โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:26
ตอนที่ ๖
ทิศทางที่เลือกเดิน
เฉินเฟิงตระเวนหามาเกือบหนึ่งชั่วโมงยังไม่เจอแม้แต่เงาสุนัขป่าสักตัว ไม่รู้เพราะจำนวนของมันมีจำกัด หรือถูกเขาไล่ฆ่าล้างบางจนชักจะหัวหดกันแน่
ตอนนี้เขากำลังมันสุดๆ กับการใช้หน้าไม้ ถึงยังไงลูกดอกเงินก็ไม่ได้แพงอะไรนักหนา แถมช่องใส่ของแต่ละช่องยังใส่ได้ตั้ง ๒๐ ดอก ถ้าจัดเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ดีๆ ก็จะใส่ได้ตั้ง ๑๐,๐๐๐ ดอก ต่อให้ยิงไม่แม่นขนาดไหน ภายใน ๒๐ ดอกก็ต้องฆ่าได้สักตัวอยู่ดี
ในระหว่างนี้เฉินเฟิงก็ค้นพบว่า ทักษะธนูกับทักษะยิงรัวของเขาได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับที่ ๕ แล้ว ทักษะขี่ม้าเองก็เลื่อนขึ้นเป็นระดับที่ ๕ อย่างรวดเร็ว แต่พอเลื่อนขึ้นถึงระดับที่ ๕ ก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่แค่นั้น
ระหว่างไล่ล่า เขาจงใจเปลี่ยนอาวุธเป็นทวนยาว ใช้ประสานกับทักษะบุกทะลวงของซวงเว่ย ผลคือทักษะบุกจู่โจมกับบุกทะลวงก็เลื่อนขึ้นเป็นระดับที่ ๕ แล้วหยุดอยู่แค่นั้น ส่วนทักษะสื่อสาร หลังจากเปลี่ยนมาใช้ทวน ก็เลื่อนขึ้นเป็นระดับที่ ๔ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดว่าคงเกี่ยวข้องกับซวงเว่ยแน่ๆ ! นอกจากนี้ยังมีทักษะสังหารด้วยโทสะที่เลื่อนขึ้นเป็นระดับที่ ๒ แบบงงๆ
ขณะที่เฉินเฟิงสาบานไม่ขออยู่ร่วมฟ้ากับพวกสุนัขป่า พวกมือใหม่ในทุ่งหญ้าหม่างก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาก เขาจึงต้องปล่อยกวางอูฐไป ไม่อย่างนั้นมือใหม่พวกนี้ไม่มีอะไรให้ฆ่ากันพอดี
ระหว่างตระเวนหาเรื่องสุนัขป่า เฉินเฟิงพบพวกมือใหม่ถูกสุนัขป่าไล่ล่าและยื่นมือเข้าช่วยอยู่หลายครั้ง แล้วได้รับทักษะใหม่มาอีกหนึ่งทักษะอย่างไม่คาดคิด
ปรากฏว่าช่วยคนก็เป็นทักษะด้วย คือทักษะ “ช่วยชีวิต” เป็นทักษะพื้นฐานของจอมยุทธ์พเนจร แต่เพราะมีคนให้ช่วยไม่มากเท่าไร ตระเวนอยู่ทั้งคืน ทักษะนี้ก็เลื่อนขึ้นแค่ระดับที่ ๒ เท่านั้น
นอกจากนี้อาจเป็นเพราะพวกผู้เล่นมือใหม่แอบกระจายชื่อของเฉินเฟิงต่อๆ กันไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ทำให้ทักษะชื่อเสียงของเฉินเฟิงพลอยเลื่อนขึ้นไปด้วยอีก ๑ ระดับ
เฉินเฟิงไม่ทราบหรอกว่าในกาลต่อมา วิธีฝึกวิชาโดยการขี่ม้าลมกรดถือหน้าไม้ของเขาจะกลายเป็นรูปแบบมาตรฐานในการฝึกวิชาเลื่อนระดับของพวกมือใหม่ทั้งหลาย แม้บนเกาะเริ่มต้นจะไม่มีโรงรับฝากสัตว์เลี้ยง แต่พวกพ่อค้าหัวใสมองเห็นลู่ทางการตลาด จึงตั้งโรงให้บริการเช่าม้าขึ้นบนเกาะเริ่มต้นในไม่อีกกี่เดือนให้หลัง แถมยังเตรียมหน้าไม้ไว้ให้เช่าอีกต่างหาก แล้วหมุนเวียนกันส่งสมาชิกของสมาคมพ่อค้ามาให้บริการ กลายเป็นวิธีการฝึกวิชาเลื่อนระดับที่ได้ผลอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าพวกที่ซวยที่สุดในกรณีนี้คือสุนัขป่าในทุ่งหญ้าหม่างที่นับแต่นี้ไปจะกร่างไม่ออกอีกเลย...
