ทันฉุกคิดว่าเกิดอะไรขึ้น จอมเวทแปลกหน้าผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่าเบื้องหน้าพร้อมกับที่ทหารองครักษ์กว่าร้อยนายพากันกรูเข้ามาในห้องก่อนราชาเวอร์นอนจะตะโกนจบ ทหารองครักษ์วิ่งเข้ามาล้อมลูคไว้ห่างๆ ขณะที่จอมเวทแปลกหน้าได้เข้าไปยืนเคียงข้างราชาเวอร์นอนในอากัปกิริยาราวกับผู้คุ้มกัน ลูคเบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นจุดแต้มสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้วิเศษบนหน้าผากอีกฝ่าย ตระหนักในบัดดลว่าชายหนุ่มตรงหน้าหาใช่จอมเวทดังที่คิดไม่ และรู้ตัวว่าเขาตกหลุมพรางเสียแล้ว

แต่ต่อให้ทราบล่วงหน้าว่ามีหลุมพรางดักรออยู่ที่นี่ เขาก็ไม่อาจจะเลี่ยงมันได้อยู่ดี...

ราชาเวอร์นอนหัวเราะก้องอย่างลำพอง ประกาศเสียงดัง

“ทุกคนฟังไว้ !! ผู้วิเศษลูค เฟน ไม่พอใจที่ข้ายืนกรานจะทำสงคราม จึงเสกดาบออกมาหมายสังหารข้า ! โทษของการลอบสังหารราชามีเพียงความตายสถานเดียว !”

จากนั้นหันไปส่งสัญญาณให้ผู้วิเศษผมเงินข้างกายในความหมายว่า จัดการ !

ผู้วิเศษผมเงินก้าวออกมาข้างหน้า แล้วยกมือขึ้นปล่อยรัศมีสีดำใส่ลูคอย่างรวดเร็ว !

ลูคปล่อยพลังเวทสีเขียวออกต้านรับอย่างว่องไวพอๆ กัน แม้ว่าเขาเคยสาบานจะภักดีต่อราชาเวอร์นอน แต่จะให้ตัวเองยอมถูกฆ่าตายเพื่อสนองความต้องการที่ไม่ได้ความของนายเหนือหัว เขาไม่มีทางยินยอมแน่ โดยเฉพาะเมื่อเขายังมีเฟย์ราให้ต้องคอยดูแล และขอเพียงเขาไม่คิดทำร้ายราชาเวอร์นอน ก็เท่ากับว่าเขาไม่ได้ผิดคำสาบานแต่อย่างใด !

พลังเวทอันทรงอำนาจมหาศาลสองสายพุ่งเข้าปะทะกันโดยแรง ส่งผลให้บรรยากาศภายในห้องปั่นป่วนราวท้องทะเลกลางมรสุมคลั่ง ข้าวของลอยพ้นจากพื้นและหมุนคว้างราวถูกพายุหมุนม้วนพัด เหล่ามนุษย์ธรรมดาผู้ตกอยู่ท่ามกลางรัศมีต่อสู้ต่างถูกพลังอันรุนแรงกดกระแทกจนไม่อาจยืนอยู่ ต้องล้มลงหมอบกับพื้นห้อง ทั้งยังรู้สึกหน้ามืดและขยักขย้อนอยากอาเจียน อากาศที่สูดเข้าไปก็เป็นเหมือนเข็มแหลมทิ่มแทงตลอดทางเดินหายใจไปจนถึงปอด ทรมานแทบด่าวดิ้น ต่างพยายามคืบคลานถอยหนีออกจากรัศมีการต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต

ลูครู้สึกราวกับพลังเวทของอีกฝ่ายที่จู่โจมมาแฝงพลังดึงดูดขนาดมหึมาที่ค่อยๆ กลืนกินพลังของเขาให้สลายไปทีละน้อยโดยที่ไม่อาจต้านทานได้ จึงตกใจอย่างยิ่ง เพราะดูจากอายุแล้ว แม้จะเป็นผู้วิเศษด้วยกัน อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมีพลังเวทมหาศาลถึงเพียงนี้ได้

ลูคขบกรามแน่น ฝืนต้านเอาไว้อย่างสุดความสามารถขณะที่ความสิ้นหวังเริ่มกัดกินจิตใจ รับรู้ว่าเขาคงไม่อาจรอดชีวิตจากเงื้อมมือผู้วิเศษแปลกหน้าได้เสียแล้ว

