หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 7

โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:20


ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่หนึ่ง (ต่อ)
.
.
เดิมทีข้ามีโอกาสอันดีเลิศอยู่ แต่ไม่ได้คว้ามันไว้ ที่เจ็บปวดคือถึงแม้จะสูญเสียโอกาสนี้ไป ข้าก็ยังคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด เอาแต่เหม่อเรียวปากที่โค้งขึ้นน้อยๆ ของเขาอย่างโง่เง่า อึดใจใหญ่ค่อยพูดว่า “เกอเกอ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนท่านได้ ข้าให้ภาพวาดท่านหนึ่งภาพดีไหม ข้าวาดภาพพอใช้ได้อยู่ ท่านอยากให้ข้าวาดภาพให้ท่านสักภาพไหม?”
.
แสงสว่างในถ้ำกำลังพอดี เขาเบือนหน้าเล็กน้อยมามองข้า “อ้อ?”
.
มุมที่เบือนหน้ามากับน้ำเสียงที่เอ่ยล้วนแต่เหมาะเจาะพอดีกระไรเช่นนั้น
.
ข้าถูกสะกดให้ตะลึงหลงในบัดดล อดใจไม่อยู่นึกอยากจะแสดงฝีมือต่อหน้าเขาสักยก ไล่หาจนทั่ว น่าเจ็บใจที่ในถ้ำไม่มีพู่กันกับหมึก ถึงจะหยิบถ่านไม้ในกองไฟมาเป็นพู่กัน วาดภาพดินสอถ่านบนกระดาษร่างได้ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อความสะดวก ข้าได้ตัดกระดาษร่างทั้งหมดเป็นชิ้นกระดาษเท่าฝ่ามือไปหมดแล้ว พอจะฝืนวาดไข่ไก่หนึ่งฟองลงบนนั้นได้ จะวาดภาพคนนั้นลำบากจริงแท้
.
มู่เหยียนเห็นข้าไล่หาในถ้ำอยู่เป็นนาน ถือกระดาษร่างปึกหนึ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก ก็พอจะเข้าใจ ไม่ทราบไปเอาแท่งไม้อันหนึ่งมาจากที่ใด ยื่นให้ข้าพลางกล่าวว่า “ใช้เจ้านี่เถอะ หากเจ้าคิดจะใช้ภาพวาดหนึ่งภาพตอบแทนข้าจริงๆ วาดลงบนพื้นก็เป็นเช่นเดียวกัน”
.
ข้าถือแท่งไม้พิจารณาดูอยู่ครู่ใหญ่ ลงมือวาดอย่างสั่นสะท้าน แต่ก็เปรียบดังยอดฝีมือผู้เลิศภพจบแดนด้านการปักลวดลาย ต่อให้เลิศภพจบแดนเท่าใดก็ไม่มีปัญญาใช้สากเหล็กปักลวดลายบนผ้าได้ ข้าและพวกนางประสบกับความกระอักกระอ่วนแบบเดียวกัน
.
เจตนาของข้าคือคิดจะวาดท่วงท่าอันองอาจขณะที่มู่เหยียนเหินทะยานขึ้นกลางอากาศล้มชายชุดดำสองรายด้วยมือเปล่า หลังจากวาดเสร็จ เขาเพ่งพินิจอยู่ครู่ใหญ่ กล่าวว่า “นี่วาดภาพอะไรหรือ? เหมือนลิงตัวหนึ่งกระโดดขึ้นไปเด็ดลูกท้อบนต้นท้อ แล้วก็เหมือนหมีควายตัวอ้อนแอ้นคิดจะยืนสองขาคว้ารังผึ้ง...”
.
ในตอนนั้นความทรงจำที่ข้าทิ้งไว้ให้แก่มู่เหยียนคือเช่นนี้เอง กูเหนี่ยงน้อยที่หลงคิดเอาเองว่าตัวเองวาดรูปเก่งมากซึ่งวาดภาพลิงเด็ดลูกท้อกับหมีควายปีนต้นไม้ได้เหมือนกันทุกประการ
.
