โพสต์เมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:18
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ เล่ม 1
โดย...ถังชีกงจื่อ
บทอดีต
รักคนผู้หนึ่ง แค้นคนผู้หนึ่ง
ระยะนี้ ข้าติดจะชอบนอนหลับอยู่มาก
น่ายน่ายบอกว่า “น่าจะเป็นเพราะตั้งครรภ์นั่นแหละเจ้าค่ะ ถึงได้ง่วงนอนบ่อยอยู่บ้าง เหนียงเนี่ยงไม่ต้องกังวลไปดอกเจ้าค่ะ”
น่ายน่ายคือสาวใช้ที่คอยดูแลข้า และเป็นเซียนเพียงผู้เดียวในวังสี่อู๋แห่งนี้ที่ยอมยิ้มให้ข้า เรียกข้าว่า “เหนียงเนี่ยง[1]” เซียนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ดูถูกข้า เพราะเยี่ยหัวไม่ได้มอบตำแหน่งเป็นทางการใดแก่ข้า และเป็นเพราะ...ข้าไม่มีทะเบียนเซียน เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง
ดูเหมือนน่ายน่ายจะผลักเปิดบานหน้าต่าง มีลมพัดเข้ามา เสียงฝีเท้าใครบางคนดังมาจากนอกหน้าต่าง เสียงน่ายน่ายบอกความตื่นเต้นยินดี “เหนียงเนี่ยง ไท่จื่อ[2]เสด็จมาเยี่ยมท่านละเจ้าค่ะ!”
ข้าลุกขึ้นจากใต้ผ้าห่มแพร พิงตัวกับพนักหัวเตียง ศีรษะออกจะวิงเวียนอยู่บ้าง แม้จะเพิ่งตื่น แต่ยังคงง่วงนอนอยู่ดี
ผ้าห่มยวบลงเล็กน้อย ข้าคิดในใจ...เยี่ยหัวนั่งลงข้างๆ ข้า
ข้าถามเขาอย่างง่วงงุน “คืนนี้แสงดาวสว่างดีหรือไม่?”
เขานิ่งไปชั่วครู่ค่อยกล่าวว่า “ซู่ซู่ ตอนนี้คือกลางวัน”
ข้ายกมือขึ้นคิดจะขยี้ตาด้วยความเคยชิน เมื่อแตะถูกผ้าต่วนขาวที่พันตาอยู่ จึงค่อยนึกขึ้นได้กะทันหันว่า ดวงตาไม่มีอยู่แล้ว ต่อให้ขยี้ตาเท่าไรก็ยังคงแยกแยะเวลาไม่ออก มองไม่เห็นสิ่งใด
เยี่ยหัวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยว่า “ข้าจะแต่งงานกับเจ้า...ข้าจะเป็นดวงตาให้เจ้าเอง”
ซู่ซู่...ข้าจะเป็นดวงตาให้เจ้าเอง
ข้าผลักเขาออกห่างอย่างลืมตัว ฝันร้ายในคืนนั้นได้ตรงเข้าเล่นงานข้าอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง ข้าหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
เยี่ยหัวคว้ามือข้าไว้ “ซู่ซู่ เป็นอะไรไป?”
ข้าพูดปดออกไปโดยที่ฟันสั่นกระทบกัน “ย...อยู่ดีๆ ก็เกิดง่วงนอนขึ้นมา ท่านไปทำงานของท่านเถิด ข้าอยากจะนอนสักครู่”
อ้อมแขนที่กาลก่อนแสนอาลัย..คนที่กาลก่อนแสนอาวรณ์ บัดนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจทานทน ข้าเพียงประหลาดใจ ในเมื่อเขารักหญิงผู้นั้นถึงเพียงนี้ แล้วไยตอนนั้นจึงรับปากคำร้องขอที่แสนจะเหลวไหลของข้าเล่า
ตอนนั้น...ตอนนั้น...ช่างน่าเจ็บใจนักว่าตอนนั้นไม่น่าเลย
เยี่ยหัวไปแล้ว น่ายน่ายหับประตูเข้าหากันเบาๆ ข้าทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยแรง ในสมองปั่นป่วนยุ่งเหยิง เดี๋ยวก็เป็นภาพเขาจวิ้นจี๋แห่งแดนบูรพา เดี๋ยวก็คิดถึงใบหน้าของเยี่ยหัว เดี๋ยวก็เป็นภาพมีดสั้นเปื้อนเลือดกับดวงตาของข้าที่ถูกคว้านออกไปคู่นั้น
มันเจ็บมาก...ข้าเจ็บจนอยากจะร้องไห้ กลับร้องไม่ออก
ข้าคิดว่ารอจนคลอดลูกคนนี้แล้ว ข้าก็จะกลับไปที่เขาจวิ้นจี๋ เริ่มต้นจากที่ใด ก็ควรจะจบลงที่นั่น
ข้านั่งเหม่อลอยอีกพักใหญ่ น่ายน่ายย่องฝีเท้าผลักประตูเข้ามา ร้องเรียกข้าเบาๆ “เหนียงเนี่ยง เหนียงเนี่ยง ตื่นหรือยังเจ้าคะ?”