แสงสีเขียวถูกแสงสีดำกลืนหายมากขึ้นทุกขณะ ลูคหน้าซีดเผือด แก้วหูลั่นอื้ออึง นัยน์ตาพร่าเลือน รู้สึกถึงพลังที่ถูกดูดเหือดหายไปจากร่างมากขึ้นทุกที...ทุกที สิ่งสุดท้ายที่ปรากฏในห้วงสมองคือใบหน้าของบุตรชายโทน เฟย์รา เฟน และเฟย์ ภรรยารักผู้จากเขาไปนับแต่บุตรชายถือกำเนิด

...ข้ากำลังจะไปพบเจ้าแล้ว เฟย์...

ลำแสงสีดำเริ่มสัมผัสถูกปลายนิ้วลูค แปรสภาพเลือดเนื้อให้กลายเป็นหิน แล้วลามขยายสู่แขน บ่า...จวบจนกลืนกินตลอดตัวในที่สุด !

บรรยากาศปั่นป่วนสงบลง ชายหนุ่มผมเงินปล่อยพลังทำลายร่างที่กลายเป็นหินของลูคจนสลายเป็นผุยผง แล้วจึงหันไปทางราชาเวอร์นอนซึ่งตนได้แบ่งพลังไปสร้างเกราะคุ้มครองให้ตลอดการต่อสู้ ทำให้ราชาหนุ่มเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวที่สามารถยืนชมการต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษทั้งสองได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นัยน์ตาสีเขียวทองลึกล้ำสงบนิ่ง รอคอย...

ราชาเวอร์นอนหัวเราะก้อง เดินเข้ามาตบบ่าผู้วิเศษผมเงินพร้อมกับกล่าวชมว่า

“ยอดเยี่ยมมาก ! ท่านเก่งกว่าที่ข้าคาดเสียอีก ต่อไปก็เหลือแต่ขุดรากถอนโคน ส่งคนไปฆ่าบุตรของผู้วิเศษลูค เฟน โดยเร็วที่สุด จากนั้นข้าจะแต่งตั้งท่านเป็นผู้วิเศษแห่งอาณาจักรแทนผู้วิเศษลูค เฟน อย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้”

 

“พ่อ !”

เฟย์ราร้องตะโกนสุดเสียงพร้อมกับเบิกตาโพลง สะดุ้งตื่นอย่างกะทันหัน ครั้นสายตาปะทะกับความมืดสลัวที่แวดล้อมรอบกาย เด็กชายก็รู้ตัวว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงความฝัน จึงถอนใจอย่างโล่งอก ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แผ่นหลังเปียกชื้นจนเสื้อแนบติดเนื้อ

ความฝันนั้นเหมือนจริงมากเกินไปจนเขาใจหาย

...ถ้ามันไม่ใช่ฝัน แต่เป็นลางบอกเหตุล่ะ ?...

เฟย์ราหนาววูบ รีบลุกขึ้นนั่ง หันไปเขย่าตัวเซียที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ

“เซีย ! เซีย ! ตื่นเร็ว !”

เซียพูดงัวเงียโดยไม่ลืมตา “อย่าแกล้งกันน่าเฟย์รา ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว” จากนั้นปัดมือเด็กชายออก พลิกตัวหันหลังให้

เฟย์ราเปลี่ยนเป็นตะโกนใส่หูอีกฝ่ายสุดเสียง

“ข้าบอกให้ตื่นไง ตื่นนนนนนนนนน !!”

เซียสะดุ้งสุดตัว ลุกพรวดขึ้นนั่งทันที และหันขวับมาจ้องเด็กชายด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่แล้วอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวก็เปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อนัยน์ตาสัตว์อสูรซึ่งสามารถมองเห็นในที่มืดได้อย่างชัดเจนแม้อยู่ในร่างมนุษย์สังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือดของเด็กชาย

“เป็นอะไรไป เฟย์รา ?”

