หัวข้อ : ศึกจอมขมังเวท เล่ม 1 ตอนที่ 4

โพสต์เมื่อ 24 ก.ย. 2561, 18:55

 


ตอนที่ ๔


คืนถิ่น



หลังจากทลายผนังห้องออกมาแล้ว เซียพาเฟย์ราบินหนีไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่กำลังปีกจะอำนวย เพื่อไปให้เร็วกว่าทั้งพิราบสื่อสารถ่ายทอดคำสั่งจับตายของราชาเวอร์นอน และเหล่าจอมเวทซึ่งราชาหนุ่มบัญชาให้ออกตามล่าพวกเขา

ยังดีที่ในแต่ละอาณาจักรมักมีบริเวณที่ผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น เช่นในเมือง และบริเวณที่ผู้คนอาศัยอยู่บางตา หรือแทบไม่มีเลย เช่นป่าทึบ นี่เองคือจุดอ่อนของฝ่ายล่า และหนทางรอดของฝ่ายถูกล่า ทั้งสองหนีออกจากเมืองในตอนกลางคืน และหยุดพักใช้เวทบังตาซ่อนตัวในป่าทึบในยามกลางวันเป็นการป้องกันไม่ให้ทหารและเหล่าจอมเวทที่ออกตามล่ามองเห็น

ในยามเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์อสูร เซียจะมีทั้งพลังกายและพลังเวทสูงกว่าในยามเป็นมนุษย์มาก ด้านพลังกาย แม้จะแบกเฟย์ราไว้บนหลัง ความเร็วในการบินของลูกครึ่งสัตว์อสูรก็ยังเร็วกว่าความเร็วของสิบสองจอมเวทในยามเหาะเต็มกำลังเสียอีก ส่วนด้านพลังเวท แม้จะไม่ทัดเทียมผู้วิเศษ แต่ก็เหนือกว่าจอมเวทที่มีพลังเวทสูงที่สุดอยู่ช่วงใหญ่

ระหว่างการหลบหนี โชคดีที่ราชาเวอร์นอนมัวแต่วุ่นวายกับการกำจัดเสนาบดีที่คัดค้านความคิดของตน และตระเตรียมทำสงคราม ทำให้ละเลยด้านการตามล่าคนทั้งสองที่ราชาหนุ่มเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญอะไร ราชาหนุ่มจึงมิได้ทราบว่าคำสั่งของตนถูกถ่ายทอดออกไปช้ากว่าการหนีของเซียและเฟย์รามากมายนัก

กระนั้นเซียก็ไม่กล้าประมาท ยามกลางคืนเซียจะออกบินพร้อมกับร่ายเวทบังตา ด้วยวิธีนี้เขาและเฟย์ราจึงบินออกห่างจากนครหลวงมาอ์ และเข้าใกล้ป่ามายาเข้าไปทุกขณะ

 

“เฟย์รา ! ข้ากลับมาแล้ว ! ข้าล่านกได้ตั้งยี่สิบห้าตัวแน่ะ !”

เสียงร้องตะโกนดังลั่นอย่างร่าเริงพร้อมกับที่เจ้าของเสียงวิ่งแกมกระโดดโลดเต้นตรงไปยังคฤหาสน์ที่พำนักของผู้วิเศษแห่งอาณาจักร

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ราชาเวอร์นอนผู้พี่ชายเกิดใจดีขึ้นมากะทันหัน โดยเสนอว่า “อยากไปล่าสัตว์ไหม วานันซา ? ไปแบบพักค้างแรมในป่า สมัยพี่ยังเด็ก ท่านพ่อเคยพาพี่ไปหลายครั้ง พี่จำได้ว่ามันสนุกมาก แต่ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เคยไปเลยนี่”

เจ้าชายวานันซาตาใสทันที “ท่านพี่จะพาข้าไปหรือ ?”

ราชาหนุ่มยิ้มพลางขยี้ศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดู

“พี่มีเวลาว่างพาเจ้าไปที่ไหนกัน พี่จะให้ทหารองครักษ์ของพี่พาเจ้าไปต่างหาก”

“ว้า...” เจ้าชายทำหน้าผิดหวัง “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าพาเฟย์รากับเกสไปด้วยนะ”

“ไม่ดีกระมัง” ราชาหนุ่มรีบขัด “ไปล่าสัตว์แบบนี้เขาไปกันหลายอาทิตย์ หรืออาจเป็นเดือน เฟย์ราต้องฝึกงานไม่ใช่หรือ ? เกสเองก็ต้องเรียน  หากไปนานขนาดนั้นจะเสียการเรียนเสียเปล่าๆ ส่วนเจ้า ถือว่าพี่อนุญาตเป็นกรณีพิเศษ”

“โธ่...แย่จัง” เด็กชายหน้ามุ่ย

“แล้วตกลงเจ้าจะไปไหม ?”

“ไปสิพี่ ! ถามได้” เจ้าชายรีบพูดด้วยเกรงพี่ชายจะเปลี่ยนใจ “โอกาสงามๆ แบบนี้ข้าจะปล่อยให้หลุดมือได้ยังไง !”

อาการร่าเริงของเจ้าชายวานันซาลดลงเล็กน้อยเมื่อไร้เสียงตอบจากสหายที่เขาจำได้ว่าควรจะอยู่ที่บ้านในเวลานี้

...เอ...หรือเฟย์ราจะไปบ้านเกส ?... เจ้าชายนึกในใจพลางถามทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู “เฟย์ราอยู่หรือเปล่า ?”

ทหารเฝ้าประตูทั้งสองมองหน้ากัน แล้วตอบไม่เต็มเสียง

“ท่านเฟย์ราไปแล้ว เจ้าชาย”

“หือ ? หมายถึงออกไปข้างนอกนะหรือ ?”

“คือ...ข้าคิดว่าท่านเฟย์ราคงไปจากมาอ์แล้ว” ทหารที่ตอบอึกอัก

เด็กชายขมวดคิ้ว ถามย้ำว่า “เจ้าหมายถึงเฟย์ราออกเดินทางไปฝึกงานน่ะหรือ ? ไหนเฟย์ราบอกว่าปีหน้าถึงจะเริ่มออกเดินทางฝึกงานอย่างไรเล่า”

เขาได้ยินเฟย์ราเล่าให้ฟังว่าหมอบางคนจะให้ลูกศิษย์ออกเดินทางหาสมุนไพรตามที่สั่ง ไม่ก็ออกเดินทางไปตามที่กันดารต่างๆ ซึ่งไม่มีหมอเพื่อเป็นการฝึกงาน ความจริงเฟย์ราควรจะเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ปีที่แล้วในตอนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาใหม่ๆ แต่เนื่องจากทั้งหมอหลวงอิชชาผู้เป็นอาจารย์ของเด็กชายและผู้วิเศษลูค เฟน ต่างมีความเห็นตรงกันว่าเฟย์รายังเด็กเกินกว่าที่จะออกเดินทางเพียงลำพัง จึงเลื่อนเวลาออกเดินทางของเด็กชายไปเป็นเมื่ออายุครบสิบสี่ปี

ทหารทั้งสองมองหน้ากันอย่างอึดอัด ครั้นแล้วหนึ่งในสองจึงตัดสินใจบอกว่า “ท่านลูคถูกประหารด้วยข้อหาปองร้ายองค์ราชา ดังนั้นเวลานี้ท่านเฟย์ราจึงถูกประกาศจับตายทั่วอาณาจักร”

เจ้าชายวานันซาตกตะลึง

“อะไรนะ ?!!”

 

“ข้าขอพบท่านพี่ !”

เสียงพูดอย่างโกรธจัดดังมาจากหน้าประตู ขัดการสนทนาของชายหนุ่มทั้งสองในห้องอักษรให้ชะงักลง

“รอสักครู่” ราชาแห่งมาอ์กล่าวกับผู้วิเศษคนใหม่ ก่อนจะหันไปออกคำสั่งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “ให้วานันซาเข้ามาได้ !”

