โพสต์เมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:19
บทอารัมภ์
ป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว
(สามร้อยปีต่อมา)
เทพสมุทรแห่งทะเลบูรพาได้บุตรกิเลน[1]คนใหม่ เพื่อตระเตรียมงานเลี้ยงครบเดือนของบุตรชาย จึงได้ขอลาการประชุมขุนนางในตำหนักหลิงเซียว[2]มาติดต่อกันหลายวันแล้ว เทียนจวินทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง ปล่อยเขาไปตามชอบใจ
ตัวเป่าหยวนจวินนึกแปลกใจ ก็แค่งานเลี้ยงงานหนึ่งเท่านั้น ไยต้องทำให้มันเอิกเกริกเกินเหตุเช่นนี้
ด้วยเหตุฉะนี้ ในวันนี้หลังจากเลิกประชุมแล้ว ตัวเป่าหยวนจวินจึงจงใจไล่ตามไปทักผู้วิเศษดาวใต้ซึ่งคบหาสนิทสนมกันดีกับเทพสมุทรบูรพามาแต่ไหนแต่ไร หมายจะเลียบเคียงถามไถ่เอาความ
แต่เดิมบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้น่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุดอยู่แล้ว บรรดาเทพเซียนทั้งหลายต่างจับตาสังเกตการขอลาหยุดของเทพสมุทรบูรพามาไม่ใช่แค่วันสองวัน ครั้นเห็นตัวเป่าหยวนจวินนำร่อง ก็แห่กันตามไปล้อมผู้วิเศษดาวใต้ที่หน้าตำหนัก
ผู้วิเศษดาวใต้ประหลาดใจยิ่ง “สหายเซียนทุกท่านไม่ทราบดอกหรือว่างานเลี้ยงราตรีของทะเลบูรพาในอีกครึ่งเดือนให้หลัง กูกูแห่งชิงชิวท่านนั้นก็จะไปด้วย?”
นอกทะเลบูรพา ใจกลางแผ่นดินใหญ่ ก็คือชิงชิว
เอ่ยถึงตรงนี้ ผู้วิเศษดาวใต้ก็ยกสองมือขึ้นประสานกันน้อมคารวะสู่เบื้องบูรพาทิศอันเป็นที่ตั้งของชิงชิวโดยเจตนา ค่อยกล่าวต่อว่า “กูกูท่านนั้นมีโรคตา มองแสงจ้าไม่ได้ กำแพงปะการังกระเบื้องแก้วกระจกของวังมังกรสมุทรบูรพาเป็นประกายเจิดจ้าบาดนัยน์ตานัก ด้วยเหตุนี้เทพสมุทรบูรพาจึงกำลังเที่ยวเสาะหาหญ้าชิงซิ่ง[3]ไปทั่วฟ้าทั่วดิน หมายจะทอเป็นผืนพรมคลุมปิดสิ่งของที่มีประกายมากนักเหล่านั้น”
ครั้นถ้อยคำนี้กล่าวออกมา หน้าตำหนักหลิงเซียวก็มีเสียงฮือฮาดังกระหึ่ม
“กูกู” ซึ่งผู้วิเศษดาวใต้เอ่ยถึง ก็คือธิดาคนเล็กของมหาเทพป๋ายจื่อ แซ่ป๋าย ชื่อพยางค์เดียวว่า “เฉี่ยน” เนื่องจากนางเป็นเทพบรรพกาลรุ่นก่อน เพื่อแสดงถึงมารยาท บรรดาเทพเซียนจึงต่างเรียกขานนางว่า “กูกู[4]”
นับตั้งแต่ผานกู่ใช้ขวานหนึ่งเล่มเบิกฟ้าผ่าพิภพเป็นต้นมา แต่ละเผ่ารบรากันไม่หยุดหย่อน แผ่นดินเปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้ง ปวงเทพบรรพกาลส่วนใหญ่ต่างเผชิญด่านเคราะห์ ที่ดับสูญก็ดับสูญ ที่หลับใหลก็หลับใหล ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ นับไปนับมาก็มีเพียงครอบครัวเทียนจวินบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เจ๋อเหยียนซ่างเสินซึ่งเร้นกายอยู่ในป่าท้อสิบหลี่ทางตะวันออกของทะเลบูรพา และครอบครัวมหาเทพป๋ายจื่อแห่งแคว้นชิงชิว
เมื่อเอ่ยถึงป๋ายเฉี่ยน ก็ต้องโยงไปถึงความลับซึ่งไม่นับเป็นความลับเรื่องหนึ่งของตระกูลเทียนจวิน...
