หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 10

โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:22

.
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่สอง
.
.
หลังจากข้าตาย ว่ากันว่าซูอวี้ ซื่อจื่อแห่งแคว้นเฉินมีบัญชาให้จัดพิธีศพของข้าอย่างยิ่งใหญ่ พิธีนำศพลงโลงและเคลื่อนศพสู่สุสานล้วนยึดตามธรรมเนียมสำหรับเจ้าหญิง
.
แต่เดิมวันรุ่งขึ้นเสด็จพ่อเสด็จแม่ต้องถูกคุมตัวไปยังเมืองเฮ่า...เมืองหลวงของแคว้นเฉิน เนื่องจากเสียเวลากับพิธีศพของข้า จึงเลื่อนออกไปหนึ่งวัน
.
ตอนเคลื่อนศพสู่สุสาน บรรดาพระญาติพระวงศ์ต่างถูกร้องขอ (สั่ง) ให้มาชมพิธี หลังจากนั้นต้องเขียนความรู้สึกที่มีต่อพิธีนี้หนึ่งบท ไม่ว่าใครต่างไม่กล้าไม่มา ส่วนบรรดาชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ในเมืองหลวงก็แห่กันไปมุงดูด้วย จนทำให้ในวันนี้ถนนช่วงจากวังหลวงไปจนถึงสุสานหลวงเกิดการจราจรติดขัดอย่างที่ร้อยปียากจะพบเห็น ผู้ที่อาศัยอยู่สองฟากถนนนึกอยากจะข้ามถนนใหญ่ไปกินบะหมี่ที่ฝั่งตรงข้ามยังทำไม่ได้ ทุกคนต่างรู้สึกจนใจกันถ้วนหน้า
.
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ข้าไม่รู้โดยสิ้นเชิง จวินซือฝุเป็นผู้บอกข้าในภายหลังทั้งนั้น ท่านได้ทราบข่าวตอนที่แคว้นเว่ยถูกล้อมเมือง จึงพาจวินเหว่ยเร่งรุดมาพาข้าจากไป แต่คาดไม่ถึงว่าข้าจะพลีชีพเพื่อแคว้น รอนแรมเดินทางไกลพันหลี่จากแคว้นเฉินมาถึงเมืองหลวงแคว้นเว่ย ก็พบกับข้ากำลังถูกเคลื่อนศพสู่สุสานพอดี เวลานั้นนั้นข้านอนอยู่ในโลงไม้มะเกลือ เป็นคนที่ตายไปแล้ว ด้านหลังโลงศพเสียงโศกสลดของสั่วน่าดังไม่ขาดสาย ใต้ผืนฟ้าอันมืดครึ้มกระดาษเงินขาวโพลนกำใหญ่ถูกโปรยปราย
.
จวินซือฝุบอกว่า “แคว้นเว่ยรับพระราชทานศักดินามาแปดสิบหกปี เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นพิธีฝังศพของเจ้าหญิงที่จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้”
.
แต่ข้าคิดว่า นั่นไม่ใช่ขบวนพิธีของข้า นั่นคือขบวนพิธีของงานศพแคว้น และการตายของแคว้นหนึ่งนั้น พิธีจะยิ่งใหญ่สักเพียงใดก็คู่ควรทั้งนั้น
.
จวินซือฝุคือยอดคนเหนือโลกีย์ แค่จากที่ท่านเร้นกายอยู่ยังเขาเยี่ยนหุยมาหลายปีปานนี้โดยไม่ถูกสัตว์ป่าตัวใดเขมือบเอา พวกเราก็ดูเรื่องนี้ออกได้แล้ว เขาเยี่ยนหุยคือเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าและธรรมชาติอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันทั้งต้าฉาว มักจะมีสัตว์แปลกประหลาดเหลือเชื่อโผล่มาทำร้ายคนถึงชีวิตอยู่เนืองๆ
.
นับตั้งแต่ข้าได้รู้จักจวินซือฝุเป็นต้นมา ก็ถือท่านเป็นเพียงยอดคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะยอดเสียจนสามารถทำให้คนที่สิ้นลมไปแล้วกลับฟื้นคืนชีพได้ นี่คือไสยศาสตร์อวิชชา ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติ ลองคิดดูสิว่าท่านอุตส่าห์ฆ่าศัตรูคนหนึ่งตายไปแล้ว ผลคือฝ่ายนั้นดันยังสามารถฟื้นคืนชีพมาให้ท่านฆ่าอีกหนได้ จะให้ท่านทำใจได้อย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเรื่องอันมหัศจรรย์เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับตัวข้าเอง ได้แต่ถือว่าเป็นอีกเรื่อง เพราะการปฏิเสธมันคือการปฏิเสธตัวข้าเอง
.
.
ในวันนี้ที่ข้าฟื้นคืนชีพจากความตาย รู้สึกว่าตัวเองหลับสนิทไปนานมาก และลืมตาตื่นขึ้นในคืนอันสลัวมัวของฤดูหนาว
.
