หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 5

โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:19

.
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่หนึ่ง (ต่อ)
.
.
สำหรับคืนเดือนกลางคิมหันต์ มีถ้อยคำอันงดงามทั้งปวงสามารถนำมาใช้พรรณนา ทว่าถ้อยคำที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดกลับมักจะโหดร้าย กล่าวกันว่าในคืนเดือนกลางคิมหันต์งูพิษจะดุร้าย ในนิกายมีศิษย์สามคนแล้วที่ตายเพราะงูกัดเนื่องจากออกไปข้างนอกในช่วงเวลานี้ จึงหวังให้ศิษย์ทุกคนถือเป็นอุทาหรณ์ ต่างคนต่างระวังตัวเองให้ดีๆ
.
ข้าอายุเยาว์ มักเชื่อเสมอว่าตัวเองนั้นพิเศษมาก ไม่มีทางซ้ำรอยตาคนดวงซวยสามคนนั้นเด็ดขาด ออกไปข้างนอกหนนี้จึงไม่ได้พกกำมะถันไปด้วย มานึกดูในตอนนี้ ศิษย์พี่ทั้งสามคนที่ตายเพราะงูกัดในปีนั้นต้องคิดว่าตัวเองพิเศษมากเหมือนกันเป็นแน่ ทุกคนต่างคิดเอาเองว่าตัวเองนั้นพิเศษ แต่ในสายตาของคนอื่นแล้วไม่ได้พิเศษอะไรเลย ในสายตาของงูด้วยแล้วยิ่งไม่ได้พิเศษเข้าไปใหญ่
.
คาดว่าสำหรับบรรดางูพิษแล้ว มีแต่คนที่พกกำมะถันเท่านั้นที่พิเศษ ยามยังเยาว์เรามักจะไขว่คว้าหาส่วนที่แตกต่างจากผู้อื่น ครั้นเติบใหญ่กลับมักจะไขว่คว้าหาส่วนที่เหมือนกับผู้อื่น หากสามารถสลับกันได้ ไยมิใช่พอดี? อย่างน้อยไม่แน่ว่าสามชีวิตของศิษย์พี่ทั้งสามอาจจะสามารถรักษาเอาไว้ได้ แม้ต้องกลายเป็นมนุษย์ผักก็ตามที และในฐานะที่เป็นคนไม่พกกำมะถันเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้างูพิษปฏิบัติต่อข้าอย่างเท่าเทียมยิ่ง
.
งูเขียวหางไหม้ท้องเหลืองตัวเล็กจ้อยตัวหนึ่งกัดใส่น่องของข้าโดยแรง น้ำพิษไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างผ่านทางกระแสเลือด ข้าโงนเงนอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ เอนล้มลง ในระหว่างที่สติรับรู้พร่าเลือน ในที่สุดก็รู้แจ้งถึงเหตุผลที่ย่อหน้าก่อนสาธยายไว้ ถัดมายังย้อนนึกว่าภาพวัดโบราณกลางภูที่วาดอยู่สองวันภาพนั้นเข้ากรอบเรียบร้อยแล้วหรือยัง หลังจากย้อนนึกเสร็จเห็นว่าชีวิตไม่มีใดให้อาลัย พักผ่อนอย่างสงบได้แล้ว จึงหลับตาลงรอคอยความตายอย่างสงบ และลืมตาไม่ขึ้นอีก
.
ในจังหวะนั้นเอง เสียงแผ่วเบาของรองเท้าย่ำใบไม้ร่วงกิ่งไม้แห้งดังจากไกลเข้ามาใกล้ หยุดลงตรงข้างกายข้า แขนคู่หนึ่งช้อนร่างข้าอุ้มลอยขึ้น กลิ่นหอมเย็นของดอกเหมยลอยมากระทบจมูก พอจะนึกภาพได้ถึงแสงดาวพราวพร่าง ราตรีเงียบสงัด ทั่วทั้งสันเขาและหุบเขานั้น คือดอกเหมยที่ผลิบานบนภูสูงในเดือนยี่
.
.
ยามตื่นขึ้นมาข้ารู้สึกว่าเลือดในกายไหลพลุ่งพล่าน ลงไปรวมที่ท้องน้อยพร้อมกัน มือลูบไปบนเอี๊ยม ปวดอุ่นๆ เป็นพักๆ ตรงข้อเท้าตำแหน่งที่ถูกงูกัดชาเห่อไร้ความรู้สึก แต่กลับมีวัตถุอุ่นนุ่มแนบอยู่ ส่วนหัวเข่ากำลังงอ น่องถูกของบางอย่างพยุงขึ้นกลางอากาศ เหมือนจะเป็นเชือกหนังที่ขึงตึงเส้นหนึ่ง ความรู้สึกโดยรวมทั่วทั้งร่างแปลกพิลึกถึงเพียงนี้ ข้าอดไม่ได้ต้องลืมตาขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผลคือลืมตาหันหน้าไป กลับได้เห็นภาพที่ทำเอาตกใจแทบตาย สภาพแวดล้อมคือถ้ำแห่งหนึ่ง เตียงศิลาเตียงหนึ่ง ข้านอนอยู่บนเตียงศิลานี้ และภายใต้แสงจันทร์สีขาว น่องข้างขวากำลังถูกชายผู้หนึ่งกุมไว้ในมือแน่น
.