“ข้าฝันร้าย”

ใบหน้าเป็นห่วงของเซียกลับมาบึ้งตึงดังเดิมในพริบตา

“ตลกมาก ! เจ้าแหกปากตะโกนปลุกข้าเพียงเพื่อจะบอกว่าเจ้าฝันร้ายเท่านั้นหรือ ? เจ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะกลัวฝันร้ายแล้วนะ !” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนโดยแรง พลิกตัวตะแคงหันหลังให้ ทำท่าจะหลับต่อ

“ฟังก่อนสิ เซีย !” เฟย์ราละล่ำละลัก “ข้าฝันว่าพ่อถูกฆ่าตาย มันเหมือนจริงมากเกินไป !”

เซียตัวแข็งทื่อ หันกลับมาถามย้ำทีละคำด้วยน้ำเสียงประหลาด

“เจ้า ฝัน ว่า ลูค ถูก ฆ่า ตาย ?”

เด็กชายพยักหน้าโดยแรง “ใช่ ! เซีย ! เจ้าทำนายเป็นใช่ไหม ? เจ้าช่วยทำนายให้ข้าหน่อยเร็วเข้า ! ข้าอยากจะแน่ใจว่าพ่อยังปลอดภัยดี และข้าแค่คิดมากไปเอง”

เซียลุกขึ้นทันควัน เขาเองก็ไม่สบายใจอยู่ก่อนแล้วเมื่อเด็กชายบอกว่าราชาเวอร์นอนสั่งให้ลูคอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่เพราะเขาเห็นว่าลูคเป็นถึงผู้วิเศษ จึงไม่น่าจะมีใครหรืออะไรมาทำอันตรายได้ ดูเหมือนเขาจะคิดผิดเสียแล้ว...

ฝันของผู้ใช้เวทมักเป็นฝันบอกเหตุ แม้จะเป็นเด็กที่ดูเหมือนว่าไร้พลังเวทเช่นเฟย์รา เขาก็จะมองข้ามไม่ได้

“ไปที่ห้องทำพิธี” เซียสั่งเสียงหนัก แล้ววิ่งนำไปยังห้องทำพิธี ระหว่างทางเฟย์ราเล่าความฝันให้ลูกครึ่งสัตว์อสูรฟังลิ้นแทบจะพันกัน

เมื่อทั้งคู่มาถึงห้องทำพิธี เซียโบกมือ ไฟกองใหญ่กลางห้องลุกพรึบส่องให้เห็นสภาพของห้องอย่างชัดเจน ที่มาของกองไฟคือเตาไฟมีขาตั้งใบมหึมาสูงประมาณอก ลูกครึ่งสัตว์อสูรร่ายคาถาเสียงดังก้อง

“จงแสดงภาพของลูคออกมา !”

ครู่ต่อมา ภาพใบหน้าของลูคค่อยๆ ปรากฏขึ้นในกองไฟอย่างเลือนราง มันจางมากเสียจนสามารถมองทะลุไปเห็นผนังเบื้องหลังได้อย่างชัดเจน จางจนเหมือนวิญญาณมากกว่าร่างกายที่ยังมีชีวิต...

เซียใจหายวาบ ภาพของลูคในกองไฟดูเศร้าสร้อย กล่าวเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย “เฟย์รา...รีบหนีไปเร็วเข้า...รีบหนีไป...”

“พ่อ ! พ่อเป็นอะไรไป ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน ?” เด็กชายถามอย่างร้อนใจ

เซียเค้นเสียงลอดไรฟัน นัยน์ตาวาวโรจน์

“ร่างของลูคหายไปจากโลกนี้แล้ว ไม่มีทางหาเจอไม่ว่าที่ไหน !”

เด็กชายหันไปมองหน้าเซียอย่างงุนงง “หมายความว่ายังไง ?”

“ความฝันของเจ้าเป็นความจริง...ลูคถูกสาปเป็นหินและถูกป่นทำลายเป็นฝุ่นผงปลิวกระจายหายไปหมดแล้ว !”

เฟย์ราตะลึง “พ่อ...ตายแล้วจริงๆ หรือ ? ข้าไม่อยากเชื่อ…เมื่อเย็นนี้พ่อยังคุยกับข้าอยู่เลย...”

วิญญาณของลูคกล่าวช้าๆ “พ่อถูกฆ่าโดยคำสั่งของราชาเวอร์นอน...อีกไม่นานพวกทหารจะมาจับตัวเจ้าไป...”

