หัวข้อ : ศึกจอมขมังเวท เล่ม 1 ตอนที่ 5

โพสต์เมื่อ 24 ก.ย. 2561, 19:01

 
ตอนที่ ๕
คำทำนาย


 
นครหลวงรีฮุน

ราชาไบยาต ราชาหนุ่มวัยสามสิบปลายผู้นั่งเป็นสง่าอยู่บนบัลลังก์กวาดตาอ่านสาสน์ในมือด้วยสายตาเย็นชา

 

ราชาไบยาตแห่งอาณาจักรรีฮุนที่นับถือ

 

ข้า ราชาเวอร์นอนแห่งอาณาจักรมาอ์ ยินดีนักที่อาณาจักรมาอ์ของข้าและอาณาจักรรีฮุนของท่านได้เจริญสัมพันธไมตรีต่อกันมาเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปี ทว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนหน้านี้ นับแต่สมัยของราชาเวเนสบิดาข้า ได้มีโจรสลัดปรากฏขึ้นในแม่น้ำซูลา โจรสลัดเหล่านี้มักออกปล้นสะดมชาวบ้านมณฑลฮัสและมณฑลเจเวสของอาณาจักรข้าอยู่เนืองๆ ครั้นข้าส่งกองทัพไปปราบปราม โจรสลัดเหล่านี้ก็จะพากันหลบเร้นหนีหายเข้าไปในเขตแดนของอาณาจักรรีฮุนทุกครั้ง

ข้าคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน จึงไม่ติดใจเอาความ มิได้บุกข้ามแดนไปตามล่า แต่ช่วงฤดูหนาวปีที่ผ่านมา กลุ่มโจรสลัดแม่น้ำซูลาได้ฮึกเหิมถึงขั้นปล้นฆ่าล้างเมืองชายแดนมณฑลฮัสไปสองเมือง ครั้นข้าส่งกองทัพไปปราบ พวกมันก็พากันหลบหนีเข้าไปในเขตแดนมณฑลบิซอลแห่งอาณาจักรรีฮุนของท่านอีกเช่นเคย ครั้งนี้ข้าไม่อาจอภัยให้แก่โจรขบถผู้เหิมเกริมได้ ข้าจึงขอให้ท่านส่งมอบตัวโจรสลัดเหล่านั้นมาให้ข้าลงโทษ ณ อาณาจักรมาอ์ พร้อมทั้งชดเชยต่อความเสียหายที่ชาวบ้านมณฑลฮัสและมณฑลเจเวสของข้าได้รับมานานตลอดระยะเวลายี่สิบปีเป็นทองคำจำนวนห้าพันชั่ง

นอกจากนั้น บัดนี้โจรขบถต้องโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรอีกสองคนของอาณาจักรข้า เฟย์รา เฟน บุตรของผู้วิเศษลูค เฟน และจอมเวทเซีย ได้หลบหนีหายสาบสูญโดยไร้ร่องรอย ทั้งที่มีการประกาศจับตายไปทั่วอาณาจักร และมีผู้บังเอิญพบเห็นนักโทษทั้งสองข้ามแดนไปยังอาณาจักรรีฮุน ดังนั้นข้าจึงขอให้ท่านส่งตัวนักโทษประหารทั้งสองมาให้ข้ายังอาณาจักรมาอ์ด้วยพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นข้ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องแจ้งต่อท่านว่า ความสัมพันธ์อันดีระหว่างอาณาจักรมาอ์และอาณาจักรรีฮุน คงมีอันสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้

 

ลงนาม ราชาเวอร์นอนแห่งอาณาจักรมาอ์

 

“นี่คือสารท้ารบสินะ”

ราชาไบยาตเอ่ยเสียงเย็นหลังอ่านสาสน์ในมือจบ

“หากท่านยินดีปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่องค์ราชาเวอร์นอนเรียกร้อง นั่นย่อมมิใช่สารท้ารบแต่อย่างใด” ทูตจากอาณาจักรมาอ์ตอบอย่างสงบ

“เงื่อนไขที่ไร้เหตุผลและข่มขู่คุกคามราวกับรีฮุนเป็นเพียงประเทศราชของมาอ์นี้นะหรือ” น้ำเสียงราชาหนุ่มกระด้าง “หากข้ายินยอมตามนี้ ข้าคงอดสูใจและละอายต่อบรรพบุรุษของข้าที่สู้อุตส่าห์บุกเบิกสร้างอาณาจักรรีฮุนไปตลอดชีวิตเป็นแน่ !”

ทูตจากอาณาจักรมาอ์นิ่งเงียบ เขาเองก็ทราบดีว่าราชาไบยาตคงไม่มีทางยินยอมตามเงื่อนไขที่จงใจหาเรื่องกันอย่างเห็นได้ชัดนี้ และราชาเวอร์นอนก็คิดดุจเดียวกัน สาสน์นี้จึงเป็นสาสน์ประกาศสงครามไม่ผิดจากที่ราชาไบยาตกล่าวแต่อย่างใด

จอมราชันแห่งรีฮุนประกาศก้อง

“เชิญกลับไปบอกราชาเวอร์นอนเถิดว่า อาณาจักรรีฮุนยินดีรับคำท้า ชาวรีฮุนยินดีสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรี ดีกว่ายอมให้พวกท่านมาย่ำยีบีฑา !”