ทหารองครักษ์เฝ้าประตูทั้งสองเก็บหอกเป็นการเปิดทาง เจ้าชายวานันซาจึงผลักประตูไม้บานคู่แกะสลักลวดลายงดงามเข้าไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าพี่ชายไม่ได้อยู่ตามลำพัง มีบุคคลแปลกหน้าในชุดเครื่องแบบผู้วิเศษแห่งอาณาจักรมาอ์ซึ่งผู้วิเศษลูค เฟน เคยสวม ทั้งยังมีจุดรูปหยดน้ำสีแดงกลางหน้าผากยืนอยู่ด้วย

“ท่านพี่มีแขก...อย่างนั้นข้าไม่รบกวนละ” แล้วทำท่าจะเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน” ราชาหนุ่มเรียก “เจ้ามาก็ดีแล้ว พี่จะแนะนำให้รู้จักผู้วิเศษคนใหม่ของพี่ ผู้วิเศษเมราส”

เด็กชายมองหน้าผู้วิเศษคนใหม่ด้วยสายตาเย็นชา

“คนที่มาแทนที่ท่านลูคนะหรือ ?”

“เจ้าคงรู้แล้วว่าผู้วิเศษลูค เฟน คิดฆ่าพี่ จึงถูกประหาร”

“มีคนบอกข้าแล้ว” เด็กชายหันไปตอบ แล้วเบนสายตากลับมายังผู้วิเศษคนใหม่ด้วยแววตาเป็นอริ “ข้าขอตัวก่อนนะท่านพี่ ไม่อยากคุยธุระต่อหน้าคนนอก”

“อย่าพูดจาเสียมรรยาท วานันซา !”  ราชาเวอร์นอนดุเสียงแข็ง “ท่านเมราสเป็นผู้วิเศษแห่งอาณาจักรมาอ์ของเรานะ”

เจ้าชายหน้าเสีย อุบอิบว่า “ข้าขอโทษ”

น้ำเสียงพี่ชายอ่อนลงเมื่อเห็นท่าทางเจื่อนๆ ของน้องชาย

“เอาเถิด เราค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลังก็ได้ เจ้าออกไปได้แล้ว”

เด็กชายก้มศีรษะ กล่าวเบาๆ “รับทราบ” แล้วเดินจากไปโดยไม่มองทั้งหน้าพี่ชายและผู้วิเศษคนใหม่

ราชาเวอร์นอนถอนใจเมื่อน้องชายคล้อยหลังไปแล้ว

“ท่าทางข้าคงตามใจน้องมากเกินไป”

เมราสไม่แสดงความเห็นใดๆ เพราะทราบว่าผู้พูดเพียงแค่เปรยลอยๆ โดยไม่ได้ต้องการความเห็นจากเขา

 

หลังออกมาจากห้องอักษรของพี่ชายแล้ว เจ้าชายวานันซาก็มุ่งหน้าไปหาเกสเพื่อจะถามว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรมาอย่างไรกันแน่ แล้วจึงได้รับทราบข่าวที่ทำให้ตกตะลึงเป็นครั้งที่สองของวัน

เกสตายแล้ว...ตายพร้อมกับคนในครอบครัวทุกคนด้วยโรคระบาดร้ายแรง

ข่าวร้ายสองข่าวในวันเดียวทำร้ายจิตใจเด็กชายอย่างรุนแรง วานันซาขังตัวเองอยู่แต่ในห้องโดยไม่ยอมรับประทานอะไรเลยถึงสองวันเต็มๆ ด้วยความโศกเศร้า แม้ พระพันปีหลวงอิเนรายา ผู้เป็นมารดาจะปลอบโยนอย่างไรก็ไม่เป็นผล

ด้านราชาเวอร์นอนนั้น ถึงจะเป็นห่วงน้องชายมากเพียงใด ทว่าความตื่นเต้นอันเกิดจากการจะได้ทำสงครามก็มีมากกว่า ทั้งเรื่องที่ทำให้น้องชายต้องเศร้าซึมนั้นล้วนแต่เกิดจากคำสั่งของเขาเองทั้งสิ้น ราชาหนุ่มจึงรู้สึกละอายต่อน้องชาย และต้องการจะหลบหน้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงปล่อยให้น้องชายตัวน้อยเศร้าสร้อยไปเพียงลำพัง ส่วนตัวเองได้ไปเตรียมการสำหรับทำสงครามอย่างร่าเริง

วานันซาเป็นเด็กฉลาด เด็กชายพอจะเดาได้ว่าเรื่องเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวพันกับพี่ชายของตนอย่างแน่นอน เพียงแต่เด็กชายไม่อยากเชื่อว่าพี่ชายของตนจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ เพราะพี่ชายในสายตาของเขานั้นใจดีนัก

เจ้าชายวานันซาเป็นน้องชายร่วมอุทรเพียงคนเดียวของราชาเวอร์นอน เด็กชายรู้ว่าพี่รักและเอ็นดูเขามาก และพี่ชายก็ทราบดีว่าเฟย์ราและเกสเป็นเพื่อนสนิทของเขา เด็กชายจึงคิดว่าพี่ชายต้องทราบอยู่ก่อนว่าจะเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น  ถึงได้จงใจส่งเขาไปอยู่ในที่ซึ่งจะไม่สามารถรับรู้ข่าวคราวใดๆ ทั้งสิ้นในช่วงเวลานั้นพอดี

วานันซารู้ว่าคนอย่างผู้วิเศษลูค เฟน ไม่มีทางคิดฆ่าพี่ชายของตนแน่ เด็กชายอยากทราบว่าเรื่องราวที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ก็ทราบเช่นกันว่าคงไม่มีใครในวังหลวงนี้กล้าเล่าความจริงให้เขาฟัง แล้วเขาควรจะไปถามความจริงจากใครเล่า ?

หลังจากคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดนามของบุคคลผู้หนึ่งได้ปรากฏขึ้นในสมอง...อิชชา !

 

เนื่องจากเจ้าชายวานันซาเก็บตัวเงียบมาสองวันเต็มด้วยความเศร้าซึมถึงสหายรัก จึงไม่มีใครคิดว่าเจ้าชายจะลอบหนีออกจากห้องในตอนกลางคืน

ปกติแล้วเด็กๆ มักซุกซน ชอบเล่น ชอบเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่มักจะชอบผจญภัย ชอบเสี่ยงอันตราย ชอบเสาะแสวงหาถ้ำโพรงไว้เป็นฐานทัพลับ หรือซอกซอนหาทางลับทางลัดต่างๆ

เจ้าชายวานันซาเองก็เป็นเด็กผู้ชาย และเป็นเด็กผู้ชายที่ซนเป็นพิเศษเสียด้วย เจ้าชายเคยแอบหนีออกจากห้องนอนตอนกลางคืนเพื่อไปเล่นพิสูจน์ความกล้ากับเฟย์ราและเกสอยู่หลายครั้งโดยไม่เคยถูกใครจับได้ และแน่นอนว่าในห้องนอนของเจ้าชายมีอุปกรณ์สำหรับปีนหนีออกจากห้องอยู่พร้อม ซึ่งก็คือเชือกถักจากผ้าสีดำสนิท เหนียวนุ่มไม่บาดมือและรับน้ำหนักได้สบาย ตรงปลายติดตะขอโง้งสี่แฉกที่เฟย์ราเป็นคนแอบไปซื้อมา และจัดการทำให้เองกับมือ

ก่อนอื่น กองทัพเดินด้วยท้อง ไม่ได้รับประทานอาหารมาสองวันเต็มแบบนี้ แขนจะเอาแรงที่ไหนมารับน้ำหนักตัวไหว เด็กชายจึงจัดการกับอาหารมื้อเย็นบนโต๊ะที่นางกำนัลนำมาวางทิ้งไว้ให้ตามคำสั่งของราชาเวอร์นอน ซึ่งเด็กชายยังไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่น้อย หลังจากท้องอิ่ม วานันซาก็จัดแจงรื้ออุปกรณ์หนีเที่ยวออกมา เกี่ยวตะขอกับขอบหน้าต่าง ทดสอบความมั่นคงของตะขอ แล้วค่อยๆ ปีนออกไปอย่างชำนาญและเงียบกริบ...

