หัวข้อ : บทที่ 1 หนึ่งดอกท้อที่หนีตามหนุ่มไป

โพสต์เมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:21

บทที่ 1

 

หนึ่งดอกท้อที่หนีตามหนุ่มไป

 

 

บุตรสาวบ้านเทพรั่วสุ่ยแต่งไปยังทะเลบูรพาได้เพียงไม่ถึงสามปี ก็เพิ่มสมาชิกชายให้แก่เทพสมุทรบูรพาหนึ่งคน บ้านรั่วสุ่ยและบ้านเทพสมุทรบูรพาทั้งสองบ้านต่างดีใจเป็นล้นพ้น

ตัวเทพสมุทรบูรพายิ่งภูมิใจกว่าใคร เที่ยวได้ร่อนเทียบเชิญมาร่วมงานเลี้ยงดื่มสุราฉลองครบเดือนที่จัดให้บุตรชายไปทั่วฟ้าทั่วดิน กระทั่งถ้ำจิ้งจอกที่อาเตียอาเหนียง[1]อยู่ ก็ยังส่งมาด้วยหนึ่งใบ

อาเตียอาเหนียงได้ออกไปเที่ยวข้างนอกมาหลายร้อยปีแล้ว พี่ใหญ่พี่รองพี่สามต่างทยอยกันแต่งงานสร้างครอบครัวแบ่งที่ดินไปปกครอง ส่วนพี่สี่ไปที่เขาซีซานตามหาปี้ฟังนกพาหนะที่หนีหายไป ด้วยเหตุนี้เวลานี้ ถ้ำจิ้งจอกแห่งนี้จึงเหลือแต่ข้าเป็นเจ้าบ้านอยู่ผู้เดียว

ข้าถือเทียบเชิญหันหน้าหาม่านน้ำที่นอกถ้ำ ส่องมองย้อนแสงอยู่พักใหญ่ เนื่องจากนึกขึ้นได้ว่าตอนที่คลอดข้าอาเหนียงคลอดยาก ดูเหมือนจะเป็นเพราะไปเชิญหมอตำแยประจำครอบครัวของทวดเทพสมุทรบูรพาผู้นี้แหละมาช่วยทำคลอด จึงค่อยลดความทรมานไปได้มาก ดังนั้นข้าจึงอุ้มไข่มุกประกายราตรี[2]ลูกใหญ่ประมาณฟักทองลูกหนึ่ง เตรียมจะไปทะเลบูรพาสักรอบ

ความสามารถด้านจำทางของข้าไม่ดีนัก

ก่อนออกเดินทางจึงไปที่เรือนของผู้เฒ่าหมีกู่ซึ่งอยู่ข้างบ้านเพื่อของ่ามกิ่งของต้นหมีกู่มาหนึ่งง่าม

ต้นหมีกู่มีลายไม้สีดำโดยธรรมชาติ ทั้งยังออกดอกหมีกู่หลากสีสันงามตระการ แต่ดอกหมีกู่นั้นนอกจากนำมาใช้ส่องสว่างตอนกลางคืนแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก ส่วนที่ถูกใจข้ามากที่สุดกลับเป็นง่ามกิ่งของต้นหมีกู่ ขอเพียงพกติดตัวไว้กิ่งหนึ่ง ก็จะไม่มีทางหลงทางโดยเด็ดขาด

ร่างเดิมของผู้เฒ่าหมีกู่ก็คือต้นหมีกู่ ขึ้นอยู่ตรงเขาจาวหยาวในแดนทักษิณมาแต่แรกเบิกฟ้าผ่าพิภพ

ตอนที่อาเหนียงอุ้มท้องพี่สี่ ได้งอนอาเตียจนหนีออกจากบ้านไป แล้วไปหลงทางอยู่ที่เขาจาวหยาว เมื่ออาเตียไปตามหาอาเหนียงจนพบ ก็กลัวว่าครั้งหน้าเวลาอาเหนียงหนีออกจากบ้านตามลำพัง จะเกิดหลงทางขึ้นมาอีก จึงจัดแจงแบกต้นหมีกู่เพียงต้นเดียวของเขาจาวหยาวต้นนั้นกลับมาที่ชิงชิว เอามาปลูกไว้หน้าประตูบ้านเสียเลย

ชิงชิวเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์บ้านเกิดของปวงเซียน ต้นหมีกู่นี้ได้อาบพลังทิพย์แห่งสุริยันจันทราและฤดูกาลทั้งสี่ สามพันปีให้หลังก็บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และอีกสามพันปีต่อมาก็บรรลุธรรมกลายเป็นเซียนไม่ใหญ่ไม่เล็กผู้หนึ่ง

อาเตียมอบไม้ไผ่แก่ผู้เฒ่าหมีกู่หลายมัดเป็นของขวัญแสดงความยินดี ผู้เฒ่าหมีกู่ก็ใช้ไม้ไผ่เหล่านี้สร้างเป็นกระท่อมมุงหญ้าขึ้นสามห้องข้างๆ ถ้ำจิ้งจอก มาเป็นเพื่อนบ้านของพวกเรา

เนื่องจากผู้เฒ่าหมีกู่เป็นเซียนของแคว้นชิงชิว จึงได้เรียกอาเตียว่า “จวินซ่าง” ตามเซียนน้อยคนอื่นๆ ในแคว้น

ความจริงแล้วผู้เฒ่าหมีกู่ไม่ได้แก่ หลังจากที่ข้าเกิดมาได้สองพันกว่าปี เขาจึงค่อยบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ร่างมนุษย์ปากแดงฟันขาว นัยน์ตาดอกท้อทั้งคู่ตวัดปลายเฉียงขึ้นอย่างอันตรายท้าทายยิ่ง

บรรดาเซียนสาวๆ กว่าครึ่งในชิงชิวต่างขอให้อาเหนียงช่วยเป็นแม่สื่อไปคุยเรื่องแต่งงานกับผู้เฒ่าหมีกู่ แต่เจรจาไม่สำเร็จสักราย

ถึงแม้ดูจากรูปกายภายนอก ผู้เฒ่าหมีกู่จะเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญก็ตาม ความจริงแล้วกลับเคร่งครัดเรื่องมารยาทมาก ทุกครั้งที่พบข้า ต่างต้องประสานมือคารวะ เรียกอย่างนอบน้อมว่า “กูกู” ข้าพอใจยิ่ง

 

ครั้งนี้ตอนผู้เฒ่าหมีกู่ยื่นกิ่งหมีกู่ให้ข้า สีหน้าออกจะกลัดกลุ้มหม่นหมองอยู่ไม่น้อย คาดว่าชีวิตประจำวันบางเรื่องคงไม่ค่อยลงตัวนัก ซึ่งข้าก็มิได้ถือสาอะไรมากมาย

หลังจากได้กิ่งหมีกู่มา ข้าก็ร่ายคาถาเรียกเมฆมงคล ขี่มุ่งหน้าสู่ทะเลบูรพา

 

ทางตะวันออกของทะเลบูรพามีป่าท้อสิบหลี่

พี่สามได้ยินว่าข้าจะไปงานเลี้ยงที่ทะเลบูรพา ก็ส่งจดหมายมาบอกให้ข้าไปที่บ้านเจ๋อเหยียนขอสุราดอกท้อเมามาด้วยสองกาในตอนขากลับ

เจ๋อเหยียนก็คือเจ้าของป่าท้อสิบหลี่แห่งนั้น เป็นหงสาแก่ที่แก่มากเสียจนแม้แต่ตัวเองก็จำอายุที่แน่ชัดของตัวเองไม่ได้

อาเหนียงบอกว่าเจ๋อเหยียนคือหงสาตัวแรกซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคน้ำท่วมครั้งใหญ่นับตั้งแต่เบิกฟ้าผ่าพิภพเป็นต้นมา เทพบิดรเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วยพระองค์เอง ศักดิ์ฐานะของเจ๋อเหยียนยังสูงยิ่งกว่าเทียนจวินคนปัจจุบันอยู่หลายส่วน

ตอนที่ข้าเกิดมา โลกนี้ก็หาร่องรอยของเทพบิดรไม่พบเสียแล้ว

ตอนที่อาเตียอาเหนียงพาข้าไปเยี่ยมเจ๋อเหยียน เขาเลิกคิ้วเม้มปากหันไปยิ้มให้อาเตีย “นี่คือสาวน้อยคนล่าสุดที่เมียเจ้าเพิ่มมาให้เจ้าช่วงนี้หรือ? ดูปากนิดจมูกหน่อยนี่สิ”

ความเกี่ยวพันของเจ๋อเหยียนกับแคว้นชิงชิว เริ่มจากอาเหนียงเป็นสำคัญ

ฟังว่าเมื่อหมื่นหมื่นปีก่อน เจ๋อเหยียนเคยมาสู่ขออาเหนียง กระทั่งสินสอดทองหมั้นยังส่งมาให้ถึงหน้าประตูแล้วด้วยซ้ำ

