หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 8

โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:21

.
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่หนึ่ง (ต่อ)
.
.
เมื่อก่อนข้ามิได้เชื่อความฝันนั้นของเสด็จพ่อ และหลวงจีนฉางเหมินในฝันของท่าน หากว่าชะตาชีวิตจะต้องถูกสิ่งที่ว่างเปล่าบงการ อย่างน้อยสิ่งที่ว่างเปล่านี้ต้องยิ่งใหญ่จนสามารถปรากฏเป็นรูปธรรมได้ อย่างเช่นศรัทธา อย่างเช่นอำนาจ แต่ไม่ใช่ห้วงฝัน กระนั้นดวงชะตาลิขิตว่าข้าต้องประสบเคราะห์ร้ายถึงแก่ชีวิต ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ถึงจะหนีก็หนีไม่พ้นจริงๆ
.
ข้าตายในเหมันต์อันทารุณของปีที่อายุได้สิบเจ็ดปี
.
ปีนั้น แคว้นเว่ยแล้งหนัก จากเมืองฮั่นเหอทางเหนือสุดจดเมืองอิ่นจีทางใต้สุด ซากศพอดตายเกลื่อนกลาด ชาวบ้านอดอยากยากแค้น ผืนดินของแคว้นเหมือนแผ่นขนมเปี๊ยะเหลืองเกรียม ทอดตัวอยู่ริมฝั่งแม่น้ำตวนเหอ เฝ้ารอให้ผู้มีศักยภาพมาตัดแบ่ง และในวันนั้น ทัพใหญ่แสนนายของแคว้นเฉินได้ตั้งขบวนอยู่ที่นอกเมืองหลวง ชุดเกราะดำทะมึน คมอาวุธสว่างวาววับ พวกเขามาพิชิตแคว้นเว่ย มายุติการปกครองแคว้นเว่ยยาวนานแปดสิบหกปีของตระกูลเยี่ย
.
ซือฝุได้ลาโลกไปเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ ก่อนลาโลกก็ยังคิดหาวิธีช่วยชีวิตแคว้นเว่ยไม่ออก ข้าเป็นศิษย์สายตรงของท่าน นั่นหมายความว่า แนวคิดของพวกเราล้วนเป็นแนวคิดสายเดียวกัน วิธีที่ท่านคิดไม่ออก ข้ายิ่งคิดไม่ออกเข้าไปใหญ่
.
เมื่อแรกกลับมาวังหลวง ข้าคิดว่าเป็นภาระหน้าที่ของข้า จึงทุ่มเทเวลาเขียน “ฎีกาทักท้วงเว่ยกง” ทูลถวาย แสดงความคิดเห็นส่วนตัวต่อระบบการบริหารบ้านเมืองในปัจจุบัน ผลตอบรับเพียงหนึ่งเดียวที่ได้มาคือ เสด็จพ่อทรงลูบศีรษะข้าบอกข้าว่า ตัวหนังสือเหล่านี้ของเจ้าเขียนได้ไม่เลวเลย จากนั้นได้กักบริเวณข้า
.
เพียงเพราะแคว้นเว่ยเป็นแคว้นที่เขยิบไปอยู่ยังชายขอบบนแผนที่ของต้าฉาว กระทั่งสายลมวสันต์แห่งการเมืองของนครหลวงซึ่งโชยพัดบนแผ่นดินที่ผ่านการบุกเบิกทอดยาวเหยียดเป็นหลายล้านหมู่มาแปดสิบหกปี ยังไม่อาจพัดมาถึงแคว้นเว่ยได้
.
ถึงแม้ในนครหลวง สตรีจะสามารถเป็นขุนนางได้แล้วก็ตาม สตรีของแคว้นเว่ยกลับห้ามแทรกแซงการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร ประกอบกับเราเป็นแคว้นที่บุรุษไถนาสตรีทอผ้า การนี้ส่งผลให้โดยปกติแล้วสตรีมีคุณสมบัติเพียงสองข้อ ทอผ้ากับคลอดลูก
.
ในยามที่แคว้นใกล้จะสิ้นสภาพความเป็นแคว้น ในที่สุดเสด็จพ่อก็คิดจะฟังความเห็นของข้าสักนิด แต่เวลานี้ข้าได้หมดสิ้นความเห็นใดๆ คำแนะนำเดียวที่ให้ไปคือ ทุกคนจงกินอาหารอร่อยๆ กันให้มากๆ หน่อย รอถึงตอนที่แคว้นแตก ค่อยมาพลีชีพเพื่อแคว้นด้วยกันเถิด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกเสด็จพ่อกักบริเวณอีกครั้ง
.
เสด็จพ่อทรงลูบเคราตรัสสุรเสียงสั่นสะท้านว่า “ช่างโตมาในภูเถื่อนแต่เล็กแต่น้อยจริงๆ ในฐานะเจ้าหญิงของแคว้น เจ้าไม่มีความรู้สึกผูกพันต่อแคว้นของเจ้าเองแม้แต่น้อยเลยเชียวหรือ”
.
หลังจากเสด็จพ่อตรัสตำหนิไปหนึ่งยก ชื่อเสียงเรื่องความเลือดเย็นไร้น้ำตาของข้าก็กระจายไปทั่วกลุ่มพระญาติพระวงศ์ บรรดาพี่ชายพี่สาวทุกคนพากันถอนหายใจ “เจินเอ๋อร์ เจ้าร่ำเรียนหนังสือมาตั้งมากตั้งมาย กลับไม่รู้คุณธรรมในตำรา เจ้าใจจืดใจดำปานนี้ ช่างเสียทีที่เสด็จพ่อทรงเอ็นดูเจ้านัก”