เล่ากันว่าเมื่อห้าหมื่นปีก่อน ป๋ายเฉี่ยนเคยหมั้นหมายกับซางจี๋ โอรสองค์รองของเทียนจวิน เดิมทีก็เป็นคู่ตุนาหงันที่สมน้ำสมเนื้อกันอย่างน่าชื่นชมดีอยู่ดอก แต่ไม่ทราบอย่างไรซางจี๋จึงได้ไปต้องตาสาวใช้ของป๋ายเฉี่ยนเข้า เป็นตายอย่างไรก็จะถอนหมั้นป๋ายเฉี่ยนให้ได้
มหาเทพป๋ายจื่อไม่อาจทนถูกหยามอัปยศ จึงร่วมทางกับเจ๋อเหยียนซ่างเสินขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเพื่อเอาความต่อเทียนจวิน
เทียนจวินกริ้วจัด สั่งเนรเทศโอรสองค์รองไปยังแดนอุดรทันที โดยแต่งตั้งให้เป็นเทพสมุทรอุดร จากนั้นได้ประกาศราชโองการสวรรค์ว่า ขอใช้นามแห่งเผ่าสวรรค์สู่ขอป๋ายเฉี่ยนมาเป็นเทียนโฮ่วของผู้สืบทอดตำแหน่งเทียนจวิน
เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน เทียนจวินได้ประกาศต่อสี่ทะเลแปดดินแดน แต่งตั้งพระนัดดาคนโต เยี่ยหัว เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทียนจวิน
บรรดาเทพเซียนบนสวรรค์ต่างนึกว่าอีกไม่นานคงได้ดื่มสุรามงคลของเยี่ยหัวจวินกับป๋ายเฉี่ยน แต่สามร้อยปีมานี้กลับไม่เคยมีข่าวว่าคนทั้งคู่จะสมรสกันแต่อย่างใด ได้ยินแต่เพียงว่าถึงแม้เยี่ยหัวจวินจะมีบุตรชายแล้วหนึ่งคน แต่ตำแหน่งเจิ้งเฟย[5]กลับว่างเว้นไว้รอตลอดมา ส่วนป๋ายเฉี่ยนก็อยู่แต่ที่แคว้นชิงชิว เทียบเชิญของใครต่างไม่อาจเชิญนางออกมาได้ทั้งสิ้น
หญิงไม่ได้ตบชายไม่ได้แต่ง ทั้งสองครอบครัวกลับไม่เดือดร้อน นี่ก็นับเป็นเรื่องแปลก
เหล่าเทพเซียนต่างทอดถอนอย่างสำรวม แล้วจึงหันมากล่าวชมว่าเทพสมุทรบูรพาช่างมีบุญแท้ๆ กูกูไม่เคยออกจากชิงชิวมาหลายหมื่นปี บัดนี้เขากลับเชิญกูกูออกมาร่วมงานเลี้ยงได้ นับว่ามีหน้ามีตายิ่งนัก
ผู้วิเศษดาวใต้พยักหน้ากล่าวว่า “เดิมทีก็เป็นเรื่องมีหน้ามีตาอย่างมากอยู่ดอก แต่หลายวันมานี้เทพสมุทรบูรพากลับกลุ้มใจนัก เพราะนึกไม่ถึงว่ากูกูจะยอมรับเทียบเชิญมาร่วมงาน ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงได้ส่งเทียบเชิญไปให้เทพสมุทรอุดรท่านนั้นด้วย วันก่อนได้ยินมาว่าไม่กี่วันมานี้เยี่ยหัวจวินได้พาเทียนซุนน้อย[6]ไปเที่ยวแดนบูรพา จึงคิดจะแวะไปที่ทะเลบูรพาเช่นกัน ทั้งสามท่านคงได้พบหน้ากันในงานเลี้ยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เวลานี้เทพสมุทรบูรพาจึงกำลังอกสั่นขวัญแขวน ด้วยกลัวว่าเมื่อถึงเวลาจะเกิดเป็นเรื่องเป็นราวใดขึ้น”
บนสวรรค์แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเทพเซียนสูงวัยซึ่งทำงานมานานพอควร จึงพอจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องของเทพสมุทรอุดร ป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว และผู้สืบทอดตำแหน่งเทียนจวินมาก่อน แต่ก็มีเซียนผู้น้อยบางคนที่เพิ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นเซียนเพียงไม่นานถามอย่างงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“กูกูแห่งชิงชิวท่านนั้นคือใครหรือ นางกับเยี่ยหัวจวินและเทพสมุทรอุดรเคยมีความแค้นยิ่งใหญ่ต่อกันมาก่อนรึ?”