นิ้วมือเขาเรียวยาวขาวผ่อง จำแนกจากท่วงท่าและสัมผัส ที่แนบสนิทอยู่ตรงปากแผลบนข้อเท้าคือปากของเขานั่นเอง มุมมองของข้ามองเห็นแค่เพียงใบหน้าด้านข้างของเขา อีกทั้งใบหน้าด้านข้างนี้ยังถูกผมบังไว้เสียส่วนใหญ่ ทำให้นึกอยากจะเกี่ยวผมของเขาออกขึ้นมาทันใด เขาไม่ได้รู้ตัวว่าข้าตื่นแล้ว สวมชุดสีเขียวเข้มตลอดทั้งร่าง เพียงนั่งเงียบๆ อยู่ริมเตียงศิลา ปากแนบอยู่กับข้อเท้าของข้า แขนเสื้อกว้างและยาวเกาะไถลลงมาตามน่องของข้าที่เขายกขึ้น เมื่อก้มหน้าสามารถเหลือบเห็นบนแขนเสื้อมีลายปักอันซับซ้อนสีเดียวกับแขนเสื้อ
.
ทุกสิ่งรอบด้านต่างสิ้นสีสัน มืดสลัวมิอาจเพ่งมองได้ชัด เส้นผมดำสนิทของเขาปัดผ่านหลังเท้าข้า พอจะนึกออกได้ว่าหากมิใช่สภาพการณ์เช่นนี้ การพบพานของสาวน้อยงามอรชรกับคุณชายผู้สง่างาม ควรจะต่อเนื่องลื่นไหลดุจอักษรหวัดของปรมาจารย์ภาพอักษร และเป็นธรรมดาอย่างยิ่งที่ข้าจะหลงเข้าใจเอาเองว่าถูกลวนลาม จึงถีบเขาไปหนึ่งเท้าทันที หนึ่งเท้านี้ออกแรงมากเกินไป ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ บางส่วนบนร่างกายที่ยากจะเอ่ยอธิบายเลือดพลันพุ่งทะลักในบัดดล
.
ข้ากับเขาพบพานกันครั้งแรก ถีบใส่เขาไปหนึ่งที ผลคือถีบจนระดูแรกของข้ามา
.
เขาย่อมจะไม่ถูกถีบใส่ ได้ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียนก่อนที่เท้าขวาของข้าจะพลันออกแรงกะทันหัน เห็นได้ว่าท่าร่างของเขานั้นเลิศล้ำ และข้าไม่ได้สังเกตเห็นโดยสิ้นเชิงว่าเขาเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่ายืนอย่างปุบปับได้อย่างไร เห็นได้ว่าท่าร่างของเขานั้นเลิศล้ำจริงๆ ข้าหรี่ตามองดูเขา ท่ามกลางแสงจันทร์สีขาวที่สาดส่องเข้ามาทางปากถ้ำ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ผ่าเผย หน้ากากสีเงินบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งตั้งแต่ส่วนบนของสันจมูกไปจนจดหน้าผาก ด้านล่างของหน้ากากริมฝีปากบางเฉียบเย็นชา เส้นแนวคางงามได้ส่วน
.
เงียบกริบไปชั่วครู่
.
เขาเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนปากทิ้ง เรียวปากโค้งขึ้นน้อยๆ “ยายหนูที่ร้ายกาจนัก ข้าช่วยชีวิตเจ้า เจ้ากลับเนรคุณรึ”
.
แต่ข้าถูกการตกเลือดอย่างหนักของร่างกายทำเอาเสียขวัญ ไม่อาจกล่าวคำอธิบายใดๆ ออกมาได้ อ้าปากปุบก็ร้องไห้โฮลั่น แถมในระหว่างที่ร้องไห้โฮ ได้ออกแรงตรงท้องน้อยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายช่วงล่างค่อยๆ มีรอยเลือดซึมเลอะกระโปรง เอ่อออกมาชั้นแล้วชั้นเล่า ยิ่งย้อมยิ่งร้ายแรง แล้วที่ทำให้สุดจะทนไหวมากที่สุดคือ วันนั้นข้าสวมกระโปรงสีขาว สายตาของเขาค่อยๆ มาจับอยู่ตรงกระโปรงของข้า นิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ เอ่ยว่า “น้ำระดู?”
