หัวข้อ : บทที่ 2 สามร้อยปีให้หลัง พลันพานพบอีกครั้ง

โพสต์เมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:22

บทที่ 2

 

สามร้อยปีให้หลัง พลันพานพบอีกครั้ง

 

 

กระต๊อบหลังน้อยที่พี่สี่ช่วยสร้างยืนโยกเยกไปมาอยู่ริมสระมรกต เวลามาขลุกที่บ้านเจ๋อเหยียน ข้ามักจะพักอยู่ที่นี่เพียงลำพังเสมอ

ตอนไปจากป่าท้อครั้งก่อน กระต๊อบหลังนี้ก็ทรุดโทรมเต็มที มาบัดนี้หลังจากที่ตากแดดตากลมตากฝนมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี มันกลับยังคงสามารถตั้งตระหง่านอยู่ได้ ทำให้ข้านึกปลาบปลื้มชื่นชมยิ่ง

ล้วงไข่มุกประกายราตรีออกมาลูกหนึ่งส่องดูไปรอบๆ เจ๋อเหยียนใส่ใจนัก ในกระต๊อบหลังน้อยมีครบหมดทั้งที่นอนหมอนผ้าห่ม ข้าพอใจมาก

ข้างประตูมีเหล่ย[1]หินวางยืนอยู่เล่มหนึ่ง ก็คือเหล่ยที่เมื่อก่อนข้าเคยใช้ขุดหลุมปลูกกล้าต้นท้อนั่นเอง ตอนนี้ได้เอามันมาใช้ขุดสุราดอกท้อเมาสองกานั้นพอดี

 

ยากนักที่คืนนี้ดวงจันทร์บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าบังเอิญเต็มดวง ต้นตู้เหิงที่เจ๋อเหยียนบอกต้นนั้นหาได้ง่ายมาก

ข้าเล็งเหล่ยหินไปที่พื้นดินตรงโคนต้นตู้เหิงสับลงไปเต็มแรง โชคดีเอาการ เพียงปราดเดียวก็เห็นกาสุราหยกตงหลิ่งโผล่ผ่านดินที่ร่วนอ่อนตัวขึ้นมา สาดสะท้อนสู่ใบตู้เหิงไม่กี่ใบ แผ่เป็นรัศมีสีเขียวเรืองรอง ข้ารีบตะกุยดินเอาพวกมันออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความยินดี แล้วอุ้มมันกระโดดลอยตัวขึ้นไปบนหลังคา กระต๊อบน้อยโยกไหวไปมาอยู่สองครั้ง ในที่สุดก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ไม่ล้มลง

บนหลังคาลมราตรีเย็นยะเยือก ข้าตัวสั่นสะท้าน มะงุมมะงาหราแกะที่อุดปิดตายพวยกาและตบดินปิดด้านบนของกาออก ชั่วพริบตานั้นกลิ่นหอมของสุราได้ฟุ้งตลบไปทั่วทั้งป่าท้อสิบหลี่ ข้าหลับตาสูดหายใจลึก ยิ่งนึกนับถือฝีมือบ่มเหล้าอันสุดเลิศล้ำของเจ๋อเหยียนมากขึ้นไปอีก

 

ในชีวิตข้าไม่ได้ทำเรื่องเจ้าสำราญมาสักกี่เรื่อง การดื่มสุราถือเป็นหนึ่งในนั้น การดื่มสุรานั้นต้องพิถีพิถันเรื่องกาละฟ้า ชัยภูมิ มนุษย์ประสาน คืนนี้จันทร์กระจ่างทางช้างเผือก ก็คือ “กาละฟ้า” ป่าท้อสิบหลี่แห่งทะเลบูรพา ก็คือ “ชัยภูมิ” บนหลังคากระต๊อบนอกจากข้าคนเดียวแล้ว ยังมีอีกาเกาะอยู่อีก 2-3 ตัว พอจะฝืนใจนับว่าเป็น “มนุษย์ประสาน” ได้

