ข้อมูลส่วนตัว
|
ข้อความ
0
|
เข้าสู่ระบบ
/
สมัครสมาชิก
เลือกฟอร์ม
ตัวอย่างนิยายสามชาติสามภพ ย่างก้าวเกิดปทุม
ห้องคุยเรื่อง Honzuki no Gekokujou (หนอนหนังสือยึดอำนาจ)
ศึกจอมขมังเวท
ราชาแห่งราชัน
มนตร์อสูร
จอมนางคู่บัลลังก์
พิภพพญามังกร
BOSS จินตนาการพิสดาร
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย
ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า
หย่งเยี่ย
ม่านม่านชิงหลัว
เรื่องย่อละครสี่องก์
เรื่องย่อวันวานดั่งดอกไม้สองภพชาติ (ชื่อเดิมเดือนปีคือดอกสองชีวิต)
เรื่องย่อ หนอนหนังสือยึดอำนาจ (Honzuki no Gekokujou)
ตัวอย่างศึกจอมขมังเวท
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา
หย่งเยี่ย เล่ม 1
หย่งเยี่ย เล่ม 2
หย่งเยี่ย เล่ม 3
หย่งเยี่ย เล่ม 4
หย่งเยี่ย เล่ม 1 (แก้ไข)
อาหาร-ขนมของจีน
ปรัชญา / สำนวน / วรรณกรรม
เพลงจีนเก่า ๆ
ภาพยนตร์และซีรีส์จีน
สถานที่ท่องเที่ยว
เครื่องแต่งกายของจีน
การนับเวลาของจีน
ประเพณีและวัฒนธรรมของจีน
ตำนานจีน
เชิงอรรถบางส่วนจากเรื่อง หัวซวีอิ่น เพลงพิณแดนนิทรา
ห้องโปรโมทหนังสือ + แจ้งข่าวหนังสือ + กิจกรรมสำนักพิมพ์
ห้องประวัติศาสตร์จีนทั่วไป
ประวัติบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีน
ตำนานต่างๆ ของจีน
ตำราพิชัยสงครามซุนอู่
ห้องส่วนตัวของซีเรีย/หลินโหม่ว
ห้องเล่านิยาย
ห้องเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ
คุยเรื่องหนังสือ
ติดต่อ-สอบถาม-สนทนาเรื่องทั่วไป
หน้าแรก
|
เว็บบอร์ด
|
สินค้าทั้งหมด
|
วิธีการสั่งซื้อ
|
การชำระเงิน
|
การจัดส่ง
|
ติดต่อเรา
หน้าแรก
ห้องโพสต์นิยาย
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา
หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 12
เลือกขนาดตัวอักษร :
ก
ก
ก
ก
ก
หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 12
โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:43
.
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่สอง (ต่อ)
.
.
ตรงตะเข็บชายแดนระหว่างแคว้นเฉินกับแคว้นเจียง คือเทือกเขาทอดตัวยาวเหยียด เนื่องจากในภูเขามักจะขุดได้แร่หยกอวี้ปี้ (玉璧) เป็นประจำ จึงเรียกว่า “เขาปี้ซาน” (璧山) พวกเราคิดว่าในเมื่อเป็นเพราะเหตุผลนี้ เหตุใดจึงไม่เรียกว่า “เขาอวี้ซาน” (玉山) ? ลองถามชาวบ้านที่อาศัยในเมืองดู ทุกคนคาดเดากันว่าอาจเป็นเพราะอักษรปี้มีขีดเยอะกว่า แลดูมีการศึกษา
.
พวกเรามาได้ถูกจังหวะพอดี หากเป็นฤดูหนาว ทั่วทั้งเขาปี้ซานต่างปูด้วยชั้นหิมะหนาเตอะ มักจะเกิดหิมะถล่มอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่พรานเฒ่าผู้มีประสบการณ์โชกโชน จะไม่สามารถข้ามผ่านไปได้เลย ได้แต่อ้อมไปทางแม่น้ำอิ่งเหอเท่านั้น ส่วนในตอนนี้นั้น พวกเราเดินไปตามทางน้อยบนเขา เดินไปพลางยังได้ชมทิวทัศน์ริมทางไปพลางอีกด้วย เจริญตาเจริญใจโดยแท้
.
