หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 4

โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:17

ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่หนึ่ง (ต่อ)
.
.
เนื่องจากข้าเติบโตมาในนิกายวาจาพิสุทธิ์เพียงลำพัง กฎในนิกายคือบุรุษห้ามไว้ผม ทั้งนิกายสองพันกว่าคน นอกจากข้าแล้วคือบุรุษทั้งสิ้น เป็นเหตุให้ทั้งนิกายวาจาพิสุทธิ์มีแต่ข้าคนเดียวที่ไว้ผมยาว
.
การนี้ทำให้ตอนที่ข้าเริ่มรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเพศ มีอยู่พักใหญ่มากที่ข้าหลงเข้าใจว่า ข้อแตกต่างใหญ่หลวงที่สุดของหญิงกับชายอยู่ที่ผู้หญิงมีผม ส่วนผู้ชายล้วนแต่หัวโล้น ด้วยเหตุนี้แน่นอนว่าข้านึกว่าจวินซือฝุกับจวินเหว่ยต่างเป็นผู้หญิง เนื่องจากความรู้สึกเห็นใจคนเพศเดียวกัน ข้าจึงใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างมาก
.
เป็นธรรมดาอย่างยิ่งที่ว่า ในภายหลังข้าเข้าใจในที่สุดว่าพวกเขาสองพ่อลูกต่างเป็นผู้ชาย แต่ความคิดนั้นได้ฝังรากลึกเสียแล้ว เป็นเหตุให้ชีวิตนี้ข้าไม่อาจเผชิญหน้ากับจวินเหว่ยด้วยความคิดจิตใจเช่นชายหญิงคบหากันได้อีก และถือจวินเหว่ยเป็นเจี่ยเม่ยของข้ามาโดยตลอด เรื่องราวที่เดิมควรจะเป็นเหมยเขียวม้าไผ่ กลับถูกข้าบิดเบือนกลายเป็นเหมยเขียวเหมยเขียวไปเสียแล้ว
.
ตอนสามขวบ ข้าได้ทราบโดยบังเอิญว่าตัวข้าคือเจ้าหญิงของแคว้นเว่ย แต่ข้ามีปฏิกิริยานิ่งสนิทกับเรื่องนี้ เหตุผลสำคัญคือ ด้วยสติปัญญาของข้า ตอนนั้นไม่ได้รู้หรอกว่าเจ้าหญิงคือตัวอะไร จวินเหว่ยแก่กว่าข้าหนึ่งปี รู้มากกว่าหน่อย เขาบอกว่า “อันว่าเจ้าหญิงนั้น ความจริงก็คือชนชั้นอภิสิทธิ์อย่างหนึ่ง”
.
ข้าถามว่า “อภิสิทธิ์คืออะไร?”
.
จวินเหว่ยบอกว่า “ก็คือเรื่องที่เจ้าอยากทำก็สามารถทำได้ เรื่องที่ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำได้”
.
เมื่อได้ฟังที่จวินเหว่ยพูดแล้ว เที่ยงวันนั้นข้าไม่ได้ล้างจาน ตอนค่ำก็ไม่ได้ซักผ้า ผลคือถูกซือฝุลงโทษให้คุกเข่าในศาลบรรพบุรุษถึงเที่ยงคืน
.
นับแต่นั้นมา ข้าก็ลืมเรื่องที่ตัวข้าคือเจ้าหญิงไปโดยสิ้นเชิง และในปีเดียวกันนั้นเอง ซือฝุเห็นว่าปัญญาข้าเริ่มเปิด จึงเริ่มลงมือสอนพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดให้แก่ข้าอย่างเป็นทางการ เจตนาของซือฝุคือ ชีวิตคนในโลกหล้า มีสิ่งให้ยึดเหนี่ยวจิตใจสักอย่างย่อมจะดีอยู่
.
หากข้าสามารถเชี่ยวชาญทุกอย่างได้ ย่อมจะดีที่สุด นับว่าได้อบรมสั่งสอนข้าจนเป็นปรมาจารย์
.