ยังมีผู้ประสบเคราะห์พลอยซวยตามไปด้วยที่คาดไม่ถึงอีกหนึ่งราย คือหนอนเขียวเขี้ยวเหล็กไหลแห่งป่าสน ที่เปลี่ยนจากสัตว์อสูรที่ไม่มีใครกล้าไปตอแย กลายมาเป็นยาบำรุงสำหรับการฝึกวิชาไป เพราะเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ที่มันจะระเบิดให้เป็นขุมทรัพย์ที่จะทำให้รวยได้ในชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว แต่นี่เป็นเรื่องในภายหลังทั้งสิ้น
ของที่ได้จากการฆ่าสุนัขป่านับว่าดีใช้ได้ นอกจากแต่ละตัวจะให้เงิน ๓๐ - ๕๐ เหรียญเงินแล้ว ใน ๓ ตัวจะมีอย่างน้อย ๑ ตัวให้อัญมณีสีแดง ในจำนวน ๑๕๐ ตัวจะมีโอกาสได้รองเท้าบู้ทหนัง ๑ คู่ หลังจากปลดผนึกแล้วพบว่าสามารถเพิ่มความเร็วในการเดินได้ ๑๐% เป็นไอเท็มที่ผู้เล่นระดับต้นและระดับกลางนิยมกันมาก
แต่เฉินเฟิงไม่ได้เปลี่ยนไปสวมรองเท้าบู้ทหนังนั้น เพราะถ้าเปลี่ยนแล้ว ชุดเกราะไพธอนแดงก็จะไม่ครบชุด พลังป้องกันจะลดลงไปถึง ๑,๕๐๐ จุด หลังจากเทียบข้อดีข้อด้อยแล้ว เฉินเฟิงก็ตัดสินใจไม่เปลี่ยนรองเท้า
ตลอดคืนนั้น เฉินเฟิงฆ่าล้างบางสุนัขป่าไปได้เกือบ ๕๐๐ ตัว ได้เงินมา ๔,๐๐๐ เหรียญเงิน อัญมณีสีแดง ๓๐๐ กว่าก้อน รองเท้าบู้ทหนัง ๒ คู่ ใช้ลูกดอกไป ๑๐,๐๐๐ ดอก แค่เงินที่ได้มาเขาก็กำไรไปแล้วถึง ๒,๐๐๐ เหรียญเงิน สุนัขป่า ๑ ตัวให้ค่าประสบการณ์ ๒๕๐ จุด ค่าประสบการณ์สะสมจึงเพิ่มเป็น ๖๑๖,๑๕๐ จุด
รายรับก้อนใหญ่มหึมานี้ทำให้เฉินเฟิงหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง แต่ระดับของซวงเว่ยนี่สิเลื่อนยากมาก เขาขี่ซวงเว่ยไล่ฆ่าสุนัขป่าทั้งคืน ระดับของซวงเว่ยยังเลื่อนขึ้นแค่ ๒ ระดับเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาทำผิดวิธี หรือเพราะต้องใช้ค่าประสบการณ์มากเกินไป
เมื่อกลับมาถึงเมืองเริ่มต้น ผู้คนก็ยังเยอะอยู่ เนื่องจากฮาร์ทจงใจเผยแพร่ชื่อเสียงของเฉินเฟิง ทำให้ทุกคนพลอยรู้กันหมดว่าเฉินเฟิงคือยอดฝีมือซื่อบื้อที่ทำเรื่องโจ๊กในช่องมวลชนคนนั้นนั่นเอง ทำเอาเฉินเฟิงโดนกองทัพมือใหม่แห่กันเข้ามารุมถามถึงวิธีฝึกวิชาเลื่อนระดับกันใหญ่ เฉินเฟิงได้แต่บอกวิธีฝึกในทุ่งหญ้าหม่างไป น่าเสียดายที่วิธีของเขาดันไม่เหมาะกับคนอื่น
ต้องทราบว่าที่ซวงเว่ยมาโผล่บนเกาะเริ่มต้นได้นี้ถือเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งทีเดียว หากคิดจะหาม้าลมกรดตัวที่สองบนเกาะเริ่มต้น ก็ได้รอกันเหงือกแห้งแน่ นอกจากนี้ถ้าคิดจะอาศัยความเร็วของธนูไม้ยาวไปสู้โดยไม่มีหน้าไม้เหล็กกล้า สุนัขป่าจะให้คุณได้ซาบซึ้งแน่ว่ามันดุขนาดไหน
หลังจากตอบคำถามเดิมๆ ให้มือใหม่ไม่รู้คนที่เท่าไร ทักษะชื่อเสียงของเฉินเฟิงก็เลื่อนขึ้นอีก ๑ ระดับ
พอลองไปดูที่เขตฝึกวิชา ก็พบว่าคนที่มาฝึกวิชาเลื่อนระดับเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ยิ่งในทุ่งหญ้าหม่างด้วยแล้วยิ่งเบียดเสียดกันแน่นขนัด เฉินเฟิงที่ทั้งเบื่อและคอแห้งจึงกลับไปเดินเล่นในเมืองเริ่มต้น
คนกลัวโด่งดังสุกรกลัวอ้วน ขี่ซวงเว่ยเดินอยู่ในเมืองเริ่มต้นแบบนี้ย่อมจะถูกผู้เล่นคนอื่นรู้ว่าเขาเป็นใครอย่างไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้เกาะทั้งเกาะตอนนี้มีม้าอยู่แค่ตัวเดียวคือซวงเว่ยกันเล่า ?
นอกจากตอบคำถามที่มีมาไม่จบไม่สิ้นแล้ว ก็มีมือใหม่หน้าด้านยิ่งกว่าคอนกรีตเสริมเหล็กบางคนมาตามตื๊อขอแบ่งเงินกับไอเท็มจากเฉินเฟิง
เฉินเฟิงไม่ใช่คนงก แต่เขามีหลักการว่าจะไม่ช่วยคนที่อยากได้อะไรมาฟรีๆ โดยไม่ขวนขวายเด็ดขาด สุดท้ายเขาก็จำต้องยอมจ่าย ๑๐๐ เหรียญเงินเช่าห้องของโรงแรมแล้วเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอย่างไม่มีทางเลือก
เฉินเฟิงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องในโรงแรมของเมืองเริ่มต้นทั้งวันจนแทบจับไข้ เขาออฟไลน์ออกจากเกมไม่ได้ เพราะไม่มีโรงรับฝากสัตว์เลี้ยง ดูท่าคงต้องร่นโครงการไปทวีปกู่ย่าเข้ามาเร็วขึ้นเสียแล้ว
เฉินเฟิงนึกขึ้นได้เรื่องที่เขามีนัดกับวิหารจันทราเทพและเลเอทท์ จึงจำต้องแวะไปที่อาคารเริ่มต้นกับคลังเก็บไอเท็มอีกรอบเพื่อเปลี่ยนเวลานัดกับคนทั้งสองโดยเลื่อนไปเป็นนัดเจอกันที่ทวีปกู่ย่า แล้วเลยฉวยโอกาสบอกลาด้วยเสียเลย
วันถัดมา เฉินเฟิงฉวยโอกาสที่คนบางตาลงแอบขี่ซวงเว่ยมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือเริ่มต้น
เมื่อไปถึงท่าเรือเริ่มต้น และได้เห็นตารางออกเรือ เฉินเฟิงก็แทบเป็นลม เรือที่จะไปทวีปกู่ย่าออก ๒ วัน / ๑ เที่ยว ราคาตั๋ว ๒,๐๐๐ เหรียญเงิน ที่ทุเรศกว่านั้นคือ กระทั่งสัตว์เลี้ยงอย่างซวงเว่ยก็ต้องซื้อตั๋วด้วย แถมค่าตั๋วยังแพงกว่าคนเสียอีก ใบละตั้ง ๓,๐๐๐ เหรียญเงิน !
