ข้อมูลส่วนตัว
|
ข้อความ
0
|
เข้าสู่ระบบ
/
สมัครสมาชิก
เลือกฟอร์ม
ตัวอย่างนิยายสามชาติสามภพ ย่างก้าวเกิดปทุม
ห้องคุยเรื่อง Honzuki no Gekokujou (หนอนหนังสือยึดอำนาจ)
ศึกจอมขมังเวท
ราชาแห่งราชัน
มนตร์อสูร
จอมนางคู่บัลลังก์
พิภพพญามังกร
BOSS จินตนาการพิสดาร
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย
ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า
หย่งเยี่ย
ม่านม่านชิงหลัว
เรื่องย่อละครสี่องก์
เรื่องย่อวันวานดั่งดอกไม้สองภพชาติ (ชื่อเดิมเดือนปีคือดอกสองชีวิต)
เรื่องย่อ หนอนหนังสือยึดอำนาจ (Honzuki no Gekokujou)
ตัวอย่างศึกจอมขมังเวท
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา
หย่งเยี่ย เล่ม 1
หย่งเยี่ย เล่ม 2
หย่งเยี่ย เล่ม 3
หย่งเยี่ย เล่ม 4
หย่งเยี่ย เล่ม 1 (แก้ไข)
อาหาร-ขนมของจีน
ปรัชญา / สำนวน / วรรณกรรม
เพลงจีนเก่า ๆ
ภาพยนตร์และซีรีส์จีน
สถานที่ท่องเที่ยว
เครื่องแต่งกายของจีน
การนับเวลาของจีน
ประเพณีและวัฒนธรรมของจีน
ตำนานจีน
เชิงอรรถบางส่วนจากเรื่อง หัวซวีอิ่น เพลงพิณแดนนิทรา
ห้องโปรโมทหนังสือ + แจ้งข่าวหนังสือ + กิจกรรมสำนักพิมพ์
ห้องประวัติศาสตร์จีนทั่วไป
ประวัติบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีน
ตำนานต่างๆ ของจีน
ตำราพิชัยสงครามซุนอู่
ห้องส่วนตัวของซีเรีย/หลินโหม่ว
ห้องเล่านิยาย
ห้องเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ
คุยเรื่องหนังสือ
ติดต่อ-สอบถาม-สนทนาเรื่องทั่วไป
หน้าแรก
|
เว็บบอร์ด
|
สินค้าทั้งหมด
|
วิธีการสั่งซื้อ
|
การชำระเงิน
|
การจัดส่ง
|
ติดต่อเรา
หน้าแรก
ห้องโพสต์นิยาย
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 6
เลือกขนาดตัวอักษร :
ก
ก
ก
ก
ก
หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 6
โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:20
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่หนึ่ง (ต่อ)
.
.
ในห้าวันนี้ ข้านึกอยากจะตะกุยหน้ากากบนใบหน้าของมู่เหยียนออกอย่างมาก ดูว่าโฉมหน้าภายใต้หน้ากากนั้นเป็นอย่างไรอยู่ตลอด แต่ครั้นนึกถึงว่าอาจจะลงเอยด้วยการถูกเขาฟันตาย ก็ไม่กล้าก่อเรื่องโดยง่ายดายจริงแท้ นี่คือความสอดรู้ของมนุษย์เป็นเหตุล้วนๆ บางครั้งมีบางเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านเลย กลับต้องรู้กระจ่างให้ได้ ช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ
.
บ่ายวันที่หก ข้ารู้สึกว่าบาดแผลที่ขาเกือบจะหายดีแล้ว สามารถยืนตรงเดินเหินได้แล้ว มู่เหยียนเลิกขากางเกงข้าขึ้นพินิจดูอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ไม่ต้องปล่อยเลือดต่อแล้ว รุ่งเช้าวันพรุ่งข้าจะส่งเจ้ากลับไปก็แล้วกัน”
.
ไม่นึกเลยว่าการแยกจากจะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ ประเด็นสำคัญคือยังถอดหน้ากากเขาไม่สำเร็จเลย ข้าทำใจยอมรับไม่ได้ไปชั่วขณะ นิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
.
เขาพูดว่า “ไม่อยากไป?”
.
ข้าส่ายหน้าเอ่ยว่า “มิได้ๆ แต่ว่า...เกอเกอ ท่านไม่ไปกับข้าด้วยหรือ? ถ้ำนี้ไม่ได้มีของสักกี่ชิ้น ท่านก็ดูไม่เหมือนว่าจะพักอยู่ที่นี่นาน”
.
