หัวข้อ : หัวซวีอิ่น...เพลงพิณแดนนิทรา # 12

โพสต์เมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:43

.
ม้วนที่หนึ่ง จบชีวิตอันกลวงเปล่า
.
.
ตอนที่สอง (ต่อ)
.
.
ตรงตะเข็บชายแดนระหว่างแคว้นเฉินกับแคว้นเจียง คือเทือกเขาทอดตัวยาวเหยียด เนื่องจากในภูเขามักจะขุดได้แร่หยกอวี้ปี้ (玉璧) เป็นประจำ จึงเรียกว่า “เขาปี้ซาน” (璧山) พวกเราคิดว่าในเมื่อเป็นเพราะเหตุผลนี้ เหตุใดจึงไม่เรียกว่า “เขาอวี้ซาน” (玉山) ? ลองถามชาวบ้านที่อาศัยในเมืองดู ทุกคนคาดเดากันว่าอาจเป็นเพราะอักษรปี้มีขีดเยอะกว่า แลดูมีการศึกษา
.
พวกเรามาได้ถูกจังหวะพอดี หากเป็นฤดูหนาว ทั่วทั้งเขาปี้ซานต่างปูด้วยชั้นหิมะหนาเตอะ มักจะเกิดหิมะถล่มอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่พรานเฒ่าผู้มีประสบการณ์โชกโชน จะไม่สามารถข้ามผ่านไปได้เลย ได้แต่อ้อมไปทางแม่น้ำอิ่งเหอเท่านั้น ส่วนในตอนนี้นั้น พวกเราเดินไปตามทางน้อยบนเขา เดินไปพลางยังได้ชมทิวทัศน์ริมทางไปพลางอีกด้วย เจริญตาเจริญใจโดยแท้
.
ในภูเขามีธารน้ำไหลริน ข้าหยิบถุงน้ำออกมากำลังจะกรอกน้ำ พลันหยุดชะงักกะทันหัน จวินเหว่ยนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ กอบน้ำล้างหน้า ล้างเสร็จใช้แขนเสื้อเช็ด สังเกตเห็นอาการของข้า ถามอย่างแปลกใจว่า “เป็นอะไรไป?”
.
ทะลุผ่านดงเฉียงเวยป่าที่บังอยู่ข้างหน้า ข้าชี้ไปด้านหน้า
.
“อันนี้เจ้าต้องดูไว้ ดูให้ถี่ถ้วน ดูว่าคนเขาพลอดรักกันยังไง จะได้สะสมวัตถุดิบเขียนนิยายสักหน่อยด้วย” สีหน้าจวินเหว่ยคึกคักทันที มองไปทางทิศที่ข้าชี้
.
นั่นคือคู่หนุ่มสาวที่รักกันอย่างดูดดื่ม ฝ่ายชายสวมชุดผาวผ้าไหมยกดอก ฝ่ายหญิงสวมชุดผ้าไหมเมฆา เนื่องจากอยู่ห่างเกินไป มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ดูแต่รูปร่างแล้ว คนหนึ่งดุจต้นไม้หยกกลางสายลม คนหนึ่งดุจกิ่งหลิวกระหวัดเบา ข้างหลังเขาสองคนคือทะเลดอกไม้ที่ไม่ทราบนามผืนใหญ่ ใต้ต้นไม้แก่ด้านข้างผูกยอดอาชาล่ำสันบึกบึนไว้หนึ่งตัว แบ่งสมาธิไปมองเสี่ยวหวง มันจ้องยอดอาชาตาเป็นมัน น้ำลายไหลยืดแล้วจริงๆ ด้วย แต่ถูกจวินเหว่ยหิ้วหลังคอไว้ มิอาจไม่แสดงท่าทีข่มใจ ชายหนุ่มผู้นั้นโน้มตัวลงเด็ดเฉียงเวยสีแดงสดดอกหนึ่งให้หญิงสาว แซมไว้ในเรือนผมของนาง หญิงสาวเอื้อมมือไปโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่ม คนทั้งสองแนบชิดกันสนิทแน่น
.
จวินเหว่ยหันมาปิดตาข้า
.
“ดูมากไปจะเป็นตากุ้งยิงได้ง่าย”
.
ข้าตรึงสายตาจ้องไปข้างหน้าเขม็งพลางปัดมือจวินเหว่ยออกไป
.
“ข้าก็เรียนรู้ประสบการณ์เล็กน้อยน่า”
.