ที่เซ็งที่สุดคือ...เรือเพิ่งจะออกไปเมื่อ ๒ ชั่วโมงที่แล้ว !
ในที่สุดเฉินเฟิงก็ได้รู้ว่าทำไมเจ้าของคนก่อนของซวงเว่ยถึงได้ขายซวงเว่ยแบบลดราคาแหลกลาญ คนหนึ่งคนบวกม้าหนึ่งตัว ก็ต้องจ่าย ๕,๐๐๐ เหรียญเงิน ไปกลับหนึ่งรอบก็ต้องจ่าย ๑๐,๐๐๐ เหรียญเงิน ดังนั้นถึงตอนนั้นซวงเว่ยจะมีระดับตั้ง ๒๐ แล้ว แต่จะให้พากลับไปที่ทวีปกู่ย่าด้วยนี่ คำนวณยังไงก็ไม่คุ้ม
เขาพอจะจำได้รางๆ ว่ายังมีกลุ่มนักขนส่งด้วยเวทมนตร์ที่จะช่วยพาออกไปจากเกาะเริ่มต้นได้ หลังจากสอบถามตำแหน่งที่ตั้งแล้ว ก็หาจุดหมายพบที่ด้านข้างท่าเรือ นั่นคือสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายกระโจมของชาวมองโกลหลังหนึ่ง
นักขนส่งนั่งพักผ่อนอยู่ข้างในอย่างเกียจคร้าน พอแลไปก็ไม่เห็นผู้เล่นเข้าออกแม้แต่รายเดียว หลังจากสอบถามราคาดู ก็ต้องขนหัวลุก
การจะใช้บริการจากกลุ่มนักขนส่งจำเป็นต้องได้รับคุณสมบัติเสียก่อน อัตราค่าขนส่งแปรผันโดยตรงกับระยะทาง หากจะข้ามมหาสมุทรต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มเป็น ๑๐ เท่า ดังนั้นหากคิดจะให้ส่งจากเกาะเริ่มต้นไปที่ทวีปกู่ย่า ค่าขนส่งที่ผู้เล่นแต่ละคนต้องจ่ายคือ ๓๐,๐๐๐ เหรียญเงิน ส่วนค่าขนส่งของสัตว์เลี้ยงคือ ๕๐,๐๐๐ เหรียญเงิน ตอนนี้เฉินเฟิงไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่ถึงจะมีเงินมากพอ เขาก็จ่ายไม่ลงอยู่ดี !
สรุปว่าเฉินเฟิงได้แต่คอตกกลับไปนั่งเรือตามเดิม เจ้าของเรือแนะให้เขาขายซวงเว่ยทิ้งไปเสีย พอไปถึงทวีปกู่ย่าแล้วยังต้องการใช้ก็ค่อยหาซื้อเอาใหม่ แต่เฉินเฟิงรู้สึกผูกพันกับซวงเว่ย แถมเขายังเป็นคนตั้งชื่อให้มันเองด้วย จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนใจซื้อตั๋วไป ๕,๐๐๐ เหรียญเงิน
ยังต้องรออีก ๒ วันเรือถึงจะมา เฉินเฟิงไม่อยากกลับไปที่เมืองเริ่มต้นอีกแล้ว เพราะถ้ากลับไป เขาก็ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องที่โรงแรม ไม่มีอะไรให้ทำ และเขาก็ไม่นึกอยากจะฝึกวิชาเลื่อนระดับอีก จึงได้แต่ไปเดินๆ ดูส่วนอื่นของเกาะ
ย้อนกลับมาถึงเนินเขาวายุจันทรา แถบนี้ผู้เล่นบางตาเป็นพิเศษ เฉินเฟิงเดินวนรอบเนินเขาไปหนึ่งรอบอย่างอยากรู้อยากเห็น ก็พบว่าที่นี่มีสัตว์อสูรแค่ชนิดเดียว แต่ระดับสูงไม่เบา หลังจากเปิดคู่มือสัตว์อสูรเทียบดูแล้วถึงได้รู้ว่านั่นคือ “ปิศาจหิน” ระดับ ๓๐ ซึ่งจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีศัตรูก่อน
เฉินเฟิงไม่คิดจะอ่านวิธีโจมตีที่เขียนอยู่ในหนังสือ เพราะมีบทเรียนจากเรื่องหนอนเขียวเขี้ยวเหล็กไหลกับพฤกษ์ไพธอนสารหนูแดงอยู่ก่อน แต่เฉินเฟิงที่คิดว่าตัวเองสามารถท่องไปทั่วเกาะเริ่มต้นได้แบบสบายๆ ก็ต้องเจอของแข็งเข้าให้อีกรอบ เพราะถึงปิศาจหินจะไม่เป็นฝ่ายโจมตีศัตรูก่อน แต่ถ้าดันไปหาเรื่องมันเข้าหนึ่งตัว มันจะแห่กันมารุมไล่ล่าคุณทีละเป็นฝูงทันที
การยิงลูกดอกใส่ปิศาจหินแทบไม่ต่างอะไรกับยิงใส่แผ่นเหล็ก เพราะลดพลังชีวิตของมันได้แค่ ๕๐ จุดเท่านั้น แต่ถ้าพลาดโดนมันอัดเข้าหนึ่งหมัด พลังชีวิตของคุณจะหดวูบไป ๔๐๐ จุด นี่ล่ะมั้งสาเหตุที่ทำให้ไม่มีผู้เล่นคนไหนอยากไปแตะต้องมัน !
