ข้อมูลส่วนตัว
|
ข้อความ
0
|
เข้าสู่ระบบ
/
สมัครสมาชิก
เลือกฟอร์ม
ตัวอย่างนิยายสามชาติสามภพ ย่างก้าวเกิดปทุม
ห้องคุยเรื่อง Honzuki no Gekokujou (หนอนหนังสือยึดอำนาจ)
ศึกจอมขมังเวท
ราชาแห่งราชัน
มนตร์อสูร
จอมนางคู่บัลลังก์
พิภพพญามังกร
BOSS จินตนาการพิสดาร
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย
ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า
หย่งเยี่ย
ม่านม่านชิงหลัว
เรื่องย่อละครสี่องก์
เรื่องย่อวันวานดั่งดอกไม้สองภพชาติ (ชื่อเดิมเดือนปีคือดอกสองชีวิต)
เรื่องย่อ หนอนหนังสือยึดอำนาจ (Honzuki no Gekokujou)
ตัวอย่างศึกจอมขมังเวท
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา
หย่งเยี่ย เล่ม 1
หย่งเยี่ย เล่ม 2
หย่งเยี่ย เล่ม 3
หย่งเยี่ย เล่ม 4
หย่งเยี่ย เล่ม 1 (แก้ไข)
อาหาร-ขนมของจีน
ปรัชญา / สำนวน / วรรณกรรม
เพลงจีนเก่า ๆ
ภาพยนตร์และซีรีส์จีน
สถานที่ท่องเที่ยว
เครื่องแต่งกายของจีน
การนับเวลาของจีน
ประเพณีและวัฒนธรรมของจีน
ตำนานจีน
เชิงอรรถบางส่วนจากเรื่อง หัวซวีอิ่น เพลงพิณแดนนิทรา
ห้องโปรโมทหนังสือ + แจ้งข่าวหนังสือ + กิจกรรมสำนักพิมพ์
ห้องประวัติศาสตร์จีนทั่วไป
ประวัติบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีน
ตำนานต่างๆ ของจีน
ตำราพิชัยสงครามซุนอู่
ห้องส่วนตัวของซีเรีย/หลินโหม่ว
ห้องเล่านิยาย
ห้องเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ
คุยเรื่องหนังสือ
ติดต่อ-สอบถาม-สนทนาเรื่องทั่วไป
หน้าแรก
|
เว็บบอร์ด
|
สินค้าทั้งหมด
|
วิธีการสั่งซื้อ
|
การชำระเงิน
|
การจัดส่ง
|
ติดต่อเรา
หน้าแรก
ห้องโพสต์นิยาย
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 3
เลือกขนาดตัวอักษร :
ก
ก
ก
ก
ก
หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 3
โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:16
.
.
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่หนึ่ง
.
.
เดือนสี่ ทิวทัศน์วสันต์บนภูเขาแสนสดใส จวินซือฝุที่หายตัวไปหกเดือนกลับมาจากนอกภูเขาในที่สุด ซึ่งหมายความว่า อีกไม่นานสองแขนกับลำตัวของข้าจะงอได้เสียที
.
หกเดือนมานี้ ร่างกายข้าคงสภาพพันผ้าพันแผลทั่วทั้งตัวมาโดยตลอด ตอนแรกยังนึกสนุกลอยออกไปหลอกศิษย์ร่วมสำนักให้ตกใจเล่นตอนกลางคืนอยู่หรอก แต่ไม่นานก็พบว่าพวกศิษย์ร่วมสำนักที่โดนหลอกให้ตกใจไปครั้งหนึ่ง โดยทั่วไปยากจะโดนหลอกให้ตกใจซ้ำสอง และตัวข้าก็ระบุได้ยากมากว่าบรรดาศิษย์ร่วมสำนักคนใดบ้างโดนหลอกไปแล้ว คนใดบ้างยังไม่โดนหลอก อันส่งผลโดยตรงให้โอกาสเข้าเป้าของรายการบันเทิงนี้ลดต่ำลงทุกที จึงทำให้ข้าค่อยๆ หมดความสนใจไป
.
สองเดือนให้หลัง ข้าเริ่มจะทนไม่ไหวเสียแล้ว
.