แต่ผู้ที่อาเหนียงต้องตากลับเป็นอาเตียสมองทื่อเหมือนท่อนไม้ของข้า ดังนั้นจึงไม่ยอมพยักหน้าตกลงจนแล้วจนรอด

เพราะเรื่องนี้ เจ๋อเหยียนยังถึงกับต่อสู้กับอาเตียเสียยกใหญ่ หลังจากสู้กันเสร็จ ทั้งสองคนกลับสาบานเป็นพี่น้องกัน

หลังจากผ่านปีใหม่ อาเตียก็ส่งเกี้ยวแปดคนหามไปรับอาเหนียงมาที่ชิงชิว ทั้งยังเชิญเจ๋อเหยียนเป็นเจ้าภาพจัดพิธีวิวาห์ให้

ตามลำดับรุ่นแล้ว ข้ากับพวกพี่ชายทั้งสี่คนต่างต้องเรียกเจ๋อเหยียนว่า “ท่านลุง”

แต่เจ๋อเหยียนไม่เคยยอมแก่มาแต่ไหนแต่ไร ยืนกรานเสียงแข็งว่าความจริงตัวเขายังหนุ่มมาก ใครกล้าบังอาจไปเรียกเขาเสียแก่งั่ก เขาจะอาฆาตแค้นคนผู้นั้นไปพันๆ หมื่นๆ ปี

ด้วยเหตุนี้พวกข้าจึงได้แต่เรียกชื่อเจ๋อเหยียนตรงๆ ตามอาเตียอาเหนียงอย่างอกสั่นขวัญแขวนโดยปริยาย

 

ถึงแม้เจ๋อเหยียนจะบ่มเหล้าเก่งมาก ตัวเขากลับไม่นิยมงานเลี้ยงสังสรรค์

“ซ่างเสินผู้ลึกลับซึ่งเร้นกายจากสามภพ ไม่ถามไถ่โลกหล้า อุปนิสัยสูงสง่า รสนิยมยิ่งสูงสง่ากว่าอุปนิสัย” คือคำจำกัดความที่เจ๋อเหยียนตั้งให้แก่ตัวเอง

ด้วยเหตุนี้กับเทียบเชิญเชิญเขาไปร่วมดื่มสุราสังสรรค์ของบรรดาเทพเซียน เจ๋อเหยียนจึงยิ้มปฏิเสธหมดทุกรายมาแต่ไหนแต่ไร

เดิมทีที่บรรดาเทพเซียนทั้งหลายเชิญเจ๋อเหยียนไปร่วมสังสรรค์ ก็ด้วยเจตนาจะแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมต่อซ่างเสินผู้ซึ่งไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่ที่มีอำนาจจริงใดๆ แต่กลับมีศักดิ์ฐานะสูงเสียดฟ้าผู้นี้ ครั้นฝ่ายนี้ยิ้มปฏิเสธนานวันเข้า เหล่าเทพเซียนฝ่ายนั้นก็พอจะคาดเดาเจตนาได้บ้าง จึงพากันกล่าวว่าซ่างเสินผู้ว่างงานท่านนี้ได้แต่เทิดทูนมิอาจชิดใกล้ ด้วยเหตุนี้ความคิดจะเชื้อเชิญท่านมาร่วมสังสรรค์จึงค่อยจืดจางไป

เจ๋อเหยียนพอใจที่ได้อยู่อย่างเงียบสงบเสียที ตั้งอกตั้งใจเพาะปลูกไถหว่านในป่าดอกท้อของเขาไป

 

มาถึงริมทะเลบูรพา ข้างอนิ้วคำนวณเวลา ยังห่างจากเวลาเปิดงานอย่างเป็นทางการอีกหนึ่งวันครึ่ง

นึกถึงเรื่องที่พี่สามวานมา จึงตัดสินใจเลี้ยวไปเยี่ยมบ้านเจ๋อเหยียน ไปขอสุราดอกท้อเมาจากเขาสักหนึ่งไหก่อน เอามากรอกใส่สองกาไว้สำหรับนำกลับไปให้พี่สาม แล้วค่อยกรอกใส่หนึ่งกานำไปเป็นของขวัญให้เทพสมุทรบูรพาพร้อมกับไข่มุกประกายราตรี ส่วนที่เหลือก็ฝังไว้ที่หน้าถ้ำจิ้งจอกค่อยๆ ละเลียดดื่ม