 

...โชคชะตาช่างเล่นตลกอะไรเช่นนี้... ราชาไบยาตคิดอย่างแค้นใจขณะย่ำเท้าตรงไปยังคฤหาสน์ที่พำนักของผู้วิเศษชูวา

ผู้วิเศษชูวา ผู้วิเศษประจำตัวราชาไบยาต ป่วยด้วยโรคชรามาเป็นเวลากว่าเดือนแล้ว ผู้วิเศษชูวาดำรงตำแหน่งผู้วิเศษแห่งอาณาจักรรีฮุนมานานถึงแปดสิบปี เป็นผู้วิเศษประจำตัวราชาแห่งรีฮุนมาถึงสี่รัชกาล เป็นฐานอันมั่นคงให้แก่บัลลังก์ราชาและอาณาจักรมาเป็นเวลาช้านาน  ราชาเวอร์นอนช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะเสียจริงที่มาประกาศสงครามในช่วงเวลาซึ่งรีฮุนอ่อนแอที่สุดเช่นนี้ เวลาที่ผู้วิเศษเฒ่าผู้เป็นเสาหลักของรีฮุนล้มป่วยด้วยใกล้ถึงแก่อายุขัย

ข้างเตียงนอนหลังใหญ่ของผู้วิเศษชูวา ราชาไบยาตกุมมือเหี่ยวย่นของผู้วิเศษเฒ่าเบาๆ ผู้วิเศษผู้เป็นประดุจปู่ผู้ชาญฉลาดและใจดีของเขาดูซูบซีดจนน่าใจหาย ผิวหน้าที่เคยสดใสหมองคล้ำเหมือนถูกเคลือบด้วยหมอกสีเทา...ลางมรณะ

ราชาไบยาตฝืนยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความหม่นหมอง ถามอย่างนุ่มนวล “วันนี้อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม ?”

ผู้วิเศษชูวากล่าวอย่างอ่อนระโหย “ข้ากำลังรอให้ท่านมาหาอยู่ทีเดียว เมื่อรุ่งสางข้าได้รับลางบอกเหตุว่าอายุขัยของข้าจะถึงกำหนดภายในวันนี้...”

ราชาหนุ่มหน้าถอดสี คำพูดที่จะเอ่ยต่อชะงักค้างอยู่แค่ปลายลิ้น น้ำเสียงอ่อนเบาของผู้วิเศษชูวาดังต่อไปว่า

“ผู้วิเศษคนใหม่จะมาเยือนหลังจากข้าสิ้นลม และบัดนี้ข้าจะกล่าวคำทำนายสุดท้ายแก่ท่าน ขอจงตั้งใจสดับฟัง” น้ำเสียงผู้วิเศษเฒ่าเปลี่ยนเป็นแจ่มชัดก้องกังวานประหลาดเช่นทุกครั้งที่กล่าวคำทำนายอันสำคัญ ราวกับโรคภัยได้ละจากร่างกายไปชั่วขณะ

 

“...ผู้วิเศษเรืองฤทธิ์เดชา                           จุติสู่หล้าด้วยจิตมุ่งมั่น

เนรมิตสงครามโลกันตร์                           ทุกเขตขัณฑ์จักลุกเป็นไฟ

สมดุลแห่งแดนสูญสิ้น                             ธารโลหิตแดงฉานหลั่งไหล

ทุกธานีรกร้างทลาย                   จงหยุดมันไว้ด้วยเนตรเพลิง...”

 

จบคำกล่าวสุดท้าย ผู้วิเศษเฒ่าผู้มีอายุกว่าร้อยปีก็ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยล้าพลางหลับตาลง โดยไม่ได้ลืมตาขึ้นอีกเลย...

วันรุ่งขึ้นหลังจากผู้วิเศษชูวาถึงแก่กรรม ผู้วิเศษคนใหม่ได้เดินทางมาเยือนด้วยความรู้สึกผิดคาดอย่างยิ่งของราชาไบยาต จอมราชันแห่งรีฮุนได้แต่งตั้งผู้วิเศษคนใหม่นามว่า ยิบรอน ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้วิเศษแห่งอาณาจักรแทนที่ผู้วิเศษชูวา จากนั้นทั่วทั้งอาณาจักรได้เตรียมการตั้งรับกองทัพของอาณาจักรมาอ์อย่างแข็งขัน โดยเฉพาะชายแดนด้านทิศใต้ซึ่งติดกับอาณาจักรมาอ์ ได้มีการซ่อมแซมและสร้างป้อมค่าย รวมทั้งเสริมกำแพงเมืองให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างเร่งด่วน

 

อาณาจักรตารีฮ์ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของผู้วิเศษลูค เฟน การขึ้นแทนที่ของผู้วิเศษเมราส และข่าวสงครามที่กำลังจะเกิดเช่นกัน