“คนที่ฆ่าท่านคือใครกัน ลูค ?” เซียถามเสียงเครียด

ลูคไม่ตอบ เอาแต่พูดย้ำว่า

“รีบหนีไป...เซีย...ข้าขอร้อง...พาเฟย์ราหนีไป...หนีไป...หนี...”

ภาพของลูคค่อยๆ จางหายไปในที่สุด

เซียทราบว่าเขาจำเป็นต้องแข่งกับเวลา จะมัวชักช้าไม่ได้ จึงกระชากเสียงกร้าวเรียกสติเฟย์รากลับคืนมา

“เราต้องรีบไปแล้ว เวลาไม่คอยท่า รีบขึ้นขี่หลังข้าเร็ว !”

เด็กชายสะดุ้ง หันใบหน้านองน้ำตามาทางลูกครึ่งสัตว์อสูร ครั้นแล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นจอมเวทที่เขารู้จักดีมากว่าครึ่งชีวิตกลายร่างเป็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่มหึมาต่อหน้าต่อตา

เสือลายพาดกลอนขนาดยักษ์ที่มีปีกสีทองเป็นประกายและมีหางเป็นงูสีเขียวเลื่อมพราย...

เด็กชายยกแขนขึ้นปาดน้ำตา แล้วกระโดดขึ้นขี่หลังเซีย ลูกครึ่งสัตว์อสูรพาบุตรของลูคทลายผนังบ้านบินทะยานสู่ผืนฟ้าสีดำสนิทอย่างรวดเร็ว

...เราต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด ! ไม่ว่าคนที่ฆ่าลูคจะเป็นใครก็ตาม มันต้องร้ายกาจมากอย่างแน่นอน  !... เสียงของเซียดังขึ้นในศีรษะแทรกเสียงลมอื้ออึงที่พัดผ่านหู

 

เฟย์ราและเซียหนีไปได้ทันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะหลังจากสังหารผู้วิเศษลูค เฟน แล้ว ราชาเวอร์นอนได้ส่งคนไปยังคฤหาสน์ของลูคเพื่อจับตัวเด็กชาย นอกจากนี้ผู้วิเศษเมราสยังผนึกคฤหาสน์ของลูคทั้งหลังเอาไว้ไม่ให้ผู้ที่อยู่ภายในหนีออกมาได้ทันทีที่ราชาเวอร์นอนออกคำสั่ง

แต่เมื่อทหารองครักษ์พบว่าเฟย์ราไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ เป้าหมายที่ถูกผนึกเป็นลำดับต่อไปคือบ้านของมหาเสนาบดีกีราผู้เป็นบิดาของเกส และบ้านของเซีย ซึ่งเซียได้พาเด็กชายพุ่งทลายผนังบ้านบินหนีไปได้ก่อนที่บ้านจะถูกผนึกเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น...

หลังจากที่ทั้งสองหนีไปได้ไม่นาน ราชาเวอร์นอนและผู้วิเศษเมราสก็ได้มายืนมองรอยโหว่บนผนังที่เซียและเฟย์ราทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

ราชาเวอร์นอนเอ่ยเสียงกร้าว “หนีไปแล้ว !”

“คงจะรู้ล่วงหน้าด้วยลางบอกเหตุ” น้ำเสียงเมราสราบเรียบไม่บอกความรู้สึก

“เด็กชื่อเฟย์รา เฟน ยังพอทำเนา แต่จอมเวทชื่อเซียนั่นฝีมือร้ายกาจไม่เบาทีเดียว เราจะประมาทไม่ได้ ต้องขุดรากถอนโคน ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด !” แล้วราชาหนุ่มจึงหันไปสั่งทหารองครักษ์

“ประกาศไปทั่วอาณาจักร จับตายนักโทษเฟย์รา เฟน บุตรผู้วิเศษ ลูค เฟน และนักโทษจอมเวทเซีย !”

ทหารองครักษ์รับคำ แล้วจากไปปฏิบัติตามบัญชา ขณะที่ราชาเวอร์นอนตรงไปขึ้นขี่ม้าพาหนะ

เมราสรู้สึกสังหรณ์อย่างประหลาด เขาควรจะวางใจได้แล้วจึงจะถูก เพราะผู้ที่หนีรอดไปได้นั้น คนหนึ่งเป็นเพียงเด็กที่ปราศจากพลังเวท ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเพียงจอมเวทที่ยังห่างชั้นกับเขามากเสียจนไม่มีทางจะเป็นภัยคุกคามหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายใดๆ ต่อแผนการของเขาได้ แต่เหตุใดเขาจึงไม่อาจสลัดความรู้สึกกังวลใจลึกๆ ออกไปได้จนแล้วจนรอดกันเล่า ?