.
นี่ช่างเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากยิ่งจริงๆ ยามที่เดิมทีควรจะทำตัวจริงจังทุกคนกลับพากันทำตัวเหลวไหล เมื่อบทลงเอยถูกกำหนดแน่ชัด ในที่สุดก็สามารถทำตัวเหลวไหลได้อย่างชอบธรรม ทุกคนกลับพากันแสร้งทำตัวจริงจังเสียแล้ว
.
หากรักษาการแสร้งทำตัวจริงจังนี้เอาไว้ได้จนถึงช่วงเวลาสุดท้าย ยังถือว่าน่าสรรเสริญชื่นชมอยู่หรอก แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนทำไม่ได้ กระนั้นในฐานะพระราชวงศ์ เดิมทีพวกเขาควรจะทำได้
.
ในความเข้าใจของข้า ราชวงศ์กับประเทศชาติคือหนึ่งเดียวกัน หากแคว้นแตก พระราชวงศ์ไม่มีเหตุผลที่จะไม่พลีชีวิตเพื่อแคว้น
.
.
เจ็ดค่ำเดือนเหมันต์ วันนั้น ท้องฟ้ามีเงาทะมึนสีขาวซีด
.
กองทัพแคว้นเฉินล้อมเมืองไม่ถึงสามวัน เสด็จพ่อก็เลือกยอมจำนนเสียแล้ว
.
ไม่มีแคว้นใดเป็นเหมือนแคว้นเว่ยได้อีก ล่มสลายได้เงียบสงบถึงเพียงนี้ การบันทึกเกี่ยวกับการสิ้นชาติในตำราเหล่านั้น อย่างเช่นกษัตริย์เผาตัวตาย ข้าราชบริพารแขวนคอตาย เจ้าชายเจ้าหญิงลอบหนีไป ไม่ได้พบเจอโดยสิ้นเชิง มีเพียงบรรดาสนมนางในที่แตกตื่นโกลาหลกันอยู่ชั่วครู่ เพราะหลังจากที่แคว้นดับสูญ พวกนางจะไม่อาจใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อเช่นนี้ได้อีก แต่จะอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกจากวังหลวงนั้น นอกเสียจากพลัดเข้าสู่แดนโลกีย์ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถอยู่รอดได้เลย ยิ่งกว่านั้นวังหลวงมิได้ชุลมุนวุ่นวายแต่สักนิด ทุกอย่างล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีปัจจัยให้หนีออกไปได้โดยสิ้นเชิง พวกนางคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ตัดสินใจเผชิญหน้าอย่างเยือกเย็น
.
หลังจากขันทีมาแจ้งข่าวคราวล่าสุด ข้าสวมชุดหรูหราฟุ่มเฟือยที่สุดในชีวิตชุดหนึ่ง เล่าขานกันว่าอาภรณ์ชุดนี้ทอจากด้ายขนนกซึ่งทำมาจากขนอ่อนนกยางเปียแปดสิบเอ็ดตัวฟั่นด้วยมือ ขาวพิสุทธิ์ไร้มลทิน ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวอยู่ที่เหมือนชุดไว้ทุกข์เกินไป ปกติยากยิ่งที่จะมีโอกาสได้สวมใส่
.
ยามอู่สามเค่อ บนหอเหนือประตูเมือง ธงยอมจำนนสีขาวสะบัดพัดแรงอยู่กลางสายลม ท้องฟ้ามีฝนพรำ
.
แคว้นเว่ยแล้งฝนมาหลายเพลา การแล้งฝนคือบทโหมโรงแห่งการดับสูญของแคว้น ในเวลาที่แคว้นดับสูญ กลับมีฝนโปรยส่งศพ
.
ข้าย่างก้าวขึ้นสู่กำแพงเมือง มิได้พบการขัดขวางแต่อย่างใด แม่ทัพนายกองสามหมื่นนายภายในเมืองถอดชุดเกราะทรยศกลับอาวุธ สีสันของอาวุธดูแล้วหมองประกายกว่าอาวุธของทัพเฉินอยู่หลายส่วน
.
อาวุธคือสิ่งที่เหยียดขยายจากขวัญทหาร ชาติบ้านเมืองแตกพินาศ กลับไม่อาจเสี่ยงชีวิตสู้ศึกสักตั้ง บรรดาแม่ทัพนายกองล้วนร่อแร่ใกล้ตาย ส่วนอาวุธล้วนตายจนหมดสิ้น
.
กำแพงเมืองนี้ก่อสร้างเสียสูงปานนี้ กษัตริย์ผู้สร้างกำแพงเมืองทรงดำริว่า กำแพงเมืองที่สูงตระหง่านให้ความรู้สึกแข็งแกร่งมิอาจทำลายแก่ผู้คน ความสูงใหญ่ก็คือพลัง กระนั้นพลังที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้ มิอาจสู้หนึ่งประโยค มิอาจสู้ถ้อยดำรัสของเจ้าแคว้นเว่ยองค์ปัจจุบันที่ว่า “พวกเรายอมจำนนเถิด”
.
.

Admin เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:21

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น