ศิษย์ร่วมสำนักหลายคนเข้าใจว่าข้าทนไม่ไหวที่ต้องพันผ้าลงไปแช่ในถังยาสี่ชั่วยามทุกวัน ความจริงแล้วมิใช่เช่นนั้น การแช่น้ำร้อนดีต่อกายใจ เพียงแต่หลังแช่เสร็จยังต้องหุ้มผ้าพันแผลเปียกโชกรอให้มันแห้งเองตามธรรมชาตินั้นชวนทุกข์ทรมานสุดแสน ความทุกข์ทรมานนี้แปรผกผันเพิ่มทวีขึ้นตามอากาศที่หนาวเย็นลง
.
ภายหลังข้าคิดว่า บรรดาวีรบุรุษผู้หลายชั่วรุ่นจะปรากฏสักรายนั้น ในระหว่างหนทางสู่ความเป็นวีรบุรุษ มักจะได้รับการฝึกฝนด้วยวิธีแปลกพิสดารจากอาจารย์ของพวกท่าน จวินซือฝุจะต้องอาศัยการนี้เคี่ยวกรำความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของข้าเป็นแน่ เมื่อคิดการนี้ตก ถึงแม้ข้างนอกจะเป็นเหมันต์เดือนสิบสองที่น้ำแข็งจับ ข้าก็กัดฟันอดทน ทั้งไม่เคยกล่าวยอมแพ้โดยง่าย แม้ต้องเป็นหวัดเพราะเหตุนี้ก็ตาม
.
อดทนได้ครึ่งปี ผ่านการเป็นหวัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสามารถต้านทานหวัดของข้าได้เพิ่มขึ้นมากจริงๆ เมื่อบอกเรื่องนี้กับจวินซือฝุ ท่านครุ่นคิดเล็กน้อย ตอบว่า “อ๋า...ข้าลืมบอกเจ้าไปเลยว่าข้างโรงอาบน้ำมีเตาไฟไว้ผิงผ้าพันแผลบนตัวเจ้าให้แห้งอยู่ ฮ่าๆๆ...”
.
.
จวินซือฝุคือประมุขของลัทธิจวินอวี่ ลัทธิจวินอวี่ได้รับนามจากภูเขาจวินอวี่ ภูเขาจวินอวี่อยู่ในเขตแดนแคว้นเฉิน กล่าวกันว่าศาสดาผู้เบิกภูเขาตั้งลัทธิมิได้แซ่จวิน แต่แซ่หวาง เกิดมายากจน พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่าหวางเสี่ยวเอ้อร์
.
ต่อมาท่านศาสดาหวางเสี่ยวเอ้อร์ติดตามยอดคนฝึกวิทยายุทธ์ หลังสำเร็จวิชาได้ตั้งลัทธิขึ้นบนเขาจวินอวี่ แต่ทำอย่างไรก็รับศิษย์ดีๆ ไม่ได้สักที ครั้นสืบถามดูค่อยรู้ว่า พอคนอื่นได้ยินว่าศาสดาของลัทธิจวินอวี่มีนามว่า “หวางเสี่ยวเอ้อร์” ก็พากันนึกว่านี่คือชั้นเรียนฝึกอบรมเด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยม ศิษย์ที่รับมาหลังสำเร็จวิชา จะจัดส่งไปยังโรงเตี๊ยมตามที่ต่างๆ ทั่วแคว้นเพื่อทำอาชีพบริการ
.
ศาสดาหวางเสี่ยวเอ้อร์ถูกบีบให้จนใจ ได้แต่ขอให้ครูสอนหนังสือในละแวกใกล้เคียงผู้หนึ่งช่วยเปลี่ยนชื่อให้ท่าน ครูสอนหนังสือทอดตามองสถานการณ์ใหญ่ทั่วหล้า กล่าวว่า แซ่ใหญ่เช่นมู่หรง ซ่างกวน หนานกง เป่ยถัง ตงฟัง ซีเหมินล้วนแต่มีลัทธิแล้ว ตงกัวกับหนานกัวสองแซ่นี้แม้ยังมิได้ตั้งลัทธิ แต่มีผลให้ยี่ห้อถูกข่มให้จางลงได้โดยง่าย ผลลัพธ์ก็เหมือนขนมงาตัดห่านขาวที่ทำอย่างไรก็ขายดีสู้ขนมงาตัดกระต่ายขาวไม่ได้นั่นแล มิสู้หยิบฉวยของใกล้ตัว อยู่กับเขาจวินอวี่ ก็แซ่จวิน และสามารถตั้งแซ่ซ้อนใหม่ได้ แซ่จวินอวี่
.