ในท้องพระโรง เบื้องหน้าจอมราชันแห่งตารีฮ์ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างยืนเรียงเป็นแถวตอนแปดแถวลดหลั่นกันไปตามลำดับความสำคัญของตำแหน่ง ผู้วิเศษลูฟา พี่ชายคนรองของเมราสซึ่งได้ดำรงตำแหน่งผู้วิเศษประจำตัว ราชาตอริค แทนผู้วิเศษคอลฟ์ผู้เป็นบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว ยืนอยู่เบื้องขวาของราชาเฒ่าวัย ๗๒ ซึ่งนั่งเป็นสง่าอยู่บนบัลลังก์ทอง ด้านซ้ายของราชาเฒ่าคือบุตรชายคนโต เจ้าชายรัชทายาทเตราล วัย ๕๒

“ราชาหนุ่มเลือดร้อนเอาเข้าจนได้ ยุคสงบสุขคงจะน่าเบื่อเกินไปสำหรับเวอร์นอน” ราชาตอริคเปรยหลังจากฟังเสนาบดีข่าวกรองรายงานข่าวเรื่องการเตรียมการทำศึกของมาอ์จบ “พวกท่านมีความเห็นอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่มาอ์ประกาศสงครามกับรีฮุน ?” ราชาเฒ่าถามขุนนางที่ยืนเรียงรายเบื้องหน้า

ไบดอต เสนาบดีกลาโหมตอบว่า “หากเอ่ยถึงด้านกำลังพลและศักยภาพของกองทัพแล้ว ข้าคิดว่าสูสี ยากคาดเดาได้ว่าฝ่ายใดจะชนะ”

คอทดารอฮ์ เสนาบดีพลเรือนตอบว่า “หากพวกเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็อาจถึงขั้นพินาศสิ้นทั้งสองฝ่าย”

คาดิร เสนาบดีฝ่ายการคลังตอบว่า “แล้วเราก็จะเป็นมือที่สามคอยตักตวงผลประโยชน์ได้”

“แต่ข้าคิดว่าเหตุการณ์อาจไม่เป็นดังที่กล่าวมา เพราะเวลานี้มีตัวแปรตัวหนึ่งที่เรายังไม่มีข้อมูลมากพอ จึงยังไม่ทราบศักยภาพของเขาดีนัก” อัสวัร เสนาบดีฝ่ายข่าวกรองขัด

ราชาเฒ่าหันไปทางเสนาบดีฝ่ายข่าวกรอง “ท่านหมายถึง...?”

“ผู้วิเศษเมราส น้องชายของท่านลูฟา !” อัสวัรเบือนหน้าไปทางชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึง ซึ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

ราชาตอริคขมวดคิ้ว ยกนิ้วชี้ขึ้นไล้คางที่มีเคราสั้นๆ ตัดเล็มเป็นระเบียบ

“อะไรทำให้ท่านคิดว่าผู้วิเศษเมราสจะมีบทบาทสำคัญถึงขั้นพลิกผลของสงครามได้ ?”

“ในภาวะที่อาณาจักรทั้งสามถ่วงดุลอำนาจกันโดยไม่มีอาณาจักรใดมีเปรียบจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ การคิดก่อศึกกับอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งอย่างแตกหักถือว่าเขลามาก เพราะเท่ากับเปิดโอกาสให้อาณาจักรที่เหลือสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย นอกเสียจากแน่ใจว่าสามารถกำชัยได้โดยแทบไม่มีการสูญเสียกำลังพล หรือมีขีดความสามารถสูงถึงขั้นรับศึกสองด้านได้พร้อมๆ กัน ซึ่งหากเป็นกาลก่อนที่ผู้วิเศษแห่งอาณาจักรมาอ์คือผู้วิเศษลูค เฟน ข้ามั่นใจว่ามาอ์ไม่มีทางทำได้ ทว่าบัดนี้ผู้วิเศษของมาอ์เปลี่ยนคนแล้ว เท่าที่ข้าทราบ ก่อนผู้วิเศษลูค เฟน จะเสียชีวิต มติก่อสงครามไม่ได้รับความเห็นชอบจากเหล่าเสนาบดี แต่หลังจากผู้วิเศษลูค เฟน เสียชีวิตได้ไม่นาน ขุนนางที่คัดค้านมติก่อสงครามต่างก็ล้มป่วยด้วยโรคระบาดซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน และทยอยตายไปจนหมดสิ้น ทำให้ขุนนางที่มีสิทธิ์ออกเสียงเหลือเพียงผู้ที่มุ่งหวังลาภยศสรรเสริญ ชำนาญแต่เรื่องประจบสอพลอเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัว”

เสนาบดีฝ่ายข่าวกรองเน้นเสียงหนัก “ข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะไม่มีหลักฐานใดๆ มัดตัวใครได้เลยก็ตาม และข้าได้ยินมาว่าผู้วิเศษเมราสเป็นผู้สังหารผู้วิเศษลูค เฟน เองกับมือ ซึ่งพวกเราต่างก็ทราบดีว่าผู้วิเศษลูค เฟน เก่งกาจเพียงใด เนื่องจากเราไม่อาจหยั่งความสามารถของผู้วิเศษเมราสคนนี้ได้ จึงมีทางเป็นไปได้ว่าเขาอาจมีความสามารถสูงถึงขั้นสามารถทำให้มาอ์ชนะตามเงื่อนไขสองข้อที่ข้าได้กล่าวมา”

ราชาตอริคหันไปถามผู้วิเศษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย

“ท่านคิดว่าน้องชายของท่านจะทำได้ดังที่อัสวัรว่าหรือไม่ ลูฟา ?”