โชคดีที่เฉินเฟิงมีซวงเว่ยอยู่ด้วย ถึงสู้ไม่ได้ก็ยังหนีได้อยู่ ใช้วิธีสู้ไปพลางหนีไปพลาง หลังจากระดมยิงไป ๕๐๐ ดอก ก็ล้มมันได้หนึ่งตัวในที่สุด แต่ไอเท็มที่ได้เป็นอะไร เฉินเฟิงไม่มีโอกาสไปดูเหมือนกัน เพราะถึงปิศาจหิน ๕๐ กว่าตัวจะเคลื่อนไหวอืดอาด แต่พวกมันจะทุ่มหินใส่คุณ ถ้าถูกซัดเข้า พลังชีวิตจะหดหายไปโขทีเดียว
จากเนินเขาวายุจันทราหักเลี้ยวไปทางเหนือทะลุผ่านป่าสน จะถึงสถานที่ที่เฉินเฟิงคุ้นเคยที่สุด การต่อสู้ครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในป่าสนแห่งนี้เอง แต่นักรบจากกันสามวันต้องประเมินกันใหม่ เขาเล็งหนอนเขียวเขี้ยวเหล็กไหลที่พลัดหลงอยู่ตามลำพังตัวหนึ่ง กะจะระบายความคับแค้นที่ถูกปิศาจหินรุมรังแก
แต่เจ้าหนอนนี่ไม่เสียทีที่ถูกพวกผู้เล่นเกลียดขี้หน้า นอกจากน้ำลายที่กระเซ็นจะมีพิษแล้ว การระเบิดก่อนตายยังทิ้งความทรงจำไว้ให้อย่างลึกล้ำ
ยุทธวิธีสู้พลางหนีพลางที่เฉินเฟิงแสนจะภาคภูมิใจ พอเอามาใช้กับเจ้านี่ เขายังเกือบจะได้ไปเกิดใหม่ ถึงแม้ลูกดอกแค่ ๔๐ กว่าดอกก็เก็บมันได้แล้วก็เถอะ แต่ขนาดห่างตั้ง ๑๐ กว่าเมตร แรงระเบิดก็ยังดันมาถึงตัวได้อีก
ย่างสู่ที่ราบสันเขาทองคำ แทบจะเผลอเข้าใจผิดว่ามาถึงทุ่งหญ้าแอฟริกาหรือสวนสัตว์เปิดอย่างไรอย่างนั้น มองเห็นสัตว์ป่าประเภทที่มักอพยพย้ายที่อยู่ตามแหล่งน้ำกระจายกันอยู่เป็นกลุ่มๆ แต่ยังไงๆ พวกมันก็เป็นสัตว์อสูรที่ถูกสร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ พอผู้เล่นเข้าไปใกล้ มันก็หันมาโจมตีทันที แถมบางส่วนยังแห่กันเข้ามารุมทีละเป็นฝูงอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจอีกต่างหาก
เฉินเฟิงเพิ่งจะย่างเข้าสู่ที่ราบแค่แป๊บเดียว ก็ถูกต้อนรับอย่างแสนจะอบอุ่นในทันใด ฝูงกระทิงป่า ๑๐ ตัวประกาศก้องว่าเขาบังอาจมาบุกรุกอาณาเขตของพวกมัน ถึงแม้พวกมันจะมีระดับแค่ ๒๐ แต่กองทัพมดกัดช้างตาย เมื่อต้องเผชิญกับฝูงกระทิงที่ควบตะบึงดาหน้าเข้าหา เขาก็ต้องให้เกียรติกันบ้างล่ะ
เฉินเฟิงที่มีระดับถึง ๓๐ ยังสะบักสะบอมแทบไม่รอด ไม่กล้าเขียมยาฟื้นพลังแม้แต่นิดเดียว พอปะทะกัน เขาก็ใช้ยุทธวิธีเดิม “สู้พลางหนีพลาง” กระทิงป่านอกจากจะหนังหนาอึดทนทานแล้ว การโจมตีจะโจมตีโดยใช้เขาขวิด แถมพลังโจมตีสูงจนน่าขนลุก
เฉินเฟิงถูกบีบให้ถอยกลับเข้าไปในป่าสน อาศัยต้นสนช่วยขวางจนกระทิงป่าเข้าขวิดไม่ได้ ค่อยฆ่ากระทิงไปหนึ่งตัวอย่างทุลักทุเล ผลคือของที่ได้มีแค่เงิน ๒๐ เหรียญ บวกกับหลังชำแหละแล้วได้เนื้อมา ๑๕ ก้อน คำนวณยังไงก็ไม่คุ้มเอาเสียเลย
เฉินเฟิงมองเห็นผู้เล่นจับกลุ่มกันเข้าสู่ที่ราบอยู่ลิบๆ แล้วอดงงไม่ได้ว่าสรุปแล้วตัวเองโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ?
โง่ละอายบอกว่า ความจริงผู้เล่นที่มีระดับ ๓๐ มีอยู่เกร่อไปหมด ที่เขากลายเป็นจุดสนใจได้ เพราะเขาอยู่บนเกาะเริ่มต้นเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นอยู่ที่ทวีปกู่ย่า อย่างเขาจะไม่มีทางกระตุ้นให้ใครสนใจได้เลย และจะไม่มีทางกลายเป็นอย่างในตอนนี้ที่จะเข้าสมาคมไหนก็ไม่ได้
แต่เรื่องมันเกิดไปแล้ว คิดมากไปก็เท่านั้น ดูท่าที่ราบสันเขาทองคำจะเป็นสวรรค์สำหรับการฝึกวิชาเป็นกลุ่ม เฉินเฟิงเองไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปอีก จึงได้แต่เดินเลียบไปตามขอบทุ่ง
หนนี้เรียกว่าเดินทางได้อย่างราบรื่นไปจนกระทั่งถึงทางเหนือสุดของเกาะเริ่มต้น
ถ้ำนักผจญภัยมีผู้เล่นเข้าออกอย่างคับคั่ง เนื่องจากเฉินเฟิงเดินลัดมาจากท่าเรือเริ่มต้น ระหว่างทางจึงไม่ค่อยได้เจอผู้เล่นเท่าไรนัก หลังจากนั้นเขาค่อยรู้ว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มายังถ้ำนักผจญภัยต่างก็ออกเดินทางจากเมืองเริ่มต้น จากนั้นเดินขึ้นมาตามถนนมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือตรงๆ ระหว่างทางจะเจอผู้เล่นมากมาย แต่เจอสัตว์อสูรเพียงประปราย ดังนั้นแม้จะมีระดับไม่สูงนัก ก็สามารถมาถึงถ้ำนักผจญภัยได้อย่างไม่ยากเย็น
เนื่องจากสัตว์เลี้ยงไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ จะทิ้งซวงเว่ยไว้นอกถ้ำ เฉินเฟิงก็ไม่วางใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าไปสำรวจถ้ำนักผจญภัย
เฉินเฟิงดูเวลา เห็นว่ายังอีกนาน จึงเดินผ่านถ้ำนักผจญภัยมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ทำการท่องสำรวจเกาะเริ่มต้นต่อไป
เขาเดินชมทิวทัศน์เลียบริมหาด ลมทะเลพัดเอื่อยๆ พาจิตใจให้ปลอดโปร่ง ช่วยละลายอารมณ์เบื่อๆ เซ็งๆ ในสองวันนี้ไปมาก เขาผ่อนความเร็วของซวงเว่ยลง นับแต่วันที่ได้ไอเท็มกองพะเนินจากในป่าสนเป็นต้นมา พูดได้ว่า ๒ - ๓ วันมานี้เขาอยู่ในอารมณ์เคร่งเครียดตลอด ถึงยังไงตอนนี้ก็มีเวลาเหลือเฟือ งั้นก็ขอเสพสุขกับความความสงบผ่อนคลายนี่หน่อยเถอะ
น่าเสียดายที่มีบางอย่างไม่ยอมให้เขาได้ผ่อนคลาย ธนูดอกหนึ่งโจมตีเข้าใส่กะทันหันดัง “ฟุ่บ !”