บรรดาเทพเซียนทั้งหลายย่อมจะช่วยกันอธิบายเป็นการใหญ่ และในการอธิบายครั้งนี้ย่อมขาดไม่ได้ที่จะสาวไปถึงเรื่องวงในซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยทราบเป็นจำนวนมาก
เซียนน้อยจอมเปิ่นจับจุดสำคัญไม่ถูก จึงโบกพัดจีบกระดาษขาวไม่ได้วาดภาพพลางกล่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยแวววาดหวังว่า “เพื่อจะสมรสกับสาวใช้ของกูกูท่านนั้นให้จงได้ เทพสมุทรอุดรถึงกับยอมล่วงเกินมหาเทพป๋ายจื่อ ไม่ทราบว่าสาวใช้นางนั้นมีรูปโฉมระดับใด?”
ตัวเป่าหยวนจวินเอามือป้องปากกระแอมออกมา “เปิ่นจวิน[7]กลับเคยเห็นหญิงผู้นั้นมาแล้ว ตอนนั้นองค์ชายรองได้จับมือนางมาคุกเข่าลงตรงหน้าเทียนจวินด้วยตัวเอง หมายจะให้ตำแหน่งเป็นทางการแก่นาง นับเป็นหญิงงามที่น้อยนักจะได้พบเห็นจริงแท้ แต่เมื่อเทียบกับกูกูท่านนั้นของมหาเทพป๋ายจื่อแล้ว กลับยังห่างไกลอยู่มาก ถึงแม้เปิ่นจวินจะไม่เคยพบหน้ากูกูมาก่อน แต่ได้ยินมาว่ากูกูคล้ายท่านแม่ของท่านมาก ทั้งยังงดงามยิ่งกว่าท่านแม่ของท่านอยู่สามส่วน”
เซียนขั้วโลกใต้ซึ่งสูงวัยที่สุดในบรรดาเทพเซียนทั้งหมดลูบเคราขาวโพลนยาวจดพื้นพึมพำว่า “ข้าผู้เฒ่ากลับเคยได้เห็นกูกูมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้าผู้เฒ่ายังเป็นเพียงเด็กรับใช้ของเทียนจวิน ได้ติดตามเทียนโฮ่วเหนียงเนี่ยงไปชมดอกท้อยังถิ่นของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน กูกูยืนร่ายรำอยู่บนกิ่งต้นท้อ เนื่องจากอยู่ห่างเกินไป จึงเห็นเพียงอาภรณ์สีแดงแถบใหญ่ท่ามกลางดอกท้ออันเจิดจ้าร้อนแรง ภาพในตอนนั้นช่างงามล้ำยิ่งนัก...งามล้ำยิ่งนัก...”
บรรดาเทพเซียนต่างนึกสะท้อนใจ ทอดถอนว่าหญิงงามล่มเมือง[8]เช่นนี้ยังถูกถอนหมั้นได้ ลิขิตฟ้าช่างยากจะหยั่งโดยแท้
หลังจากทอดถอนรำพันจบ ก็พากันแยกย้ายสลายตัวไปอย่างพออกพอใจ
การที่หลังจากวันนี้ เทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงครบเดือนบุตรชายที่เทพสมุทรบูรพาแจกจ่ายออกไป ได้กลายเป็นของสุดล้ำค่าในสี่ทะเลแปดดินแดนไปชั่วขณะเวลาหนึ่ง ล้วนเป็นเรื่องในภายหลัง...