จวินเหว่ยไม่ยอมเปลี่ยนใจ ตราบใดที่บังสายตาข้าไม่สำเร็จเป็นไม่ยอมเลิกรา สุดท้ายทำเอาข้าโมโห เหวี่ยงเขาล้มคว่ำ
.
ในจังหวะนี้เอง ข้างหน้าพลันเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง ในใจข้าเกร็งเขม็ง จวินเหว่ยหันกลับมาปากอ้าตาค้าง
.
“ผู้ชายนั่นถูกผู้หญิงจับกดเร็วอย่างนี้เชียว? เหวอ...ผู้หญิงนั่นจะรุกเกินไปแล้ว อ้าวๆๆ ทำไมเพิ่งจะแค่จูบนางก็ขึ้นขี่ม้าจากไปเสียแล้วล่ะ? จะหยอกล้อคนรักเล่นก็ไม่ควรหยอกกันแบบนี้หรอกนะ ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว”
.
ข้าพูดว่า “หยอกล้อกับผีสิ เจ้าไม่เห็นผู้หญิงนั่นแทงผู้ชายนั่นจากข้างหลังไปหนึ่งมีดหรือไง คนเขาหลบหนีไปเพราะกลัวความผิดต่างหากเล่า”
.
จวินเหว่ยพูดว่า “อ้าว เมื่อกี้พวกเขายังกอดกันกลมอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
.
.
ยังไงข้าก็เป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัว เดิมทีข้ากับจวินเหว่ยสามารถงอมือไม่สนใจได้ แต่เงาร่างที่ล้มลงของชายคนนั้น ดุจภูเขาหยกที่เอนล้ม พลันทำให้ข้านึกถึงคนในดวงใจผู้นั้น มู่เหยียน
.
นับตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมา ก็ไม่ได้คิดถึงเขามานานมากแล้ว ซึ่งไม่ใช่ว่าความรักในใจได้ดับมอด เพียงแต่ถึงจะได้พบกันอีกครั้งในยามนี้ ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
.
ที่เมื่อก่อนข้ายึดมั่น เพราะข้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ในยามนี้เวลานี้ คนที่ตายไปแล้วอย่างข้า ไม่มีลมหายใจไม่อาจรับรู้รสชาติและความเจ็บปวด เขาไม่กลัวข้าก็บุญโขแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องอื่น พานพบมิสู้ไม่พบ
.
จวินเหว่ยตรวจดูปากแผลของชายคนนั้น บอกว่าถึงมีดจะแทงเข้าไปลึก แต่ไม่ได้เฉือนโดนจุดสำคัญ โชคดีที่พวกเราช่วยไว้ได้ทันท่วงที ยังทันยื้อชีวิตเขาไว้ได้
.
ข้ามองเห็นโฉมหน้าของชายผู้นี้ คิ้วดำเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบและไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิง เป็นใบหน้าที่ดูดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ผืนหญ้าที่ใต้เท้าเปียกชุ่มไปด้วยสีเลือดอย่างรวดเร็ว
.
จวินเหว่ยช่วยข้าห้ามเลือดเสร็จ ในที่สุดก็เริ่มรู้ตัวถามข้าว่า
.
“ประเด็นคือเหตุใดพวกเราต้องช่วยเขาด้วย?”
.
ข้าพูดว่า “เจ้าดูสิว่าเขาหน้าตาดีออกขนาดนี้ บางทีหลังจากพวกเรารักษาเขาจนหายดีก็เปลี่ยนมือขายทิ้งไป อาจจะขายได้เงินก้อนใหญ่ก็ได้นะ?”
.
จวินเหว่ยไม่สนใจข้า ขยับมือร้องเรียกเสี่ยวหวง
.
“ลูกชาย มาช่วยเตียเตียแบกเขาหน่อย”
.
เสี่ยวหวงเมินหน้าหนีไปอีกทาง จวินเหว่ยร้องเรียกต่อไป
.
“ถึงในเมืองแล้วเตียเตียจะซื้อไก่ย่างให้เจ้ากิน”
.
เสี่ยวหวงวิ่งระริกระรี้เข้ามาหา
.
.