ลูกศรถูกแขนซ้ายของเฉินเฟิงที่ไม่ทันได้ระวังตัว แถมยังกำลังจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกแสนสบายจากลมทะเลที่พัดพลิ้วเข้าให้อย่างจัง !
ลูกศรยิงถูกรอยต่อของชุดเกราะพอดีอย่างแม่นยำราวจับวาง มือซ้ายเฉินเฟิงใช้ไม่ได้ไปชั่วขณะทันที
เฉินเฟิงชักดาบสั้นออกมาปัดลูกศรหลายดอกที่พุ่งเข้าใส่จากด้านหลัง แล้วค่อยเห็นชัดตาว่าอีกฝ่ายคือปิศาจมือธนูรูปร่างเหมือนคน มีผิวสีเขียว สูงประมาณ ๕ ฟุต มุมปากมันแสยะยิ้ม
เฉินเฟิงขี่ม้าไล่ตามไปทันที เห็นมันหันตัวกลับวิ่งหนีพลางหันมายิงธนูใส่เป็นระยะๆ ด้วยยุทธวิธีสู้พลางหนีพลาง
เฉินเฟิงที่อาศัยวิธีสู้แบบนี้หากินได้เจอลูกพี่เข้าให้แล้ว ถึงพลังโจมตีของธนูจะไม่สูงนัก แต่เขาไล่ศัตรูไม่ทัน หลังจากมือซ้ายฟื้นตัว เฉินเฟิงก็เปลี่ยนอาวุธเป็นหน้าไม้ แต่ระยะยิงสั้นเกินไป ขาดอีกไม่กี่เมตรก็จะถึงตัวมันไปเสียทุกครั้ง เฉินเฟิงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างสุดแค้นโดยที่ทำอะไรมันไม่ได้
ไล่ล่าอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จากริมหาดไล่ไปจนถึงแนวป่ากั้นพายุทางตะวันตก ก็ยังทำอะไรปิศาจมือธนูไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ ที่ซวยกว่านั้นคือดันไปล่อปิศาจมือธนูแห่กันมามากกว่าเดิม
ถึงธนูพวกนี้ทำอะไรเฉินเฟิงไม่ได้ แต่เล่นยิงมาทีเดียวพร้อมกัน ๘ - ๙ ดอก ก็ทำเอาเขามือไม้พันกันยุ่งเหมือนกันจนทำให้พลาดโอกาสโจมตีไปหลายครั้ง
หลังเข้าสู่แนวป่ากั้นพายุ ก็ยิ่งแย่หนักกว่าเดิม เพราะไม่มีระยะห่างมากพอให้ซวงเว่ยใช้วิธีบุกทะลวง แถมต้นไม้ยังขึ้นแบบไม่เป็นระเบียบ เรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ
อารมณ์สุนทรีย์ถูกป่วนซะป่นปี้ แถมปิศาจมือธนู ๖ ตัวตรงหน้ายังทำท่าเยาะเย้ยใส่เขาอีกต่างหาก ทำเอาเฉินเฟิงเดือดดาลสุดขีด
ทันใดนั้นได้มีผู้ส่งข้อความขอรวมกลุ่มมาถึง เฉินเฟิงดูข้อมูล ชื่อของผู้เล่นคือ เยี่ยหลาน (หมอกราตรีแห่งภูผา) ระดับ ๒๑ อาชีพผู้เริ่มต้น ก็งงไปชั่วขณะ เลยโดนปิศาจมือธนูโจมตีเข้าให้อีกระลอก ผู้เล่นคนนั้นส่งข้อความมาอีกสองครั้งอย่างไม่ยอมตัดใจ เฉินเฟิงจึงได้แต่ยอมรวมกลุ่มด้วย
เมื่อการรวมกลุ่มสัมฤทธิ์ผล ด้านหลังต้นไม้ก็มีเด็กสาวถือดาบสั้นพุ่งวาบออกมาฟัน “ฟุ่บ ! ฟุ่บ !” สองครั้ง ก็ฆ่าปิศาจมือธนูตายไปหนึ่งตัวอย่างง่ายดาย
ปิศาจมือธนูที่เหลือ ๕ ตัวต่างตื่นตระหนกระส่ำระสายจนรูปขบวนโจมตีสลายไป เฉินเฟิงฉวยโอกาสยิงพวกมันตายไป ๒ ตัวทันที
ทำไมมันอ่อนแอแบบนี้ !