เสนาบดีทุกคนรวมถึงเจ้าชายเตราลต่างก็มองไปทางผู้วิเศษลูฟาเป็นตาเดียว ลูฟาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งทว่านอบน้อมอยู่ในที

“เมราสมีพลังเวทสูงมาแต่เด็ก การที่เขาสามารถสังหารผู้วิเศษลูค เฟน ลงได้ ก็บ่งบอกอยู่ในตัวว่าพลังเวทของเขาสูงกว่าข้า ส่วนพลังเวทของเขาจะสูงเพียงใด ข้าเองก็ไม่ทราบชัด”

ราชาตอริคเบนสายตาไปทางเสนาบดีข่าวกรอง “ดูท่าท่านอาจจะพูดถูกนะ อัสวัร” จากนั้นหันไปทางเจ้าชายเตราล “แล้วเจ้าล่ะ มีความเห็นอย่างไร เตราล ?”

เจ้าชายเตราลตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าคิดว่าเราอย่าเพิ่งสอดมือเข้ายุ่ง ควรสงบรอดูท่าทีไปก่อน แต่ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวให้พร้อมทุกเวลาจะดีที่สุด ท่านพ่อ”

ราชาตอริคพยักหน้า “ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน โชคดีนักที่มาอ์เลือกที่จะบุกรีฮุนก่อน ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีเวลาว่างมานั่งถกเรื่องนี้กันดังนี้เป็นแน่” สายตาคมกริบของจอมราชันแห่งตารีฮ์กวาดไปยังใบหน้าของขุนนางทุกคน “ใครมีความเห็นใดที่คิดว่าดีกว่านี้อีกบ้าง ?”

เงียบ...

ทุกคนต่างคิดว่าการสงบรอดูท่าที ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวพร้อมรับศึกทุกเมื่อ ถือว่าดีที่สุดในเวลานี้ แล้วค่อยพลิกแพลงตามสถานการณ์ต่อไป

ครั้นเห็นขุนนางทุกคนต่างนิ่งเงียบเป็นการเห็นพ้อง ราชาเฒ่าจึงกล่าวสรุป “ถ้าเช่นนั้นถือว่าเรื่องนี้จบลงชั่วคราว หากมีความคืบหน้าใดค่อยนำมาถกกันต่อไป ใครยังมีเรื่องอื่นจะรายงานอีกหรือไม่ ?”

เสนาบดีคลังก้าวออกมารายงานเสียงดัง “เกี่ยวกับการเก็บภาษีในพื้นที่เมืองฮิญ เนื่องจากในช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้เกิดเหตุภูเขาไฟระเบิด...”

เสียงรายงานต่อจากนั้นมิได้แทรกซึมเข้าสู่สมองของผู้วิเศษลูฟาแม้แต่น้อย ตอนที่ทราบข่าวว่าเมราสได้เป็นผู้วิเศษประจำตัวของราชาเวอร์นอน ลูฟาก็รู้สึกสับสนนัก

เขามีน้องชายคนนี้เพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นน้องชายที่อายุห่างกันถึงสิบห้าปี และเป็นเด็กดีเสมอมา เขารักน้องชายคนนี้มาก ดังนั้นจึงแทบไม่เชื่อหูเมื่อกลับมาจากทำงานในวันนั้น และพบว่าน้องชายได้ออกจากบ้านไปแล้ว อีกทั้งพ่อยังบอกเขาและพี่คินาซาว่านับแต่นี้พ่อมีลูกชายเพียงสองคน คือเขากับพี่ ส่วนเมราสนั้นพ่อไม่ถือว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป

มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น และเกิดขึ้นได้อย่างไร !?

เขาและพี่คินาซาไม่เคยรู้ ไม่เคยระแคะระคายโดยสิ้นเชิง ลูฟาเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยทราบเลยว่าเมราสกำลังคิดอะไรอยู่ แม้เขาจะอดภูมิใจแทนน้องชายไม่ได้ที่เมราสได้เป็นผู้วิเศษ แต่ขณะเดียวกันเขาก็นึกสังหรณ์...สังหรณ์ถึงลางหายนะ...

“เลิกประชุม !”