คุณชายรูปงามผู้นี้นอนในร้านหมอของเมืองอยู่สองวันจึงค่อยฟื้นตื่นขึ้นมาช้าๆ นอกจากร้องเรียก “จื่อเยียน” หนึ่งครั้งระหว่างที่สติพร่าเลือน ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ข้าใคร่ครวญว่าจื่อเยียนคือชื่อของสตรี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหญิงที่แทงใส่เขา ทอดถอนใจอยู่เนิ่นนาน คิดว่านับแต่อดีตจวบปัจจุบันล้วนเป็นเช่นนี้ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านหญิงงาม
.
จวินเหว่ยพูดว่า “ไฉนคนผู้นี้ถึงเป็นอย่างนี้ จะดีจะชั่วพวกเราก็ช่วยชีวิตเขาไว้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ จะขอบคุณกันสักคำก็ไม่มี”
.
ข้าพูดว่า “ก็หน้าตาดีนี่นะ เอาแต่ใจหน่อยก็พอจะเข้าใจได้”
.
จวินเหว่ยขึงตาใส่ข้า
.
“หน้าตาดีแล้วกินยาไม่จ่ายเงินได้รึ? หน้าตาดีแล้วติดค้างน้ำใจผู้อื่นไม่ต้องพูดขอบคุณได้รึ?”
.
ข้าพูดว่า “อืม”
.
จวินเหว่ยเอามือกุมอกโมโหจนเกือบเป็นลม
.
เดิมทีพวกเราคิดกันไว้ว่าช่วยคนผู้นี้ให้รอด รับค่าตอบแทนเล็กน้อย หากบ้านเขาอยู่ใกล้ๆ ก็พลอยส่งเขากลับบ้าน ค่อยออกเดินทางจากไป แต่เรื่องราวในโลกหล้ามักไม่อาจสมดังปรารถนา ใครจะไปนึกว่าคุณชายสูงศักดิ์ที่แต่งกายเช่นนี้ บนตัวกลับไม่มีเงินสักแดงเดียว
.
ข้ากล่าวอย่างลำบากใจ
.
“เรื่องที่ย้ายท่านกลับมาจากเขาปี้ซานนี้ถือเสียว่าพวกเราทำดีวันละอย่างก็แล้วกัน แต่ท่านบาดเจ็บหนักเอาการ ใช้ตัวยาดีๆ ไปไม่น้อย ซึ่งพวกเราออกให้ก่อนทั้งนั้น พวกเราเดินทางครั้งนี้หนทางยาวไกล ทั้งยังพาเสือมาด้วยอีกตัว ค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่าเดินทางก็ไม่ได้มีมากมาย ท่านดูว่า...”
.
ข้าคิดว่าถ้าเขายังไม่มีปฏิกิริยาอีกข้าจะเข้าไปตบเขาแล้ว
.
แต่เขาไม่ให้โอกาสข้าได้ตบเขา
.
ข้าพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเขาพูดต่อกะทันหัน “หนทางยาวไกล?” คิ้วได้รูปคู่นั้นเลิกขึ้นน้อยๆ เรียวปากกลับอมยิ้มจางๆ
.
ข้าคิดในใจ นี่เขาอกหักจนโง่ไปแล้วหรือ?
.
เขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อหนทางยาวไกล อีกทั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงชันนี้ ย่อมต้องลำบากอันตรายอย่างยิ่งเป็นแน่ จ้ายเซี่ยไร้ความสามารถ บังเอิญเคยร่ำเรียนวิชากระบี่มาไม่กี่ปี หากกูเหนี่ยงไม่รังเกียจ ตลอดเส้นทางนี้ก็ให้จ้ายเซี่ยเป็นผู้คุ้มครองกูเหนี่ยงเถิด ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของกูเหนี่ยงด้วย”
.
ข้าพูดว่า “แต่เงินค่ายานี่...”
.
เขาถอดแหวนหยกปานจื่อบนมือออกยื่นให้ข้า
.
“นำแหวนวงนี้ไปจำนำ จะได้รับทองยี่สิบเหรียญ ไม่เพียงแต่เงินค่ายา เงินค่าอาหารตลอดทางที่จ้ายเซี่ยติดตามกูเหนี่ยงเองก็มีแล้ว”
.
ข้ารับแหวนมาเงยหน้ามองเขา
.
“ท่านไม่ต้องคุ้มครองข้าหรอก ในเมื่อเป็นทองยี่สิบเหรียญ ก็เพียงพอจะตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตนี้แล้ว”
.
เขากล่าวเสียงเรียบเฉย
.
“ชีวิตของจ้ายเซี่ยยังไม่ถึงกับด้อยราคาถึงขั้นนั้น”
.