ทันใดนั้นเยี่ยหลานส่งข้อความบอกให้เฉินเฟิงลงจากม้า ถึงเฉินเฟิงจะงงๆ แต่ก็ทำตาม ขาเขาเพิ่งจะแตะถึงพื้น เยี่ยหลานก็จัดการเก็บปิศาจมือธนูสำเร็จไปอีกตัว
ปิศาจมือธนูตาบอดตัวหนึ่งดันลงมือโจมตีกะทันหันข้างตัวเขา เฉินเฟิงเลยยิงเข้าให้รวดเดียว ๕ ดอกแบบไม่มีการเกรงใจ ส่งมันลาโลกกลับขึ้นสวรรค์ไป
หันกลับมาอีกที เยี่ยหลานได้ฟันฉับๆ จัดการเก็บไปอีกหนึ่งตัว วาระสุดท้ายของปิศาจมือธนูตัวสุดท้ายอนาถที่สุด เพราะถูกซวงเว่ยกระทืบตายคาเท้า เวลาเดียวกันนั้นเสียงจากระบบได้แจ้งว่าเขาปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของจอมยุทธ์พเนจรลุล่วง ได้รับทักษะใหม่คือทักษะ ‘หลบหลีก’ ระดับที่ 1 เพิ่มมา เฉินเฟิงอดงงไม่ได้ ทำไมสัตว์อสูรที่เขาไล่ตามเป็นนานสองนานก็ยังตามไม่ทันถึงถูกเก็บกวาดจนเกลี้ยงได้ง่ายๆ แบบนี้ ?
เยี่ยหลานรวบรวมของที่ได้มารวมกันเรียบร้อยแล้วก็พูดว่า
“พี่เฉินเฟิง ทำไมถึงไปแข่งความเร็วกับพวกมันแบบนั้นเล่า ? พี่ไม่เคยเจอพวกมันมาก่อนหรือ ?”
เฉินเฟิงส่ายหน้าเจื่อนๆ “ก็ไม่เคยน่ะสิ...เอ๊ะ ! เธอเองหรอกเหรอ ? เธอคือเด็กผู้หญิงที่เอาเแหวนป้องกันไฟมาแลกกับดาบสั้นของผมนี่นา !”
เยี่ยหลานพูดกลั้วหัวเราะ “คิกคิก ใช่แล้ว ! เพราะมีดาบเล่มนี้นี่แหละฉันถึงเข้ามาฝึกวิชาที่นี่ได้ ที่แท้พี่ก็เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกนี่เอง มิน่าล่ะพี่ถึงได้ไม่รู้ว่าไปแข่งความเร็วกับมันก็มีแต่แพ้กับแพ้ เพราะระบบออกแบบมาว่าไม่ว่าผู้เล่นจะวิ่งเร็วแค่ไหน พวกมันก็จะวิ่งได้เร็วกว่าค่ะ”
เยี่ยหลานเห็นเฉินเฟิงทำหน้ากระอักกระอ่วน ก็เลิกแหย่และเอาไอเท็มที่ได้ออกมา พูดว่า
“พวกเราโชคดีไม่เบาเลยล่ะ พี่ดูสิ ธนูไม้ยาวเชียวนา ไม่ใช่จะได้มากันง่ายๆ นะ ขายได้ตั้ง 300 เหรียญแน่ะ !”
เฉินเฟิงใช้ม้วนคาถาปลดผนึกหนึ่งม้วน ปรากฏว่าเป็นธนูไม้ยาวชั้นต้น ระดับที่ ๒ พลังโจมตี 80 จุด ระยะโจมตีหวังผลคือ ๑๕ เมตร หลังจากลองยิงไป ๒ - ๓ ดอก ก็พบว่าธนูไม้ยาวสามารถยิงได้ไกลกว่าหน้าไม้ แต่อัตราเร็วสูงสุดในการยิงจะลดลงถึง ๕ เท่าตัวขึ้นไป
เฉินเฟิงพูดไม่ออก คิดในใจว่า “ของแบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วหรือ ?”
อาวุธของเขาไม่ว่าจะชิ้นไหนก็แข็งแกร่งกว่าธนูนี่ทั้งนั้น แต่เห็นเยี่ยหลานดีอกดีใจขนาดนั้น เขาก็ไม่อยากทำให้เธอหมดอารมณ์
แล้วทั้งสองก็มาแบ่งไอเท็มที่ได้กัน เฉินเฟิงยกธนูไม้ยาวให้เยี่ยหลาน ของที่เหลือก็มีลูกศรไม้ธรรมดา ๖๐๐ ดอก เงิน ๒๕๐ เหรียญ เฉินเฟิงรับเงินมาแค่ ๑๐๐ เหรียญ ที่เหลือยกให้เยี่ยหลาน
เยี่ยหลานรับธนูไม้ยาวไปอย่างดีอกดีใจ แต่อย่างอื่นเธอไม่ยอมรับง่ายๆ หลังจากเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา สุดท้ายเฉินเฟิงต้องยอมรับเงินเพิ่มอีก ๕๐ เหรียญ เธอถึงค่อยยอม
เยี่ยหลานบอกว่าเธอฝึกวิชาอยู่ที่นี่มานานแล้ว และอยากจะได้ธนูไม้ยาวนี่มาตลอด แต่ฆ่าปิศาจมือธนูไปตั้ง ๑๐๐ กว่าตัวก็ยังไม่ได้มาเลย ครั้นจะซื้อก็เสียดายเงิน วันนี้เฉินเฟิงเลยถือเป็นดาวนำโชคของเธอจริงๆ
ความจริงการปราบปิศาจมือธนูนั้นง่ายมาก ขอแค่ซ่อนตัวอยู่ในที่ที่มันไม่มีทางยิงโดน (มีที่กำบัง) มันก็จะเขยิบเข้ามาหาที่ตายเอง แต่ถ้าคิดจะประลองความเร็วกับมันล่ะก็ ไล่ให้ตายก็ไม่มีทางตามมันทัน
หลังจากฟังจบ เฉินเฟิงก็ได้แต่ยิ้มจืดๆ ตัวเองทำเรื่องเปิ่นๆ ให้คนเขาหัวเราะอีกแล้ว นิสัยไม่ชอบอ่านคู่มือของเขาดูท่าจะต้องแก้ไขกันเสียที
ที่นี่อยู่ไกลจากเมืองเริ่มต้นมาก หลังจากเดินเตร็ดเตร่มากว่าครึ่งวัน เฉินเฟิงก็พบว่าการฝึกวิชาคนเดียวมันน่าเบื่อสุดยอด แต่ที่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่มีเพื่อนร่วมทางมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เขาเห็นเยี่ยหลานร่าเริงเข้ากับคนง่าย น่าจะมีเพื่อนเยอะ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ ? ดังนั้นจึงเลียบเคียงถามว่า
“เยี่ยหลาน ทำไมถึงไม่เข้าสมาคมไหนสักสมาคมล่ะ ? ฝึกวิชาคนเดียวแบบนี้น่าเบื่อจะตาย !”