บัดนี้ข้าสามารถใช้แท่งไม้วาดภาพคนดุจมีชีวิตบนพื้นดินได้แล้ว กลับจนปัญญาจะตามหาตัวมู่เหยียนให้พบอีกครั้งจนแล้วจนรอดเพื่อแก้ไขความทรงจำของเขาที่มีต่อข้าให้ถูกต้อง
.
จวินเหว่ยบอกว่า “บางทีเขาอาจจะเห็นว่าเจ้าวาดสิ่งหนึ่ง แล้วสามารถเหมือนสิ่งใดก็ตามได้นั้น ช่างมีพรสวรรค์อย่างมากก็ได้นะ”
.
จวินเหว่ยสามารถมีความคิดเช่นนี้ได้ บ่งบอกว่าเขาได้มีแนวคิดเช่นมือกระบี่แล้ว แต่จุดที่แตกต่างของการวาดภาพกับการใช้กระบี่อยู่ตรงที่ หากใช้กระบี่ ท่านใช้ออกหนึ่งท่า ในสายตาทุกคนเห็นว่าเป็นกระบวนท่าใดก็ได้ นี่แหละคือหนึ่งท่ากระบี่อันเลิศภพจบแดน แต่การวาดภาพนั้น ท่านวาดของอย่างหนึ่ง ในสายตาทุกคนเห็นว่าเป็นของอะไรก็ได้ ภาพนี้ก็จะขายไม่ออก
.
ข้ากับมู่เหยียนถูกโชคชะตาบงการ พักอยู่ด้วยกันเกือบหกวัน ในคืนวันที่หก หลังจากข้าหลับแล้ว เขาก็ออกจากถ้ำไป ข้ารออยู่ในถ้ำตามลำพังอยู่สี่วัน แต่เขาไม่ได้ย้อนกลับมาอีก สี่วันให้หลังข้ามิอาจไม่จากไป เหตุผลสำคัญคือช่วงเดือนกลางคิมหันต์ ศพจะคงสภาพไว้ได้ยาก บรรดาคนชุดดำที่นอนระเกะระกะอยู่ตรงปากถ้ำพากันกันเน่าเปื่อย เรียกแมลงวันมาเป็นจำนวนมาก ทำให้สภาพแวดล้อมสำหรับมนุษย์อยู่อาศัยเปลี่ยนเป็นเลวร้ายอย่างยิ่ง
.
หากว่าข้ากับเขาได้พบกันในยามเหมันต์ ด้วยวัยนี้ที่ข้ายังอ่อนเดียงสาไม่รู้เรื่องทางโลก จะต้องรอต่อไปเช่นนี้อย่างแน่นอน จนกว่าข้าจะคิดออกถึงเหตุผลว่าเหตุใดข้าถึงต้องรอเขา คิดออกแล้วก็ยิ่งมีเหตุผลให้รอต่อไป จนกว่าสักวันหนึ่งเขาจะมา หรือไม่เขาไม่มาไปตลอดกาล แต่นั่นเป็นเรื่องเล่าอีกช่วงหนึ่งแล้ว
.
ส่วนในความเป็นจริง ข้าได้จากไปแต่เนิ่นๆ พร้อมด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย ยามจากไปข้าเข้าใจไปว่าที่ตัวข้ารอเขาอยู่สี่วันเพียงเพื่อจะบอกลาเขาอย่างเป็นทางการเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นความคิดที่ใสซื่อเกินไป ข้าปลดแอกจิตวิญญาณของตัวเองให้หลงรักมู่เหยียนแต่เนิ่นๆ มาก กลับไม่สามารถปลดแอกสติปัญญาของตัวเองด้วยพร้อมกันให้รับรู้ว่าตัวข้าได้หลงรักมู่เหยียนเข้าให้แล้ว นี่แหละคือเหตุผลที่ข้าคลาดคลากับเขา
.
เมื่อข้าเดินออกไปจากถ้ำแห่งนี้ เดินออกไปจนห่างมากพอสมควร หันกลับไปมอง ค่อยพบว่ามันตั้งอยู่ด้านหลังของภูเขาเยี่ยนหุยนี่เอง
.