เสียงประกาศก้องของราชาตอริคบ่งบอกเวลาสิ้นสุดของการออกว่าราชการภาคเช้า ราชาเฒ่ายันกายลุกขึ้นก้าวลับหายไปด้านหลังม่านกั้นเบื้องหลังบัลลังก์

ก่อนจะลับกาย ราชาเฒ่าเอ่ยเบาๆ พอให้ผู้วิเศษหนุ่มได้ยินแต่เพียงผู้เดียว

“เดี๋ยวมาพบข้าด้วย”

เหล่าขุนนางโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียง จากนั้นค่อยทยอยกันออกจากประตูท้องพระโรง

 

ราชาตอริคในชุดลำลองย่างเท้าเข้ามาในห้องสำหรับพักผ่อนคลายอารมณ์พร้อมกับเสือดาวหิมะสีขาว สัตว์เลี้ยงตัวโปรดซึ่งเป็นสัตว์หายากแห่งเขตหนาวจัด ภายในห้องปูพรมขนสัตว์หนานุ่มเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บเสียดกระดูกจากพื้นซึมผ่านขึ้นมาสัมผัสผิวกาย

ผู้วิเศษลูฟายืนรออยู่แล้วอย่างสงบ ราชาตอริคทรุดกายลงนั่งบนเบาะอ่อนนุ่มใบมหึมา ขณะที่เสือดาวหิมะหมอบลงข้างๆ เอาคางวางเกยกับตักราชาเฒ่าอย่างประจบเหมือนลูกแมวตัวน้อย ราชาเฒ่าไล้มือที่เต็มไปด้วยแหวนล้ำค่าไปตามขนสีขาวดกหนาของมันอย่างเบามือ มองสีหน้าพอใจของมันพร้อมกับกล่าวเนิบๆ

“ท่านคิดอย่างไรกับศึกระหว่างมาอ์และรีฮุน ?”

ราชาเฒ่าทราบดีว่าผู้วิเศษแห่งอาณาจักรตารีฮ์จะไม่มีวันกล่าวสิ่งใดอันอาจจะก่อให้เกิดการเข้าใจผิด หรือนำภัยมาสู่ตัวต่อหน้าคนหมู่มากโดยเด็ดขาด จะว่านี่เป็นประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาของผู้วิเศษแห่งอาณาจักรตารีฮ์ก็ว่าได้ ดังนั้นหากอยากทราบวาจาจากใจจริงของผู้ใช้เวทอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักร จงถามเขาเพียงลำพัง แล้วจะได้รับคำตอบ

ลูฟาค้อมศีรษะ “ยากจะบอกได้ ดังที่ท่านไบดอตกล่าว ด้านกำลังทหารนั้นทัดเทียมกัน มาอ์อาจได้เปรียบเล็กน้อย”

“แล้วเรื่องน้องชายท่าน...เหมือนข้าจะเคยได้ยินมาว่าสมัยเด็กๆ เขาฉลาดมาก ?”

“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมาอ์ ข้าคิดว่าน้องชายข้ามิได้ฉลาดน้อยลงจากตอนเด็กๆ เพียงแต่เขาคงรู้จักที่จะซ่อนคมมิให้สะดุดตาใคร และทำให้ข้าตระหนักว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยทราบความคิดของเขาเลย ยิ่งเขาออกจากบ้านโดยไม่ได้ติดต่อกลับมาถึงสามปีเช่นนี้ ข้ายิ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าเมราสคิดอะไรอยู่”

ราชาเฒ่าหลุบตาลง มือยังคงไล้ขนนุ่มๆ ของเสือดาวหิมะเบาๆ พึมพำเหมือนปรารภกับตัวเอง “อืมม์...ท่ารีฮุนจะแย่แน่ ผู้วิเศษชูวาดันมาตายเอาในเวลาคับขันเช่นนี้พอดีเสียด้วย” นัยน์ตาคมกริบทรงอำนาจเงยขึ้นสบนัยน์ตาคู่สนทนา “แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดเมราสถึงทะเลาะกับท่านคอลฟ์ ?”

ผู้วิเศษหนุ่มตอบขรึมๆ “ข้ากับพี่คินาซาเคยถามพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พ่อกลับตวาดสั่งอย่างโกรธจัดว่าห้ามพวกเราเอ่ยชื่อเมราสให้ท่านได้ยินอีก”

ราชาตอริคขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะคลายออก รำพึงเบาๆ

“เรื่องใดหนอที่สามารถทำให้คอลฟ์ผู้เยือกเย็นโกรธจัดปานนั้นได้ ทั้งที่เมราสเป็นลูกคนโปรดแท้ๆ...”

 

ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามฟ้าสาง เสียงบางอย่างได้แทรกเข้าสู่โสตประสาทของเฟย์ราอย่างแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ

...ตื่นเถิด ราชาเอย...

...หนวกหูจริง !... เด็กชายขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดที่ถูกปลุก แล้วพลิกตัวตะแคงข้าง

...ตื่นเถิด ราชาเอย...

เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนจนแทรกเข้าสู่สติสำนึกครึ่งหลับครึ่งตื่นของเด็กชาย ทำให้เฟย์ราเริ่มเอะใจ ...ราชางั้นหรือ ? ราชาคนไหน ? หรือจะเป็น...ราชาเวอร์นอน !...