 

เวลานี้เป็นฤดูที่ดอกท้อบานสะพรั่งพอดี ป่าท้อสิบหลี่ดอกท้อสิบหลี่ งามตระการร้อนแรงไปทั้งภูไพร

ข้าเดินเข้าไปยังส่วนลึกของป่าท้ออย่างเจนทาง เพียงปราดเดียวก็มองเห็นเจ๋อเหยียนกำลังนั่งขัดสมาธิแทะผลท้ออยู่บนพื้นที่ว่าง ผลท้อขนาดใหญ่ยักษ์เหลือแต่เม็ดในพริบตา

เจ๋อเหยียนยิ้มกว้างพลางกวักมือมาทางข้า

“นั่นมันยายหนูน้อยคนเล็กของบ้านสกุลป๋ายไม่ใช่หรือนั่น? ยิ่งโตก็ยิ่งสวยแท้ มานี่มะ” เจ๋อเหยียนตบพื้นที่ว่างข้างตัว “มานั่งตรงนี้ให้ข้าดูหน้าให้ชัดๆ สิ”

ในบรรดาเทพเซียนทั่วผืนฟ้าแผ่นดินนี้ ผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงถึงขั้นสามารถเรียกข้าว่า “ยายหนูน้อย” ได้ มีอยู่เพียงไม่กี่ท่านแล้ว

คำว่า “ยายหนูน้อย” นี้ทำให้ข้าเกิดอุปาทานว่าอันที่จริงตัวข้ายังละอ่อนอยู่มากขึ้นมาทันควัน ฟังแล้วอารมณ์ดีอย่างล้นเหลือ

ข้าตรงเข้าไปนั่งข้างๆ ตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เจ๋อเหยียนก็เช็ดมือกับแขนเสื้อข้าอยู่ครู่หนึ่ง

ข้ากำลังคิดใคร่ครวญว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดีจึงจะขอสุราไหนั้นมาได้อย่างราบรื่น ก็ได้ยินเจ๋อเหยียนหัวเราะพรืดกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่ชิงชิวมาเป็นหลายหมื่นปี ครั้งนี้กลับออกมาได้ประเสริฐแท้”

ข้างุนงงอยู่ชั่วอึดใจ ไม่เข้าใจนักว่าถ้อยคำนี้ของเจ๋อเหยียนมีที่มาที่ไปอย่างไร จึงได้แต่กล่าวยิ้มๆ เออออไปว่า “ดอกท้อที่นี่เองก็บานได้ประเสริฐแท้...ประเสริฐแท้”

เจ๋อเหยียนยิ้มกว้างกว่าเดิม “ไม่กี่วันก่อนเทพสมุทรอุดรพาเมียของเขามาเที่ยวชมดอกท้อที่บ้านข้าอยู่หลายวัน ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเมียของเขาคนนั้นเป็นครั้งแรกนี่แหละ ช่างไร้เดียงสาน่าเอ็นดูนักเทียว”

คราวนี้ข้ายิ้มไม่ออกเสียแล้ว

เมียของเทพสมุทรอุดรคนที่ว่านั่น มีชื่อว่าส้าวซิน ชื่อนี้ข้าเป็นผู้ตั้งให้เองด้วยซ้ำ

จำได้ไม่แน่ชัดเช่นกันว่าเมื่อกี่ปีก่อน ข้ากับพี่สี่ไปเที่ยวที่ทะเลสาบต้งถิง ได้พบงูปาเสอน้อยที่ถูกรังแกจนลมหายใจร่อแร่รวยรินเข้าตัวหนึ่งในพงอ้อสูงครึ่งตัวคนที่ริมบึง ข้าเห็นว่ามันน่าสงสาร จึงขอให้พี่สี่พามันกลับชิงชิว

ตอนนั้นงูปาเสอน้อยได้บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นภูตแล้ว ถึงแม้จะดูอ่อนปวกเปียก แต่ก็พอจะฝืนใจแปลงร่างเป็นคนได้ นี่ก็คือส้าวซิน

ส้าวซินอยู่รักษาอาการบาดเจ็บที่ชิงชิวสองปี หลังจากหายดีก็ต้องการตอบแทนบุญคุณข้า จึงรั้งอยู่ที่ถ้ำจิ้งจอก