หลังจากนั้นสองปี ด้านหลังของเขาเยี่ยนหุยได้กลายเป็นสถานที่ที่ข้าไปเยือนบ่อยที่สุด และหลังจากที่จวินเหว่ยบังคับให้ข้าอ่านนิยายรักประโลมโลกแนวเขียนด้วยกระแสสำนึกซึ่งเป็นผลงานชิ้นใหม่ล่าสุด ข้าจึงเข้าใจในที่สุด เหตุใดตัวข้าจึงคิดถึงมู่เหยียนเกือบตลอดเวลา เหตุใดว่างทีไรเป็นต้องไปเตร็ดเตร่ที่หลังเขาสักหลายรอบ ที่แท้ข้าเป็นเหมือนกับหญิงในหนังสือ จิตวสันต์เริ่มก่อเกิดนั่นเอง สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกับหญิงในหนังสืออยู่ที่ นางรู้จักชายคนรักของนางกระจ่างแจ้งดุจนิ้วบนฝ่ามือตั้งแต่ก่อนที่จิตวสันต์ของนางจะก่อเกิด ส่วนข้าก่อเกิดหัวใจรักต่อมู่เหยียน กลับไม่ได้รู้เลยว่าบ้านเขาอยู่ที่ใด อายุเท่าไร มีเรือนมีม้าหรือไม่ เรือนกับม้าจ่ายเงินครั้งเดียวหรือผ่อนจ่ายเป็นงวด ในบ้านยังมีพ่อแม่อยู่หรือไม่ พ่อแม่กับเขาแยกกันอยู่หรือว่าอยู่ด้วยกัน...
.
ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองหลงรักมู่เหยียน ข้าก็เฝ้าตามหาเขามาโดยตลอด แต่ทว่า ราวกับบนโลกไม่เคยมีคนผู้นี้มาก่อน แม้จะใช้เส้นสายทางฝั่งพ่อแม่แท้ๆ ของข้าเข้าช่วย ก็หาเขาไม่พบ
.
เดิมทีข้าคิดว่าเขาอาจจะเป็นคนแคว้นเฉิน แต่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนสัญชาติกันได้ง่ายยิ่งกว่าเปลี่ยนผู้หญิงเสียอีกนี้ บางทีวันนี้เขาถือแคว้นเฉินเป็นบ้าน พรุ่งนี้ได้มาเป็นพลเมืองของแคว้นเว่ยข้าไปแล้วก็เป็นได้ สรุปคือความคิดที่จะเริ่มลงมือตามหาจากสัญชาติเป็นอันล่มไป
.
แต่นอกจากสัญชาติแล้ว ก็ไม่มีเบาะแสใดๆ อีก บัดนี้มาย้อนนึกถึงวัยแรกรุ่นของเมื่อสมัยข้ายังมีชีวิต วัย ๑๕-๑๖ ปีที่ดีงามที่สุด กลับผ่านพ้นไปโดยยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตามหาอย่างไร้จุดหมาย ประเด็นสำคัญที่สุดคือการตามหานี้ยังไร้ผลลัพธ์โดยสิ้นเชิงอีกด้วย ทำให้แม้ตายก็ตายตาไม่หลับ
.
ต้นเฟิงที่หลังเขาถูกเกล็ดน้ำค้างฤดูสารทย้อมแดงฉานไปสองรอบ ข้ามีชีวิตมาจนอายุสิบหกปี เล่าลือกันว่าก่อนข้าอายุสิบหกปีห้ามแปดเปื้อนสิ่งของในราชวงศ์ ไม่เช่นนั้นจะประสบเคราะห์ร้ายถึงแก่ชีวิต ด้วยเหตุนี้เสด็จพ่อจึงทรงฝากข้าไว้กับนิกายวาจาพิสุทธิ์ มุ่งหวังให้ข้ารอดพ้นจากเคราะห์กรรม เมื่อข้าสามารถมีชีวิตรอดผ่านเลยอายุสิบหกปีได้อย่างราบรื่น ทุกคนต่างดีใจยิ่ง เห็นว่าไม่มีเภทภัยในภายหลังอีก วันรุ่งขึ้นจึงมีทูตมุ่งหน้ามารับข้ากลับวังหลวงทันที
.