หากข้ารู้กระจ่างแค่หนึ่งในนั้น นั่นก็ไม่เลว อย่างน้อยก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
.
หากไม่รู้เลยสักอย่าง รู้แค่อย่างละนิด อย่างน้อยก็เป็นนักจับฉ่าย
.
ข้าถามซือฝุว่า “ถ้าเกิดว่าวันหน้าข้าไม่แค่ไม่เชี่ยวชาญ ทั้งยังสงสัยความหมายของการเรียนสิ่งเหล่านี้เล่า?”
.
ซือฝุพึมพำว่า “นักปรัชญา จะดีจะชั่วก็เป็น ‘นัก’ ละนะ...”
.
ไม่ทราบเพราะเหตุใด ทั้งที่จวินเหว่ยไม่ได้กราบซือฝุเป็นอาจารย์แท้ๆ กลับได้ติดตามเรียนวิชาพร้อมกับข้า คำอธิบายแบบทางการของซือฝุคือ วิชาความรู้นั้นไม่มีเขตแคว้น ไม่แบ่งแยกสำนักอาจารย์ คำอธิบายที่จวินเหว่ยบอกข้าแบบส่วนตัวคือ เตี่ยเขาให้โสมพันปีสิบต้นแก่ซือฝุ
.
จริงๆ ด้วย วิชาความรู้นั้นไม่มีเขตแคว้น เขตแคว้นนั้นซื้อกันได้
.
เรียนหนังสือพร้อมกับจวินเหว่ย เขียนพู่กันวาดภาพนั้นยังพอทน แต่ตอนดีดพิณนี่สิสุดจะทรมาน เมื่อแรกเรียนพิณ ข้ากับจวินเหว่ยมีพิณคนละคัน แยกกันนั่งสองมุมห้องพิณดีดพิณเข้าใส่กัน ผลลัพธ์โดยตรงคือ ในวัยที่ข้ายังไม่เข้าใจว่าปลายเสียงทอดอ้อมขื่อสามวันไม่เลือนจางคือเช่นไรนั้น ข้าได้เข้าใจกระจ่างเสียก่อนแล้วว่าเสียงมารทะลวงโสตกัดกระดูกกร่อนวิญญาณคือเช่นไร
.
ข้ากับจวินเหว่ยต่างคนต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายดีดพิณได้แย่มากไร้ที่เปรียบ ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ทรมานสุดแสน จึงมุ่งมั่นสร้างเสียงที่ยิ่งพิสดารเหลือเชื่อกว่าเพื่อทำให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมานเป็นเท่าทวี ใช้สิ่งนี้เป็นการแก้แค้น ในความทรงจำของข้า พิณคืออาวุธฆ่าคน มิใช่เครื่องดนตรี นี่แหละคือเหตุผลว่าเหตุใดข้าฝึกใช้พิณฆ่าคนจนเป็นได้ แต่ฝึกใช้พิณช่วยคนไม่เป็นจนแล้วจนรอด เป็นเพราะบาดแผลฝังใจที่จวินเหว่ยทิ้งไว้ให้ข้าทั้งสิ้น และหลังจากที่ข้าฝึกฆ่าคนจนเป็นแล้ว ผู้ที่ต้องการอาศัยเสียงพิณของข้าช่วยให้รอดตาย ได้ตายจากไปจนหมดสิ้น
.
.
ตอนอายุได้สิบขวบ ข้าเก็บลูกเสือที่เพิ่งจะลืมตาตัวหนึ่งได้ เสือตัวนี้ติดตามข้ามาตลอดชีวิต แสดงออกอย่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ถึงความจงรักภักดีของสัตว์เดรัจฉาน แม้ว่าย้อนนึกถึงปีนั้น เจตนาเดิมที่ข้ากับจวินเหว่ยเก็บมันมาก็แค่เพื่อจะกินมันเท่านั้น เวลานั้นสบจังหวะที่เตี่ยของจวินเหว่ยถูกซือฝุข้ากล่อมสำเร็จ ตั้งปณิธานเป็นนักคุ้มครองสัตว์พอดี ทั้งยังทุ่มเทปฏิบัติ ทำเอาจวินเหว่ยไม่ได้รู้รสเนื้อไปสามเดือน ส่วนตัวข้าอยู่ในนิกายประจำชาติน้อยมากจะได้กินเนื้อสัตว์ จึงเป็นช่วงเวลาที่เราสองคนโหยหาเนื้อสัตว์มากที่สุดพอดี
.