 

เสียงเคาะหน้าต่างกลางดึกทำให้หมอหลวงอิชชาเงยหน้าจากตำรายาที่กำลังอ่านพลางขมวดคิ้ว ตอนแรกหมอหลวงวัยกลางคนนึกว่าคงเป็นเสียงสัตว์อะไรสักอย่างข่วนหน้าต่าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงค่อยแน่ใจว่านั่นเป็นเสียงคนเคาะหน้าต่าง ไม่ใช่เสียงของสัตว์

...ใครกัน มาเคาะหน้าต่างบ้านข้ากลางดึกแบบนี้ ?...

แม้จะนึกสงสัย แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าอาจเป็นคนไข้ที่เกิดป่วยกลางดึก แม้ว่าคนไข้ควรจะมาเคาะประตูมากกว่าหน้าต่างก็ตาม สัญชาตญาณความเป็นหมอก็ทำให้อิชชาปิดหนังสือ และลุกไปเปิดหน้าต่าง

ครั้นเห็นว่าใครมาเยือน หมอหลวงวัยกลางคนก็อุทานอย่างประหลาดใจ

“เจ้าชายวานันซา ! เหตุใดจึงออกมาข้างนอกในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ แล้วองครักษ์เล่า ?”

“ให้ข้าเข้าไปก่อนได้ไหมแล้วค่อยถาม” เด็กชายขัด

อิชชารีบหลีกทางให้เจ้าชายน้อยปีนเข้ามาในห้อง

เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว เด็กชายรีบปิดหน้าต่างทันที หมอหลวงวัยกลางคนกำลังจะเอ่ยปากถามซ้ำว่าเจ้าชายมาหาเขาดึกดื่นเช่นนี้ด้วยธุระใด วานันซาก็ชิงโพล่งขึ้นก่อนว่า

“ข้าอยากรู้ความจริง อิชชา !”

สีหน้าหมอหลวงวัยกลางคนมีแววเข้าใจ กระนั้นกลับย้อนถามเสียงเรียบ

“ความจริงใดหรือ ?”

“ความจริงที่ว่าเหตุใดท่านลูค ท่านกีรา เกส และคนอื่นๆ ถึงตาย ความจริงที่ว่าเหตุใดเฟย์ราถึงถูกประกาศจับตาย และตอนนี้เพื่อนข้าหนีหายไปไหน !”

ดวงหน้าผู้สูงวัยกว่าหมองลงเมื่อนึกถึงศิษย์รัก หากน้ำเสียงที่กล่าวยังคงสงบนิ่ง “ท่านได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาว่าอย่างไรหรือ ?”

“ทุกคนต่างบอกว่าท่านลูคเสกดาบเวทมนตร์ออกมาหมายจะฆ่าท่านพี่ตอนที่กำลังสนทนากันหลังรับประทานอาหารเย็น ท่านพี่จึงร้องให้องครักษ์ช่วย แล้วผู้วิเศษคนใหม่ก็ฆ่าท่านลูคเพื่อปกป้องท่านพี่”

“ท่านก็ได้ยินมาถูกต้องแล้ว...ตามที่องค์ราชาประกาศ ส่วนเรื่องที่เฟย์ราถูกประกาศจับตาย ท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าผู้ที่คิดปองร้ายต่อองค์ราชามีโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร”

เจ้าชายน้อยกล่าวเสียงแข็ง

“ข้าไม่เชื่อว่าคนอ่อนโยนอย่างท่านลูคจะคิดร้ายต่อพี่ข้า !”

“แต่องค์ราชาได้ประกาศออกมาเช่นนั้น”

เด็กชายนิ่งอึ้ง เนิ่นนิ่งให้หลังค่อยกล่าวเสียงสั่น “ท่านพี่..โกหก ?”

อิชชานิ่ง

“ทำไมท่านพี่ถึงต้องโกหก ?”

ไม่มีคำใดหลุดจากปากหมอหลวงวัยกลางคน เจ้าชายเงยหน้าขึ้น แววตาสับสน “บอกข้าสิ อิชชา ! ทำไมท่านพี่ถึงต้องโกหก ?”

หมอหลวงอิชชายังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม เด็กชายจ้องหน้าผู้สูงวัยกว่าด้วยดวงตาโชนแสงกล้า

“ท่านคิดว่าเพื่อนรักของข้าถูกประกาศจับตายทั้งคน ข้าไม่ควรจะรู้สาเหตุที่แท้จริงเลยหรือ ? แล้วยังเรื่องของเกสอีก !”

หมอหลวงวัยกลางคนมองความมุ่งมั่นในดวงตาของเด็กชายผู้สูงศักดิ์ แล้วถอนใจ “ตกลง ข้าจะบอกท่าน”

หมอหลวงอิชชาเล่าความจริงทั้งหมดอันมีสาเหตุมาจากความคิดต้องการที่จะทำสงครามรวมดินแดนของราชาเวอร์นอนให้เจ้าชายน้อยฟังอย่างละเอียด ยิ่งฟัง สีหน้าเด็กชายก็ยิ่งเผือดสี หลังจากฟังคำบอกเล่าอันยืดยาวของหมอหลวงอิชชาจบ เจ้าชายก็ก้มหน้านิ่ง พูดอะไรไม่ออก

เด็กชายคิดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ เขาละอายใจต่อเฟย์รา เสียใจต่อเกส รวมถึงผู้วิเศษลูค เฟน มหาเสนาบดีกีรา ขุนนางคนอื่นๆ และผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องมาพลอยป่วยตายทุกคน

“ข้าจะทำอย่างไรดี...” เด็กชายกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ หยาดน้ำตากลิ้งผ่านแก้มร่วงหยดลงสู่พื้น ต่อให้ตอนนี้เกสและเฟย์รายืนอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่กล้ามองหน้าเพื่อนรักทั้งสองอีกแล้ว...

นัยน์ตาอิชชาอ่อนแสงลงอย่างเห็นใจ “อย่าลำบากใจไปเลย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน และแม้ท่านจะทราบเรื่องนี้ก่อนที่มันจะเกิด ก็คงไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้อยู่ดี ซ้ำอาจจะเป็นภัยแก่ตัวอีกด้วย” หมอหลวงวัยกลางคนถอนใจเบาๆ “ตอนนี้สิ่งที่ท่านทำได้คือคอยติดตามดูสถานการณ์ พยายามทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์และทำสิ่งที่เหมาะสมซึ่งผู้ที่อยู่ในฐานะเช่นท่านสมควรกระทำเท่านั้นก็พอ”

 

หลังจากบินหนีในเวลากลางคืนและพักหลบซ่อนตัวในเวลากลางวันได้สิบวัน เซียก็พาเฟย์รามาถึงป่ามายา...สถานที่หลบซ่อนตัวที่ปลอดภัยที่สุดในความคิดของเขา อันเป็นจุดหมายปลายทาง

ตั้งแต่หนีออกมาจากบ้านเซีย เฟย์ราขรึมลงถนัดตา  ส่วนเซียเองก็สงบปากสงบคำไปมากเช่นกัน เพราะไม่ทราบจะปลอบใจอย่างไรดี และเนื่องจากต้องหนีแบบหลบๆ ซ่อนๆ ทำให้ทั้งสองไม่ทราบข่าวการตายด้วยโรคระบาดของครอบครัวมหาเสนาบดีกีรา

แนวเขตแดนอันหนาทึบของป่ามายามองเห็นได้แต่ไกลใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง มันทอดตัวเป็นเส้นยาวเหยียดกว้างขวางลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุดอยู่เบื้องหน้าภายใต้ทะเลหมอกปกคลุม

...นั่นหรือคือป่ามายา สถานที่ที่พ่อพบกับแม่ สถานที่ที่เราเกิด...