ข้าลดเสียงกระแอมออกมาเบาๆ “มีอะไรหรือ?”
น่ายน่ายชะงักเท้า “ซู่จิ่นเทียนเฟย[3]สั่งนางกำนัลส่งเทียบเชิญมาเชิญเหนียงเนี่ยงไปร่วมดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”
ข้าดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้าอย่างหงุดหงิด “บอกไปว่าข้านอนแล้ว”
ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดระยะนี้ซู่จิ่นจึงได้แสดงท่าทีเป็นมิตรกับข้าอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะนางได้ดวงตาของข้าไปแล้ว ทำร้ายข้ากลายเป็นคนตาบอด ดังนั้นจะมากจะน้อยจึงรู้สึกผิดอยู่บ้างกระมัง?
แต่นางเองชัดๆ...นางเองที่บอกให้เยี่ยหัวคว้านดวงตาของข้าไป
ข้าไม่ใช่สาวน้อยเมื่อสามปีก่อนที่เพิ่งจะมาถึงที่นี่ ตื่นกลัวไปทุกสิ่งแต่กลับคิดจะประจบเอาใจให้ทุกคนชอบตนอย่างน่าขันผู้นั้นอีกต่อไป
คงจะประมาณตอนบ่าย น่ายน่ายได้เขย่าปลุกข้า บอกว่าแสงแดดส่องมาถึงในลานเรือนพอดี จึงให้ข้าออกไปอาบแดด
น่ายน่ายยกเก้าอี้โยกไปวาง จะประคองข้าไปนั่ง ข้าดันมือนางออก ลองเอามือค้ำโต๊ะค้ำกำแพงพยุงตัวค่อยๆ ขยับเดินออกไปเองทีละก้าว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจำเป็น ไม่เช่นนั้นภายหน้าเมื่อกลับไปที่เขาจวิ้นจี๋แล้ว ข้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเพียงลำพังได้อย่างไร?
อาบแดดไปได้ครู่หนึ่งก็เริ่มจะง่วงอีกแล้ว ในระหว่างที่เคลิ้มๆ ดูเหมือนข้ายังฝัน ในความฝันข้าได้กลับไปยังเขาจวิ้นจี๋เมื่อสามปีก่อนตอนได้พบกับเยี่ยหัวเป็นครั้งแรกเช่นเคย เยี่ยหัวมือถือกระบี่เย็นเยียบ ทั่วตัวมีแต่เลือด มาล้มลงตรงหน้ากระท่อมมุงหญ้าของข้า ข้าลนลานลากเขาเข้าไปในกระท่อม ใส่ยาห้ามเลือด แล้วปากอ้าตาค้างมองบาดแผลของเขาสมานตัวเข้าหากันเอง
ทั้งที่ข้าไม่ได้ช่วยชีวิตเขา เขากลับจะตอบแทนให้ได้ ข้าแบมืออย่างจนใจ “เจ้ามิสู้ใช้ตัวเคียงคู่”
ด้วยเหตุนี้จึงได้เป็นสามีภรรยากัน และมีลูกในท้อง
นับตั้งแต่จำความได้ ข้าก็อยู่ที่เขาจวิ้นจี๋เพียงลำพังมาโดยตลอด ข้างกายมีแต่สิงสาราสัตว์ ดังนั้นข้าจึงไม่มีชื่อ เยี่ยหัวเรียกข้าว่า “ซู่ซู่” บอกว่านับแต่นี้ไปนี่ก็คือชื่อของข้า ข้าแอบดีใจอยู่เป็นหลายวัน
ต่อมาเยี่ยหัวได้พาข้าขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้ ข้าจึงค่อยทราบว่า ที่แท้สามีของข้ากลับเป็นถึงพระนัดดาของเทียนจวิน[4]
ตอนนั้นเยี่ยหัวยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ
แต่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเยี่ยหัวคือสามีของข้า ตัวเยี่ยหัวเองก็ไม่ได้บอกกล่าวกับเทียนจวินเช่นกันว่าเขาได้รับหญิงมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นภรรยาที่แดนบูรพา
คืนนั้นข้ายกน้ำแกงไปให้เยี่ยหัวที่ตำหนักบรรทม รอบตำหนักไม่มีใครอยู่เฝ้า เสียงตัดพ้อของซู่จิ่นเทียนเฟยดังลอดมาอย่างชัดเจน
“ท่านแต่งงานกับมนุษย์ เพียงเพื่อประชดที่ข้าทรยศท่านแต่งให้กับเทียนจวินใช่หรือไม่? แต่ข้ามีทางใดเล่า...ข้ามีทางใดเล่า...หญิงทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน ผู้ใดบ้างปฏิเสธการโปรดปรานของเทียนจวินได้? ฮึ...บอกข้าสิ...เยี่ยหัว...ผู้ที่ท่านรักยังคงเป็นข้าถูกหรือไม่? ท่านเรียกนางว่าซู่ซู่...เพียงเพราะว่า...เพียงเพราะว่าในชื่อของข้ามีคำว่า ‘ซู่’ อยู่...ถูกหรือไม่?”