เขาพึมพำว่า “ข้าไม่ไป ข้าต้องอยู่ที่นี่”
.
ข้าพูดว่า “แต่ท่านจะอยู่ที่นี่ไปทำไมกันหรือ ท่านตัวคนเดียว ไม่มีใครคุยเป็นเพื่อนท่าน และไม่มีใครฟังท่านดีดพิณด้วย”
.
เขาก้มหน้ากรีดสายพิณ “รอคน ข้ากลัวว่าข้าไปแล้ว คนที่ข้าต้องรอจะหาข้าไม่พบน่ะสิ”
.
ข้าตกอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนในทันใด ถามต่อไปก็เหมือนเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของผู้คนอื่น ไม่ถามต่อก็หาหัวข้อมาเปลี่ยนเรื่องไม่ได้ไปชั่วขณะ
.
ข้าพูดว่า “เรื่องนี้...”
.
มู่เหยียนได้ลุกขึ้นยืนจากหน้าโต๊ะหิน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พูดถึงก็มาเลยเทียว วันนี้ข้าช่างโชคดีเสียจริง”
.
ข้าเงยหน้าขึ้นมอง ตรงปากถ้ำสูงกว้าง ไม่ทราบมีคนชุดดำปิดหน้ากลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ชั่วพริบตาที่ข้ามองไปทางพวกเขา คนเหล่านั้นพากันเผยอาวุธของตัวเองออกมา ท่าชักอาวุธเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกับเสื้อผ้าของพวกเขา เห็นได้ว่านี่คือกองกำลังที่มีวินัย และที่หาได้ยากคือ อาวุธที่ชักออกมาก็เป็นหนึ่งเดียวยิ่ง เคียวเปล่งประกายวาววับเล่มแล้วเล่มเล่าเรียงรายอย่างเป็นระเบียบยิ่ง
.
แน่นอน ในภายหลังข้ารู้ว่าของพวกนี้แม้จะหน้าตาเหมือนเคียว ความจริงแล้วมีชื่อทางวิชาการอยู่ เรียกว่าดาบโค้ง แค่เรียกต่างกันเท่านั้น ชื่อแรกไว้ใช้ตัดหญ้า ชื่อหลังไว้ใช้ตัดหัวคน
.
เนื่องจากข้าน้อยครั้งจะลงจากเขา มิได้รู้เห็นเรื่องโลกภายนอก ถูกเคียวสิบกว่าเล่มเรียงเป็นแถวหน้ากระดานเบื้องหน้าข่มขวัญจนกระถดถอยไปข้างหลังอย่างลืมตัว มู่เหยียนสืบเท้าไปบังข้าไว้ ยืนอยู่ข้างหน้าข้าอย่างสง่างาม ข้ากล่าวอย่างกังวล “ท่านมีเจ้านั่นหรือไม่?”
.
ไม่รอให้เขาเอ่ยตอบ เคียวสิบกว่าเล่มนั้นได้ชิงจู่โจมใส่ มู่เหยียนผลักข้าออกไป กระโดดทะยาน ชุดผาวสีเขียวเข้มวนสลับไปมาระหว่างชุดดำกับคมเคียวขาว ข้าดูจนตาลายพร่าพราย
.
เขาเคลื่อนไหวเร็วจนผิดปกติ ข้าไม่กล้าแม้แต่ขยับขนตา ยังพอเห็นชัดเจนแค่การเคลื่อนไหวท่าสองท่าของเขานานๆ ครั้ง เช่นกุมข้อมือคนชุดดำคนไหนสักคนจากข้างหลังหมับ เบี่ยงตัวพาคนชุดดำนั้นหมุนไปครึ่งรอบ เคียวในมือก็ไปปาดคอคนชุดดำข้างหลังอีกรายที่ตั้งใจจะฟันใส่เขาขาดพอดี เลือดสดๆ สาดกระเด็น เขายังขยับเลี่ยงไปด้านข้าง ๒-๓ ก้าวได้ทันหลบเลือดที่กระเซ็นใส่กะทันหันอีกต่างหาก
.
เพียงครู่สั้นๆ เท่านั้น คนชุดดำเกือบสิบคนในที่นั้นก็ถูกเขาจัดการจนเหลืออีกแค่ ๒-๓ คน คนสุดท้ายเห็นว่าพลาดโอกาสดีไปแล้ว เคียวเล่มหนึ่งจึงบินตรงมาหาข้า
.
