หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 9

โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:21

.
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่หนึ่ง (จบ)
.
.
ทอดสายตามองไป ผืนดินใต้ปกครองของแคว้นเว่ยมองไม่เห็นสุดปลาย เหนือเส้นขอบฟ้ามีกลุ่มเมฆดำทะมึนจู่โจมตรงมา ละอองฝนถูกลมพัดจนพลิ้วละล่อง ตกกระทบใบหน้าดุจเส้นด้าย
.
กองทัพแคว้นเฉินที่ดำทะมึนเป็นผืนใหญ่ตั้งขบวนอย่างเคร่งขรึมอยู่เบื้องล่างหอเหนือประตูเมือง
.
มองดูผืนแผ่นดินของแคว้นที่ใต้เท้านี้เป็นครั้งสุดท้าย เดิมทีมันควรจะเป็นท้องทุ่งอันอุดมสมบูรณ์ ทวยราษฎร์ของแคว้นเว่ยควรจะได้ทำมาหากินอยู่เย็นเป็นสุขบนผืนแผ่นดินแห่งนี้
.
เสียงฝีเท้าซวนเซดังมาจากด้านหลัง เสด็จพ่อตรัสสุรเสียงแหบพร่า
.
“เจินเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไร?”
.
ชั่วคืนเดียว ดวงพักตร์ของท่านยิ่งดูแก่ชรา ทรงมีอายุแล้ว เดิมทีก็ชราอยู่แล้ว หากแต่บำรุงรักษาอย่างเหมาะสม ก่อนหน้านี้พวกเราแสร้งทำเป็นยอมรับมาโดยตลอดว่าท่านยังทรงหนุ่มแน่นนัก แต่ยามนี้ ได้มาถึงขั้นที่กระทั่งเสแสร้งยังเสแสร้งต่อไปไม่ไหวอีก
.
ความจริงแล้วข้าไม่มีอะไรจะพูด แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดเสียหน่อยก็ไม่กระไร
.
เสด็จพ่อมีขันทีช่วยประคองอยู่ โงนเงนจวนจะล้ม
.
ข้าเรียบเรียงถ้อยคำอยู่ในใจครู่หนึ่ง เอ่ยปากกลาวว่า “เสด็จพ่อทรงยังจำท่านฮุ่ยอี ประมุขนิกายวาจาพิสุทธิ์ ซือฝุของหม่อมฉันได้หรือไม่?”
.
ท่านพยักหน้าช้าๆ
.
ลมโหมพัดจนอาภรณ์สะบัดไหว เผลอเพียงนิดได้พัดกระชากเสียงจนแตกกระจาย มิอาจไม่ตะเบ็งเสียงดังขึ้น สามทัพล้วนเคร่งขรึม ข้ากระชับอาภรณ์แน่น กล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
.
“ซือฝุสอนสั่งเยี่ยเจินถึงคุณธรรมแห่งพระราชวงศ์ ห้ามปรามตักเตือนอยู่บ่อยครั้งว่าราชวงศ์คือศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ก็คือศักดิ์ศรีของประเทศชาติ จักเหยียบย่ำแม้เพียงนิดหาได้ไม่ กระนั้นยามที่เสด็จพ่อทรงยื่นสารยอมจำนน ทรงได้มองว่าพระองค์เองคือศักดิ์ศรีของประเทศชาติหรือไม่? หากว่าเยี่ยเจินคือประมุขแห่งแคว้น จักไม่มีทางยอมแพ้โดยไม่สู้ ทำให้ประเทศชาติได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้โดยเด็ดขาด เสด็จพ่อย่อมจะตรัสได้ว่าที่ทรงทำเช่นนี้เพื่อให้ทวยราษฎร์แคว้นเว่ยเลี่ยงพ้นภัยสงคราม แต่บัดนี้แคว้นเฉินมาตั้งทัพอยู่หน้าเมืองหลวง จากริมฝั่งแม่น้ำตวนเหอถึงเมืองหลวง ตลอดทางล้วนแต่เหยียบย่ำโครงกระดูกของทวยราษฎร์แคว้นเว่ยเรา แม่ทัพนายกองสามหมื่นนายภายในเมืองถอดชุดเกราะโดยพร้อมเพรียง มิได้รู้สึกผิดต่อทวยราษฎร์แคว้นเว่ยที่ตายเพื่อแคว้นเลยเทียวหรือ? ผู้อยู่ ณ ที่นี่ในวันนี้ล้วนมิใช่ชายชาติอาชาไนยของแคว้นเว่ยเรา ชายชาติอาชาไนยผู้มีเลือดรักชาติของแคว้นเว่ยต่างล่วงหน้าหนึ่งก้าวไปสู่ปรภพ ฝังร่างในยมโลกแล้ว แม้เยี่ยเจินจะเติบใหญ่ในภูไพรแต่ยังเยาว์ ในเมื่อโลหิตที่ไหลเวียนอยู่คือขัตติยโลหิต ย่อมเป็นตัวแทนศักดิ์ศรีของประเทศชาติ เสด็จพ่อทรงนำพระราชวงศ์ยอมจำนนต่อแคว้นเฉิน เยี่ยเจินกลับมิอาจทำได้โดยเด็ดขาด หากเยี่ยเจินเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา วันนี้ยอมศิโรราบภายใต้กองทัพของแคว้นเฉินย่อมไม่มีวาจาใดจะกล่าว แต่เยี่ยเจินคือเจ้าหญิงของแคว้น...”