ข้าจ่อปากกับพวยกาดูดเต็มแรงไปหลายอึก หลังจากดูดลิ้นจั๊บๆ จนทั่ว ก็รู้สึกอยู่เล็กน้อยว่า สุราดอกท้อเมาในกาหยกตงหลิ่งใบนี้รสชาติออกจะแปลกไปจากที่เมื่อก่อนข้าเคยดื่มอยู่เล็กน้อย แต่ก็คิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะข้าไม่ได้ดื่มเหล้าที่เจ๋อเหยียนบ่มมานานมากแล้ว ทำให้จำรสชาติได้ไม่แน่ชัดก็เป็นได้ จึงช่างมันเถิด

ข้าดื่มลงไปคำแล้วคำเล่า แม้จะไม่มีกับแกล้ม แต่มีจันทร์เย็นเยียบสระมรกต ก็เหมือนกันนั่นแหละ

เพียงไม่นานก็ดื่มลงไปได้ครึ่งกา ครั้นลมพัดมา อาการเมากรึ่มแผ่ซ่าน เริ่มจะมึนงงตาลาย

ม่านราตรีสีดำโปร่งใสเหมือนปกคลุมด้วยผืนม่านสีชมพูอยู่หนึ่งชั้น ข้างในกายเองก็เหมือนมีเปลวไฟขุมหนึ่งลุกฮือ เผาผลาญจนเลือดเดือดระอุดังเปรี๊ยะปร๊ะ

ข้าสะบัดศีรษะ คลายตัวเสื้อเปิดอ้าออกด้วยมือที่สั่นสะท้าน ความรู้สึกร้อนรุ่มดั่งจะขับเหงื่อให้ซึมจากกระดูกกลับเกาะติดแน่นเหมือนหนอนแนบกระดูก สติพร่าเลือนจนหาความแจ่มชัดไม่ได้แม้ใยเดียว เพียงรู้สึกได้เลือนรางว่านี่ดูไม่เหมือนอาการเมาเหล้าเพียวๆ

ความรู้สึกร้อนรุ่มนี้บีบบังคับข้าจนไม่อาจถอยหนี ไม่ทราบโดยสิ้นเชิงว่าต้องใช้คาถาใดจึงจะสะกดข่มมันลงได้ หรือว่าคาถาใดล้วนไม่อาจสะกดข่มมันลงได้

ข้าโงนเงนลุกขึ้นยืน คิดจะกระโดดลงไปในสระมรกตเพื่อให้เย็นสบายขึ้น แต่กลับเซถลาเหยียบใส่อากาศ ร่วงละลิ่วตกลงไปจากหลังคากระต๊อบ

ที่น่าอัศจรรย์คือร่างกายกลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากการกระแทกพื้น รู้สึกเพียงถูกบางสิ่งที่เย็นสบายโอบล้อมไว้ในชั่วพริบตา กลับลดทอนเปลวไฟลงไม่น้อย

ข้าพยายามถ่างตาอย่างยากเย็น พอจะแยกออกได้อย่างพร่าเลือนว่า “บางสิ่ง” ตรงหน้าคือเงาร่างคนผู้หนึ่งซึ่งสวมเสื้อยาวสีดำตลอดตัว...ไม่ใช่เจ๋อเหยียน

ฟ้าดินพลิกตลบ แสงจันทร์สีเงินสาดส่องไปทั่วป่าท้อสิบหลี่ ทุกกิ่งก้านคือดอกไม้สะพรั่งบานใบไม้ดกหนา สระมรกตซึ่งอยู่ห่างออกไปสองก้าวเองก็มีไอหมอกพลิ้วลอยเป็นชั้นๆ แล้วพลันแปรเป็นอัคคีสวรรค์อันร้อนแรง

ข้ารีบหลับตาลง ร่างกายร้อนจัดจนเจ็บปวด ได้แต่พยายามเบียดเข้าหาเงาร่างคนตรงหน้าซึ่งเป็นความเย็นสบายเพียงใยเดียวอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าที่เงยขึ้นสัมผัสถูกผิวกายนอกร่มผ้าตรงปลายคางและลำคออีกฝ่าย เย็นสบายยิ่งกว่าหินหยกเย็น นิ้วมือเริ่มจะไม่ฟังคำสั่ง ข้ายื่นมือสั่นสะท้านไปปลดคลายสายรัดเอวเขา ชายตรงหน้าจึงเริ่มผลักไสข้า ข้ารีบเบียดเข้าหาปลอบโยนว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้าแค่จะทำให้มือเย็นลงเท่านั้น”