เด็กชายสะดุ้ง ลุกพรวดขึ้นนั่งทันที ครั้นสายตาได้พบกับภาพผนังกระท่อม ก็นึกขึ้นได้ว่าขณะนี้ตนอยู่ในป่ามายา ไม่มีทางที่ราชาเวอร์นอนจะตามเข้ามาจับตัวได้ จึงค่อยถอนใจอย่างโล่งอก และกวาดตามองไปรอบๆ

ลำแสงอ่อนจางทอผ่านร่องประตูที่ปิดสนิทและรูปลวกแทะ บอกให้รู้ว่าท้องฟ้าเบื้องนอกสว่างแล้ว

...ตื่นเถิด ราชาเอย...

เสียงกระซิบประโยคเดิมดังแทรกความคิดเข้ามาด้วยความดังยิ่งขึ้นจนสามารถฟังออกว่าเป็นเสียงประสานของเสียงหลายเสียง บางเสียงไพเราะราวคีตสวรรค์ บางเสียงแหบห้าวน่าสะพรึงกลัว เฟย์รานิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งจนจับได้ว่าเสียงดังมาจากนอกกระท่อม ก็เหลียวมามองข้างกาย

เซียนอนกรนเบาๆ ในขณะที่อิชยารอตนอนเงียบสนิทแน่นิ่ง เซียนั้นเด็กชายยังพอเข้าใจว่าคงเหนื่อยมากจากการที่ต้องรอนแรมพาเขาหนีถึงกว่าครึ่งเดือนติดต่อกัน ถึงได้หลับเป็นตายอย่างนั้น แต่อิชยารอตนี่สิ...

...ไหนใครบอกว่าอีกาตื่นเช้าไง... เด็กชายค่อนในใจ

คืนนี้เป็นคืนแรกที่เซียสามารถนอนหลับได้อย่างวางใจ เฟย์ราจึงสงสาร ไม่อยากปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นจากนิทรารมณ์อันแสนสุข ส่วนอิชยารอตหรือเขาก็ยังไม่สนิทด้วยถึงขนาดกล้าปลุก แถมไม่แน่ว่าเขาอาจถูกสาปเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ได้ด้วยความโมโหจนลืมตัวของอีกาที่ถูกปลุก เด็กชายจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูที่มาของเสียงประหลาดนั้นเพียงลำพัง

เฟย์ราพยายามเดินเบาที่สุด เปิดประตูค่อยๆ รีบผลุบออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วปิดประตูตามหลังเบาๆ เพื่อไม่ให้แสงจากภายนอกไปรบกวนการนอนของบุคคลในกระท่อมทั้งสอง ครั้นหันกลับไปเห็นภาพเบื้องนอกกระท่อมชัดตา เด็กชายก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

นก...นกเต็มไปหมด นกสารพัดชนิดสารพัดพันธุ์ ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก เกาะอยู่เต็มต้นไม้ใหญ่โดยรอบ เมื่อออกมาจากกระท่อม เสียงนกได้ทวีความดังขึ้นกว่าเดิมมาก...มากจนก้องเข้าไปสะท้อนอยู่ในศีรษะ !

...ราชากลับมาแล้ว...ราชาเอยจงตื่นเถิด...ราชาแห่งไฟของพวกเรา...

เสียงร้องดังขึ้นทุกขณะ เฟย์ราแน่ใจแล้วอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูว่าผู้ที่เอ่ยคำเหล่านี้ คือหมู่นกที่เกาะอยู่โดยรอบนั่นเอง เสียงร้องนั้นดังเสียจนหัวใจเด็กชายเต้นแรง และปวดศีรษะจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้แน่น !

...ราชาแห่งไฟ ราชาแห่งไฟเอย จงตื่นเถิด...

ปวดหัว ! โอ๊ย !

เฟย์ราแผดเสียงก้องอยู่ในใจ ศีรษะปวดเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จนต้องทรุดลงคุกเข่า ร่างกายค่อยๆ ร้อนขึ้นทีละน้อย ความร้อนเหมือนจะแผ่ออกมาจากภายใน แผ่ขยายไปทั่วทุกส่วน แทรกซึมไปถึงปลายเล็บและรูขุมขน เด็กชายคลายมือจากศีรษะมาดู มือของเขากำลังลุกเป็นไฟ...ร่างของเขากำลังลุกเป็นไฟไปทั้งร่าง !

“อ๊ากกกก !!!!”

เซียสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแผดร้องนี้เอง

“เกิดอะไรขึ้น ? เฟย์ราล่ะ ?” เซียร้องโพล่งอย่างตระหนก หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อหันมองข้างกาย แต่กลับไม่เห็นเฟย์ราอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ ครั้นหันไปทางอิชยารอต ก็พบว่าอีกาเฒ่านอนนิ่งสนิท ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย...