เฟย์รามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนได้กลับมาบ้านอีกครั้งหลังจากที่ต้องจากมันไปนาน...

หลังจากค้นพบโลกส่วนตัวอันแสนสุขในห้องหนังสือของบิดา เฟย์ราก็ค่อยๆ รับรู้ด้วยตัวเองทีละน้อยจากหนังสือบางเล่มในห้องนั้นที่ผู้วิเศษลูค เฟน เป็นผู้เขียน ว่าบิดาของเขาเคยอาศัยอยู่ในป่ามายาเป็นเวลาหลายปี เด็กชายได้นำสิ่งนี้เชื่อมโยงกับคำพูดที่พ่อเคยบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องแม่ ที่ว่าแม่ของเขาไม่ใช่ทั้งผู้ใช้เวทและมนุษย์ รวมถึงป่าอันห่างไกลจากผู้คนที่เขาเคยอาศัยอยู่กับพ่อในวัยเด็ก และคำตอบที่ได้คือ...แม่ของเขาเป็นชาวป่ามายา

เซียลดระดับความสูงลงจนมาหยุดยืนบนคาคบไม้ขนาดยักษ์ เฟย์รากระโดดลงจากหลังลูกครึ่งสัตว์อสูรมายืนมองภาพป่ามายาเบื้องหน้า แม้จะเป็นยามกลางคืนอันมืดสนิทราวเข้าถ้ำ ด้วยต้นไม้ในป่าแผ่กิ่งใบกางกั้นจนแสงจันทร์ไม่อาจลอดผ่าน แต่น่าแปลกที่เด็กชายกลับสามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนราวกับเป็นเวลากลางวันที่แสงแดดแผดกล้า

บุตรแห่งลูคยืนแหงนคอตั้งบ่ามองต้นไม้ใหญ่ยักษ์ขนาดไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนโอบที่ขึ้นเบียดเสียดกัน และพื้นอันปกคลุมด้วยไม้พุ่มและเถาวัลย์รกเรื้อจนมองไม่เห็นผืนดิน โดยมีละอองหมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเป็นเหมือนริ้วม่านประดับแต่งแต้มด้วยแววตาประหลาด เลือดสูบฉีดแรงไปทั่วร่าง หัวใจเหมือนกำลังร้องเพลงด้วยความปราโมทย์ ความเจ็บปวดจากการตายของลูคจางเบาบางลงไปมาก

...มาเถอะ เฟย์รา เข้าไปในป่ามายากัน... เซียส่งกระแสจิตบอกเด็กชาย เฟย์รากระโดดกลับขึ้นขี่หลังลูกครึ่งสัตว์อสูร แล้วเซียจึงกางปีกบินทะยานฝ่าม่านหมอกมุ่งตรงเข้าไปในป่า

ป่าเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงร้อง กระทั่งอากาศยังเหมือนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เซียบินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน ลดเลี้ยววกอ้อมต้นไม้ที่ขึ้นขวางต้นแล้วต้นเล่าโดยมีสายหมอกเลื่อนไหลผ่านกายไม่ขาดระยะ

ไม่นานต่อมา ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ก็เริ่มบางตาลง ครั้นแล้วเฟย์ราจึงมองเห็นแสงไฟดวงหนึ่งส่องสว่างทะลุชั้นหมอกมากระทบนัยน์ตาอยู่รางๆ  เซียมุ่งหน้าไปทางแสงไฟนั้น แสงไฟใกล้เข้ามาและชัดเจนขึ้นทุกขณะ จนเห็นว่าเป็นแสงไฟที่ส่องออกมาจากกระท่อมน้อยหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางลานดิน อันผิดปกติจากสภาพโดยรอบที่เป็นป่าทึบ

เซียลดความเร็วลงสู่เขตลานดิน บอกเด็กชายเบาๆ ...ถึงแล้ว เฟย์รา...

เด็กชายกระโดดลงจากหลังลูกครึ่งสัตว์อสูรมายืนจ้องกระท่อมหลังน้อยหน้าตาเก่าโทรมราวกับพร้อมจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ เซียคืนร่างเป็นมนุษย์ แล้วเดินเข้าไปเคาะประตูโดยมีเด็กชายเดินตามไปติดๆ

ก๊อก ! ก๊อก !

แอ๊ด !

ประตูเปิดออกโดยไม่มีการเอ่ยถาม แสงไฟจากตะเกียงในมือผู้เปิดประตูส่องให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราหน้าตาอัปลักษณ์เจ้าเล่ห์ในชุดคลุมสีดำสนิท !

เฟย์ราสะดุ้ง ผงะถอยหลังอย่างลืมตัว ชายชราหัวเราะเสียงแหลมน่าขนลุก พูดเสียงแหบแห้งระคายหู

“ไหนดูซิว่าใครมา ! ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าหนูเซีย ข้าละนึกว่าเจ้าถูกจอมเวทที่ไหนฆ่าตายไปแล้วเสียอีก” นัยน์ตาโปนโตกวาดมองไปยังด้านหลังลูกครึ่งสัตว์อสูร “แล้วข้างหลังนั่นใครกันล่ะ ?”

เซียยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลยนะ ท่านอิชยารอต ท่านยังคงปากเสียเหมือนเดิม นี่คือ...” เซียเบี่ยงร่างให้ชายชราเห็นเฟย์รา แต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ ชายชราก็เบิกตากว้าง โพล่งอย่างตื่นเต้นทันทีที่เห็นหน้าเด็กชายชัดตา

“อา ! ท่านคือบุตรแห่งนกไฟนั่นเอง...ในที่สุดท่านก็กลับมาสู่ป่ามายาแล้ว !”

“บุตรแห่งนกไฟ ?” เซียทวนคำ หันไปมองหน้าเฟย์ราอย่างงุนงง สีหน้าเด็กชายเองก็งุนงงไม่แพ้กัน

“ถูกแล้ว บุตรแห่งนกไฟผู้เป็นเจ้าแห่งมวลสัตว์อสูรในป่านี้ !”  อิชยารอตดันบานประตูเปิดกว้างพร้อมกับโค้งกายต่ำดุจถวายคำนับ

“ข้าคือ อิชยารอต ผู้เฝ้าทวารป่ามายา โปรดเข้ามาพักผ่อนในกระท่อมของข้าก่อนเถิด กระท่อมข้าจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับท่าน”

เฟย์รามองหน้าเซีย ครั้นเห็นเซียพยักหน้า จึงค่อยเดินเข้าไปตามคำเชิญอย่างไม่ค่อยไว้ใจเจ้าของกระท่อมนัก

ระหว่างเดินเข้าไปในกระท่อม เซียกระซิบบอกเด็กชายเบาๆ

“ผู้เฒ่าท่านนี้คืออีกาที่อายุมากจนสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้  เป็นคนกว้างขวางมาก พวกสัตว์อสูรในป่านี้รู้จักท่านกันแทบทั้งนั้น”

ภายในห้องสว่างไสวด้วยดวงไฟสามดวงใหญ่ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ แม้อยู่ใต้แสงไฟส่องสว่าง หน้าตาอิชยารอตก็ไม่ลดทอนความน่าสะพรึงกลัวลงเลยแม้แต่น้อย เฟย์รารู้สึกตะครั่นตะครอทุกครั้งที่เห็นดวงตาโปนโตของผู้เฝ้าทวารป่ามายาผู้นี้ จึงหันเหสายตาไปมองอย่างอื่นในกระท่อมแทน แล้วก็ต้องทำหน้าพิกลเมื่อได้เห็นกาน้ำชาและถ้วยสุดหรูเข้าชุดกันที่ดูไม่เข้ากับกระท่อมเก่าโทรมพื้นที่แค่แมวดิ้นตายหลังนี้เลยสักนิด