เขากลับผลักไสดุเดือดกว่าเดิม

แสนกว่าปีมานี้ ข้าไม่เคยใช้มนต์สะกดวิญญาณสะกดจิตใครมาก่อน คืนนี้กลับช่วยไม่ได้ เมื่อพยายามรวบรวมสมาธิอย่างพร่าเลือนลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย ในใจข้ายังตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่บ้าง ไม่ทราบว่าไม่ได้ใช้วิชานี้มาเนิ่นนาน บัดนี้จะยังใช้ได้ผลหรือไม่

เห็นได้ชัดว่าเขามีอาการงุนงงเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เข้มจัดไหวระริก กลับค่อยๆ โอบกอดข้าไว้...

 

ไก่ฟ้าร้องขันไปสามรอบ ข้าค่อยๆ ตื่นขึ้นอย่างแช่มช้า รู้สึกรางๆ ว่าดูเหมือนเมื่อคืนนี้ข้าจะฝันได้น่าสนใจอย่างมาก ในฝันข้าได้เหิมเกริมลวนลามหนุ่มน้อยชาติตระกูลดีอย่างเจ้าชู้ ครั้นจะย้อนนึกอย่างถี่ถ้วนถึงใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้นั้น ก็กลับจำได้เพียงเสื้อยาวสีดำตลอดตัวกับป่าท้อสิบหลี่

 

ป่าดอกท้อของเจ๋อเหยียนกับทะเลบูรพาอยู่ไม่ไกลกันมาก ข้าจึงมิได้รีบร้อน ไปที่คลังเก็บเหล้าตรงหลังเขาขนเหล้าเก่าเก็บมาอีกสามไห รวมกับสุราดอกท้อเมาหนึ่งกาครึ่งนั้น ใส่เข้าไปในแขนเสื้อด้วยกัน ค่อยบอกลาเจ๋อเหยียนออกเดินทางจากไป

เจ๋อเหยียนงึมงำวานข้าว่าหลังจากกลับไปแล้วอย่าลืมไปบอกให้พี่สี่มาช่วยเขาไถดินในที่นากระจิริดสองหมู่[2]หน้าภูเขานั่นด้วย

 

วันนี้เป็นวันมหามงคลโดยแท้ ข้าเอามือป้องคิ้วบังแดด กลางอากาศเหนือทะเลบูรพาไอเซียนลอยตลบ เมฆมงคลเรียงเป็นตับ ดูท่าทางเทพเซียนจากทั่วสารทิศต่างมากันพร้อมหน้าแล้ว

ข้าล้วงหยิบผืนผ้าแพรสีขาวกว้างสี่นิ้วมือผืนหนึ่งออกจากในแขนเสื้อมาผูกปิดดวงตาอย่างแน่นหนา เตรียมตัวจะลงไปในน้ำ

ทะเลบูรพานั้นอะไรๆ ก็ดีอยู่ดอก เพียงแต่วังแก้วผลึกออกจะสว่างไสวเกินไป ส่วนดวงตาคู่นี้ของข้าก็ไม่สามารถมองสิ่งที่มีแสงจ้าเกินไปได้มาตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อน

อาเหนียงบอกว่านี่เป็นโรคที่ติดตัวข้ามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่