“มัวเหม่ออะไรอยู่ ตามมาเร็วเข้าสิ เมราส !” ราชาเวอร์นอนหันมาเรียก ผู้วิเศษหนุ่มจึงละความสนใจจากสังหรณ์ประหลาด และเดินตรงไปยังม้าของตน

...เราคงคิดมากไปเอง...

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ราชาเวอร์นอนเรียกประชุมขุนนางในท้องพระโรงโดยมีผู้วิเศษเมราสยืนสงบนิ่งอยู่ข้างบัลลังก์ ราชาหนุ่มประกาศว่า

“เมื่อคืนนี้ขณะที่ข้ากำลังสนทนากับผู้วิเศษลูค เฟน เรื่องทำสงครามรวมดินแดน เขาคัดค้านข้าและแสดงอารมณ์โกรธเคืองที่ข้ายังคงยืนกรานความคิดของตัวเอง ผู้วิเศษลูค เฟน คิดจะฆ่าข้า เขาเสกดาบเวทมนตร์ออกมา แล้วผู้วิเศษเมราส” ราชาหนุ่มผายมือมายังเจ้าของนามที่ข้างกาย “ได้มาช่วยข้าทันเวลาพอดี ผู้วิเศษเมราสได้สังหารผู้วิเศษลูค เฟน เพื่อช่วยชีวิตข้า และข้าก็ตัดสินใจที่จะเลือกเขาเป็นผู้วิเศษประจำตัวคนใหม่” จากนั้นกวาดตามองเหล่าขุนนางตรงหน้าเขม็ง “มีใครคัดค้านหรือไม่ ?”

แม้หลายๆ คนจะคลางแคลงในคำกล่าวของราชาหนุ่ม แต่ในเมื่อผู้วิเศษลูค เฟน ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ใครเล่ายังจะกล้าเอ่ยถาม ? ทั้งการที่ผู้วิเศษแปลกหน้านามว่าเมราสสามารถสังหารผู้วิเศษลูค เฟน ลงได้ ก็เป็นการยืนยันอยู่แล้วว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถเหนือกว่าผู้วิเศษลูค เฟน การได้ผู้วิเศษที่เก่งกาจที่สุดมาเป็นผู้วิเศษประจำตัวของราชานั้นเป็นการสมควรอยู่ จึงไม่มีขุนนางคนใดคัดค้าน

เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่โดยไม่มีใครส่งเสียงคัดค้าน ราชาเวอร์นอนก็ยิ้มอย่างพอใจ

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอแต่งตั้งผู้วิเศษเมราสเป็นผู้วิเศษประจำตัวนับแต่บัดนี้ไป ! และข้าจะขอกลับมาสู่เรื่องเดิมที่ยังค้างคากันอยู่ เรื่องสงครามรวมดินแดน...”

แม้เรื่องผู้วิเศษคนใหม่จะไม่มีใครคัดค้าน หรือพูดให้ถูกคือ ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ทว่าเรื่องสงครามรวมดินแดนนั้นต่างกัน เพราะจะส่งผลกระทบในวงกว้าง บรรดาขุนนางผู้ใหญ่จึงต่างยกเหตุผลมาคัดค้านกันแทบทุกคน ไม่ว่าจะภาวะเศรษฐกิจที่จะทรุดลง กองทัพยังไม่แข็งแกร่งพอ ประชาชนจะถูกเกณฑ์จนไม่อาจทำนาได้ แล้วภาวะอดอยากก็จะติดตามมา อย่าว่าแต่สงครามจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก อันจะส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรและจำนวนภาษีที่จะได้รับอีกด้วย ราชาหนุ่มฟังแล้วขุ่นเคืองใจนัก การประชุมในวันนั้นไม่อาจลงมติได้ดังที่เขามุ่งหวังเช่นเคย

หลังเลิกประชุม ราชาเวอร์นอนสาวเท้าเร็วๆ กลับสู่ตำหนักด้วยเพลิงโทสะอันคุกรุ่นโดยมีผู้วิเศษเมราสติดตามหลัง

เข้าสู่ห้องอักษร ราชาหนุ่มอ้อมไปกระแทกกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด

“น่าเจ็บใจนัก ! ข้านึกว่าหลังจากผู้วิเศษลูค เฟน ตาย ทุกอย่างจะราบรื่นแล้วเชียวนะ ! พวกตาเฒ่าหัวแข็งนั่นน่าฆ่าเสียจริง !”