ตอนนั้นอาเตียอาเหนียงมักไม่ค่อยอยู่ที่ชิงชิวแล้ว ในถ้ำจิ้งจอกมีพี่สี่เป็นเจ้าบ้าน พี่สี่ได้มอบหมายให้ส้าวซินเป็นสาวใช้ทำงานปัดกวาดทำความสะอาด ก่อนหน้านี้ในถ้ำจิ้งจอกไม่มีสาวใช้แม้แต่คนเดียว งานปัดกวาดทำความสะอาด ข้าจะเป็นคนทำทั้งหมด

ข้าดีใจที่ว่างงาน จึงไม่อยู่บ้านทั้งวัน เวียนไปขลุกอยู่ที่บ้านของพี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม และเจ๋อเหยียน

วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขเช่นนี้ได้สองร้อยปี วันหนึ่ง อาเตียอาเหนียงกลับมาที่ชิงชิว บอกว่าได้กำหนดหมั้นหมายไว้ให้ข้าแล้ว คู่หมั้นของข้าก็คือเทพสมุทรอุดรซางจี๋ผู้นั้นนั่นเอง ตอนนั้นซางจี๋ยังเป็นเจ้าหนูบุตรชายคนรองซึ่งเป็นที่โปรดปรานอย่างมากของเทียนจวินและอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยังไม่ถูกแต่งตั้งให้ไปอยู่ทะเลอุดร

เทียนจวินได้ป่าวประกาศเรื่องการหมั้นหมายของข้ากับซางจี๋ไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน เทพเซียนจากทั่วสารทิศไร้ผู้ไม่รู้ ไร้ผู้ไม่ทราบ

เมื่อรู้แล้วทราบแล้วก็ต้องมาเยี่ยมมาเยือนมาชวนคุยพ่วงแถมด้วยอวยพรแสดงความยินดี

ข้ากับพี่สี่ทนรำคาญไม่ไหว จึงจัดแจงเก็บข้าวของหนีไปหลบอยู่ที่ป่าดอกท้อของเจ๋อเหยียนกันทั้งคู่

แต่การหนีไปหลบครั้งนี้ กลายเป็นสร้างปัญหาขึ้นเสียได้

ครั้นกินผลท้ออิ่มหนำสำราญและพากันย้อนกลับมาที่ชิงชิวอีกครั้ง ส้าวซินก็หายตัวไปเสียแล้ว ในถ้ำจิ้งจอกสีเทาทึมมีแต่จดหมายขอถอนหมั้นของซางจี๋ฉบับหนึ่งถูกทับเอาไว้ เนื้อความบอกว่าเขาอยู่กับส้าวซินนานวันจนเกิดความรักผูกพัน ชีวิตนี้นอกจากส้าวซินจะไม่ขอแต่งงานกับผู้ใดทั้งสิ้น ต้องขออภัยข้าด้วย ฯลฯ

ตัวข้าเองเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร หนึ่งนั้นข้าไม่เคยเห็นหน้าซางจี๋มาก่อน จึงไม่อาจกล่าวได้ว่ามีความรู้สึกผูกพันรักใคร่ใด สองนั้นส้าวซินกับข้าอยู่ด้วยกันเพียงไม่นาน แม้จะมีความรู้สึกผูกพัน ก็ยากจะกล่าวได้ว่าลึกซึ้งอะไรมากมาย สามนั้นกระทั่งสัตว์เดรัจฉานในป่ายังมีสิทธิ์เลือกคู่ครองที่หน้าตาท่าทางดูดีได้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนเสมอภาค ไม่มีเหตุผลใดที่ซางจี๋ควรจะถูกลิดรอนสิทธิประโยชน์ข้อนี้

แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปถึงหน้าเทียนจวินจนได้

ข้าไม่ได้เป็นผู้ทำให้เรื่องมันไปกันใหญ่ดอกนะ

ฟังว่าเป็นเพราะซางจี๋จับมือส้าวซินไปคุกเข่าลงตรงหน้าเทียนจวินในท้องพระโรงที่ประชุมทวยเทพ บอกว่าจะให้ตำแหน่งเป็นทางการแก่ส้าวซิน

เรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งวัน

ทุกคนต่างกล่าวว่า “บุตรสาวคนเล็กของสกุลป๋ายแห่งชิงชิวช่างน่าสงสารนัก ก่อนหน้านี้ยังกล่าวอยู่เทียวว่าเป็นคู่ตุนาหงันที่สมน้ำสมเนื้อกันดี เพิ่งจะหมั้นกันได้เพียงสามปี ก็ถูกฝ่ายชายทอดทิ้งเสียแล้ว ต่อไปยังจะแต่งกับผู้ใดได้”

และมีคนปากเปราะนินทาว่า “ไม่ทราบว่างูปาเสอตัวนั้นงามล่มเมืองเพียงใด กลับงามล้ำเหนือกว่าความงดงามเย้ายวนโดยธรรมชาติของจิ้งจอกขาวเก้าหางเสียอีก?”