เยี่ยหลานตอบว่า “ก็จริงอยู่หรอกว่าฝึกวิชาคนเดียวมันน่าเบื่อ แต่ขืนให้เข้าสมาคมมั่วซั่วพวกนั้น ฉันยอมเล่นคนเดียวดีกว่า พี่เองก็เล่นคนเดียวเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ?”
เฉินเฟิงทำหน้าประหลาดใจ “สมาคมมั่วซั่ว ? ช่วงนี้ผมยังไม่สะดวกจะเข้าสมาคมน่ะ แต่รู้สึกว่าถ้าไม่เข้าสมาคม จะฝึกวิชาลำบากนี่ ไม่ใช่หรือ ?”
“พูดถึงสมาคมพวกนั้นแล้วโมโหไม่หาย ตอนแรกฉันก็เล่นกับพวกเพื่อนๆ เหมือนกันแหละค่ะ ตอนนั้นน่ะสนุกมากเลย แต่พอระดับของทุกคนเริ่มสูง ก็เลยต้องแยกย้ายกันไปเข้าสมาคมต่างๆ กันไปเพื่อจะได้มีอาชีพ ตอนแรกฉันก็คิดจะเข้าสมาคมไหนสักสมาคมเหมือนกัน แต่สมาคมพวกนั้นน่ะแย่มากๆ ตั้งกฎเยอะแยะไปหมด ไอ้เรื่องห้ามโน่นห้ามนี่น่ะยังพอว่า แต่กระทั่งพวกเราจะรวมกลุ่มกัน ก็รีบรี่เข้ามาว่าเอาๆ พอจะขอลาออกก็ดันไม่ยอมให้ออก ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน !”
พูดถึงตรงนี้ เยี่ยหลานก็เริ่มของขึ้น ต้องสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายรอบกว่าจะสงบลงได้
เฉินเฟิงเพิ่งจะเคยได้ฟังความรู้สึกของผู้เล่นเกมที่มีต่อสมาคมเป็นครั้งแรก ดูเหมือนในสายตาผู้เล่นเกม สมาคมจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลย !
เขาส่ายหน้าช้าๆ “อย่าโมโหไปเลย ถึงสมาคมจะจำกัดโน่นนี่ แต่ที่มันช่วยให้ฝึกวิชาสำเร็จได้เร็วก็เป็นความจริง ยังไงต่อไปเขาก็จะเปิดตึกแนะนำอาชีพอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงตอนนั้นคงไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้วล่ะ”
เยี่ยหลานถอนหายใจ “ทีแรกฉันตั้งใจจะเลิกเล่นแล้วล่ะค่ะ ประกาศจะเปิดตึกแนะนำอาชีพของเลจจ์นั่นน่ะมันประกาศมาตั้งเกือบปีแล้ว ตอนแรกฉันกับพวกเพื่อนๆ ก็อดใจรอไม่ยอมเข้าสมาคมไหนเหมือนกัน แต่ต่อมาเพื่อนบางคนทนรอไม่ไหว ก็เลยเลิกเล่นไปเลยบ้าง เข้าสมาคมไปบ้าง พวกเราทั้งกลุ่มก็เลยกระจัดกระจายกันไปหมด”
แล้วเยี่ยหลานก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน ยิ้มพลางพูดว่า
“ถ้าไม่เพราะเมื่อวานได้ใช้แหวนแลกดาบจากพี่ ฉันก็คงเลิกเล่นไปแล้วล่ะ แต่เพราะพี่ ทำให้ฉันมีความมั่นใจขึ้นมาอีกหน ดังนั้นฉันก็เลยมาฝึกวิชาที่นี่ ซึ่งก็โชคดีจริงๆ ที่ยังไม่ได้เลิกเล่น เพราะสองวันมานี้ฉันได้ของดีๆ มาเพียบเลยล่ะ !”
เฉินเฟิงถามอย่างแปลกใจ
“ผมน่ะเหรอทำให้เธอมีความมั่นใจขึ้น ? ผมทำอะไรหรือ ?”
“ใช่ค่ะ ! พี่ทำให้ฉันมีความมั่นใจขึ้นมาอีกหน เพราะพี่เองก็ไม่ได้เข้าสมาคมไหนเหมือนกัน แต่กลับฝึกได้ดีกว่าพวกคนของสมาคมนั่นซะอีก ไอเท็มชุดเกราะของพี่ก็เจ๋งกว่าพวกนั้นตั้งเยอะ แสดงว่าถึงไม่เข้าสมาคมไหนก็เล่นให้ดีได้เหมือนกัน !
“หัวหน้าของสมาคมพวกนั้นก็เป็นแค่ผู้เล่นเหมือนกันนั่นแหละ ไม่เห็นจะต้องไปยกย่องอะไรนักหนา เรื่องที่สมาคมทำได้ พี่ก็ทำได้ แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ ? ฉันอยากจะบอกเรื่องเกี่ยวกับอาชีพหลายๆ อาชีพที่ฉันศึกษามาได้ แล้วรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมที่แข็งแกร่งกว่าสมาคมอาชีพใดแค่อาชีพเดียว ถึงตอนนั้นฉันค่อยลากพวกเพื่อนๆ ออกมาจากสมาคมพวกนั้น”
ความจริงที่เฉินเฟิงมาลองเล่นเกมนี้ดู นอกจากเพราะถูกโฆษณาดึงดูดใจแล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้เขาลองเข้ามาเล่นเกมนี้คือประกาศรับสมัครพนักงานของบริษัทเลจจ์เกมออนไลน์ และพูดกันตามจริงแล้ว จากที่ได้ลองสืบข้อมูลดูเป็นเวลาสองวันในเกม ทำให้เขาสับสนอย่างมาก
ลาภลอยที่ได้จากความโชคดีในตอนแรกทำให้เขาคิดอยากเป็นนักเล่นเกมอาชีพขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่หลังจากได้เห็นการทะเลาะแก่งแย่งกันของพวกสมาคมแล้ว เขาก็ชักลังเล เพราะเขารับไม่ได้เลยกับการทำตัวเห็นแก่ตัวถึงขนาดนั้นเพื่อที่จะได้เงินมามากๆ แต่การออกผจญภัยสำรวจอะไรๆ คนเดียวที่เพิ่งจะได้ลิ้มรสมามันก็น่าเบื่อสุดๆ
สงสัยว่าเขาคงไม่เหมาะจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพซะล่ะมั้ง !