กาน้ำชาที่มีน้ำชาร้อนควันกรุ่นเต็มกาเคลื่อนไหวรินน้ำชาให้แขกผู้มาเยือนทั้งสองด้วยตัวมันเอง ระหว่างนั้นอิชยารอตเสกให้ตะเกียงที่ถืออยู่หายไป แล้วเอ่ยว่า “ข้าทราบอยู่แล้วว่าสักวันท่านจะกลับมา เพียงแต่ท่านกลับมาเร็วกว่าที่ข้าคิด” จากนั้นเชยคางเฟย์ราขึ้นพิศอย่างละเอียด (ทำเอาเด็กชายตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดผวาเมื่อใบหน้าเหี่ยวย่นและตาโปนโตนั้นยื่นเข้ามาใกล้)  “อืมม์...ท่านหน้าเหมือนแม่มากกว่าพ่อนะ โตขึ้นท่าจะรูปงามไม่เบาทีเดียว”

เฟย์ราหันไปสบตาเซียอย่างประหลาดใจ ก่อนจะถามว่า

“ท่านเคยพบแม่ของข้าด้วยหรือ ?”

“ไม่ใช่แค่เคยพบเท่านั้น ข้าน่ะสนิทกับนางมากด้วยซ้ำ” อิชยารอตเชิดหน้าโอ่ยิ้มๆ

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้แม่ข้าอยู่ที่ไหน ?” เสียงที่ถามเรียบสนิททั้งที่เด็กชายอยากรู้ใจแทบขาด

หากเป็นเมื่อก่อน เด็กชายคงจะถามรัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกันและแสดงออกทางสีหน้าอย่างโจ่งแจ้งว่าอยากรู้

เฟย์ราเปลี่ยนไปแล้ว...เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ในชั่วเวลาสั้นๆ เพราะความทุกข์แสนสาหัสจากการสูญเสียบิดาบังเกิดเกล้าที่ฝากชีวิตแก่กันมาตั้งแต่เขาเกิด

ชายชรายิ้มอ่อนโยน ชี้มือมาที่อกของเด็กชาย

“แม่ของท่านอยู่ที่นี่เสมอมา”

ครั้นแล้วอิชยารอตก็วาดมือกลางอากาศ ไอน้ำในอากาศได้มารวมตัวกันเป็นแผ่นน้ำบางใสเบื้องหน้าทั้งสาม ภาพรางๆ ได้ปรากฏขึ้นบนแผ่นบางใสนั้นเหมือนกำลังดูภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ในกระจก

ภาพอดีตอันเกี่ยวพันกับเฟย์ราซึ่งเอ่ยบรรยายโดยอิชยารอต...

 

……

 

เฟย์ แม่ของเฟย์ราคือนกไฟที่มีเพียงตนเดียวในป่า

นกไฟคือนกศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันแก่และไม่มีวันตาย แต่นกไฟนั้นมีอายุขัย ทำให้ต้องเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

เฟย์เกิดใหม่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นางอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มาช้านาน

แล้ววันหนึ่งคราเคราะห์ก็มาเยือน...มังกรน้ำ ซึ่งอาศัยอยู่ ณ บึงมังกรน้ำ อยากประกาศความยิ่งใหญ่ด้วยการสังหารนกไฟ สัตว์เทพผู้เป็นเจ้าแห่งป่ามายา และมันกำลังรอโอกาสที่จะได้ลงมืออย่างสงบ

วันหนึ่งโอกาสได้มาถึง ขณะที่เฟย์แวะลงดื่มน้ำในบึง มังกรน้ำโผล่พรวดขึ้นมากัดเฟย์ทันที !

การเล่นงานทีเผลอของมังกรน้ำส่งผลกระทบต่อเฟย์อย่างรุนแรง ทว่าเฟย์ก็ยังหนีไปได้แม้จะบาดเจ็บสาหัส

เฟย์กำลังจะตาย...

ก่อนตาย นกไฟจะเลือกสถานที่ที่ปลอดภัยไร้ผู้รบกวนสำหรับการเกิดใหม่ แต่เฟย์คาดไม่ถึงว่าสถานที่นั้นกลับมีจอมเวทผู้ใช้เวทบังตาอยู่คนหนึ่ง...เวทบังตาอันเลิศล้ำ ประกอบกับที่เฟย์กำลังบาดเจ็บสาหัส ทำให้เฟย์มองไม่เห็นจอมเวทผู้นั้น

จอมเวทผู้นั้นคือลูค เฟน เอง

ในตอนที่เฟย์กำลังใกล้ตายเพราะพิษมังกรน้ำ ลูคก็ได้ปรากฏกายขึ้น...

 

เสียงครางอย่างเจ็บปวดที่แว่วดังมาทำให้มือที่กำลังแหวกกอไม้ของลูคชะงัก ชายหนุ่มหยุดความเคลื่อนไหว และพยายามเงี่ยหูฟังเพื่อจับทิศทางต้นเสียง

หลังจากนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ลูคก็แน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากพุ่มไม้ไกลออกไปทางขวามือ เขาลุกขึ้นเดินไปทางนั้น มือแข็งแรงแหวกพุ่มไม้หนาทึบออกจากกัน ก็พบว่าหลังพุ่มไม้มีหญิงสาวที่กำลังบาดเจ็บนอนอยู่ มือนางกุมอยู่ตรงสีข้าง เลือดสีดำไหลซึมผ่านง่ามนิ้วออกมาไม่ขาดสาย

“ท่านถูกพิษนี่” ลูคอุทาน รีบตรงเข้าไปพยุงหญิงสาว

เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังถูกประคอง หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างอ่อนแรง

หัวใจลูคกระตุกวูบ ดวงหน้านางงามล้ำราวจิตรกรเอกบรรจงวาด คิ้วโค้งดั่งคันศร จมูกโด่งเรียว ริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูป ดวงหน้าคมหวาน ผิวเนียนละเอียดสีนวลผุดผ่องเป็นยองใย ที่ดึงดูดใจที่สุดคือดวงตาสีแดงเพลิงเป็นประกายลึกล้ำราวอัญมณีน้ำหนึ่งซึ่งงามประหลาดไม่เหมือนใคร ประดับด้วยแพขนตายาวงอนดกหนาสีเข้ม แม้ดวงหน้านางจะซีดขาว หากไม่อาจทอนความงามหยาดฟ้ามาดินได้เลยแม้แต่น้อย...

“ท่านคือใคร ?” เสียงหวานใสโรยแรงกระชากลูคให้ตื่นจากภวังค์ ดวงหน้าคมเข้มเรื่อขึ้น ตะกุกตะกักว่า

“ข้า...ข้าเป็นหมอ มาเก็บสมุนไพร” แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่านางถูกพิษร้ายแรง สัญชาตญาณความเป็นหมอหวนกลับมาในบัดดล ถามต่ออย่างรวดเร็ว “ท่านถูกสัตว์ชนิดใดทำร้ายกันหรือ ? บางทีข้าอาจจะช่วยรักษาให้ได้”

หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าจอมเวทหนุ่มแปลกหน้าเป็นหมอ แต่นางในเวลานี้อ่อนกำลังจนไม่อาจคิดสิ่งใดที่มีเหตุผลมากนักได้ จึงตอบคำถามจอมเวทหนุ่มแปลกหน้าด้วยเสียงแผ่วเบาขาดห้วง

“มังกร...น้ำ”