ฟังว่าตอนที่อาเหนียงอุ้มท้องข้า สบจังหวะเทียนจวินบัญชาให้เกิดน้ำท่วมเพื่อเป็นการลงทัณฑ์ตักเตือนเหล่าทวยราษฎร์ในสี่ทะเลแปดดินแดนเก้าแผ่นดินพอดี ตอนนั้นเนื่องจากแพ้ท้อง ทำให้อาเหนียงชอบกินแต่ผลเหอซวีชนิดหนึ่งบนเขาเหอซวี โดยแทบจะถือมันเป็นอาหารหลัก เมื่อน้ำท่วมครั้งนั้นอุบัติขึ้น เขาเหอซวีบนแผ่นดินใหญ่แห่งทะเลบูรพาเองก็พลอยฟ้าพลอยฝนจนต้นไม้ใบหญ้าตายหมดสิ้น อาเหนียงไม่มีผลเหอซวีนี้ให้กิน อาหารอย่างอื่นก็กินแล้วไม่อร่อยทั้งนั้น ร่างกายจึงอ่อนแอลงมากอย่างเห็นได้ชัด ครั้นคลอดข้าออกมา จึงเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกตัวย่นยู่และมีโรคตาแปลกๆ นี้แถมพกมาด้วย โรคตานี้ซ่อนอยู่ในตัวข้ามาได้แสนกว่าปี เดิมทีก็อยู่ร่วมกับข้าได้โดยสันติ แต่เมื่อสามร้อยปีก่อนกลับฉวยโอกาสที่ข้าเป็นไข้หวัด กำเริบขึ้นมาเต็มที่ ทว่ายังดีที่อาเตียยืมแสงนิลจากใต้น้ำพุเหลือง[3]มาสร้างเป็นผืนแพรขาวบังแสงผืนนี้ให้ข้า หากผูกมันบังตาเวลาไปยังที่ซึ่งมีแสงจ้าเป็นพิเศษ ก็จะไม่เป็นอุปสรรคใดมาก

ข้ายื่นมือออกไปหยั่งดูตรงน้ำตื้นริมหาด น้ำในทะเลบูรพาเย็นเฉียบ ข้าหนาวสะท้าน รีบใช้ปราณแห่งเซียนป้องกันร่างกาย

ทันใดนั้นที่ด้านหลังได้มีคนร้องเรียกข้าว่า “เจี่ยเจีย เจี่ยเจีย[4]

ข้าย้อนนึกดูแล้ว อาเตียอาเหนียงเกิดพวกข้ามาทั้งสิ้นเพียงห้าพี่น้อง หลังจากข้าก็ไม่มีจิ้งจอกน้อยตัวไหนอีก ครั้นหันกายกลับไป ตรงหน้าได้มีสาวน้อยวัยกำดัดกลุ่มหนึ่งยืนออกันอยู่แล้ว แต่ละนางต่างสวมชุดหรูหรางดงาม คาดว่าคงจะเป็นบุตรสาวหลานสาวในครอบครัวของเทพเซียนจากเส้นทางใดซึ่งรุดมาร่วมงานเลี้ยง

สีหน้าของสาวน้อยในชุดม่วงซึ่งอยู่หน้าสุดออกจะขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย “องค์หญิงของข้าเรียกเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ขานรับเล่า?”

ข้านิ่งงงไปชั่วขณะ ครั้นเห็นว่าในบรรดาพวกนางเจ็ดคน สาวน้อยชุดขาวที่อยู่ตรงกลางปักปิ่นทองบนศีรษะมากที่สุด ไข่มุกที่อยู่บนรองเท้าปักลายก็มีขนาดใหญ่ที่สุด จึงหันไปพยักหน้าให้นาง “กูเหนี่ยง[5]เรียกข้าด้วยกิจใดหรือ?”

ใบหน้าดั่งหยกขาวของสาวน้อยชุดขาวแดงระเรื่อ “ลวี่ซิ่วเห็นรอบกายของเจี่ยเจียมีไอเซียนลอยวน นึกว่าเจี่ยเจียก็เป็นเซียนที่มาทะเลบูรพาเพื่อร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน กำลังคิดจะรบกวนเจี่ยเจียให้ช่วยนำทางลวี่ซิ่วอยู่พอดี ไม่นึกว่าดวงตาของเจี่ยเจีย...”