ความฝันที่ตรงกับความจริงอย่างไม่มีผิดเพี้ยนได้หยุดลงกะทันหันเพียงเท่านี้ ข้าตกใจจนเหงื่อซึมไปทั้งตัว ลูบท้องที่นูนขยายใหญ่อย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งครรภ์มาได้สามปีแล้ว...ข้าคิด...น่าจะถึงกำหนดคลอดเร็วๆ นี้
หลังจากตกค่ำ เนิ่นนานน่ายน่ายก็ยังไม่มาปรนนิบัติข้าเข้านอนเสียที ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถตักน้ำอาบน้ำล้างหน้าเองได้ จึงได้แต่เอ่ยปากเร่งนาง น่ายน่ายเข้ามาช่วยเหน็บชายผ้าขนสัตว์ที่คลุมขาให้ข้า ตอบว่า “เหนียงเนี่ยง รออีกนิดเถิดเจ้าค่ะ บางทีคืนนี้ไท่จื่ออาจจะเสด็จมาหาก็ได้ใครจะรู้นะเจ้าคะ?”
ข้าเผลอยิ้มออกมา ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เยี่ยหัวก็ไม่เคยมานอนกับข้าอีกเลย ข้ารู้ดี นับแต่นี้ไปเขาก็จะไม่มาอีกเช่นกัน
เมื่อตอนนั้น...บนเขาจวิ้นจี๋แห่งแดนบูรพา หากเยี่ยหัวบอกข้าว่าตัวเขามีนางในดวงใจอยู่แล้ว ข้าจะไม่มีทางบอกให้เขารับข้าเป็นภรรยาอย่างแน่นอน
ตอนนั้นข้ายังไม่ได้รักเขา ข้าเพียงรู้สึกเหงาที่ต้องอยู่คนเดียว
แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น เขารับข้าเป็นภรรยา ทั้งยังพาข้าขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้
ข้าถนัดเรื่องแสร้งทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อตัดปัญหาอยู่แล้ว ดังนั้นความขัดแย้งพัวพันระหว่างเขากับซู่จิ่นเทียนเฟย ข้าล้วนสามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ข้าคิดว่าไม่ว่าอย่างไรผู้ที่เขารับเป็นภรรยาก็คือข้า ข้ากับเขาได้ร่วมหันหน้าสู่บึงใหญ่แห่งแดนบูรพากราบไหว้ฟ้าดินกล่าวคำสาบาน ทั้งข้ายังอุ้มท้องบุตรของเขา ข้ารักเขาถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีสักวันที่เขาจะถูกข้าทำให้ตื้นตันใจอย่างแน่นอน
และเขาก็ค่อยๆ เริ่มอ่อนโยนกับข้าจริงๆ
ข้าถึงกับหลงนึกปลาบปลื้มยินดีไปเองว่าถึงแม้เขาจะไม่รักข้า แต่ก็นึกชอบข้าบ้างแล้วเล็กน้อยใช่หรือไม่หนอ?
ความรักนี่...บางครั้งก็ทำให้คนเราเปลี่ยนเป็นมักน้อยอย่างมาก...