แต่เมื่อพิจารณาว่าการตั้งแซ่ซ้อนใหม่ต้องไปลงบันทึกกับฝ่ายราชการ ขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนไม่ขอแนะนำ แซ่จวินนี่แหละดีที่สุด อีกทั้งแซ่จวินนี้แค่ฟังก็ช่างเป็นวิญญูชน ช่างมีบุคลิก หวางเสี่ยวเอ้อร์ได้ฟัง ก็จิตใจเบิกบาน เปลี่ยนเป็นแซ่จวินนับแต่นั้นมา ทั้งยังทำตามที่ครูสอนหนังสือแนะนำ เอาสองอักษร “เสี่ยวเอ้อร์” มาแปลตรงตัวตามภาษาโบราณ เป็น “ส้าวซวง” นามเต็มว่า “จวินส้าวซวง”
.
หลังจากหวางเสี่ยวเอ้อร์เปลี่ยนนามเป็นจวินส้าวซวง ก็รับศิษย์ดีๆ จำนวนมากได้จริงๆ แผ่ขยายลัทธิจวินอวี่ให้ยิ่งใหญ่นับแต่นั้นมา จวินซือฝุคือทายาทรุ่นที่เจ็ดของจวินส้าวซวงปรมาจารย์ผู้เบิกภูเขานั่นเอง
.
ข้ารู้จักจวินซือฝุมาแต่ยังเยาว์ เวลานั้นข้ายังคงใช้ชีวิตอยู่ในนิกายวาจาพิสุทธิ์...นิกายประจำแคว้นของแคว้นเว่ย อาจารย์คนแรกในชีวิตข้า...ท่านฮุ่ยอี ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ดี ฟันดีเจริญอาหารดี แม้แต่ถั่วปากอ้าคั่วยังเคี้ยวไหว จวินซือฝุได้พาบุตรชายของท่านมาพำนักที่นอกนิกายวาจาพิสุทธิ์ ในกระท่อมมุงหญ้าหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขาเยี่ยนหุยไปสองหลี่ และมักจะแวะมาชวนซือฝุข้าเล่นหมากล้อมอยู่บ่อยครั้ง
.
ยามซือฝุพาข้าไปชมอาทิตย์อุทัยบนยอดเขา ก็จะรบกวนแวะค้างที่กระท่อมมุงหญ้าของจวินซือฝุหนึ่งคืน กระท่อมของจวินซือฝุมีแค่เตียงเดียว ทุกครั้งที่ข้ากับซือฝุแวะไปรบกวน ข้ามักจะนอนเตียงอยู่คนเดียว พวกเขาสามคนล้วนแต่ปูเสื่อนอนพื้น การนี้ทำให้ข้าชอบแวะไปรบกวนที่กระท่อมของจวินซือฝุเป็นพิเศษ เพราะในยามนั้น ข้าช่างแตกต่างนัก
.
ต่อมา ข้าได้นำความคิดนี้ของตัวเองไปบอกกับจวินเหว่ย จวินเหว่ยก็คือบุตรชายของจวินซือฝุ จวินเหว่ยกล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าธาตุแท้ในกายเจ้าควรจะเป็นเจ้าหญิง มีแต่เจ้าหญิงที่ชอบแตกต่างจากผู้อื่น” แต่ข้าเห็นจะไม่สามารถคล้อยตามความเห็นนี้ของจวินเหว่ย เจ้าหญิงมิได้ชอบแตกต่างจากผู้อื่น ทว่าชินกับการแตกต่างจากผู้อื่น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเหมือนกับเจ้าหญิง และระหว่างชินกับชอบ แตกต่างกันไกลลิบยิ่ง ประการนี้ในหลายปีให้หลังตอนที่ข้าใกล้ตาย ข้าได้ตระหนักอย่างลึกซึ้ง
.
.
ความจริงแล้วจวินเหว่ยเป็นผู้รอบรู้แตกฉานตั้งแต่เรื่องในอดีตจวบปัจจุบัน เขารอบรู้เชี่ยวชาญเรื่องเมียน้อยทุกนางของฮ่องเต้ทุกยุคทุกรัชกาล ถึงขั้นรวมไปถึงรายที่มีความสัมพันธ์ชั่วค่ำคืนเมื่อครั้งปลอมพระองค์เสด็จประพาสแต่กลับไม่ทันได้แต่งกลับวัง
.