ในภายหลังเหตุที่กินไม่สำเร็จ เป็นเพราะพวกเราเห็นว่ายังเลี้ยงมันให้โตกว่านี้อีกหน่อยได้ แบบนั้นก็จะสามารถทั้งนึ่งทั้งต้มทั้งตุ๋นแถมด้วยผัด ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีเหลือด้วยซ้ำล้วนๆ มานึกดูในตอนนี้ ที่สามารถข่มกลั้นตัณหาไม่ฆ่าเสี่ยวหวงทิ้งปิ้งกินคาที่ ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อเสียนี่กระไร เสี่ยวหวงคือชื่อของเสือตัวนั้นเอง
.
ต่อมาหลังผ่านการประเมิน พบว่าพันธุ์เสือที่เสี่ยวหวงสังกัดโด่งดังล้ำค่าอย่างยิ่ง ข้ากับจวินเหว่ยต่างดีใจมาก เห็นว่าเอามันไปขายได้ เท่านี้พวกเราก็จะรวยกันแล้ว แต่จนใจที่หาลู่ทางขายไม่ได้ ได้แต่ตัดใจทั้งอย่างนั้น
.
รอจนตอนที่มีลู่ทางขาย ข้ากับจวินเหว่ยต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ พากันกลายเป็นคนมีเงินไปแล้ว ไม่ต้องเอาเสี่ยวหวงไปแลกเป็นเงินอีก การนี้ทำให้พวกข้าสะท้อนใจยิ่งนักว่า ชีวิตคนคงเป็นเช่นนี้เสียส่วนมาก หนทางร่ำรวยมักจะลำบากเสมอ
.
โชคชะตาบันดาลให้ทุกครั้งยามประสบเรื่องใหญ่ ข้ามักจะตกอยู่ตามลำพังเสมอ ทั้งยังต้องบาดเจ็บอีกด้วย
.
ซือฝุกล่าวว่า “เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า ฟ้าจักประทานกิจใหญ่แก่คนผู้นี้ไซร้ จักเคี่ยวกรำจิตอุดมการณ์ เคี่ยวกรำเส้นเอ็นแลกระดูก...”
.
ข้าพอจะนึกภาพออกได้ว่า ภารกิจใหญ่หลวงที่สุดที่ฟ้าประทานให้แก่ตัวข้า ไม่มีใดเกินรอจนซือฝุตายแล้วสืบทอดตำแหน่งของท่าน เป็นประมุขนิกายรุ่นถัดไป แต่ต่อมาจวินเหว่ยได้ขโมยกฎนิกายออกมาให้ข้าดู ในกฎนิกายเขียนบัญญัติไว้ชัดเจนว่าสตรีและบัณเฑาะว์ล้วนห้ามรับตำแหน่งสำคัญภายในนิกายประจำชาติ ด้วยเหตุนี้จึงได้ดับหนึ่งความฝันของข้าไป
.