แต่เรื่องนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นข้าจึงตื่นจากความฝัน ค่าตอบแทนคือสูญเสียดวงตาทั้งคู่...สูญเสียแสงสว่าง
วันนั้นซู่จิ่นเทียนเฟยเชิญข้าไปชมดอกไม้ที่สระมณี ข้าหลงนึกว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ของพวกญาติผู้หญิง จึงตอบรับเทียบเชิญนั้นอย่างโง่เขลา ไปถึงสระมณี ค่อยทราบว่ามีเพียงข้ากับนางสองคน
โบกมือไล่นางกำนัล นางจูงมือข้าเดินไปถึงแท่นประหารเซียน
นางยืนอยู่บนแท่นประหารเซียน หันมายิ้มให้ข้าอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ไหม? เทียนจวินจะแต่งตั้งเยี่ยหัวเป็นไท่จื่อ และจะยกข้าให้เป็นภรรยาของเยี่ยหัว”
ข้าไม่เคยเข้าใจกฎเกณฑ์และละครลวงโลกของบรรดาเซียนเหล่านี้ได้เลย ข้ารู้สึกเพียงเลือดลมในท้องได้ตีขึ้นมา ไม่ทราบว่าเพราะโกรธหรืองุนงง
ซู่จิ่นยังคงยิ้มอย่างสำรวมดังเดิม “ข้ากับเยี่ยหัวผูกสมัครรักใคร่กัน เดิมทีบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้ก็มิใช่ที่ซึ่งมนุษย์ควรจะอยู่ หลังจากคลอดลูก เจ้าจงกระโดดลงจากแท่นประหารเซียนแห่งนี้กลับไปสู่ที่ซึ่งเจ้าควรจะกลับเสียเถิด”
ข้าไม่ทราบว่ากระโดดลงจากแท่นประหารเซียนแล้วจะสามารถกลับไปยังเขาจวิ้นจี๋ได้จริงหรือไม่ ตอนนั้นข้าไม่เคยคิดจะจากไปมาก่อน ข้าถามนางอย่างงุนงงว่า “เยี่ยหัวบอกให้ข้ากลับไปหรือ? ข้าเป็นภรรยาของเขา ตามเหตุผลแล้วย่อมต้องอยู่กับเขา”
มานึกดูในตอนนี้ ถ้อยคำนั้นช่างเป็นการหาความอัปยศใส่ตัวโดยแท้
แต่ตอนนั้นข้าหลงเข้าใจไปเองมาโดยตลอดว่าโชคดีนักที่อย่างน้อยเยี่ยหัวก็ชอบข้าอยู่เล็กน้อย และขอเพียงเขาชอบข้าแม้จะแค่เล็กน้อย เช่นนั้นข้าก็จะอยู่กับเขา
ซู่จิ่นถอนหายใจอย่างนึกขัน พลันคว้ามือข้าอย่างปุบปับ พาข้าล้มตัวไปยังขอบแท่นประหารเซียน
ข้านึกว่านางจะผลักข้าตกจากแท่นประหารเซียน แต่ผู้ที่ตกลงจากแท่นสูงกลับเป็นนาง ข้ายังไม่ทันตั้งสติได้ ข้างกายก็มีเงาดำเงาหนึ่งพุ่งวาบผ่าน กระโดดตามซู่จิ่นลงไป
เยี่ยหัวอุ้มซู่จิ่นยืนอยู่ตรงหน้าข้า มองข้าอย่างเย็นชา ในดวงตาดำสนิทคู่นั้นเต็มไปด้วยไฟโทสะลุกโชน
ซู่จิ่นเอ่ยปากอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยลมหายใจรวยริน “อย่าโทษซู่ซู่เลย คิดว่านางคงไม่ได้เจตนาจะผลักข้าดอก เพียงแต่ได้ฟัง...ได้ฟังข่าวว่าเทียนจวินจะยกข้าให้ท่าน จึงหุนหันพลันแล่นไปบ้างเท่านั้น”
ไม่อยากจะเชื่อ ข้าไม่ได้...ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยชัดๆ!
“ไม่ใช่ข้า...ไม่ใช่ข้า! ข้าไม่ได้ผลักนาง! เยี่ยหัว เชื่อข้าเถิด...เชื่อข้าเถิดนะ...”
ข้าพยายามอธิบายกับเยี่ยหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ตื่นตระหนกลนลานจนพูดจาไม่ได้ศัพท์เหมือนเป็นตัวตลก
เยี่ยหัวโบกมือ ตวาดเบาๆ “พอแล้ว ข้าเชื่อแต่สิ่งที่ข้าเห็นเท่านั้น!”