ในภูเขามีธารน้ำไหลริน ข้าหยิบถุงน้ำออกมากำลังจะกรอกน้ำ พลันหยุดชะงักกะทันหัน จวินเหว่ยนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ กอบน้ำล้างหน้า ล้างเสร็จใช้แขนเสื้อเช็ด สังเกตเห็นอาการของข้า ถามอย่างแปลกใจว่า “เป็นอะไรไป?”
.
ทะลุผ่านดงเฉียงเวยป่าที่บังอยู่ข้างหน้า ข้าชี้ไปด้านหน้า
.
“อันนี้เจ้าต้องดูไว้ ดูให้ถี่ถ้วน ดูว่าคนเขาพลอดรักกันยังไง จะได้สะสมวัตถุดิบเขียนนิยายสักหน่อยด้วย” สีหน้าจวินเหว่ยคึกคักทันที มองไปทางทิศที่ข้าชี้
.
นั่นคือคู่หนุ่มสาวที่รักกันอย่างดูดดื่ม ฝ่ายชายสวมชุดผาวผ้าไหมยกดอก ฝ่ายหญิงสวมชุดผ้าไหมเมฆา เนื่องจากอยู่ห่างเกินไป มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ดูแต่รูปร่างแล้ว คนหนึ่งดุจต้นไม้หยกกลางสายลม คนหนึ่งดุจกิ่งหลิวกระหวัดเบา ข้างหลังเขาสองคนคือทะเลดอกไม้ที่ไม่ทราบนามผืนใหญ่ ใต้ต้นไม้แก่ด้านข้างผูกยอดอาชาล่ำสันบึกบึนไว้หนึ่งตัว แบ่งสมาธิไปมองเสี่ยวหวง มันจ้องยอดอาชาตาเป็นมัน น้ำลายไหลยืดแล้วจริงๆ ด้วย แต่ถูกจวินเหว่ยหิ้วหลังคอไว้ มิอาจไม่แสดงท่าทีข่มใจ ชายหนุ่มผู้นั้นโน้มตัวลงเด็ดเฉียงเวยสีแดงสดดอกหนึ่งให้หญิงสาว แซมไว้ในเรือนผมของนาง หญิงสาวเอื้อมมือไปโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่ม คนทั้งสองแนบชิดกันสนิทแน่น
.
จวินเหว่ยหันมาปิดตาข้า
.
“ดูมากไปจะเป็นตากุ้งยิงได้ง่าย”
.
ข้าตรึงสายตาจ้องไปข้างหน้าเขม็งพลางปัดมือจวินเหว่ยออกไป
.
“ข้าก็เรียนรู้ประสบการณ์เล็กน้อยน่า”
.
จวินเหว่ยไม่ยอมเปลี่ยนใจ ตราบใดที่บังสายตาข้าไม่สำเร็จเป็นไม่ยอมเลิกรา สุดท้ายทำเอาข้าโมโห เหวี่ยงเขาล้มคว่ำ
.
ในจังหวะนี้เอง ข้างหน้าพลันเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง ในใจข้าเกร็งเขม็ง จวินเหว่ยหันกลับมาปากอ้าตาค้าง
.
“ผู้ชายนั่นถูกผู้หญิงจับกดเร็วอย่างนี้เชียว? เหวอ...ผู้หญิงนั่นจะรุกเกินไปแล้ว อ้าวๆๆ ทำไมเพิ่งจะแค่จูบนางก็ขึ้นขี่ม้าจากไปเสียแล้วล่ะ? จะหยอกล้อคนรักเล่นก็ไม่ควรหยอกกันแบบนี้หรอกนะ ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว”
.
ข้าพูดว่า “หยอกล้อกับผีสิ เจ้าไม่เห็นผู้หญิงนั่นแทงผู้ชายนั่นจากข้างหลังไปหนึ่งมีดหรือไง คนเขาหลบหนีไปเพราะกลัวความผิดต่างหากเล่า”
.