“ตาเฒ่าขี้เซาเอ๊ย !” เซียผลุนผลันลงจากเตียงไปกระชากประตูกระท่อมเปิดผาง วิ่งพรวดออกไปเบื้องนอกอย่างรวดเร็ว

แล้วเซียจึงได้เห็นเฟย์ราที่กำลังลุกเป็นไฟ...

เด็กชายมีท่าทางทรมาน แต่น่าแปลกที่ไฟนั้นไม่ได้เผาผลาญเฟย์ราแต่อย่างใด เพราะเสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบ อาการทรมานนั้นเหมือนจะเป็นเพราะปวดศีรษะที่เด็กชายกุมมันไว้แน่นต่างหาก

“ดูท่าจะยังไม่ถึงเวลาสินะ เขานอนหลับมานานเกินไป คงต้องให้เวลาในการตื่นแก่เขาอีกสักหน่อย”

เสียงแหบเครือที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันจากด้านหลังทำเอาเซียสะดุ้งโหยง หันขวับไปหรี่ตามองอิชยารอตที่โผล่มาเงียบๆ อย่างไม่พอใจ อิชยารอตเอ่ยเสียงก้องกังวาน

“พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่ว่ามันยังไม่ถึงเวลา ! หากพวกเจ้ายังคงเร่งรัดต่อไป ก็รังแต่จะเป็นผลเสียต่อเด็กคนนี้เท่านั้น !”

เสียงของอิชยารอตดังกลบทุกสรรพเสียง หมู่นกต่างหยุดร้องไปชั่วขณะ เฟย์ราฝืนใจหันกลับมามองชายชราด้วยใบหน้าแดงก่ำที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง

อิชยารอตกล่าวต่อว่า

“พวกเจ้าจงกลับไปก่อนเถิด อีกหนึ่งปีให้หลังค่อยกลับมาใหม่ เมื่อนั้นข้าขอรับรองว่าพวกเจ้าจะไม่ผิดหวัง”

ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่หลังคำกล่าวของอิชยารอต มีเพียงเสียงใบไม้ไหวเสียดสีกันเบาๆ ตามสายลมอ่อนจางที่โชยพัด ครั้นแล้วนกตัวแรกก็ขยับกระพือปีกบินจากไป จากนั้นจึงเป็นตัวที่สอง ตัวที่สาม เสียงกระพือปีกพึ่บพั่บประสานกันดังกระหึ่ม ใบไม้แห้งบนพื้นถูกลมจากปีกที่กระพือขึ้นลงพัดจนปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ สุดท้ายเหล่านกได้บินจากไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงคาคบที่ว่างเปล่าดังเดิมและเสียงทิ้งท้ายแว่วดังมาจางๆ

...หนึ่งปีให้หลังเราจะกลับมาอีก...

เมื่อปราศจากเสียงนกร้องกระตุ้น ไฟที่ลุกฮือทั่วร่างเด็กชายก็ค่อยๆ ดับลง

เฟย์ราทรุดแปะลงนั่งเอามือยันพื้น ก้มหน้าหอบหายใจหนักหน่วงราวกับเพิ่งผ่านการวิ่งระยะไกลมาหมาดๆ เหงื่อไหลออกมามากจนเสื้อผ้าซับเหงื่อเปลี่ยนเป็นสีเข้ม บุตรแห่งนกไฟหันไปมองอิชยารอตด้วยสายตาแสดงคำถาม ตอนนี้เด็กชายไม่เหลือแรงกระทั่งจะเอ่ยปากพูด

“นกพวกนั้นดีใจเกินไปจนลืมนึกถึงสภาพร่างกายของท่านน่ะ” อิชยารอตตอบ

“ตอบเหมือนไม่ได้ตอบ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เซียบ่น ซึ่งก็ตรงกับที่เฟย์รากำลังคิดพอดี

“ข้าไม่ได้พูดให้เจ้าฟัง !” อิชยารอตมองลูกครึ่งสัตว์อสูรตาขวาง แต่ก็ยอมอธิบายเพิ่มว่า “ท่านเฟย์เป็นเจ้าแห่งนกและสัตว์อสูรในป่ามายา ยามนี้เมื่อท่านสิ้นไป ท่านเฟย์รา เฟน จึงเป็นเจ้าแห่งนกและสัตว์อสูรสืบต่อจากนาง แต่ท่านเฟย์รา เฟน ไปอยู่ในโลกภายนอกเสียนาน เพิ่งจะกลับมาเมื่อคืนนี้เอง วันนี้เหล่านกจึงมารอต้อนรับ หวังจะให้ท่านกลายร่างเป็นนกไฟให้พวกเขาได้ร่วมแสดงความยินดีในการคืนสู่ถิ่นอย่างไรเล่า”

“แต่ข้า...ไม่มีพลัง...อะไรเลย...” เฟย์ราพยายามเค้นเสียงพูดปนหอบ

“มีสิ ! ท่านมีพลังมหาศาลมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่มันถูกผนึกเอาไว้เท่านั้น ถูกผนึกไว้โดยท่านเฟย์ ท่านแม่ของท่านเอง ท่านเฟย์ทราบดีว่าจนกว่าจะถึงเวลา ท่านจงเป็นเด็กไร้พลังไปก่อนจะปลอดภัยกว่า และจากเหตุการณ์ที่เหล่านกกระทำเพื่อเป็นการกระตุ้นท่านเมื่อครู่ ได้ทำให้ผนึกเริ่มคลายตัว เพียงแต่ร่างของท่านยังไม่ชินกับพลังนั้น จึงต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่บ้าง อีกสักประมาณหนึ่งปี ทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทางเอง”