ลูคปลดตะกร้ามีฝาปิดที่สะพายอยู่บนหลังลงมา เปิดฝาออกล้วงมือลงควานหาพลางพูดว่า

“คงจะเป็นมังกรน้ำที่บึงด้านทิศเหนือนั่นสินะ หลายวันก่อนข้าเพิ่งไปที่นั่นมาพอดี...” ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่ออย่างรวดเร็ว “บริเวณที่มีสิ่งมีพิษร้ายแรงมักจะมีสิ่งที่ใช้ข่มพิษนั้นได้อยู่ใกล้ๆ เสมอ เอาละ...เจอแล้ว...” มือแข็งแรงหยิบพืชซึ่งมีใบลักษณะเป็นเส้นๆ ยาวประมาณสองคืบ ออกมากำหนึ่ง

“หญ้าหนวดมังกร”

ลูคแบ่งหญ้าหนวดมังกรเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั้นเขาพับ แล้วใช้มีดสั้นที่พกติดตัวตัดจนกลายเป็นท่อนสั้นๆ  จากนั้นป้อนให้หญิงสาว ตามด้วยหยิบถุงหนังใส่น้ำที่ห้อยอยู่ข้างเอวออกมาเปิดจุกป้อนให้นางดื่ม

“มันช่วยถอนพิษได้ รสชาติอาจไม่น่าทานนัก ทนเอาหน่อยนะ” ลูคออกตัว จากนั้นหยิบครกไม้ขนาดเล็กสำหรับใช้ตำยาออกมาจากตะกร้ากลางหลัง ตัดหญ้าหนวดมังกรส่วนที่เหลือเป็นสองท่อน แล้วลงมือตำ เสร็จแล้วแตะมือหญิงสาวอย่างแผ่วเบาให้ออกห่างจากแผล ค่อยรวบรวมหญ้าหนวดมังกรที่ถูกตำจนแหลกพอกบาดแผล

หญ้าหนวดมังกรออกฤทธิ์ทันตาเห็น เลือดของหญิงสาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นสีเลือดปกติและหยุดไหลในเวลาไม่ถึงอึดใจ

แม้จะนึกกังขา ทว่าลูคก็ไม่เอ่ยถามแม้สักคำว่าเหตุใดหญิงสาวตรงหน้าที่เป็นเพียงสตรีรูปร่างบอบบาง จึงสามารถระหกระเหินจากบึงอันเป็นที่สถิตของมังกรน้ำมาจนถึงที่นี่ได้ภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งที่เพิ่งถูกมังกรน้ำทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ในขณะที่ชายชาตรีอกสามศอกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นเขายังต้องใช้เวลาเดินทางถึงห้าวัน !

การที่เขาทราบว่านางใช้เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ก็เนื่องจากบาดแผลของนางนั้นสดนัก  เลือดยังไม่หยุดไหลเสียด้วยซ้ำ  ทั้งเขายังได้ยินมาว่าผู้ที่ถูกพิษมังกรน้ำมักอยู่ได้ไม่เกินสิบนาที แต่ดูจากบาดแผลของนาง นางน่าจะได้แผลเมื่อประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงมาแล้ว จะไม่ให้เขาประหลาดใจได้อย่างไร

นางคือใครกัน ?

ที่แน่ๆ นางคงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะมนุษย์ธรรมดาไม่มีทางเข้ามาในป่ามายาได้ลึกถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นผู้วิเศษก็ไม่มีทางทำได้ด้วยซ้ำ !

อย่างไรก็ตาม  หากนางไม่เต็มใจจะบอก เขาก็ไม่คิดจะคาดคั้นถามให้นางต้องลำบากใจ

ผ่านไปครู่ใหญ่ สีหน้าหญิงสาวค่อยๆ มีสีเลือดขึ้น ลูคจึงวางมือเหนือบาดแผลของนางพร้อมกับแผ่รัศมีสีเขียวออกจากฝ่ามือ

“ท่าน...เป็นผู้ใช้เวท ?” หญิงสาวถามขณะลูครักษาแผลที่สีข้างให้นาง

แม้จะเห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มสวมชุดผู้ใช้เวท แต่นางยังคงกังขาว่าผู้ใช้เวทซึ่งเป็นมนุษย์สามารถเดินทางลึกเข้ามาในป่าได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งตัวนางในเวลานี้ก็อ่อนแอเกินกว่าจะสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ได้

“ถูกแล้ว” ลูคตอบพลางขมวดคิ้วมองบาดแผลของหญิงสาวอย่างฉงน “แปลกจริง ! ทำไมแผลถึงไม่สมานตัวนะ”

“ท่านไม่เคยถูกสัตว์ในป่านี้ทำร้ายเลยหรือ ?”

“ข้าไม่เคยทำร้ายสัตว์ตัวใดในป่านี้ และไม่เคยถูกสัตว์ตัวใดทำร้ายเช่นกัน”

“แปลกจริง...” หญิงสาวรำพึง แล้วอธิบายว่า “สัตว์ในป่าแห่งนี้เกือบทุกชนิดจะมีพิษซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษเคลือบอยู่ที่เขี้ยวเล็บ และพิษนี้จะส่งผลทำให้เวทมนตร์ไม่อาจรักษาแผลนั้นให้หายได้ มังกรน้ำตัวที่กัดข้าก็เช่นกัน” น้ำเสียงของนางใสเสนาะราวกับเสียงระฆังแก้ว ไพเราะชวนฟังมิรู้เบื่อ ทว่าคำพูดที่นางกล่าวกลับส่งผลให้ลูคต้องขมวดคิ้ว

“แล้วจะทำอย่างไรดี ?” นัยน์ตาคมสีดำสนิทจ้องมองบาดแผลที่ดูเหวอะหวะน่ากลัวอย่างกังวล โชคยังดีที่เลือดหยุดไหลแล้ว ไม่อย่างนั้นหญิงสาวอาจตายเพราะเสียเลือดได้

หญิงสาวยิ้มเพลียๆ “แม้เวทมนตร์จะรักษาไม่ได้ แต่เวลาและสมุนไพรที่ท่านใช้จะช่วยรักษาได้”

ลูคยิ้มอย่างโล่งอก “ดีจริง ข้านึกว่าแผลท่านจะไม่มีวันหายเสียแล้ว” จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “ก่อนที่แผลจะหาย ท่านคงเคลื่อนไหวไม่สะดวกไปอีกพักใหญ่ ป่ามายาเต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่ดุร้าย ท่านบาดเจ็บเช่นนี้คงยากจะพาตัวเองให้พ้นภัย หากข้าขอรั้งอยู่ดูแลท่านจนกว่าท่านจะหายดี ท่านจะขัดข้องหรือไม่ ?”

หญิงสาวยิ้มละไม “ข้าจะขัดข้องได้อย่างไร ข้าควรจะขอบคุณท่านจึงจะถูก”

ลูคทำท่าโล่งใจ พึมพำขอโทษเบาๆ แล้วช้อนร่างหญิงสาวขึ้นสู่วงแขน

“ถ้ำที่ข้าพักอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ข้าจะพาท่านไปพักรักษาตัวที่นั่น”

รอยยิ้มของหญิงสาวอ่อนหวานจนลูคใจเต้นระทึก

“ขอบคุณท่านมาก ข้าชื่อ เฟย์ ท่านเล่า ?”

“ข้าชื่อลูค...ลูค เฟน”

 

สองเดือนผ่านไป...