จวินเหว่ยพูดว่า “อ้าว เมื่อกี้พวกเขายังกอดกันกลมอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
.
.
ยังไงข้าก็เป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัว เดิมทีข้ากับจวินเหว่ยสามารถงอมือไม่สนใจได้ แต่เงาร่างที่ล้มลงของชายคนนั้น ดุจภูเขาหยกที่เอนล้ม พลันทำให้ข้านึกถึงคนในดวงใจผู้นั้น มู่เหยียน
.
นับตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมา ก็ไม่ได้คิดถึงเขามานานมากแล้ว ซึ่งไม่ใช่ว่าความรักในใจได้ดับมอด เพียงแต่ถึงจะได้พบกันอีกครั้งในยามนี้ ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
.
ที่เมื่อก่อนข้ายึดมั่น เพราะข้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ในยามนี้เวลานี้ คนที่ตายไปแล้วอย่างข้า ไม่มีลมหายใจไม่อาจรับรู้รสชาติและความเจ็บปวด เขาไม่กลัวข้าก็บุญโขแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องอื่น พานพบมิสู้ไม่พบ
.
จวินเหว่ยตรวจดูปากแผลของชายคนนั้น บอกว่าถึงมีดจะแทงเข้าไปลึก แต่ไม่ได้เฉือนโดนจุดสำคัญ โชคดีที่พวกเราช่วยไว้ได้ทันท่วงที ยังทันยื้อชีวิตเขาไว้ได้
.
ข้ามองเห็นโฉมหน้าของชายผู้นี้ คิ้วดำเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบและไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิง เป็นใบหน้าที่ดูดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ผืนหญ้าที่ใต้เท้าเปียกชุ่มไปด้วยสีเลือดอย่างรวดเร็ว
.
จวินเหว่ยช่วยข้าห้ามเลือดเสร็จ ในที่สุดก็เริ่มรู้ตัวถามข้าว่า
.
“ประเด็นคือเหตุใดพวกเราต้องช่วยเขาด้วย?”
.
ข้าพูดว่า “เจ้าดูสิว่าเขาหน้าตาดีออกขนาดนี้ บางทีหลังจากพวกเรารักษาเขาจนหายดีก็เปลี่ยนมือขายทิ้งไป อาจจะขายได้เงินก้อนใหญ่ก็ได้นะ?”
.
จวินเหว่ยไม่สนใจข้า ขยับมือร้องเรียกเสี่ยวหวง
.
“ลูกชาย มาช่วยเตียเตียแบกเขาหน่อย”
.
เสี่ยวหวงเมินหน้าหนีไปอีกทาง จวินเหว่ยร้องเรียกต่อไป
.
“ถึงในเมืองแล้วเตียเตียจะซื้อไก่ย่างให้เจ้ากิน”
.
เสี่ยวหวงวิ่งระริกระรี้เข้ามาหา
.
.
คุณชายรูปงามผู้นี้นอนในร้านหมอของเมืองอยู่สองวันจึงค่อยฟื้นตื่นขึ้นมาช้าๆ นอกจากร้องเรียก “จื่อเยียน” หนึ่งครั้งระหว่างที่สติพร่าเลือน ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ข้าใคร่ครวญว่าจื่อเยียนคือชื่อของสตรี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหญิงที่แทงใส่เขา ทอดถอนใจอยู่เนิ่นนาน คิดว่านับแต่อดีตจวบปัจจุบันล้วนเป็นเช่นนี้ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านหญิงงาม
.
จวินเหว่ยพูดว่า “ไฉนคนผู้นี้ถึงเป็นอย่างนี้ จะดีจะชั่วพวกเราก็ช่วยชีวิตเขาไว้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ จะขอบคุณกันสักคำก็ไม่มี”
.
ข้าพูดว่า “ก็หน้าตาดีนี่นะ เอาแต่ใจหน่อยก็พอจะเข้าใจได้”
.
จวินเหว่ยขึงตาใส่ข้า
.