ซึ่งความจริงแพรขาวที่ผูกตาอยู่ผืนนี้มิได้มีผลกระทบต่อการมองเห็นของข้าแต่อย่างใด ทั้งยังมีกิ่งหมีกู่ช่วยชี้ทาง การช่วยนำทางจึงเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ข้าจึงผงกศีรษะตอบรับนางว่า “ข้ามาร่วมงานเลี้ยงจริงๆ นั่นล่ะ เรื่องดวงตาไม่เป็นปัญหาดอก พวกเจ้าตามหลังข้ามาเถิด”

การเดินทางใต้น้ำน่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เคราะห์ดีที่บรรดาสาวใช้ขององค์หญิงลวี่ซิ่วนั่นล้วนแต่ปากมากกันทุกคน พวกนางนึกว่ากระซิบกันเบาแล้ว จนใจที่หูจิ้งจอกนั้นไวนัก จึงช่วยเพิ่มความบันเทิงแก่ข้าไม่น้อย

นางหนึ่งพูดว่า “องค์หญิงใหญ่นึกว่าจงใจสลัดพวกเราทิ้งให้พวกเราไปร่วมงานเลี้ยงไม่ได้ นางก็จะสามารถครองความเป็นที่สนใจในงานเลี้ยงแต่เพียงผู้เดียวได้แล้ว หาทราบไม่ว่าพวกเราก็คลำทางมากันเองได้เช่นกัน ถึงในงานเมื่อไรต้องฟ้องเรื่องนางต่อหน้าท่านเทพสมุทรให้จงได้ ให้ท่านเทพสมุทรลงโทษนางอยู่สำนึกผิดที่ทะเลทักษิณสักหลายร้อยปี ดูซิว่านางยังจะกล้ารังแกกันแบบนี้อีกหรือไม่”

ที่แท้ก็เป็นบุตรสาวหลานสาวของเทพสมุทรทักษิณนี่เอง

นางหนึ่งพูดว่า “องค์หญิงใหญ่งามนั้นงามอยู่ดอก แต่เมื่อเทียบกับองค์หญิงแล้ว กลับห่างชั้นกันราวโคลนกับเมฆ องค์หญิงทรงวางพระทัยเถิดเพคะ ขอเพียงองค์หญิงไปร่วมในงานเลี้ยง งานเลี้ยงครบเดือนนี้ องค์หญิงใหญ่ไม่มีทางชิงเป็นจุดเด่นได้อย่างแน่นอน”

ที่แท้ก็พี่น้องสองสาวชิงดีชิงเด่นกันนี่เอง

นางหนึ่งพูดว่า “ถึงแม้ตำแหน่งเทียนโฮ่วจะกำหนดตัวไว้แล้ว แต่เยี่ยหัวจวินย่อมไม่มีทางต้องใจยายแก่แร้งทึ้งแห่งชิงชิวนั่นอย่างแน่นอน ความงามขององค์หญิงนั้นทั่วผืนฟ้าแผ่นดินยากยิ่งจะพบพาน ในงานเลี้ยงทะเลบูรพาครั้งนี้ หากสามารถผูกสมัครรักใคร่กับเยี่ยหัวจวินได้ ต้องถือเป็นเรื่องสุดประเสริฐเรื่องแรกนับแต่ผานกู่เบิกฟ้าผ่าพิภพเป็นต้นมาเลยเทียวนะเพคะ”

ข้านึกอยู่พักใหญ่จึงค่อยรู้ตัวว่า “ยายแก่แร้งทึ้งแห่งชิงชิว” นั้นหมายถึงตัวข้าเอง ทำเอาเกิดความรู้สึกเมฆขาวหมาเทา[6] ม้าขาวผ่านช่อง[7]ขึ้นมาทันที ช่างไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีโดยแท้

องค์หญิงลวี่ซิ่วนั่นเอ็ดอย่างแง่งอนเล็กน้อยว่า “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว” จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก อาการเอียงอายของสาวน้อยแสดงออกมาหมดสิ้นไม่เป็นที่กังขา

เดินทางกันไปประมาณครึ่งชั่วยามเศษๆ จึงค่อยบรรลุถึงวังแก้วผลึกซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ทะเลบูรพาสามพันฉื่อ