บาดแผลของเฟย์ค่อยๆ สมานตัว  พิษของมังกรน้ำตนนั้นร้ายกาจมากจริงๆ  เพราะโดยทั่วไปบาดแผลลักษณะนี้จะสามารถสมานตัวหายสนิทได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน  แต่นี่กลับต้องใช้เวลาถึงสองเดือนกว่าที่แผลจะสมานตัว

ในช่วงเวลาสองเดือนนี้ได้สร้างความใกล้ชิดระหว่างทั้งสองมากขึ้น แล้ววันหนึ่งลูคก็รู้ตัวว่าเขาได้ตกหลุมรักสตรีแปลกหน้าผู้นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว เขามีความสุขที่ได้อยู่ใกล้เฟย์ เห็นหน้าเฟย์ ฟังเสียงเฟย์ ในที่สุดลูคก็ตัดสินใจเอ่ยปากบอกความในใจของเขาต่อเฟย์ และเฟย์ก็รับรักตอบ ทำให้ลูคดีใจมาก

ลูคบอกกับเฟย์ถึงการออกจากป่ามายาที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกที่ปลอดภัยกว่า  แต่เฟย์กลับทำหน้าเศร้า  บอกเพียงว่านางไม่อาจออกไปจากป่าแห่งนี้ได้ ลูคก็ยอมตามใจเฟย์โดยตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในป่ามายาโดยไม่เอ่ยถึงการออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกอีกเลย

ลูคไม่เคยถามว่าเหตุใดหญิงสาวเช่นเฟย์จึงมาปรากฏกายอยู่กลางป่ามายาที่มีอันตรายรอบด้าน ทั้งยังสามารถฝ่าเข้ามาได้ถึงกลางป่า เหตุใดหญิงสาวที่ถูกพิษมังกรน้ำจึงยังสามารถดิ้นรนหนีมาได้ไกลและรวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งยังสามารถทนพิษได้นานผิดปกติ

จะว่าเขากลัวก็คงได้ กลัวว่าหากถามออกไปแล้ว เขาจะต้องพรากจากนาง...

เฟย์ไม่เคยถามถึงเรื่องส่วนตัวของลูคเช่นกัน นางมักมีรอยยิ้มอ่อนหวานให้เขาเสมอ รอยยิ้มที่ทำให้เขาคิดว่าเฟย์จะเป็นใครไม่สำคัญ ขอเพียงนางรักเขา และยอมอยู่เคียงข้างเขา

เท่านี้ก็พอแล้ว...

 

สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเปี่ยมล้นเป็นเวลาสามปีเต็ม

แล้ววันแห่งการพรากจากก็มาถึง...

วันนั้นเป็นวันสิ้นอายุขัย  เป็นวันที่เฟย์ต้องเกิดใหม่อีกครั้ง ทุกครั้งที่เกิดใหม่ ความทรงจำเดิมของนางจะสูญหายไป เฟย์จะกลายเป็นเหมือนทารกแรกเกิด

นกไฟที่เกิดใหม่จะมีสัญชาตญาณเกลียดการเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สัญชาตญาณนั้นแรงมากถึงขั้นอาจเผาผลาญลูคให้ตายไปได้ทั้งที่นางเองไม่ได้ต้องการเลยแม้แต่น้อย แต่หากนางไปผลัดร่างเกิดใหม่ในที่ซึ่งห่างไกลจากลูคแล้วไซร้ นางก็คงจะบินจากไปโดยไม่ได้เห็นหน้าลูค ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของลูค และจำไม่ได้ว่านางเคยรักลูคมากเพียงใด

เฟย์ไม่ต้องการลืมลูค นางไม่ต้องการลืมว่านางเคยรักลูค และไม่ต้องการจากลูคไป ดังนั้นนางจึงเลือกทางเลือกที่จะไม่มีวันลืมลูค และจะได้อยู่เคียงข้างลูคต่อไป นั่นคือให้กำเนิดบุตรของนางและลูค...เฟย์รา เฟน

นกไฟให้กำเนิดบุตรไม่ได้ เพราะนกไฟจะมีได้เพียงตนเดียว บุตรผู้จะกลายมาเป็นนกไฟตนใหม่จะต้องกินทั้งร่างและหัวใจของนางเพื่อให้สามารถเกิดมาได้ เฟย์ได้หดร่างตัวเองลงเป็นเปลือกนอกเพื่อห่อหุ้มร่างของนกไฟตนใหม่ไว้ภายใน นกไฟตนใหม่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้เปลือกไข่ที่จำแลงมาจากเนื้อหนังของเฟย์ ภายในไข่ใบนั้น นกไฟตัวน้อยค่อยๆ กัดกินร่างกายของนกไฟมารดาเพื่อจะกลายเป็นนกไฟตนใหม่

ด้วยเหตุนี้เพื่อให้กำเนิดเฟย์รา เฟน  เฟย์จึงต้องตาย...

 

เช้าวันนั้น เมื่อลูคตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้างกายเขาตรงที่ซึ่งเฟย์เคยนอนว่างเปล่า

...เฟย์คงออกไปทักทายพวกนกอย่างเคย... ลูคคิด

ทุกเช้าเฟย์มักจะตื่นรับแสงแรกแห่งดวงตะวัน และออกไปทักทายฝูงนกที่ไม่ทราบมาจากไหนมากมาย ฝูงนกมักพร้อมใจกันมาชุมนุมที่หน้าถ้ำของทั้งคู่ราวกับมาเพื่อรอพบหน้าเฟย์โดยเฉพาะ ดังนั้นยามเช้าของทั้งสองจึงมักเป็นยามเช้าที่จอแจไปด้วยเสียงนกร้อง

ภาพเฟย์ท่ามกลางฝูงนกดูสูงสง่าราวกับเทพธิดา ผมสีทองอมแดงของหญิงสาวเหมือนจะเปล่งแสงเรืองๆ กลางแสงตะวันสาดสะท้อน ลูครู้สึกว่าเขาสามารถมองภาพนี้ได้ตลอดชีวิตโดยไม่เบื่อ

แต่เช้าวันนี้เบื้องนอกกลับไร้สรรพสำเนียงใดๆ ทั้งสิ้น

ลูคใจหาย สังหรณ์ร้ายวาบขึ้นในใจทันที...

“เฟย์” เขาร้องเรียกพลางลุกเดินไปยังปากถ้ำ “เฟย์ เจ้าอยู่ข้างนอกหรือเปล่า ?”

เบื้องนอกถ้ำว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของเฟย์ กระทั่งหมู่นกยังพลอยหายไปด้วย รอบด้านเงียบสงัดวังเวงผิดปกติ เหมือนทั้งป่าเหลือแต่เขาเพียงผู้เดียว...

ลูคทราบในบัดดล

เฟย์ได้จากเขาไปแล้ว...

“เฟย์ !”

ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียง ผลุนผลันออกจากถ้ำไปตามหานางโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นไข่ใบใหญ่ซึ่งวางสงบอยู่ ณ มุมหนึ่งของถ้ำ

“เฟย์ ! เจ้าอยู่ที่ไหน ? ทำไมถึงไม่บอกลาข้าสักคำล่ะเฟย์ !” ชายหนุ่มวิ่งตามหาภรรยารักพลางร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “เฟย์ ! ข้ารักเจ้า ! กลับมาหาข้าเถอะเฟย์ ชีวิตข้าขาดเจ้าไม่ได้ !”

แม้จะสังหรณ์ใจมาตลอดว่าสักวันวันนี้จะต้องมาถึง แต่มันมาถึงเร็วเกินไป เร็วจนเขายังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ

ทุกที่ที่ทั้งสองเคยอยู่ร่วมกัน ทุกที่ที่ทั้งสองเคยไปด้วยกัน ทุกที่แห่งความทรงจำล้วนว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของเฟย์...

ลูควิ่งตามหาจนหมดแรง ชายหนุ่มคุกเข่าลงอย่างท้อแท้ สะอื้นแรงโดยไร้น้ำตา

ลูคนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นนานเพียงใด ตัวเขาเองก็ไม่อาจทราบได้ จวบกระทั่งได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้แว่วมาจากทิศซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำอันเป็นวิมานแสนสุขของเขาและเฟย์ ชายหนุ่มเงยหน้า หันไปมองอย่างงุนงงระคนประหลาดใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินโผเผกลับไปยังถ้ำ

ยิ่งเข้าใกล้ถ้ำมากเท่าไร...เสียงทารกร้องไห้ก็ยิ่งดังชัด

ลูคตกตะลึง เปลี่ยนเป็นออกวิ่งเต็มฝีเท้าทันที

ภายในถ้ำ ลูคเพิ่งเห็นว่ามีไข่ใบหนึ่งวางอยู่ตรงมุมถ้ำ และบัดนี้ไข่ใบนั้นได้ฟักออกมาแล้ว สิ่งที่อยู่ภายในคือเด็กทารกคนหนึ่ง เด็กทารกชายซึ่งมีผิวเนื้อสีชมพูระเรื่อ เด็กน้อยกำลังนอนร้องไห้จ้าอยู่ข้างเศษเปลือกไข่ เด็กน้อยที่มีใบหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายทั้งเขาและเฟย์...