ชั่วชีวิตซือฝุเกลียดการจับกลุ่มต่อสู้มากที่สุด ไม่เคยสอนข้าต่อสู้ประชิดตัวมาก่อน เห็นอยู่ว่าเคียวพุ่งบินเร็วขึ้นทุกที ตรงดิ่งเข้าหาลำคอข้า ข้าตกใจสุดขีดจนไม่กล้าขยับ นี่ช่างเป็นสภาพการณ์ที่แย่ที่สุดโดยแท้ พอจะลองนึกภาพดูได้ ถ้าตอนนี้ข้าตกใจจนเข่าอ่อน พยุงตัวไม่อยู่กะทันหันล้มฟุบลงกับพื้น เคียวนั้นหมุนคว้างพุ่งตรงดิ่งไปข้างหน้าบินผ่านเหนือศีรษะข้าไป ข้าก็จะหลบพ้นจากด่านเคราะห์นี้ได้พอดี แต่ร่างกายดันแข็งแรงเกินไปนี่สิ ต่อให้ตกใจจนขวัญบินปานนี้ เข่ายังไม่อ่อนเลย เป็นเป้านิ่งมีชีวิตแท้ๆ
.
ขณะที่ข้านึกว่าต้องตายแน่แล้วนั่นเอง สีเขียวเข้มแถบใหญ่พลันปกคลุมลงมากะทันหัน ดุจฝนซาฟ้าใสเมฆสลายตัว ผืนนภากดทับลงมาจากที่สูง ในที่สุดเข่าของข้าก็อ่อนยวบเพราะถูกเขากดลงใส่
.
มู่เหยียนโอบข้าไว้ในวงแขน ทะยานขึ้นกลางอากาศใช้เท้าเตะเบาๆ เคียวเล่มนั้นก็หมุนคว้างวกกลับไป ทั้งยังเร็วและแรงกว่าเดิม “ฉึก!” เสียงคมเคียวจมสู่เนื้อดังขึ้นในอากาศอันเงียบสงัด คนชุดดำที่ขว้างเคียวก้มลงมองด้ามเคียวข้างนอกท้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ คุกเข่าลงกับพื้นช้าๆ สุดท้ายกรรมจักสนองทั้งชั่วดี โลกหล้ามีกฎสวรรค์สังสารวัฏ แต่เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่ท่านนี้ไม่อยากจะเชื่อว่ากฎสวรรค์จะตามสนองอย่างมีประสิทธิภาพถึงเพียงนี้
.
ท่ามกลางความเงียบสงัดดุจความตาย มู่เหยียนกล่าวว่า “อยากรู้เสียจริงว่าเจ้าน้องชายไม่เอาถ่านของข้าคนนั้นวันๆ สั่งสอนพวกเจ้าอย่างไรกัน หากข้าเป็นเจ้า เมื่อแรกเข้าถ้ำมาจะฆ่ากูเหนี่ยงน้อยผู้นี้ทันที ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียกระบวนก่อนแล้ว ยังดีที่สุดท้ายเจ้าก็ได้ตระหนัก แต่ก็สายไปแล้ว”
.
คนชุดดำที่มีเคียวปักคาอยู่ตรงท้องยังตายไม่สนิท ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ พูดเสียงสั่นสะท้าน “ท่าน...”
.
มู่เหยียนกล่าวเสียงเรียบเฉย “เขานึกว่าข้าไม่รู้อะไรเลยหรือ? เช่นนั้นก็ออกจะดูถูกข้าที่เป็นพี่ชายคนนี้เกินไปแล้ว”
.
คนชุดดำไม่พูดอะไรอีก เพียงก้มหน้าลง ตัวสั่นสะท้านยื่นนิ้วมือออกมา ดูท่าทางคิดจะดึงเคียวออก มู่เหยียนพลันเอามือปิดตาของข้าไว้ เสียงแผดคำรามด้วยความเจ็บปวดอันยากจะบรรยายดังก้องภายในถ้ำอยู่ครู่หนึ่ง
.
ข้าพูดว่า “เขากำลังทำอะไร?”
.
มู่เหยียนกล่าวว่า “แคว้นเฉินมีตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง ผู้ที่นำอาวุธไปเกิดใหม่ด้วย ชาติหน้าจะยังต้องเป็นนักสู้อีก”
.
ข้ากล่าวว่า “อย่างนั้นเขาอยากจะเป็นปัญญาชนหรือ?”
.
มู่เหยียนคลายมือออก “บางทีเขาอาจจะแค่อยากเป็นสามัญชนคนธรรมดาก็ได้”
.
.