จนบัดนี้พวกอาเตีย อาเหนียง พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม และเจ๋อเหยียนจึงค่อยทราบว่าข้าถูกถอนหมั้น เจ๋อเหยียนคว้าตัวอาเตียอาเหนียงแล่นไปบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเพื่อเอาความต่อเทียนจวินทันที

ข้าไม่ทราบชัดถึงลำดับขั้นตอนโดยละเอียดของเหตุการณ์ ทราบเพียงว่าหลังจากนั้นซางจี๋ก็ไม่เป็นที่โปรดปรานอีก เทียนจวินรีบร้อนแต่งตั้งเขาเป็นเทพสมุทรอุดร เท่ากับเนรเทศเขาไปอยู่ทะเลอุดรกลายๆ ส่วนการแต่งงานของเขากับส้าวซิน กลับไม่ยอมรับจนแล้วจนรอด

ความเห็นเพียงหนึ่งเดียวต่อเรื่องนี้ที่อาเตียกล่าวออกมาคือ

“ไอ้เด็กระยำ กำไรมันไป”

เจ๋อเหยียนยังพอจะใจดีอยู่บ้าง ถอนหายใจกล่าวด้วยอารมณ์กึ่งชมเรื่องสนุกกึ่งเสียดายว่า “ทำลายอนาคตทั้งชีวิตของตนเพื่อสตรีคนเดียว ไยต้องทำเช่นนี้”

ตอนนั้นข้าเยาว์วัยไม่รู้ความ มักจะคิดเพียงว่าในเมื่อตัวเอกคือซางจี๋กับส้าวซินสองคน อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องใดกับตัวข้าเท่าไรนัก ข้าไม่ได้ขาดทุนอะไร

หลังจากนั้นเทียนจวินได้ประกาศราชโองการด้วยตัวเองในที่ประชุมทวยเทพ เนื้อความหลักๆ ของราชโองการนี้กล่าวว่า ถึงแม้ตำแหน่งไท่จื่อจะยังไม่กำหนด กระนั้นป๋ายเฉี่ยน ธิดาคนเล็กของสกุลป๋ายแห่งชิงชิวได้ถูกเผ่าสวรรค์กำหนดตัวไว้แน่นอนแล้วว่า จะต้องเป็นสะใภ้ของเผ่าสวรรค์ ว่าที่เทียนโฮ่วเหนียงเนี่ยง

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ในบรรดาบุตรชายของเขา ใครคิดจะสืบทอดตำแหน่งเทียนจวิน ก็มิอาจไม่สมรสกับป๋ายเฉี่ยนของสกุลป๋ายแห่งชิงชิว

เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างชัดเจน แต่พระมหากรุณาธิคุณนี้ก็ออกจะอภิมหายิ่งใหญ่เกินไปอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาว่าแก่งแย่งความเป็นคนโปรด บุตรชายคนอื่นๆ ของเทียนจวินจึงไม่มาแยแสเหลือบแลข้าเลย แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่เคยโชคดีมีโอกาสได้ไปแยแสเหลือบแลพวกเขาเช่นกัน

ส่วนเทพเซียนคนอื่นๆ ก็ติดขัดที่หน้าตาของเผ่าสวรรค์ จึงไม่กล้าเสี่ยงต่อการมีเรื่องแตกหักกับเผ่าสวรรค์มาสู่ขอข้าจากอาเตีย

นับแต่นั้นมา ข้าก็ไม่มีผู้ใดมาแยแสเหลือบแลอย่างแท้จริง

เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน เทียนจวินได้แต่งตั้งเยี่ยหัวจวินหลานชายคนโตเป็นไท่จื่อ เตรียมจะให้สืบทอดตำแหน่ง