.
ฟ้าคำรามกึกก้อง ห่าฝนเทกระหน่ำลงมา ข้าหมุนกายไปเห็นที่ด้านล่างหอเหนือประตูเมือง ไม่ทราบมีคุณชายสวมอาภรณ์หรูหราผู้หนึ่งยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร รูปร่างราวกับมู่เหยียน พอกะพริบตา ก็เหมือนจะเลือนหายไปท่ามกลางม่านฝนอันไร้ที่สิ้นสุด
.
เสด็จพ่อตรัสอย่างร้อนพระทัย
.
“เจ้าเป็นเจ้าหญิงแล้วอย่างไรเล่า เจ้าลงมาก่อน...”
.
ฝนห่านี้ช่างสาดเทได้ถึงแก่นโดยแท้ หากครึ่งปีก่อนมีห่าฝนเช่นนี้ด้วย แคว้นเว่ยยังจะสิ้นชาติอย่างรวดเร็วยิ่งเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าย่อมจะมีลิขิตสวรรค์อยู่กลายๆ
.
ข้าลูบน้ำฝนบนใบหน้า เงยศีรษะขึ้นมองผืนนภาอันสูงลิบ ชั่วขณะนั้นความรู้สึกสะท้อนใจนับหมื่นพันได้พลุ่งขึ้น สามารถใช้หนึ่งประโยคมาสรุป
.
“ประเทศชาติตาย เยี่ยเจินตาย แต่เดิมนี่ควรจะเป็น...ศรัทธาของเจ้าหญิง”
.
.
ข้าร่วงตกลงมาจากหอเหนือประตูเมือง นึกถึงซือฝุที่ใจตุ๋มๆ ต้อมๆ อยู่ตลอดกลัวว่าจะสอนข้าจนกลายเป็นนักปรัชญา กลัวสิ่งใดมักได้สิ่งนั้นจริงๆ สุดท้ายข้าก็กลายเป็นนักปรัชญาอยู่ดี เดินเข้าสู่กับดักที่ตัวเองสร้างให้แก่ตัวเอง ท้ายที่สุดใช้ความตายเป็นการจบ เรื่องที่เสียดายเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตนี้ คือไม่อาจได้พบหน้ามู่เหยียนอีกครั้ง
.
คืนวันนั้น แสงดาวพราวพร่าง เขาอุ้มข้าขึ้นมา ระหว่างแขนเสื้อมีกลิ่นหอมเย็นของดอกเหมยอยู่จางๆ
.
เขาพูดว่า “ยายหนูที่ร้ายกาจนัก ข้าช่วยชีวิตเจ้า เจ้ากลับเนรคุณรึ”
.
เขาพูดว่า “อันว่าระดูนั้น หมายถึงการที่มดลูกมีเลือดออกมาอย่างมีกฎเกณฑ์ มีช่วงเวลาประจำ...”
.
เขาพูดว่า “เจ้ายังเป็นกูเหนี่ยงน้อย ขอเพียงเป็นบุรุษย่อมไม่อาจเห็นเจ้ามีภัยแล้วไม่ช่วย”
.
เขาพูดว่า “นี่วาดภาพอะไรหรือ? เหมือนลิงตัวหนึ่งกระโดดขึ้นไปเด็ดลูกท้อบนต้นท้อ แล้วก็เหมือนหมีควายตัวอ้อนแอ้นคิดจะยืนสองขาคว้ารังผึ้ง...”
.
บางทีเขาอาจจะลืมข้าไปนานแล้ว ภรรยาหลวงน้อยเป็นฝูง มีลูกเต้าแล้วหลายโหล ไม่ได้ทราบว่ามีกูเหนี่ยงน้อยผู้หนึ่งกำลังตามหาเขาอยู่ตลอด ก่อนตายก็ยังคงคิดถึงเขา
.
เสียงสะอื้นไห้ของเหล่าแม่ทัพนายกองแว่วมาในสายลม ผสมเสียงซ่าซ่าของหยาดฝน ข้าได้ยินเสียงเพลงประจำกองทัพที่เหล่าทหารเฝ้าชายแดนมักจะร้องอยู่บ่อยครั้งเพลงหนึ่ง ท่วงทำนองอันลุ่มลึกหนักแน่น ท่ามกลางห่าฝนอันหดหู่ยิ่งฟังดูหดหู่เป็นเท่าทวี
.
ข้านอนอยู่บนพื้น ลืมตาไม่ขึ้น รู้สึกว่าชีวิตกำลังไหลจรจาก มีเสียงฝีเท้าหยุดลงที่ข้างกาย มือข้างหนึ่งลูบแก้มของข้า จมูกคล้ายได้กลิ่นหอมเย็นของดอกเหมย แต่จำแนกได้ยากเย็นเสียแล้วว่านี่ใช่ประสาทหลอนไปเองหรือไม่
.
ข้าดิ้นรนเอ่ยออกมาว่า “เกอ...เกอ” มือบนแก้มสั่นกระตุก
.
ข้าไม่อาจเติบโตเช่นเจ้าหญิง กลับได้ตายไปเช่นเจ้าหญิง
.
ข้าตายในวันเจ็ดค่ำเดือนเหมันต์นี้เอง เคียงคู่ด้วยเพลงไว้อาลัยของแคว้นเว่ย
.
“ดาวหมองเดือนสว่าง บ้านอยู่ห่างไกลแสนไกล ดอกเหมยร่วงวันใด ส่งข้ากลับไปบ้านเกิด...”

Admin เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:21

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น