แต่ข้ากลับสงสัยยิ่งนักว่าตรงทางแยกเมื่อครู่ข้าได้เลือกผิดทางเสียแล้ว เนื่องจากปราสาทราชวังใหญ่โตโอฬารตรงหน้าแห่งนี้ช่างแตกต่างอย่างมากกับที่อยู่ในความทรงจำ เพราะดูไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับวังแก้วผลึกซึ่งสว่างไสวเจิดจ้าสักส่วนเดียว

องค์หญิงลวี่ซิ่วก็ปากอ้าตาค้างเช่นกัน ชี้ไปที่กำแพงวังสีเขียวแก่เอ่ยถามข้า “ที่ปูอยู่ข้างบนนั่นเกรงว่าจะเป็นหญ้าชิงซิ่งทั้งนั้นกระมัง?”

สัตว์บกที่เกิดและโตมาแต่บนบกอย่างข้ารู้จักของที่อยู่ในน้ำพวกนี้น้อยนิดยิ่งโดยแท้ ได้แต่ฝืนใจยิ้มเออออไปว่า “คงจะใช่กระมัง”

ความเป็นจริงได้ยืนยันว่าคุณภาพต้นหมีกู่ของผู้เฒ่าหมีกู่นั้นรับประกันได้อย่างยิ่ง เจ้าสิ่งดำทะมึนตรงหน้านี้ มันคือวังแก้วผลึกของเทพสมุทรบูรพาจริงๆ...

 

นางกำนัลผู้นำทางซึ่งเฝ้าอยู่สองข้างประตูวังได้เห็นองค์หญิงลวี่ซิ่ว ก็ทำท่าตกตะลึง รีบรับเทียบเชิญของนางมา เดินนวยนาดนำพวกเราทั้งแปดเข้าไปข้างใน

ข้าให้นึกสะท้อนใจอยู่บ้าง คาดไม่ถึงว่ารสนิยมของเทพสมุทรบูรพารุ่นนี้จะพิเศษพิสดารถึงขั้นนี้ได้ ตลอดทางที่เดินมาเดิมทีควรจะเป็นวังแก้วผลึกที่สว่างไสว นี่กลับมืดทะมึนยิ่งกว่าถ้ำจิ้งจอกของอาเตียอาเหนียงเสียอีก เคราะห์ดีที่ตามรายทางจัดวางไข่มุกประกายราตรีส่องแสงนวลใยไว้ ค่อยฝืนใจไม่ทำให้ข้าสะดุดล้มหัวทิ่ม

 

ทั้งที่เห็นได้ชัดว่ายังห่างจากเวลาเริ่มงานอีกพอสมควร ในห้องโถงใหญ่เทพเซียนจากทั่วสารทิศกลับเริ่มจับกลุ่มบ้างสองบ้างสามคนสนทนากัน

นึกถึงเมื่อครั้งจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดอาเตีย แม้แขกที่ได้รับเชิญจะมากันครบถ้วนไม่มีขาด แต่กลับไม่มีรายใดไม่มาตรงเวลาเริ่มงานพอดิบพอดี ขณะที่ครั้งนี้เป็นแค่งานเลี้ยงครบเดือนที่เทพสมุทรบูรพาจัดให้บุตรชายวัยทารกเท่านั้น ไม่ว่าเทพผู้ใหญ่ผู้น้อยกลับกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ คาดว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ปวงเทพเซียนในปัจจุบันคงจะว่างอย่างร้ายแรงกันทั้งสิ้น

นางกำนัลสองนางได้พาองค์หญิงลวี่ซิ่วไปถึงตรงหน้าเทพสมุทรบูรพา

เทพสมุทรบูรพารุ่นนี้ คิ้วและตาพอจะมีบุคลิกของบรรพบุรุษรุ่นก่อนอยู่หลายส่วน

ข้าตกอยู่รั้งท้าย ปะปนไปในกลุ่มเทพเซียน หันกายหมายเรียกหาบ่าวรับใช้สักคนให้ช่วยพาข้าไปพักผ่อนที่ห้องพักแขกสักครู่ เร่งเดินทางมาเป็นพักใหญ่ ให้รู้สึกเพลียอยู่บ้างโดยแท้ ไม่นึกว่าทุกสิ่งมีชีวิตในห้องโถงใหญ่ต่างตะลึงมององค์หญิงลวี่ซิ่วนั่นกันหมด