เขาไม่ยอมฟังที่ข้าอธิบาย เขาไม่เชื่อข้า เขาอุ้มซู่จิ่นรีบร้อนก้าวลงจากแท่นประหารเซียน หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความร้อนใจ
คืนนั้น เยี่ยหัวได้มายืนอยู่ตรงหน้าข้าด้วยแววตาหม่นหมอง
“ดวงตาของซู่จิ่นถูกปราณดาบทหารใต้แท่นประหารเซียนลวกบาดเจ็บ ซู่ซู่ กฎแห่งกรรมตามสนอง หนี้ที่ค้างผู้อื่นต้องใช้คืนแก่เขา ซู่ซู่ อย่ากลัวไปเลย ข้าจะแต่งงานกับเจ้า นับแต่นี้ไปข้าจะเป็นดวงตาให้เจ้าเอง”
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องจะแต่งงานกับข้าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้มาก่อน หัวใจข้าหนาวเยือกในบัดดล ความโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัวพลุ่งขึ้นในใจพร้อมกัน
ข้าคิดว่ากาลก่อนข้าไม่เคยเสียกิริยาเช่นนี้ ข้าจับมือเยี่ยหัว ถามเสียงเกรี้ยวอย่างลืมตัว “เหตุใดท่านต้องเอาดวงตาข้าไปด้วย? นางกระโดดลงไปเองแท้ๆ! นางกระโดดลงไปเอง! ไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด เหตุใดท่านถึงไม่เชื่อข้าเล่า?”
แววตาเขาเจ็บปวด จากนั้นยิ้มเย็นชา “ใต้แท่นประหารเซียนมีไอพิษลอยตลบ นางกระโดดลงไปเองรึ? นางอยากตายอย่างนั้นหรือ? ซู่ซู่ เจ้าเปลี่ยนเป็นไร้เหตุผลมากขึ้นทุกทีเสียแล้ว”
ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้เขาคือหนึ่งเดียวในใจข้า ข้าคิดมาตลอดว่า...คิดมาตลอดว่ารอจนลูกคลอดแล้ว ข้ากับเขาจะจูงมือลูกไปดูทะเลเมฆสิบหลี่ม้วนตลบ แสงทองแรกอรุณโอบหมื่นจ้างด้วยกัน เขาไม่ทราบดอกว่าสำหรับข้าแล้ว แสงสว่างมีความหมายมากเพียงใด
ข้าถูกคว้านสองตาไป น่ายน่ายช่วยดูแลข้าอยู่สามวัน สามวันให้หลัง ซู่จิ่นได้มายืนอยู่ตรงหน้าข้า นางพูดว่า “ดวงตาของเจ้าคู่นี้ ข้าใช้แล้วดีมากเทียวละ”
ข้าค่อยเข้าใจกระจ่าง
ท่านเคยรักใครหรือไม่?
ท่านเคยแค้นใครหรือไม่?
ความจริงแล้วเดิมทีนี่เป็นความรักความแค้นของพวกเขาสองคน ข้าเป็นเพียงคนผ่านทางซึ่งถูกดึงเข้ามาข้องเกี่ยวอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เป็นบ่วงกรรมในชีวิตข้า...
สองวันมานี้ข้าไม่สับสนเรื่องเวลากลางวันกับกลางคืนอีก ข้าเรียนรู้ที่จะใช้หูจับความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ แยกแยะเวลา
หลังรับประทานอาหารเที่ยง น่ายน่ายก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในเรือน หอบจนแทบหายใจไม่ทัน
“เหนียงเนี่ยง! เหนียงเนี่ยงเจ้าคะ! เมื่อครู่นี้เทียนจวินทรงประกาศราชโองการว่าจะ...ว่าจะยกซู่จิ่นเทียนเฟยให้แก่...ให้แก่ไท่จื่อเจ้าค่ะ!”