คนมากมายหลังจากที่ความฝันดับสลาย ก็หลงเดินทางผิดอย่างรวดเร็ว ที่เชิงเขาเองก็มีมือสังหารอยู่ผู้หนึ่ง เนื่องจากผลงานไม่ดีจึงถอนตัวจากยุทธจักร เปลี่ยนอาชีพไปฆ่าหมู ยังมีนักศึกษาอีกผู้หนึ่ง หลังจากสอบตกเคอจวี่ ก็เปลี่ยนไปเขียนนิยายลามกควบอาชีพวาดภาพวังวสันต์ แต่ข้าคิดมาโดยตลอดว่าการฝันกับการแต่งภรรยานั้นมีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ของเก่าไม่ไปของใหม่ไม่มา อีกทั้งของใหม่ยังมักจะดีกว่าของเก่าเสมอ การที่ความฝันเก่าดับสลายเป็นเพราะความฝันใหม่ใกล้จะมาเยือน และนี่เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การฉลอง ไม่มีเหตุผลให้ต้องห่อเหี่ยวใจโดยสิ้นเชิง
.
ข้าบอกกล่าวความคิดนี้ต่อจวินเหว่ย เขานิ่งใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง เห็นว่ามีเหตุผล ตกบ่ายจึงลงไปที่เชิงเขากล่าวปลอบใจช่างไม้แซ่หวางซึ่งภรรยาเพิ่งจะตายจากไปว่า “ที่เมียเจ้าตายไปนั้นเป็นเพราะว่ากำลังจะมีเมียใหม่มาแต่งงานกับเจ้า เมียคนใหม่ต้องดีกว่าเมียคนเก่าของเจ้าอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก เจ้าทำหน้าดีใจหน่อยเถิด อย่าเศร้าเสียใจปานนี้เลย” และถูกช่างไม้หวางแกว่งไม้กวาดไล่ตะเพิดไปครึ่งถนน
.
จวินเหว่ยไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งยังเจ็บปวดอยู่บ้าง ข้าปลอบใจเขาว่า “ผู้คนในโลกหล้าล้วนเคยชินกับการแสดงด้านที่ดุร้ายเมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเพื่อปิดบังความเขินอายภายในใจกันทั้งนั้น”
.
ในคืนที่ความฝันจะเป็นประมุขนิกายดับสิ้นลง ที่ข้าทำคือแวบหลบออกจากประตูนิกายในยามโพล้เพล้ มุ่งหน้าเข้าป่านั่งสมาธิยิงนกพิราบ ปรับเปลี่ยนอารมณ์ เสาะหาแรงบันดาลใจ สร้างความฝันใหม่ สร้างความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง จากการนี้จึงสามารถดูออกได้ว่า ข้าถือเป็นคนที่กระตือรือร้นใฝ่ก้าวหน้าเลยทีเดียว
.
นอกจากนี้แล้ว ความกระตือรือร้นเช่นนี้ยังแสดงออกในชีวิตส่วนตัวบางเรื่องอีกด้วย ตัวอย่างเช่นข้าไม่เคยนึกสงสัยแต่สักนิดมาโดยตลอดว่า หากในวันหน้าตัวข้ามีสามี และเขาโชคร้ายตายไปก่อนข้า ข้าจะต้องเก็บข้าวของออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่มหาสหัสภพไปเสาะหาสามีคนใหม่ทันทีในคืนที่เขาสิ้นใจเป็นแน่
.
และในค่ำคืนที่ความฝันหยุดลงนั้น ข้าถูกจวินซือฝุแพร่เชื้อความคิดใส่ หลงนึกไปเองด้วยความเคยชินว่าสามีในอนาคตของข้าจะต้องเป็นจวินเหว่ยอย่างแน่นอน จึงมักจะมองดูจวินเหว่ยที่ร่าเริงแจ่มใสอย่างกลัดกลุ้มกังวลสุดแสน คิดในใจว่า โธ่เอ๋ย เหตุใดข้าถึงได้ออกจากบ้านไปหาวสันต์ที่สองในทันทีที่คนตรงหน้าผู้นี้เพิ่งจะสิ้นลมได้ลงคอกันหนอ
.
โชคดีที่ความคิดนี้ดำเนินไปถึงแค่ตอนที่ข้าอายุได้สิบสี่ปี ในคืนเดือนกลางคิมหันต์ที่ข้าตั้งใจจะสร้างความฝันขึ้นมาใหม่นี้
.

Admin เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:17

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น