หลังจากนั้น เฟย์ราและเซียได้ช่วยกันสร้างกระท่อมขึ้นมา อิชยารอตเสนอจะช่วย แต่เฟย์ราปฏิเสธ เด็กชายบอกว่ามันเป็นความฝันของเขามานานแล้วที่จะสร้างบ้านของตัวเองขึ้นด้วยน้ำมือของตัวเอง

เพียงไม่กี่วัน กระท่อมหลังน้อยซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของอิชยารอตมากพอที่จะตะโกนกันไม่ได้ยิน...ตามความต้องการของเซีย...ก็สำเร็จเสร็จสิ้น แล้วเฟย์รากับเซียก็ย้ายเข้าไปอยู่ในกระท่อมหลังนั้น

เฟย์ราเริ่มพบว่าบริเวณใกล้เคียงกระท่อมที่พำนักมีสมุนไพรแปลกๆ หลายชนิดที่ในคลังโอสถของวังหลวงมาอ์และห้องเก็บยาสมุนไพรของลูคไม่มี บางอย่างเขาเคยเห็นแต่ในตำราที่ลูคเป็นคนเขียน บางอย่างกระทั่งในตำรายาสมุนไพรของลูคก็ไม่มีบันทึกไว้ เด็กชายจึงเก็บสมุนไพรล้ำค่าเหล่านี้มาทำการทดลองค้นหาสรรพคุณของมันเหมือนที่ลูคเคยทำอย่างกระตือรือร้น

แม้ฝูงนกจะไม่ได้มาส่งเสียงเรียกร้องให้เด็กชายกลายร่างเป็นนกไฟอีก แต่ก็ยังเพียรแวะมาเยี่ยมเยียน บ้างก็คาบเอาผลไม้มาให้ เมื่อเฟย์ราเห็นว่าบางตัวมีบาดแผล เด็กชายก็รักษาให้อย่างดี

ดูเหมือนข่าวจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานจำนวนนกบาดเจ็บที่แวะมาหาก็เพิ่มจำนวนขึ้น จากนั้นจึงเริ่มขยับขยายเป็นสัตว์ขนาดเล็ก เช่น กระรอก กระต่าย ลิง สุดท้ายกระทั่งสัตว์ใหญ่อย่างกวาง หมี และสุนัขป่าก็ยังแวะมา จนกระท่อมน้อยของเฟย์ราแทบจะกลายเป็นสวนสัตว์อยู่รอมร่อ

ระหว่างนี้ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เด็กชายมักจะคิดถึงเรื่องราวของแม่อย่างจริงจัง หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของแม่จากอิชยารอตแล้ว เด็กชายก็คิดมาโดยตลอดว่าเหมือนมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องราวที่อิชยารอตบอกกับเขา อิชยารอตนั้นทราบเพียงสิ่งที่เฟย์ แม่ของเขาอนุญาตให้ทราบ ซึ่งบางทีอาจจะมีเพียงภาพเหตุการณ์เท่านั้นก็เป็นได้ และคำบรรยายทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่อิชยารอตคิดเอาเองจากข้อมูลเกี่ยวกับเฟย์ที่อีกาเฒ่าพอจะทราบมาบ้างแล้ว ดังนั้นสิ่งซ่อนเร้นจึงเป็นสิ่งที่อิชยารอตไม่เคยทราบมาก่อน และเป็นสิ่งที่ตัวเขาต้องคิดต้องค้นหามันด้วยตัวเอง

อิชยารอตไม่รู้จักผู้วิเศษลูค เฟน เป็นการส่วนตัว จึงไม่ทราบอุปนิสัยและความคิดของลูค แต่เฟย์ราอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เกิด จึงทราบดีว่าพ่อรักแม่มากเพียงใดและอ่อนไหวแค่ไหนกับเรื่องของแม่ เขายังเคยคิดว่าหากไม่มีเขา พ่ออาจจะฆ่าตัวตายตามแม่ไปเสียนานแล้ว...

กระทั่งเขาที่เป็นเด็กยังทราบความคิดของพ่อเป็นอย่างดี แล้วแม่ซึ่งเป็นนกไฟผู้รอบรู้ทุกสิ่งมีหรือจะไม่ทราบความคิดนี้ของพ่อ

ที่พ่อยังทนมีชีวิตอยู่ ก็เพราะเป็นห่วงเขาเท่านั้น

บางทีตอนนี้พ่ออาจได้พบกับแม่อีกครั้งสมดังปรารถนาแล้วก็เป็นได้...

 

Admin เข้าร่วมเมื่อ 24 ก.ย. 2561, 19:01

0 ความคิดเห็น