กับเยี่ยหัวผู้นี้ ข้ากล่าวได้ว่าไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง เพียงได้ยินมาว่าหลังจากที่ซางจี๋ถูกเนรเทศไปแล้ว เนื่องจากบุตรชายคนอื่นๆ ที่เหลือต่างมีคุณสมบัติธรรมดาสามัญ เทียนจวินจึงให้กลุ้มอกกลุ้มใจยิ่งนักไปพักหนึ่ง เคราะห์ดีที่สามปีต่อมา ยางชั่ว บุตรชายคนโตได้เพิ่มหลานชายที่เฉลียวฉลาดแก่เขาหนึ่งคน ทำให้เทียนจวินปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง

หลานชายคนนี้ก็คือเยี่ยหัว

ตามราชโองการที่เทียนจวินได้ประกาศไว้ในตอนนั้น ข้าต้องแต่งงานกับเยี่ยหัวจวินผู้นี้ ฝ่ายเยี่ยหัวนั่นฟังว่าแต่งเช่อเฟย[3]ชื่อซู่จิ่นแล้วหนึ่งราย โปรดปรานเป็นอย่างมาก ทั้งยังให้กำเนิดเทียนซุนน้อยแล้วหนึ่งคน จึงย่อมไม่มีใจเรื่องแต่งงานกับข้า ข้างฝ่ายข้า แม้จะไม่ได้มีใครอยู่ในหัวใจเหมือนอย่างเขา แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาเกิดหลังข้าเกือบหนึ่งแสนปี เอ่ยถึงลำดับรุ่นเขาต้องเรียกข้าว่า “กูกู” เอ่ยถึงอายุเขาต้องเรียกข้าว่า “ท่านบรรพบุรุษ” ข้าก็ทำใจเหี้ยมบังคับตัวเองให้เป็นฝ่ายดำเนินเรื่องแต่งงานให้เสร็จสิ้นไม่ลง ด้วยเหตุนี้เรื่องจึงได้ยืดเยื้อมาจนถึงบัดนี้ ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนไปแล้ว

เหตุการณ์ที่เทพสมุทรอุดรก่อขึ้นนี้ ข้ามีหรือไม่ขาดทุน ข้าขาดทุนย่อยยับเทียวละ แน่นอนว่าย่อมต้องลอบผูกใจเจ็บต่อตัวต้นเหตุอย่างลึกล้ำ

 

ข้าใคร่ครวญดูแล้วเห็นว่าการที่เจ๋อเหยียนจงใจเอ่ยถึงเทพสมุทรอุดรในครั้งนี้ จะต้องไม่ใช่เพื่อซ้ำเติมข้าอย่างเด็ดขาด หากแต่เป็นการเกริ่นนำเพื่อกล่าวถึงเรื่องถัดไป ดังนั้นข้าจึงรีบปั้นสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น ล้างหูน้อมฟัง

รอยยิ้มตรงมุมปากของเจ๋อเหยียนกดลึกกว่าเดิม “เมียคนนั้นของเขาแพ้ท้องหนักมาก แค่ไม่กี่หมื่นปีก็เพิ่มบุตรให้เทพสมุทรอุดรมาแล้วถึงสามท้อง คนที่อยู่ในท้องตอนนี้ฟังว่าเป็นคนที่สี่ เห็นได้ชัดว่างูปาเสอนี่ออกลูกเก่งแท้ เป็นเพราะแพ้ท้อง เมียคนนั้นจึงร่ำร้องจะกินผลท้อทุกวัน ฤดูนี้ดอกท้อนั้นบานสะพรั่งไปทั่วทุกที่ แต่หากเอ่ยถึงผลท้อ ทั่วผืนฟ้าแผ่นดินนอกจากที่นี่ของข้าแล้ว ก็ไม่มีที่อื่นมีให้กินอีก ด้วยเหตุนี้เทพสมุทรอุดรจึงได้บากหน้ามาหาข้าถึงบ้าน ในเมื่อเขาร้องขอมาดังนี้แล้ว ข้าเองก็กลับไม่สะดวกใจจะไม่ให้เช่นกัน”

ข้าไม่แสดงความเห็นใด ก้มหน้าลงลูบรอยยับไม่กี่รอยบนกระโปรง นึกโมโหเล็กน้อยกับพฤติกรรมไม่แบ่งแยกชอบชังของเจ๋อเหยียน

เจ๋อเหยียนกลับหัวเราะพรืดออกมา “ดูเจ้าสิ หน้าเขียวเทียว ก็แค่ลูกท้อเลี่ยงบุตรไม่กี่ผลเท่านั้น”

ข้าเงยหน้าขวับทันที คงเพราะกิริยานี้กะทันหันเกินไป จึงเผลอโขกถูกหน้าผากของเจ๋อเหยียนที่ก้มหน้าลงมา