ความเห็นของจวินเหว่ยคือ เรื่องในครอบครัวส่งผลต่อเรื่องของบ้านเมือง เรื่องของบ้านเมืองก็คือเรื่องของแผ่นดิน และเรื่องในครอบครัวของฮ่องเต้ โดยทั่วไปล้วนเป็นเรื่องที่บรรดาเมียน้อยก่อขึ้นทั้งสิ้น ความจริงขอเพียงฮ่องเต้ไม่แต่งเมียน้อยก็เป็นอันสิ้นเรื่อง แต่สำหรับคนเป็นฮ่องเต้แล้วแบบนี้มันโหดร้ายทารุณกันเกินไป ฮ่องเต้เห็นว่าจะโหดร้ายทารุณกับตัวเองถึงเพียงนี้ไม่ได้ จึงเลือกที่จะโหดร้ายทารุณกับผู้คนทั่วแผ่นดินแทน
.
แนวคิดของจวินเหว่ยคือ หากบรรดาเมียน้อยของฮ่องเต้ปรองดองกัน เท่ากับว่าทั่วหล้าปรองดองกัน นับแต่นั้นมา ทั้งชีวิตของจวินเหว่ยล้วนทุ่มเทไปกับเรื่องทำอย่างไรให้บรรดาเมียน้อยของฮ่องเต้ปรองดองกัน
.
นอกจากงานใหญ่ตลอดชีพนี้แล้ว จวินเหว่ยยังมีงานอดิเรกอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือเขียนนิยาย แต่งานอดิเรกนี้เป็นที่ดูแคลนของจวินซือฝุอย่างยิ่ง จวินซือฝุอยากให้จวินเหว่ยได้เป็นมือกระบี่ผู้เลื่องลือนามไปทั่วแว่นแคว้น ขอแค่จวินเหว่ยเริ่มเขียนนิยาย ก็จะริบกระดาษต้นฉบับของเขาพร้อมทั้งลงโทษให้เขาคัดลอกตำรากระบี่ ดังนั้นจวินเหว่ยได้แต่ผสานอักษรศาสตร์กับยุทธศาสตร์เข้าด้วยกัน ทำการสร้างสรรค์นิยายในระหว่างคัดลอกตำรากระบี่
.
ท่านจะพบว่าตำรากระบี่ที่ผ่านการคัดลอกโดยจวินเหว่ยมักจะผิดเพี้ยนไปไกลลิบ ตัวอย่างเช่นเขาเขียนว่า “ทุกวันยามทิวา นางใช้สองมือเปลือยเปล่าเปลื้องอาภรณ์อันซับซ้อนทีละชั้นๆ เผยเรือนร่างดุจกระเบื้องเคลือบขาวสะอาดเปิดเปลือยภายใต้แสงตะวัน นั่นคือสถานที่สุดเหน็บหนาว นางนั่งลงบนเตียงน้ำแข็งเย็นอันเรืองประกายยะเยือก หนาว หนาวมาก หนาวอย่างยิ่ง นางนั่งขัดสมาธิอยู่เช่นนั้น หน้าสู่เหนือหลังสู่ใต้ ให้ลมปราณโคจรครบหนึ่งรอบ นางไม่ทราบว่า เบื้องหลังดงเฉียงเวยเหมันต์หนาทึบห่างออกไปสิบจ้าง มีดวงตาดำสนิทคู่หนึ่งกำลังโลมไล้ผิวกายของนางทีละชุ่นๆ”
.
โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครนึกไปถึงว่า ความจริงนี่คือเคล็ดฝึกจิตสี่วรรคในตำรากระบี่ “สุดหนาวยามเที่ยงวัน นั่งลำพังเตียงน้ำแข็ง เปลือยร่างหน้าสู่เหนือ เดินปราณในหนึ่งรอบใหญ่” ต่อมา จวินเหว่ยได้กลายเป็นมือกระบี่ที่เขียนนิยายได้ดีที่สุดและเป็นนักเขียนนิยายที่มีวิชากระบี่สูงส่งที่สุด
.
.
Admin
เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:16
โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:16
0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ชื่อผู้โพสต์ :
*
ระบุตัวอักษรตามรูปภาพ :
ยกเลิก
เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
หน้าแรก
เว็บบอร์ด
สินค้าทั้งหมด