เฉินเฟิงคิดว่ากลับไปหางานต่อคงจะดีกว่า หรือไม่ก็ไปสมัครเป็น NPC ของเกมนี้น่าจะเข้าท่าดี จนกระทั่งได้มาเจอกับเยี่ยหลาน ความคิดนี้ถึงค่อยเริ่มเปลี่ยนไป
เขาจำได้ว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก เขาประทับใจกับนิสัยไม่เอาเปรียบใครของเธอมาก มาครั้งนี้เธอยังช่วยเขาคลายวงล้อม แม้เขาจะไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ แต่ในความเป็นจริงเธอก็ช่วยลดเรื่องยุ่งยากให้เขาไปได้ไม่น้อย แถมตอนแบ่งไอเท็มกัน เธอยังไม่ยอมรับเกินกว่าที่สมควรจะรับ ทำให้เขารู้สึกชื่นชมมาก
ถ้าผู้เล่นส่วนใหญ่ในเกมนี้เป็นแบบเธอล่ะก็ จะดีแค่ไหนนะ ?
เฉินเฟิงรู้สึกอะอายใจขึ้นมาทันที กระทั่งเด็กผู้หญิงอย่างเยี่ยหลานยังมีปณิธานที่จะต่อสู้ประท้วงพวกสมาคม แล้วลองย้อนกลับมาดูตัวเขาสิ เขาคิดจะยอมแพ้เลิกเล่นเสียแล้วทั้งที่ระดับและไอเท็มของเขาสูงกว่าเธอตั้งเยอะ !
เฉินเฟิงยิ้มฝืดๆ “ไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ผมไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เธอคิดหรอก ผมแค่บังเอิญโชคดีกว่าชาวบ้านเขาในตอนที่เริ่มเล่นเกมเท่านั้น ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นด้วยกับความคิดของเธอ เพราะผมก็ไม่ค่อยชอบวิธีการของสมาคมพวกนั้นเหมือนกัน แต่ผมด้อยกว่าเธอมาก ความจริงก่อนหน้านี้ไม่นานผมยังคิดจะเลิกเล่นเกมนี้ด้วยซ้ำ !”
“เป็นไปไม่ได้มั้ง ! พี่รู้หรือเปล่าว่าทำไมถึงมีมือใหม่คอยเดินตามพี่เยอะแยะขนาดนั้น ? จริงอยู่หรอกว่าบางคนอาจจะอยากได้ไอเท็มมาฟรีๆ แต่เชื่อว่าผู้เล่นส่วนมากไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะคะ ข่าวที่พี่ไม่ได้สมัครเข้าสมาคมไหนสักสมาคมมันแพร่กระจายไปทั่ว ความจริงมีคนตั้งเยอะแยะเห็นพี่เป็นเป้าหมายที่จะเอาอย่างนะ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าอยากจะให้พี่ไปทำอะไรหรอก ทุกคนก็แค่มองเห็นความหวังที่จะหลุดพ้นจากข้อจำกัดของพวกสมาคมเท่านั้น ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แต่ถ้าพี่ยอมแพ้แค่นี้ล่ะก็ คงมีคนไม่น้อยที่ต้องผิดหวังแน่ๆ !”
เฉินเฟิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอื่นจะมองเขาแบบนี้ พอลองย้อนกลับไปคิดดูดีๆ พวกผู้เล่นที่เที่ยวมาขอไอเท็มจากเขาก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนจริงๆ ส่วนใหญ่จะแค่สอบถามวิธีฝึกวิชาเท่านั้น แต่พวกที่เที่ยวมาขอไอเท็มก็เกาะติดหนึบไม่ยอมปล่อยจนหลังจากนั้นพอเขาเห็นผู้เล่นคนอื่น ก็ต้องรีบหลบทันที ดูท่าเขาจะเข้าใจผู้เล่นมือใหม่ส่วนใหญ่ผิดไปอย่างมหันต์เสียแล้ว
เยี่ยหลานเห็นเฉินเฟิงทำท่าจมอยู่กับภวังค์ความคิด ก็รู้ว่าตัวเองคงทำให้เขาเริ่มจะเปลี่ยนใจแล้ว จึงพูดต่อว่า
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าทำไมพี่ถึงมาเล่นเกมนี้ แต่ฉันก็พอรู้ว่าพี่ไม่ใช่พวกที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมามากๆ แล้วทำไมถึงจะยอมแพ้แค่เพราะมีพวกสมาคมอยู่ด้วยล่ะ ? ถ้าพี่ไม่ชอบวิธีการของพวกนั้น พี่ก็หาวิธีเล่นในแบบของพี่เองก็ได้นี่ ! ขอย้ำอีกครั้งนะ หัวหน้าสมาคมก็เป็นแค่ผู้เล่นเหมือนกันนั่นล่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปทำตามกฎของพวกเขา ฉันหวังจริงๆ นะว่าพี่จะสู้ต่อไป และถ้าพี่ต้องการความช่วยเหลือ ฉันเชื่อว่าต้องมีคนมากมายให้การสนับสนุนพี่แน่”
หลังจากต่างก็ใส่ชื่อของแต่ละฝ่ายลงในรายชื่อในช่องเพื่อนแล้ว เฉินเฟิงก็บอกลาเยี่ยหลาน เขาไม่ได้รับปากอะไร แต่ก็แสดงให้รู้ว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อีก อย่างน้อยก็ในตอนนี้
หลังจากนั้นเฉินเฟิงก็หมดอารมณ์จะเดินเที่ยว ถึงยังไงทั่วทั้งเกาะเริ่มต้นก็มีแต่ถ้ำผีดิบเท่านั้นที่เขายังไม่เคยแวะไป และเพราะมีซวงเว่ยอยู่ด้วย ทำให้เขาเข้าไปสำรวจในถ้ำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจกลับไปที่เมืองเริ่มต้นอีกครั้ง