...เฟย์ท้องตั้งแต่เมื่อไรกัน ?...

ลูคมองทารกน้อยพลางถามตัวเองอย่างงุนงง ชายหนุ่มค่อยๆ สอดมืออุ้มร่างกระจ้อยร่อยขึ้นมา เด็กน้อยมีนัยน์ตาสีแดงเพลิงเจิดจ้างดงามเหมือนแม่ และมีผมสีดำสนิทเหมือนเขา เด็กน้อยหยุดร้องไห้ทันทีเมื่อรู้สึกว่าถูกอุ้ม ร่างน้อยสะอึกอยู่เบาๆ มองตอบสายตาพิศวงแกมหม่นเศร้าของผู้เป็นพ่อด้วยแววตาซื่อบริสุทธิ์ที่มีน้ำตาขังคลอ

“ลูกพ่อ...”

ลูคกอดทารกน้อยอย่างทะนุถนอม มือเขาสั่นระริก น้ำตาลูกผู้ชายคลอเบ้า ความรู้สึกทั้งปีติและโศกเศร้ากระหน่ำจู่โจมจนเจ็บร้าวไปทั้งอก

เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงความรักที่เขามีต่อเฟย์ ลูคจึงตั้งชื่อบุตรชายของเขาว่า เฟย์รา เฟน

ในวันถัดมา นัยน์ตาของหนูน้อยเฟย์รา เฟน ก็ได้กลายเป็นสีดำสนิทเช่นเดียวกับนัยน์ตาของลูค

ลูคยังคงอยู่ในป่ามายาต่อไปด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเฟย์จะกลับมาหาเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้หนึ่งปี หนูน้อยเฟย์ราเริ่มพูดได้ ลูคซึ่งไม่อยากให้บุตรชายต้องเสี่ยงชีวิตกับการอาศัยอยู่ในป่ามายาได้ย้ายที่พำนักไปอยู่ยังชายป่าซึ่งปลอดภัยกว่า

หลังจากย้ายมาอยู่ยังชายป่าได้เกือบหนึ่งปี ในราตรีหนึ่ง อาคันตุกะที่ไม่คาดคิดก็ได้มาเยือนกระท่อมของสองพ่อลูก อาคันตุกะผู้นั้นคือ ผู้วิเศษราเซย์ ผู้วิเศษแห่งอาณาจักรมาอ์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ลูคนับถือ

ผู้วิเศษราเซย์บอกต่อลูคว่าตนใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว และผู้ซึ่งจะสืบทอดความเป็นผู้วิเศษต่อจากเขาคือลูคนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงต้องการให้ลูคกล่าวคำสาบานว่าจะไปรับหน้าที่แทนเขาหลังจากที่เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว รวมถึงกล่าวคำสาบานว่าจะภักดีต่อราชาเวเนส และราชนิกุลของอาณาจักรมาอ์

ลูคจำต้องทำตามคำขอของผู้วิเศษราเซย์อย่างไม่มีทางเลือก

ผู้วิเศษราเซย์กลับไปก่อนที่เฟย์ราจะตื่น และหนึ่งเดือนต่อมา ในเช้าวันหนึ่ง ลูคก็ทราบว่าผู้วิเศษราเซย์เสียชีวิตแล้ว เนื่องจากตัวเขาได้กลายเป็นผู้วิเศษแทนที่อีกฝ่าย

เช้าวันนั้น ลูคเหม่อมองออกไปยังป่ามายา เขาไม่อยากย้ายไปอยู่ในนครหลวงมาอ์ เพราะเขายังไม่พร้อมจะละทิ้งความหวังที่จะได้พบเฟย์อีกครั้งแต่เพียงเท่านี้ ดังนั้นลูคจึงเขียนจดหมายเวทขึ้นฉบับหนึ่ง และส่งมันไปถึงราชาเวเนส เนื้อความในจดหมายมีว่า เขาไม่ได้คิดจะละเลยหน้าที่ ทว่าเขายังมีสิ่งสำคัญยิ่งต้องกระทำ จึงขอเวลาอีกสองปี

ราชาเวเนสรับปากให้เวลาเขาสองปี ลูคจึงรู้สึกขอบคุณราชาผู้ใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อสองปีต่อมา ราชาเวเนสส่งทหารองครักษ์มาเชิญเขาไปรับหน้าที่ยังนครหลวงมาอ์ ลูคจึงละทิ้งกระท่อมและพาเฟย์ราติดตามทหารผู้นั้นกลับไปโดยไม่บ่ายเบี่ยง...

 

……

 

ภาพมายาค่อยๆ จางหายไป...

ความเงียบแผ่ปกคลุมกระท่อมน้อยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของเฟย์รา

“สรุปว่าแม่ตายเพราะข้าสินะ ข้ามันตัวอัปมงคลแท้ๆ ! ทำให้แม่ตาย มาตอนนี้ยังจะพ่ออีก...”

“อย่าโทษตัวเองเลย ท่านเฟย์รา เฟน  ท่านเฟย์ได้เลือกหนทางนี้ด้วยตัวนางเอง” อิชยารอตปลอบ “อีกประการ ท่านเป็นนกไฟแห่งป่าที่มีชะตาจะต้องอยู่ในป่า ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องกลับมาสู่ป่ามายาในที่สุดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม”

อิชยารอตถามไถ่ถึงสาเหตุที่เด็กชายกลับมาเร็วเช่นนี้ ทั้งยังกลับมากับเซีย แทนที่จะเป็นลูค เซียจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

หลังจากฟังจบ อิชยารอตนิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ จึงเอ่ยว่า

“ท่านเฟย์รา เฟน  ดูเหมือนท่านจะมีชะตากรรมมากมายกว่าที่ข้าคิดเสียแล้ว”

อิชยารอตให้ทั้งสองพักอยู่ที่กระท่อมของตนในคืนนั้น และได้เสกเตียงหลังใหญ่หรูหราราวกับเตียงของพระราชาขึ้นกลางกระท่อมเก่าโทรมมีรอยถูกปลวกแทะจนมองทะลุออกไปเบื้องนอกได้เป็นบางแห่ง ภาพของเตียงใหญ่ยักษ์สุดหรูกินเนื้อที่เกือบทั้งหมดในกระท่อมดูขัดกับสภาพแวดล้อมอย่างร้ายกาจจนเฟย์ราทำหน้าพิกล ส่วนเซียถอนใจเฮือกใหญ่

“รสนิยมไม่พัฒนาขึ้นเลยนะ ท่านอิชยารอต แล้วนี่ไปเอาเตียงนี้มาจากไหนอีกล่ะ ?”

“ขอยืมมาจากเพื่อนของเจ้าสองคนอย่างไรเล่า” อิชยารอตขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์

 

ไกลออกไป ณ ห้องนอนของราชาเวอร์นอนในวังหลวงมาอ์ ราชาหนุ่มสะดุ้งตื่นทันทีที่ร่างตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น แล้วลุกขึ้นเอ็ดตะโรลั่นเป็นการใหญ่ที่อยู่ๆ เตียงหลังงามดันหายไปจนไม่ได้หลับได้นอนกันไปทั้งวัง

 

คืนแรกในป่ามายาจึงผ่านไปเช่นนี้เอง...


แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 18:56 โดย Admin

Admin เข้าร่วมเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 18:55

0 ความคิดเห็น