ข้ายิ้มเยือน เยี่ยหัวได้รับแต่งตั้งเป็นไท่จื่อมาได้หลายวันแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่จะอย่างไรซู่จิ่นก็ไม่ได้เป็นภรรยาเอกของเยี่ยหัวอยู่ดี ไม่นานมานี้ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเทียนจวินเคยมีสัญญาอยู่กับมหาเทพป๋ายจื่อแห่งแคว้นชิงชิวว่า ผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งเทียนจวินจะต้องรับป๋ายเฉี่ยน ธิดาของมหาเทพป๋ายจื่อมาเป็นเทียนโฮ่ว[5]
ท้องกลับเริ่มปวดอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหัน
น่ายน่ายร้องโพล่งเสียงหลง “เหนียงเนี่ยง! เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
ข้าเงยหน้าขึ้นฝืนยิ้มไปทางทิศที่เสียงของนางดังมา
“สงสัยจะคลอดแล้วล่ะ”
ระหว่างที่เจ็บท้องคลอด ข้าหมดสติไปและเจ็บจนได้สติ ตอนที่ซู่จิ่นเปลี่ยนดวงตา เยี่ยหัวคอยเฝ้านางอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน ตอนนั้นข้างกายข้ามีแต่น่ายน่ายอยู่เป็นเพื่อน
ข้าพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เรียกชื่อเยี่ยหัวออกมา
แค่นี้ก็น่าสมเพชมากพอแล้ว ดังนั้นจะยอมน่าสมเพชมากยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้
น่ายน่ายกล่าวทั้งร้องไห้ “เหนียงเนี่ยง ปล่อยมือข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปตามไท่จื่อ ข้าจะไปตามไท่จื่อ!”
ข้าเจ็บเสียจนพูดไม่ออก ได้แต่ทำปากบอกนางครั้งแล้วครั้งเล่า
“น่ายน่าย อยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่...แค่ครู่เดียว”
นางยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
เป็นเด็กผู้ชาย
ข้าไม่ทราบว่าเยี่ยหัวมาตั้งแต่เมื่อไร ตอนที่ตื่นขึ้น เขากำลังกุมมือข้าอยู่ มือทั้งคู่ของเขาเย็นเฉียบ
เยี่ยหัวอุ้มลูกเข้ามาหา เอ่ยว่า “เจ้าลูบหน้าเขาดูได้ เขาหน้าเหมือนเจ้ามากเทียวละ”
ข้าไม่ได้ขยับ ข้าชอบเด็กคนนี้ แต่ข้าไม่สามารถพาเขาไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่เขาจวิ้นจี๋ได้ ข้าจำเป็นต้องทิ้งเขาไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดจงอย่าไปแตะต้องเขา อย่าไปอุ้มเขา อย่าให้ตัวเองเกิดความรู้สึกลึกซึ้งต่อเขามากไปกว่านี้
เยี่ยหัวนั่งอยู่ข้างๆ ข้านานมากโดยไม่ได้เอ่ยอะไรเลย
หลังจากเยี่ยหัวไปแล้ว ข้าเรียกน่ายน่ายมาตรงหน้า บอกกับนางว่าข้าตั้งชื่อเล่นให้ลูกว่า “อาหลี[6]” ต่อไปขอให้ช่วยดูแลเขาให้ดีๆ
เยี่ยหัวมาเยี่ยมข้าทุกวัน เขาไม่ใช่คนช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อก่อนข้าเป็นคนช่างพูด แต่ระยะนี้ไม่มีอารมณ์จะเอ่ยอะไร ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงต่างนิ่งเงียบกันทั้งคู่
เขาไม่ได้เอ่ยถึงพิธีแต่งงานของเขากับซู่จิ่นให้ข้าฟัง น่ายน่ายก็เช่นกัน
สามเดือนให้หลัง ร่างกายข้าแข็งแรงขึ้นมาก เยี่ยหัวนำผ้ามามากมาย ถามข้าว่าชอบแบบใด เขาจะตัดชุดแต่งงานให้ข้า
เขากล่าวว่า “ซู่ซู่ ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า”
ข้าย่อมจะทราบดีว่าเขาแค่สงสารข้าเท่านั้น เห็นว่าข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ซ้ำยังตาบอด แม้จะเป็นการแส่หาเรื่องเอง แต่ขณะที่น่าโมโห ก็ชวนให้สงสารอยู่มากเช่นกัน
ข้าคิดว่าข้าต้องไปเสียที สวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้ข้ารั้งอยู่อีก
น่ายน่ายเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า เราสองคนเดินซ้ำเส้นทางจากวังสี่อู๋ไปยังแท่นประหารเซียนครั้งแล้วครั้งเล่า น่ายน่ายประหลาดใจอย่างมาก ข้าบอกนางว่าข้าชอบดมกลิ่นหอมของดอกบัวตลอดเส้นทางสายนี้