มองออกไปทางหน้าต่าง ดวงจันทร์ลอยประดับเหนือยอดไม้ เป็นเพียงดวงรัศมีสีเหลืองอ่อน รอบด้านเงียบสงัด ได้ยินเสียงนกร้องเสียงสองเสียงนานๆ ครั้ง
.
ข้านึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวข้าตกลงมาจากบนกำแพงเมือง สูงถึงเพียงนั้น คิดถึงว่าอย่างนี้แล้วยังสามารถช่วยให้รอดตายได้อีก วิชาแพทย์ในปัจจุบันช่างเจริญจริงแท้
.
จวินซือฝุนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพลิกเปิดตำราโบราณเล่มหนึ่ง จวินเหว่ยฟุบสัปหงกอยู่กับโต๊ะ ไฟตะเกียงดุจเม็ดถั่ว พวกเขาต่างไม่ได้สังเกตเห็นข้า
.
เหลือบสายตาขึ้นก็มองเห็นดอกบัวขาวบนม่านเตียง ข้าพูดว่า “ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?”
.
เงียบกริบไปชั่ววูบ จวินซือฝุวางตำราลงทันควัน ตกลงบนโต๊ะ เสียงดังตุบ
.
“อาเจิน นั่นเจ้าพูดอยู่หรือ?” จวินเหว่ยตกใจตื่นเพราะเสียง ยกมือขึ้นขยี้ตา
.
ข้าอ้าปาก เปล่งเสียงพยางค์เดียวออกมา “อืม”
.
จวินเหว่ยคงท่ายกมือไว้ มองข้าอย่างตกตะลึง “อาเจิน?”
.
ข้าไม่ว่างไปสนใจเขา เพราะจวินซือฝุได้ก้าวสองก้าวมาถึงตรงหน้า ยื่นนิ้วมือมาหยั่งดูลมหายใจข้า แล้วจับเส้นชีพจรของข้าตรวจดูอย่างละเอียด
.
เนิ่นนาน ท่านกล่าวระคนทอดถอน
.
“ไข่มุกเงือกนั่นคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่าไร้ที่เปรียบจริงๆ อาเจิน เจ้าเจ็บหรือไม่?”
.
ข้าส่ายหน้า “ไม่เจ็บ”
.
จวินซือฝุหัวเราะเจื่อนๆ “บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ยังไม่เจ็บ ข้าเป็นคนทำให้เจ้ากลับมาเอง แต่เจ้าได้ตายไปแล้ว เจ้าจะไม่เจ็บอีกต่อไป ข้าตัดสินใจเอาเองโดยพลการ เจ้าอยากจะฟื้นขึ้นมาไหม?”
.
ข้ามองจวินซือฝุ ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา พยักหน้ากล่าวว่า “อยากสิ”
.
นี่ไม่ใช่การฟื้นคืนชีพ เยี่ยเจินได้ตายไปแล้ว
.
ทุกเรื่องราวล้วนมีกรรมกำหนด นี่ก็คือกรรมของข้า
.
หลังจากคนเราตายแล้ว สายใยแห่งจิตจะค่อยๆ กระจายสลายไป สุดท้ายจะดับสูญ นี่คือตำนานของจิ่วโจว เมื่อก่อนข้าก็คิดว่ามันเป็นแค่ตำนาน จนกระทั่งตัวเองได้ตายเองมาหนึ่งครั้ง ถึงค่อยรู้ว่าตำนานก็มีที่น่าเชื่อถืออยู่เช่นกัน
.
สามวันหลังจากฝังศพ จวินซือฝุฉวยโอกาสยามวิกาลลอบแฝงกายเข้าไปในสุสานหลวง งัดข้าออกมาจากในโลงบรรทุกกลับเขาจวินอวี่ เวลานั้น เศษเสี้ยวที่เหลือของสายใยแห่งจิตยังคงยึดครองอยู่ภายในร่างไม่อาจจากไปได้ จวินซือฝุนำวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำลัทธิเย็บใส่เข้าไปในร่างที่พังยับเยินของข้า นั่นคือไข่มุกเงือกอันสุกสว่างลูกหนึ่ง ใช้เพื่อดูดซับเศษเสี้ยวดวงจิต เพื่อให้มันไม่อาจไปจากเจ้าของร่างได้ตลอดกาล โดยพื้นฐานแล้วนี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงสภาพการตายประเภทหนึ่งเท่านั้น นอกจากเคลื่อนไหวได้นึกคิดได้ ข้ากับคนตายก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันแล้ว
.
ร่างกายนี้ไม่อาจเติบโตได้อีก ข้าไม่มีลมหายใจ ไม่อาจรับรู้กลิ่นและรส ไม่จำเป็นต้องพึ่งการกินอาหารเพื่อให้มีชีวิตรอด และไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ตรงตำแหน่งอกซ้ายนี้ ที่เต้นอยู่ไม่ใช่หัวใจอุ่นๆ เป็นเพียงไข่มุกลูกหนึ่ง นอนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น มีประกายสุกสว่าง แต่กลับเย็นเฉียบดุจก้อนน้ำแข็ง ทำให้ข้าหนาวง่ายเป็นพิเศษ แต่การที่สามารถลืมตาขึ้นมามองดูโลกนี้อีกครั้งได้ ย่อมจะดีอยู่แล้ว
.