“หน้าตาดีแล้วกินยาไม่จ่ายเงินได้รึ? หน้าตาดีแล้วติดค้างน้ำใจผู้อื่นไม่ต้องพูดขอบคุณได้รึ?”
.
ข้าพูดว่า “อืม”
.
จวินเหว่ยเอามือกุมอกโมโหจนเกือบเป็นลม
.
เดิมทีพวกเราคิดกันไว้ว่าช่วยคนผู้นี้ให้รอด รับค่าตอบแทนเล็กน้อย หากบ้านเขาอยู่ใกล้ๆ ก็พลอยส่งเขากลับบ้าน ค่อยออกเดินทางจากไป แต่เรื่องราวในโลกหล้ามักไม่อาจสมดังปรารถนา ใครจะไปนึกว่าคุณชายสูงศักดิ์ที่แต่งกายเช่นนี้ บนตัวกลับไม่มีเงินสักแดงเดียว
.
ข้ากล่าวอย่างลำบากใจ
.
“เรื่องที่ย้ายท่านกลับมาจากเขาปี้ซานนี้ถือเสียว่าพวกเราทำดีวันละอย่างก็แล้วกัน แต่ท่านบาดเจ็บหนักเอาการ ใช้ตัวยาดีๆ ไปไม่น้อย ซึ่งพวกเราออกให้ก่อนทั้งนั้น พวกเราเดินทางครั้งนี้หนทางยาวไกล ทั้งยังพาเสือมาด้วยอีกตัว ค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่าเดินทางก็ไม่ได้มีมากมาย ท่านดูว่า...”
.
ข้าคิดว่าถ้าเขายังไม่มีปฏิกิริยาอีกข้าจะเข้าไปตบเขาแล้ว
.
แต่เขาไม่ให้โอกาสข้าได้ตบเขา
.
ข้าพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเขาพูดต่อกะทันหัน “หนทางยาวไกล?” คิ้วได้รูปคู่นั้นเลิกขึ้นน้อยๆ เรียวปากกลับอมยิ้มจางๆ
.
ข้าคิดในใจ นี่เขาอกหักจนโง่ไปแล้วหรือ?
.
เขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อหนทางยาวไกล อีกทั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงชันนี้ ย่อมต้องลำบากอันตรายอย่างยิ่งเป็นแน่ จ้ายเซี่ยไร้ความสามารถ บังเอิญเคยร่ำเรียนวิชากระบี่มาไม่กี่ปี หากกูเหนี่ยงไม่รังเกียจ ตลอดเส้นทางนี้ก็ให้จ้ายเซี่ยเป็นผู้คุ้มครองกูเหนี่ยงเถิด ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของกูเหนี่ยงด้วย”
.
ข้าพูดว่า “แต่เงินค่ายานี่...”
.
เขาถอดแหวนหยกปานจื่อบนมือออกยื่นให้ข้า
.
“นำแหวนวงนี้ไปจำนำ จะได้รับทองยี่สิบเหรียญ ไม่เพียงแต่เงินค่ายา เงินค่าอาหารตลอดทางที่จ้ายเซี่ยติดตามกูเหนี่ยงเองก็มีแล้ว”
.
ข้ารับแหวนมาเงยหน้ามองเขา
.
“ท่านไม่ต้องคุ้มครองข้าหรอก ในเมื่อเป็นทองยี่สิบเหรียญ ก็เพียงพอจะตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตนี้แล้ว”
.
เขากล่าวเสียงเรียบเฉย
.
“ชีวิตของจ้ายเซี่ยยังไม่ถึงกับด้อยราคาถึงขั้นนั้น”
.
ข้ากวาดสายตาขึ้นลงพินิจดูเขา
.
“แต่พรุ่งนี้พวกเราก็จะจากไปเร่งออกเดินทางกันแล้ว ร่างกายท่านทนไหวหรือ?”
.
เขาหัวเราะเบาๆ
.
“พรุ่งนี้ออกเดินทางหรือ? ไม่มีปัญหา”
.
.
จวินเหว่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายชุดฟ้าท่านนี้ถึงจะตามพวกเรามาให้ได้ คิดอยู่พักใหญ่ เห็นว่ามีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเขาต้องตาข้าเข้าให้แล้ว
.