.
ข้าพูดปนสะอื้นว่า “ขอบคุณ ข้าไม่หิวน้ำ แต่ข้าอาจจะป่วยเป็นโรคตกเลือด กำลังจะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”
.
เขาสังเกตดูกระโปรงของข้าต่ออีกครู่หนึ่ง กระแอมหนึ่งที “เจ้าไม่ตายหรอก เจ้าแค่ระดูมาเท่านั้น”
.
ข้าไม่เข้าใจอย่างยิ่ง “ระดูมาคืออะไรหรือ?”
.
เขาลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้เดิมทีควรให้แม่ของเจ้าเป็นผู้บอกเจ้า”
.
ข้าพูดว่า “เกอเกอ ข้าไม่มีแม่ ท่านบอกข้าเถอะ”
.
ช่างนึกภาพได้ยากยิ่งว่า ข้าจะได้รับความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับระดูจากชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันโดยสิ้นเชิง แต่จะนึกภาพได้ยากยิ่งกว่าหากให้ซือฝุท่านผู้เฒ่าเป็นคนบอกข้าด้วยตัวเอง ว่าตอนที่ท่านพูดว่า “อันว่าระดูนั้น หมายถึงการที่มดลูกมีเลือดออกมาอย่างมีกฎเกณฑ์ มีช่วงเวลาประจำ...” นั้น จะทำหน้าอย่างไร แม้แต่สวรรค์ยังเห็นว่าการนี้ออกจะลำบากผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบเก้าปีเกินไปแล้ว มิอาจไม่ยืมปากของผู้อื่นพูดแทน
.
.
เขาบอกว่าเขาชื่อมู่เหยียน แน่นอนว่านี่ไม่มีทางใช่ชื่อจริงของเขา สมมุติว่าคนผู้หนึ่งสวมหน้ากากบนใบหน้า ชื่อย่อมต้องสวมหน้ากากด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสูญเสียความหมายของการปิดบังใบหน้า
.
ส่วนที่ข้าบอกเขาว่าข้าชื่อจวินฟู่กุ้ย เป็นเพราะกังวลเผื่อว่าคนผู้นี้จะเป็นศัตรูของเตี่ยที่ข้าไม่เคยพบหน้าคนนั้น เกิดได้รู้ขึ้นมาว่าข้าคือบุตรสาวของเตี่ยข้า จะโกรธจัดจนฆ่าข้าระบายความแค้นล้วนๆ ในประวัติศาสตร์มีตัวอย่างมามากมาย ที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าหญิงหลายต่อหลายคนต่างเคยถูกเตี่ยของพวกนางทำให้พลอยเดือดร้อนถึงตาย ที่ดีหน่อยก็ถูกทำให้ต้องแต่งงานกับสามีซึ่งผิดจากที่คาดหวังไว้ไกลลิบ ส่งผลให้ชีวิตสมรสทั้งชีวิตต้องอาภัพ
.
เช่นนี้เอง พวกเราพักอยู่ในถ้ำกันสี่ห้าวัน น้ำที่ดื่มคือน้ำพุนอกถ้ำ ของที่กินคือปลาสารพัดชนิดที่เกิดเองตามธรรมชาติในน้ำพุ ฟังว่าข้าไม่สามารถกลับไปในทันทีได้ เนื่องจากยังถอนพิษไม่หมด และมู่เหยียนบอกว่า ช่วยคนช่วยถึงที่สุด ส่งพระส่งถึงประจิม การเลิกล้มกลางคันไม่ใช่นิสัยของเขา
.
ทุกวันข้าต้องกินยาชนิดหนึ่ง จากนั้นกรีดมีดเป็นแผลบนข้อมือหนึ่งแผล ปล่อยเลือดออกครึ่งจอก ในตอนที่ข้าปล่อยเลือด ปกติมู่เหยียนจะนั่งดีดพิณอยู่ข้างโต๊ะหินหน้าเตียง พิณคือพิณเจ็ดสาย สายทำจากเส้นไหม ดีดออกมาเป็นท่วงทำนองอันอิ่มเอิบ มีสรรพคุณช่วยระงับปวด ทุกครั้งที่มู่เหยียนดีดพิณ ข้ามักจะนึกถึงจวินเหว่ย รวมถึงฝีมือดีดพิณของเขาที่ทำให้ได้ฟังปุบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป จากนั้นนึกเสียดายที่ไม่สามารถให้จวินเหว่ยมาลองฟังสำเนียงสวรรค์ที่คนตรงหน้าท่านนี้ดีดบรรเลงออกมาได้ จวินเหว่ยจะได้ทั้งโกรธทั้งอายจนฆ่าตัวตายไปซะ และไม่อาจทิ้งเภทภัยให้ชนชาวโลกได้อีก

Admin เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:19

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น