“ก็ฆ่าเสียสิ” น้ำเสียงผู้วิเศษหนุ่มเรียบสนิท

ราชาเวอร์นอนชะงัก แล้วเหยียดยิ้มอย่างถูกใจ

“ดูท่าท่านจะใจร้อนยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะ คนที่คัดค้านมีมากกว่าครึ่ง ขืนฆ่าหมดจะไม่เข้าทีนัก”

“โปรดวางใจเถิด ข้าจะจัดการอย่างแนบเนียน”

“ในเมื่อท่านมั่นใจถึงเพียงนั้น...จงจัดการเสนาบดีทั้งหกและมหาเสนาบดีที่คัดค้านข้าในวันนี้เสีย !”

 

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาก็เกิดโรคระบาดประหลาดขึ้น ผู้ป่วยคนแรกคือมหาเสนาบดีกีราผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในบรรดาขุนนางที่คัดค้าน ติดตามด้วยขุนนางคนสำคัญอีกหกคนที่มีตำแหน่งรองลงไป อาการของโรคนั้นเริ่มแรกจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา คือมีไข้ต่ำและอ่อนเพลีย ต่อมาจะอาเจียนและมีไข้สูง ตามตัวเริ่มปรากฏรอยช้ำสีดำเป็นจ้ำๆ ที่จะเริ่มเน่ามีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม สุดท้ายจะถึงแก่ความตายในวันที่เจ็ดนับจากวันที่เริ่มป่วย

โรคระบาดได้แพร่กระจายใส่คนในครอบครัวและผู้รับใช้ในบ้านขุนนางผู้เคราะห์ร้ายทุกคน ภายในเวลาสามอาทิตย์ ขุนนางที่คัดค้านมติทำสงครามรวมถึงสมาชิกในครอบครัวและผู้รับใช้ในบ้านทุกคนต่างป่วยตายด้วยโรคประหลาดนี้จนหมดสิ้น รวมทั้งเกส เพื่อนสนิทของเฟย์รา...

เมื่อขุนนางป่วยตาย ตำแหน่งจึงว่างลง ราชาเวอร์นอนเลื่อนตำแหน่งให้บรรดาขุนนางที่สนับสนุนมติทำสงครามรวมดินแดนขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ แทนที่ขุนนางที่เสียชีวิต ในไม่ช้ากลุ่มขุนนางผู้กุมอำนาจบริหารของมาอ์ก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง มติทำสงครามรวมดินแดนของราชาเวอร์นอนที่เคยถูกคัดค้าน มาครั้งนี้กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นได้รับความเห็นชอบจากขุนนางผู้ใหญ่ทุกคนอย่างราบรื่น

เมื่อมติทำสงครามได้รับการอนุมัติ ก็มีการกำหนดเป้าหมายแรก

ตามหลักการทำสงครามควรเริ่มจากง่ายไปสู่ยาก อาณาจักรตารีฮ์นั้นขึ้นชื่อมานานเรื่องกองทัพอันเกรียงไกร จึงถูกวางเป็นเป้าหมายสุดท้าย ดังนั้นเป้าหมายแรกจึงเป็นอาณาจักรรีฮุนซึ่งมีกำลังทหารพอๆ กับอาณาจักรมาอ์

ราชาเวอร์นอนออกคำสั่งให้เตรียมการรวบรวมเสบียง รวบรวมม้า และเกณฑ์ทหารเพื่อทำสงครามระยะยาว พร้อมกับส่งสาสน์หาข้ออ้างในการก่อสงครามไปยังราชาไบยาตแห่งรีฮุน

 

หมายเหตุ : ตัวอย่างลงให้อ่าน 5 ตอน


แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 18:53 โดย Admin

Admin เข้าร่วมเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 18:52

0 ความคิดเห็น