เจ๋อเหยียนมิได้ถือสา ทำเสียงเล็กเสียงน้อยกระเซ้าข้าว่า “ดูเถิด ได้ยินว่าข้าให้ลูกท้อเลี่ยงบุตรแก่สองสามีภรรยาที่รักกันปานจะกลืนกินนั่น ก็เกิดใจอ่อนขึ้นมาละสิ? ข้าจะบอกให้ ลูกท้อเลี่ยงบุตรนั่นก็แค่ทำให้ใน 2-3 หมื่นปีนี้บ้านเทพสมุทรอุดรเพิ่มบุตรคนที่ห้าไม่ได้เท่านั้น ไม่บั่นทอนความสุขของเขาเท่าไรนักดอก และไม่บั่นทอนบุญกุศลของข้าเท่าไรนักด้วย”

ความจริงแล้วเทพสมุทรอุดรจะมีโอรสคนที่ห้าเมื่อไรนั้นเกี่ยวข้องใดกับข้าเล่า อย่างไรลูกท้อเลี่ยงบุตรนั่นก็กินไม่ตายดอก ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเขาถอนหมั้น ก็ไม่มีทางเกิดปมยุ่งเหยิงกองพะเนินเหล่านี้ตามมา การสั่งสอนที่เจ๋อเหยียนให้แก่เทพสมุทรอุดรครั้งนี้ ข้าชื่นชมเห็นชอบยิ่ง แต่ในเมื่อเจ๋อเหยียนเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าความจริงข้านั้นใจอ่อนมาก ข้าก็ไม่สะดวกใจจะกล่าวกระไรให้มากความ ได้แต่รับไว้โดยดุษณี

เจ๋อเหยียนเอ่ยปลอบใจข้าอีกพักหนึ่ง ใจความหลักหนีไม่พ้นตระกูลเทียนจวินเป็นไอ้เต่าไอ้ตะพาบบัดซบ[4] ลูกๆ หลานๆ ล้วนแต่เป็นไอ้เต่าไอ้ตะพาบบัดซบทั้งสิ้น

หลังจากด่าเทียนจวินจบแล้ว ก็เริ่มหันมาสนทนาเรื่อยเปื่อยกับข้า

พวกเราไม่ได้พบกันมาหลายหมื่นปี คิดว่าเขาคงจะว่างจัดจนนึกเบื่อ สารพัดเรื่องราวจุกจิกหยุมหยิมตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบจึงเทโครมลงใส่ข้าในรวดเดียว ช่วงแรกข้าก็ยังนึกถึงสุราดอกท้อเมาไหนั้นได้อยู่ดอก แต่ครั้นฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้มากเข้า ก็เริ่มจะวิงเวียนศีรษะ เรื่องขอสุราจึงถูกลืมเลือนอย่างหมดจดเกลี้ยงเกลา

ครั้นม่านราตรีคลี่คลุมลงจนทั่ว เจ๋อเหยียนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยเตือนขึ้นว่า “เจ้าหนูสามบอกให้ข้าบ่มเหล้าไว้ให้เขาสองกา ฝังอยู่ใต้ต้นตู้เหิงที่มีใบงอกแค่ไม่กี่ใบริมสระมรกตด้านหลังเขานั่นแหละ[5] คืนนี้เจ้าจงพักที่นั่น แล้วขุดเหล้าเอากลับไปให้เจ้าหนูสามเสียด้วย มีอยู่แค่สองกา ห้ามทำหกละ และห้ามขโมยดื่มด้วย”

ข้าเบ้ปาก “ท่านจะขี้งกเกินไปแล้วนะ”

เจ๋อเหยียนเอนตัวมาลูบผมข้า “เหล้านั่นเจ้าจะขโมยดื่มไม่ได้จริงๆ หากอยากดื่มมาก พรุ่งนี้ให้ไปขนในคลังเหล้าของข้า ขนไปได้เท่าไร เจ้าก็ขนไปเท่านั้น”

ข้าย่อมจะน้อมคารวะกล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่ แต่ในใจกลับตัดสินใจเด็ดขาดว่าสุราดอกท้อเมาสองกานั้นข้าจะขโมยดื่มแน่ๆ เหล้าในคลังเหล้าของเขา ข้าก็จะขนไปเท่าที่จะขนไหวเช่นกัน



 


แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:03 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:21

0 ความคิดเห็น