ตอนจะจากลา ข้าหลั่งน้ำตาโบกมือลาจวินเหว่ย ฝากเสี่ยวหวงไว้ให้เขาดูแล เนื่องจากเสี่ยวหวงต้องการป่าเขา แต่พระราชวังแคว้นเว่ยคือกรงขัง ยามนี้ จวินซือฝุผู้ซึ่งไม่ทราบว่าเหตุใดถึงต้องออกจากลัทธิจวินอวี่มาเร้นกายอยู่ละแวกใกล้เคียงนิกายวาจาพิสุทธิ์ได้พาจวินเหว่ยกลับสู่ตระกูลคืนสู่ลัทธิ ทั้งยังรับช่วงสืบต่อลัทธิจวินอวี่กลายเป็นประมุขลัทธิ ซึ่งหมายความว่า ในฐานะท่านประมุขน้อยของลัทธิจวินอวี่ จวินเหว่ยได้มีเงินมากพอแล้ว สามารถแบกรับค่าอาหารของเสี่ยวหวงตามลำพังได้แล้ว ข้ากับจวินเหว่ยสัญญากันว่า เขาจะพาเสี่ยวหวงมาพบข้าหนึ่งครั้งทุกเดือน ค่าเดินทางจัดการเอาเอง
.
เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งข้าเป็นเจ้าหญิงเหวินชาง ใช้สิ่งนี้บ่งบอกว่าข้าคือเจ้าหญิงที่มีการศึกษาสูงที่สุดในทั้งพระราชวังแคว้นเว่ย แต่ซือฝุมักจะบ่นอยู่เสมอว่า ข้าร่ำเรียนมาสิบสี่ปี เรียนรู้ได้แค่หนึ่งในห้าของความรู้ความสามารถทั้งหมดของท่านเท่านั้น เมื่อมองจากการนี้ การศึกษาแค่ระดับนี้ของข้ายังอุตส่าห์ถูกบอกว่ามีการศึกษาสูงมากได้ แสดงว่าทุกคนต่างไม่มีการศึกษากันเลย
.
เหนือข้าขึ้นไปมีพี่ชายสามคนพี่สาวสิบสี่คน ปัญหายากเย็นที่กวนใจข้าได้ตลอดคือ พวกเขาแต่ละคนน่าจะคู่กับฟูเหรินคนไหนในวังหลังของเสด็จพ่อ พี่ชายทั้งสามคนแต่ละคนต่างมีความคิดอ่านอย่างยิ่ง ที่ทำให้เสด็จพ่อทรงปวดเศียรคือ พี่ชายใหญ่มีความคิดอ่านต่อโคลงฉันท์กาพย์กลอนอย่างยิ่ง พี่ชายรองมีความคิดอ่านต่อสตรีอย่างยิ่ง พี่ชายสามมีความคิดอ่านต่อบุรุษอย่างยิ่ง สรุปคือไม่มีสักคนมีความคิดอ่านต่อเรื่องบริหารประเทศชาติปราบปรามทั่วหล้า
.
ทุกครั้งที่เสด็จพ่อทอดพระเนตรพวกเขา เป็นต้องทรงหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างกลุ้มพระทัย มีแต่ไปยังวังหลังสัพยอกหยอกเย้ากับบรรดาฟูเหรินสักครู่จึงค่อยบรรเทาความกลุ้มพระทัยได้ชั่วคราว
.
ตอนแรกที่ข้ากลับวังหลวง ความรู้สึกเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ในยุคสมัยที่เหล่าเจ้าครองแคว้นแก่งแย่งอำนาจ เหล่าผู้เหี้ยมหาญลุกฮือก่อการ ทั่วหล้าต่างปั่นป่วนวุ่นวายนี้ แคว้นที่เน่าสนิทตั้งแต่ภายนอกไปจนถึงภายในเช่นนี้ กลับยังคงสามารถซุกหลบมุมยืดวันตายอยู่รอดมาได้จนถึงบัดนี้ จัดว่าสวรรค์ช่างไร้เนตรโดยแท้
.
หากข้าไม่ใช่คนแคว้นเว่ย จะต้องแนะนำอย่างแข็งขันให้ทางการมาบุกโจมตีแคว้นเว่ยอย่างแน่นอน มันช่างถูกตีแตกได้ง่ายดายเอามากๆ จริงๆ

Admin เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:20

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น