ข้ากวาดสายตาขึ้นลงพินิจดูเขา
.
“แต่พรุ่งนี้พวกเราก็จะจากไปเร่งออกเดินทางกันแล้ว ร่างกายท่านทนไหวหรือ?”
.
เขาหัวเราะเบาๆ
.
“พรุ่งนี้ออกเดินทางหรือ? ไม่มีปัญหา”
.
.
จวินเหว่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายชุดฟ้าท่านนี้ถึงจะตามพวกเรามาให้ได้ คิดอยู่พักใหญ่ เห็นว่ามีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเขาต้องตาข้าเข้าให้แล้ว
.
เดิมทีข้าดีอกดีใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไปส่องกระจกเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พบว่าตัวข้าไม่อาจเทียบกับวันวานได้เสียแล้ว นอกเสียจากว่าเขาเป็นผู้คลั่งไคล้โลหะหนัก ไม่เช่นนั้นการจะมาต้องตาใบหน้าที่ครึ่งหนึ่งถูกแผ่นเงินบังเสียมิดชิดของข้านี้จัดว่าหาได้ยากจนล้ำค่าโดยแท้
.
จวินเหว่ยฟังความเห็นโต้กลับของข้าแล้ว จมสู่ห้วงความคิด กล่าวว่า
.
“หากไม่ใช่อย่างนี้ ก็ไม่มีเหตุผลเลยสักนิดแล้ว”
.
ข้าช่วยชี้ทางสว่างให้เขา
.
“เรื่องราวในโลกหล้าไหนเลยมีเหตุผลมากมายปานนั้น ตัวอย่างเช่นเสี่ยวหลาน (สีฟ้า) รูปงามคมสันบุคลิกงามสง่า ตามเหตุผลแล้วสามารถล่อผึ้งภมรล่อผีเสื้อได้ตั้งมากมายเท่าไร ผลสุดท้ายเจ้าเองก็เห็นแล้ว กูเหนี่ยงที่เขาชอบแทงใส่เขาหนึ่งมีดอย่างไร้ความปราณี ถ้าไม่ใช่เพราะได้พบพวกเรา ก็ทอดซากกลางทุ่งร้างไปแล้ว สายตาในการเลือกกูเหนี่ยงแย่เกินไป ทำเสียตัวเองร่อแร่ใกล้ตาย ถ้าจะว่ากันตามเหตุผลจริงๆ ก็น่าจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว”
.
จวินเหว่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แสดงท่าทีเห็นพ้อง แล้วคิดอีกครู่หนึ่ง ถามข้าว่า
.
“เสี่ยวหลานคือใคร?”
.
ข้าตอบว่า
.
“ก็คนสวมชุดสีฟ้าคนนั้นที่เมื่อไม่กี่วันก่อนช่วยกลับมาไม่ใช่รึไง?” พูดจบหมุนตัวกลับ เตรียมจะไปดูยาที่ห้องครัว เงยหน้าปุบมองเห็นเสี่ยวหลาน แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เอามือกอดอกพิงกรอบประตูห้องชั้นในด้วยกิริยาสบายๆ มองพวกเราด้วยสายตาเย็นชา
.
วิจารณ์ผู้อื่นลับหลัง นับว่าขาดการอบรมสั่งสอนจริงๆ นั่นแหละ เรื่องพรรค์นี้ยังมาถูกเจ้าตัวจับได้คาหนังคาเขาอีก ข้าไม่ทราบควรจะทำหน้าอย่างไรดี อึดใจใหญ่ หัวเราะแห้งๆ หนึ่งที เขาก็หัวเราะด้วยหนึ่งทีอย่างให้ความร่วมมือ ภายในดวงตากลับปราศจากแววยิ้ม หมุนตัวเข้าไปในห้องชั้นใน
.
จวินเหว่ยชะโงกเข้ามาใกล้ พูดว่า
.
“ข้าเชื่อแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องตาเจ้า”
.
ข้าหันกลับไปถามเขา
.
“เจ้าว่า มีความเป็นไปได้ไหมว่าความจริงแล้วเขาต้องตาเจ้าเข้าให้แล้ว?”
.
เสี่ยวหวงเดินผ่านหน้าประตูห้องพอดี จวินเหว่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชี้ที่ข้าร้องเรียกเสี่ยวหวง
.
“ลูกชาย กัดนาง”

Admin เข้าร่วมเมื่อ 8 พ.ค. 2564, 10:43

0 ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น