หลายปีมากก่อนหน้านี้ ข้าเชื่อฝังใจมาโดยตลอดว่า คนเราไม่มีทางกระทำเรื่องใดโดยไร้เหตุผลได้ ทุกเรื่องล้วนต้องถามสักคำว่าทำไม ตัวอย่างเช่นเมื่อทางครัวทำอาหารที่ข้าไม่ชอบกิน ข้าก็จะวิ่งไปถามศิษย์พี่ที่คุมครัวว่าทำไม
.
ทำไมวันนี้ถึงไม่ทำผัดถู่โต้วซือล่ะ ทำไมล่ะๆๆๆ ยืนกรานถามไปหนึ่งชั่วยาม โดยปกติแล้ว วันรุ่งขึ้นบนโต๊ะกินข้าวของพวกข้าก็จะมีผัดถู่โต้วซือโผล่มา เรื่องนี้บอกพวกเราถึงความสำคัญของการใฝ่รู้ ได้รู้จึงเป็นสุข ไม่รู้ก็ไม่เป็นสุข ตั้งแต่อายุสิบสี่ปีจนถึงอายุสิบเจ็ดปี ระหว่างสามปีนี้ ข้าย้อนนึกอยู่หลายครั้งว่าเหตุใดตัวข้าถึงได้หลงรักมู่เหยียน ผลสรุปคือภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเขาไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับข้าโดยสิ้นเชิง เขาได้ช่วยชีวิตข้าติดต่อกันถึงสองครั้งภายในเวลาเจ็ดวัน
.
จวินเหว่ยเห็นว่าความรักของข้าไม่บริสุทธิ์ เพียงแค่พูดเล่นไปอย่างนั้น และความรักที่แท้จริงควรจะไม่มีเหตุผลไม่ถามสาเหตุ แต่ข้าเห็นว่าเหตุผลสำหรับความรัก ก็เหมือนศิลารากฐานสำหรับหอ ในโลกนี้ไม่เคยมีหอที่ไม่ต้องการศิลารากฐาน และไม่ควรมีความรักที่ไร้ซึ่งเหตุผล
.
ความรู้สึกที่ข้ามีต่อมู่เหยียนสร้างขึ้นบนชีวิตสองชีวิต นั่นก็คือ ในโลกนี้นอกจากชีวิตของข้า ก็ไม่ควรมีสิ่งใดบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ไปกว่ามันอีก จวินเหว่ยไม่สามารถเข้าใจตรรกะของข้าได้ ที่สำคัญเป็นเพราะว่าตัวเขาเองไม่มีตรรกะ
.
บุญคุณหนึ่งหยดธารน้ำพุทดแทน บุญคุณเท่าธารน้ำพุไม่มีสิ่งใดจะทดแทนได้ ธรรมเนียมของดินแดนฝั่งตะวันออกคือ ยามไม่มีสิ่งใดจะแทนคุณได้ โดยปกติแล้วพวกเราจะมอบกายเคียงคู่ หากตอนนั้นข้าตระหนักรู้ว่าดอกรักของตัวเองเริ่มแย้มบาน ได้แอบหลงรักมู่เหยียนอยู่เงียบๆ ตั้งแต่ตอนที่เขายื่นมือเข้าช่วยเหลือข้าแล้ว ข้าจะต้องยกตัวเองให้เป็นคู่ครองของเขาอย่างแน่นอน แต่ทว่าในช่วงเวลาอันประจวบเหมาะนั้น ตอนที่มือของเขาผละจากดวงตาข้า หัวใจข้าดั่งรัวกลอง แต่กลับไม่ทราบถึงสาเหตุที่รัวกลอง
.
ข้าถามเขาว่า “เมื่อกี้นี้เหตุใดท่านจึงช่วยข้าหรือ?”
.
เขาตอบว่า “เจ้ายังเป็นกูเหนี่ยงน้อย ขอเพียงเป็นบุรุษย่อมไม่อาจเห็นเจ้ามีภัยแล้วไม่ช่วย”
.
ข้าถามว่า “ถ้าหากข้าคือกูเหนี่ยงใหญ่เล่า?”
.
เขาหมุนตัวจูงข้าเข้าไปในถ้ำ พูดยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นยิ่งมิอาจไม่ช่วยเข้าไปใหญ่”
Admin
เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:20
โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:20
0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ชื่อผู้โพสต์ :
*
ระบุตัวอักษรตามรูปภาพ :
ยกเลิก
เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
หน้าแรก
เว็บบอร์ด
สินค้าทั้งหมด