เดิมทีข้าดีอกดีใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไปส่องกระจกเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พบว่าตัวข้าไม่อาจเทียบกับวันวานได้เสียแล้ว นอกเสียจากว่าเขาเป็นผู้คลั่งไคล้โลหะหนัก ไม่เช่นนั้นการจะมาต้องตาใบหน้าที่ครึ่งหนึ่งถูกแผ่นเงินบังเสียมิดชิดของข้านี้จัดว่าหาได้ยากจนล้ำค่าโดยแท้
.
จวินเหว่ยฟังความเห็นโต้กลับของข้าแล้ว จมสู่ห้วงความคิด กล่าวว่า
.
“หากไม่ใช่อย่างนี้ ก็ไม่มีเหตุผลเลยสักนิดแล้ว”
.
ข้าช่วยชี้ทางสว่างให้เขา
.
“เรื่องราวในโลกหล้าไหนเลยมีเหตุผลมากมายปานนั้น ตัวอย่างเช่นเสี่ยวหลาน (สีฟ้า) รูปงามคมสันบุคลิกงามสง่า ตามเหตุผลแล้วสามารถล่อผึ้งภมรล่อผีเสื้อได้ตั้งมากมายเท่าไร ผลสุดท้ายเจ้าเองก็เห็นแล้ว กูเหนี่ยงที่เขาชอบแทงใส่เขาหนึ่งมีดอย่างไร้ความปราณี ถ้าไม่ใช่เพราะได้พบพวกเรา ก็ทอดซากกลางทุ่งร้างไปแล้ว สายตาในการเลือกกูเหนี่ยงแย่เกินไป ทำเสียตัวเองร่อแร่ใกล้ตาย ถ้าจะว่ากันตามเหตุผลจริงๆ ก็น่าจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว”
.
จวินเหว่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แสดงท่าทีเห็นพ้อง แล้วคิดอีกครู่หนึ่ง ถามข้าว่า
.
“เสี่ยวหลานคือใคร?”
.
ข้าตอบว่า
.
“ก็คนสวมชุดสีฟ้าคนนั้นที่เมื่อไม่กี่วันก่อนช่วยกลับมาไม่ใช่รึไง?” พูดจบหมุนตัวกลับ เตรียมจะไปดูยาที่ห้องครัว เงยหน้าปุบมองเห็นเสี่ยวหลาน แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เอามือกอดอกพิงกรอบประตูห้องชั้นในด้วยกิริยาสบายๆ มองพวกเราด้วยสายตาเย็นชา
.
วิจารณ์ผู้อื่นลับหลัง นับว่าขาดการอบรมสั่งสอนจริงๆ นั่นแหละ เรื่องพรรค์นี้ยังมาถูกเจ้าตัวจับได้คาหนังคาเขาอีก ข้าไม่ทราบควรจะทำหน้าอย่างไรดี อึดใจใหญ่ หัวเราะแห้งๆ หนึ่งที เขาก็หัวเราะด้วยหนึ่งทีอย่างให้ความร่วมมือ ภายในดวงตากลับปราศจากแววยิ้ม หมุนตัวเข้าไปในห้องชั้นใน
.
จวินเหว่ยชะโงกเข้ามาใกล้ พูดว่า
.
“ข้าเชื่อแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องตาเจ้า”
.
ข้าหันกลับไปถามเขา
.
“เจ้าว่า มีความเป็นไปได้ไหมว่าความจริงแล้วเขาต้องตาเจ้าเข้าให้แล้ว?”
.
เสี่ยวหวงเดินผ่านหน้าประตูห้องพอดี จวินเหว่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชี้ที่ข้าร้องเรียกเสี่ยวหวง
.
“ลูกชาย กัดนาง”
Admin
เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:43
โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:43
0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ชื่อผู้โพสต์ :
*
ระบุตัวอักษรตามรูปภาพ :
ยกเลิก
เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
หน้าแรก
เว็บบอร์ด
สินค้าทั้งหมด