ครึ่งเดือนผ่านไป ข้าสามารถอาศัยความรู้สึกของตัวเองไปกลับระหว่างวังสี่อู๋กับแท่นประหารเซียนได้อย่างคล่องแคล่วไร้อุปสรรคแล้ว
การหลอกน่ายน่ายเป็นเรื่องง่ายมาก เมื่อมายืนอยู่บนแท่นประหารเซียน หัวใจข้าเบาโหวงเหมือนสายลม อาหลีมีน่ายน่ายช่วยดูแล ข้าวางใจอย่างยิ่ง
แต่แล้วอยู่ๆ ข้าก็อยากจะบอกเยี่ยหัวอีกครั้งเหลือเกินว่าข้าไม่ได้ผลักซู่จิ่น ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม
ตอนอยู่บนเขาจวิ้นจี๋ เยี่ยหัวเคยให้กระจกทองเหลืองแสนสวยแก่ข้าบานหนึ่ง ตอนนั้นเขาต้องไปที่ซึ่งแสนไกลเพื่อทำธุระที่สำคัญมาก ข้าอยู่คนเดียวแล้วเหงา เขาจึงล้วงของวิเศษนี้ออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อ บอกข้าว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ขอเพียงข้าหันหน้าหากระจกและเรียกชื่อเขา เขาก็จะได้ยิน หากเขาไม่ยุ่ง จะคุยเป็นเพื่อนข้า
ข้าไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดเมื่อมาถึงบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้านี่แล้ว ข้ายังคงอยากพกกระจกบานนี้ติดตัวอยู่ คาดว่าคงเป็นเพราะนี่คือของเพียงชิ้นเดียวที่เยี่ยหัวมอบให้ข้ากระมัง
ข้าหยิบกระจกออกมา ไม่ได้เรียกชื่อเขามานานมากจนเริ่มจะไม่คุ้นปาก ข้ากล่าวว่า “เยี่ยหัว”
เว้นช่วงไปนานมาก ริมโสตจึงค่อยมีเสียงของเขาดังขึ้นว่า “ซู่ซู่?”
ข้าลืมไปแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ข้างๆ จึงเผลอพยักหน้าตอบช้าๆ เอ่ยปากอีกครั้งอย่างยากเย็น “ข้าจะกลับเขาจวิ้นจี๋แล้ว ไม่ต้องออกตามหาข้าดอก ข้าสามารถอยู่คนเดียวได้อย่างดี ช่วยดูแลอาหลีให้ข้าด้วย เมื่อก่อนข้าเคยฝันมาตลอดว่าสักวันจะได้จูงมือเขาดูดาวดูจันทร์ ดูทะเลเมฆแสงอาทิตย์ร่วมกับเขาพลางเล่าเรื่องบนเขาจวิ้นจี๋ของเราให้เขาฟัง ตอนนี้เกรงว่าคงไม่อาจทำได้เสียแล้ว” นิ่งคิดอยู่ครู่ ค่อยเสริมว่า “จงอย่าบอกเขาว่าแม่ของเขาเป็นเพียงมนุษย์ เทพเซียนบนสวรรค์ต่างค่อนข้างจะดูแคลนมนุษย์”
ทั้งที่เป็นถ้อยคำอำลาธรรมดายิ่งแท้ๆ พริบตานั้นน้ำตากลับทำท่าจะไหลออกมาอย่างปุบปับ ข้ารีบเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แล้วจึงพลันนึกขึ้นได้ว่าไม่มีดวงตาอยู่แล้ว น้ำตาจะไหลออกมาจากที่ใด?
เสียงของเยี่ยหัวดูจะข่มกลั้นอารมณ์อยู่เล็กน้อย “จ...เจ้าอยู่ที่ใด?”
“แท่นประหารเซียน” ข้าตอบ “ซู่จิ่นเทียนเฟยบอกข้าว่า กระโดดลงจากแท่นประหารเซียน ข้าก็จะสามารถกลับไปที่เขาจวิ้นจี๋ ยามนี้ข้าชินกับการมองไม่เห็นอะไรแล้ว เขาจวิ้นจี๋เป็นบ้านเกิดของข้า บริเวณนั้นล้วนแต่คุ้นเคยยิ่ง ข้าใช้ชีวิตคนเดียวก็มิได้ไม่สะดวก”
เยี่ยหัวตัดบทข้าอย่างรวดเร็ว “ซู่ซู่ เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับนะ ข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้”
สุดท้ายข้าก็ไม่มีความกล้าที่จะชี้แจงกับเขาอีกครั้งว่าตอนนั้นข้าไม่ได้เป็นคนผลักซู่จิ่น จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อข้าได้ ส่วนข้าก็ไม่สามารถทนความผิดหวังและไม่เชื่อใจของเขาได้อีก
ข้ากล่าวว่า “เยี่ยหัว ข้าจะปล่อยท่านไป ท่านก็ปล่อยข้าไป นับแต่นี้เราสองคนต่างไม่ติดค้างกันอีกเถิดนะ”
กระจกทองเหลืองร่วงตกจากมือดังเคล้ง กลบเสียงตวาดแทบจะเป็นบ้าคลั่งของเยี่ยหัว
“เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นนะ! ห้ามกระโดดลงไป...”