ข้าไม่ใช่เจ้าหญิงอะไรนั่นอีกต่อไป บนบ่าไม่มีความรับผิดชอบใดๆ อีก จวินซือฝุตั้งชื่อให้ข้าใหม่ ชื่อว่าจวินฝู หมายถึงว่าชีวิตนี้ของข้า เบาหวิวดุจฝุ่นธุลี เพียงปัดก็จรจาก ข้าคิดในใจ นี่ช่างเป็นชื่อที่น่าอนาถและแฝงนัยลึกซึ้งเสียนี่กระไร
.
พลีชีพเพื่อแคว้นครั้งนี้ ข้าจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล พลอยสูญชีวิตชดใช้นั้นช่างเถิด ประเด็นสำคัญคือกะโหลกถูกกระแทกแตก อวัยวะภายในที่ย้ายที่ก็ย้ายที่ ที่แตกพังก็แตกพัง ที่ตกเลือดก็ตกเลือด ซึ่งนี่หมายความว่าหลังจากนี้ไปร่างกายนี้ต้องอ่อนแอไม่อาจต้านแรงลมอย่างแน่นอน แม้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ อีก แต่การกระอักเลือดบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดี ขี้เกียจจะซักผ้าเช็ดหน้า
.
จวินซือฝุใช้เส้นไหมเงือกซ่อมแซมรูปโฉมของข้า ถูกท่านซ่อมแซมเช่นนี้ อิงตามพื้นฐานเดิมแล้วดูดีขึ้นมาก (หน้าตาสวยกว่าเดิมมาก) เพียงแต่รอยแตกบนกะโหลกรอยนั้นตกกระแทกรุนแรงเกินไปจริงๆ แม้แต่เส้นไหมเงือกก็จนหนทางจะซ่อมแซมให้สมบูรณ์ได้ จากหว่างคิ้วอ้อมผ่านหน้าผากไปจนถึงตำแหน่งหูซ้าย ทิ้งรอยแผลเป็นยาวเหยียดเอาไว้
.
จวินเหว่ยเห็นหน้าของข้าครั้งแรก พูดไม่ออกไปเป็นนาน ครึ่งค่อนวันค่อยพูดว่า “ปิศาจ (*) เกินไปแล้ว หน้าตาแบบนี้ปิศาจเกินไปแล้ว หน้าตาเรียบๆ อย่างแต่ก่อนไม่ดีหรือไง?”
.
ข้าพูดว่า “ข้าศึกษาอย่างละเอียดมาแล้ว เครื่องหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไรหรอก เพียงแต่ดูลึกลับชั่วร้ายโผงผางเที่ยงธรรมกว่าเมื่อก่อนนิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก ถือเสียว่าผ่าตัดตกแต่งโฉมล้มเหลวก็แล้วกัน”
.
แต่จะอย่างไรรอยแผลเป็นนั้นก็ขัดนัยน์ตา จวินซือฝุจึงใช้เงินเปลวตีเป็นหน้ากาก ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของข้าไว้ เดิมทีข้าเสนอให้ใช้หน้ากากหนังมนุษย์ แบบนี้จะดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งกว่า แต่เมื่อคำนึงถึงว่าหน้ากากหนังมนุษย์ระบายอากาศได้แย่มาก สุดท้ายจึงเลิกล้มไป
.
ข้าหลงนึกว่านับแต่นี้ไป จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผย ความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย เพียงแต่ตอนนั้นไม่ได้ใคร่ครวญกระจ่างแจ้ง หลงเข้าใจว่าเมื่อคนตายไปแล้วจะหมดสิ้นความทุกข์กังวล แต่ความทุกข์กังวลนั้นมาจากจิต จิตยังคงอยู่ จะไร้ทุกข์ได้อย่างไร จวินซือฝุทุ่มเทเลือดเนื้อและจิตใจเช่นนี้มาทำให้ข้าฟื้นตื่น ย่อมจะมีความคิดอ่านของท่านอยู่ ท่านต้องการทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ ความยากของเรื่องนี้เป็นรองเพียงให้จวินเหว่ยคลอดลูกให้ข้าสักคน
.
ท่านต้องการให้ข้าไปลอบฆ่าเฉิน ลอบสังหารเฉินโหว
.
.
.
* ปิศาจ (妖孽 : เยาเนี่ย) คือคำที่ถูกให้ความหมายใหม่ในอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบัน หมายถึงหล่อ/สวยราวกับปิศาจ หน้าตาดีมากเป็นพิเศษถึงขั้นหยาดฟ้ามาดิน เป็นเอกในหล้า ใช้ได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง ความหมายค่อนไปในทางเป็นคำชม
.
.

Admin เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:22

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น