ข้ากระโดดลงจากแท่นประหารเซียน
เยี่ยหัว...ข้าไม่ต้องการสิ่งใดจากท่านอีกแล้ว ดีเหลือเกิน...
ในตอนนั้นข้าหาทราบไม่ว่า คำว่า “ประหารเซียน” ของแท่นประหารเซียน เพียงประหารฆ่าพลังการฝึกปรือของเทพเซียน ขณะที่มนุษย์กระโดดลงจากแท่นประหารเซียน กลับจะสูญสลายเป็นเถ้าธุลี
ในตอนนั้นข้าหาทราบไม่เช่นกันว่า...ความจริงตัวข้ามิใช่มนุษย์
ไอพิษที่ใต้แท่นประหารเซียนทำร้ายข้าจนเป็นแผลทั่วร่าง แต่เพราะไอพิษซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับสุดยอดเทพศาสตรานับพันนับหมื่นชิ้นนี้เช่นกันที่ทำให้ผนึกบนหน้าผากของข้าถูกผ่าเปิดออก
ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าไฝแดงบนหน้าผากข้าเม็ดนั้นจะเป็นผนึกที่ถูกราชาปิศาจฉิงชางลงไว้เมื่อสองร้อยปีก่อน ตอนที่เขาทลายออกมาจากระฆังจักรพรรดิบูรพา และข้าได้ทำการต่อสู้กับเขาอย่างดุเดือดเพื่อที่จะผนึกขังเขากลับเข้าไปในระฆังอีกครั้ง ผนึกนี้ได้เก็บงำซ่อนเร้นโฉมหน้า ความทรงจำ และพลังปราณเซียนรอบๆ ตัวข้าทั้งหมด ทำให้ข้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์ธรรมดา
เรื่องราวในอดีตทยอยถาโถมเข้าหา ข้าลอบบอกกับตัวเองว่า “ป๋ายเฉี่ยน เจ้าเกิดมาเป็นทารกเซียน ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรก็ได้เป็นเทพธิดา แต่ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนี้ หากไม่ผ่านด่านสวรรค์ด่านนี้ เจ้ามีหรือจะเลื่อนขั้นเป็นซ่างเสินได้”
ดังนั้นรักและแค้น...บุญคุณและความแค้นในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามปีนี้ จึงเป็นแค่เพียงด่านสวรรค์เท่านั้น
ข้าหมดสติไปที่ทางตะวันออกของทะเลบูรพา...ในป่าท้อสิบหลี่ของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน เขาช่วยข้าจนฟื้นคืนสติมาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พ่อแม่กับพวกพี่ชายเจ้าต่างออกตามหาตัวเจ้ากันจนแทบจะเป็นบ้า ข้าเองก็ร้อนใจเสียจนสองร้อยกว่าปีมานี้ไม่ได้นอนหลับสนิทสักคืน ดวงตาของเจ้ากับบาดแผลทั่วตัวนี้...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เกิดอะไรขึ้น? ก็ด่านสวรรค์น่ะสิ!
ข้ายิ้มพลางกล่าวกับเจ๋อเหยียนว่า “ข้าจำได้ว่าท่านมียาอยู่ชนิดหนึ่ง หลังจากกินเข้าไปแล้วจะสามารถลืมเรื่องที่อยากลืมได้อย่างหมดจดใช่หรือไม่?”
เจ๋อเหยียนเลิกคิ้ว “ดูท่าทางสองร้อยกว่าปีมานี้ เจ้าจะผ่านมาอย่างเจ็บช้ำยิ่งกระมัง”
ยาน้ำร้อนควันกรุ่นตรงหน้ารสชาติแผ่วจางอย่างมาก
ในโลกนี้ไม่มีซู่ซู่บนเขาจวิ้นจี๋อีกต่อไป นั่นเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งของป๋ายเฉี่ยนซ่างเสิน...ธิดาคนเล็กของมหาเทพป๋ายจื่อแห่งแคว้นชิงชิว...ความฝันที่แสนจะทุกข์ตรมขมขื่นและมีสีดอกท้อ[7]อยู่จางๆ
หลังตื่นจากฝัน ในฝันเป็นเช่นไร ได้ลืมเลือนจนสิ้น...