ความจริงกล่าวกันอย่างเป็นกลางแล้ว รูปโฉมของลวี่ซิ่วนั้นหากไปอยู่ในกลุ่มทวยเทพบรรพกาล ถือว่าอยู่ในระดับธรรมดาสามัญ ยังห่างชั้นจากพวกพี่สะใภ้ข้าอยู่ไกลลิบ ดูท่าทางในบรรดาเทพเซียนรุ่นปัจจุบันจะไม่มีผู้เลอโฉมเหลืออยู่จริงๆ เสียแล้ว

ดูอาการตะลึงลานดั่งต้องมนต์ของพวกเขาแล้ว ข้าหักใจขัดจังหวะไม่ลงโดยแท้ จึงหาช่องว่างแอบหลบออกไป คิดจะหาที่ใดสักที่งีบหลับสักครู่ รองานเลี้ยงเริ่มแล้วก็มอบของขวัญกินข้าวกินปลา จะได้รีบกลับแต่เนิ่นๆ

เลี้ยวผ่านเก้าโค้งสิบแปดคด ข้าต้องตกตะลึงที่หาสถานที่เหมาะสมไม่พบสักแห่ง มันช่างน่าท้อแท้เสียนี่กระไร

ขณะที่เตรียมจะย้อนกลับไปยังห้องโถงใหญ่ กลับจำแนกทิศทางกลับไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน ครั้นคลำกระเป๋าในแขนเสื้อดู ค่อยพบว่ากิ่งหมีกู่ไม่อยู่เสียแล้ว

คราวนี้ละได้เรื่อง อาศัยความสามารถในการจำทางของข้า อย่าว่าแต่งานเลี้ยงเริ่ม แค่สามารถกลับไปถึงห้องโถงใหญ่ก่อนงานเลี้ยงเลิกได้ ก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว

ไม่มีวิธีอื่นอีก ได้แต่ใช้วิธีตรงไหนมีทางให้เดิน ก็เดินไปตามทางนั้น

ด้วยเหตุนี้ข้าจึงบุกฝ่าเข้าไปในอุทยานท้ายวังของบ้านเทพสมุทรบูรพา

 

สิ่งที่มิอาจไม่กล่าวคือ รสนิยมในการออกแบบอุทยานท้ายวังแห่งนี้ช่างเข้ากันกับรูปแบบของทั่วทั้งวังเสียนี่กระไร ทุกหนทุกแห่งมีแต่สีเขียวเข้มเต็มไปหมดละลานตาดีแท้ มีบรรยากาศเขาวงกตอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ข้าย่างเท้าเข้ามา ก็ปาเข้าไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว กลับต้องตะลึงที่หาทางออกไม่พบแม้ครึ่งทาง

การใช้คาถาย้ายสวนบ้าที่เกะกะขวางทางแห่งนี้ออกไปให้พ้นถือเป็นความคิดที่ดี แต่จะอย่างไรก็ใจร้ายเกินไป นึกถึงจุดนี้ ในใจข้าให้หดหู่ท้อแท้ถึงขีดสุด บางทีอาจเป็นเพราะหดหู่ท้อแท้ถึงขีดสุด จึงเกิดไหวพริบขึ้นอย่างปุบปับ

หยิบกิ่งไม้ไม่ทราบนามขึ้นมาจากบนพื้น หลับตาลงโยนออกไป กิ่งไม้ตกลงมา ด้านที่เป็นสองง่ามได้ชี้ไปยังทางเดินด้านซ้าย ข้าตบมือ เดินเลี้ยวไปทางขวาอย่างพออกพอใจ

ความเป็นจริงได้ยืนยันว่าการที่ข้าโยนกิ่งไม้ชี้ทางนั้นเป็นการกระทำที่ปราดเปรื่องยิ่งนัก

เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก่อนหน้านี้ ข้าเดินวนไปเวียนมาอยู่ในสวนดอกไม้นี่ อย่าว่าแต่คนเลย กระทั่งยุงน้ำสักตัวยังไม่เจอ มาครั้งนี้เดินไปได้เพียงประมาณหนึ่งร้อยก้าว ก็ได้พบกับก้อนแป้งข้าวเหนียว[8]มีชีวิตก้อนหนึ่ง

ก้อนแป้งข้าวเหนียวก้อนนี้ขาวผ่องอ่อนเยาว์ บนศีรษะเกล้าผมจุกอยู่สองจุก สวมชุดแพรไหมสีเขียวแก่ตลอดตัว กำลังเกาะอยู่กับปะการังสีเขียวสูงขนาดสองตัวคนกอหนึ่ง หากไม่สังเกตให้ดีจะมองเขากลืนเป็นหนึ่งเดียวกับปะการังกอนั้นได้ง่ายๆ

ดูท่าทางเหมือนจะเป็นบุตรของเทพเซียนคนใดสักคน

ข้าเห็นเขาก้มหน้าก้มตาถอนหญ้าชิงซิ่งบนปะการังดูท่าทางน่าสนุกนัก จึงเข้าไปชวนคุยว่า “ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อย กำลังทำอะไรอยู่หรือ?”

เขาตอบโดยไม่เงยหน้า “ถอนหญ้าไง ฟู่จวิน[9]บอกว่าปะการังที่ซ่อนอยู่ข้างใต้หญ้าพวกนี้เป็นของที่สวยงามที่สุดในก้นทะเลบูรพา ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน จึงคิดจะถอนหญ้าออกดู”

ฟู่จวิน...ที่แท้ก็เป็นซื่อจื่อน้อย[10]คนใดสักคนของเผ่าสวรรค์นี่เอง

ข้าเห็นเขาถอนหญ้าอย่างลำบากลำบนนัก ก็อดนึกอยากจะยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้ จึงล้วงพัดเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อยื่นไปให้ตรงหน้าเขา อธิบายว่า “ใช้พัดเล่มนี้สิ เพียงพัดเบาๆ ชิงซิ่งสาบสูญสิ้น ปะการังยิ่งโดดเด่น”

มือซ้ายของหนูน้อยยังคงขยุ้มหญ้าไว้กำหนึ่ง มือขวารับพัดไปจากมือข้าอย่างว่าง่าย พัดไปหนึ่งครั้งอย่างไม่ได้ใส่ใจ บัดดลนั้นสายลมคลั่งได้วูบขึ้นจากพื้นดิน พาทั่วทั้งวังแก้วผลึกสะเทือนเยือกไปสามระลอก น้ำทะเลสีดำสนิทร้องคำรามม้วนทะลักพลิกตลบขึ้นสูงถึงสิบกว่าจ้าง ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

เพียงชั่วจิบชาครึ่งถ้วย วังแก้วผลึกของเทพสมุทรบูรพาซึ่งเดิมทีมืดทะมึนก็เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่โดยสิ้นเชิง มีหรือแค่คำว่า “สว่างไสว” จะมาใช้บรรยายได้

ข้าตกตะลึงอยู่บ้าง

พัดทลายเมฆเล่มนี้จะสามารถเปล่งอานุภาพได้มากเท่าไร ต้องดูว่าผู้ใช้พัดมีพลังเซียนสูงส่งเพียงใดมาแต่ไหนแต่ไร ข้านึกไม่ถึงจริงแท้ว่าก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยผู้นี้จะร้ายกาจปานนี้ แค่พัดเบาๆ เท่านั้นก็พลิกผันรสนิยมของทั่วทั้งวังแก้วผลึกแห่งนี้เสียแล้ว ทำเอาข้ารู้สึกผิดต่อเทพสมุทรบูรพายิ่งนัก

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยล้มแปะลงนั่งก้นจ้ำเบ้า ปากอ้าตาค้าง หันมามองข้าตาโต โพล่งถามว่า “ข้าก่อเรื่องขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”

ข้าหันหน้าไป พยักหน้าให้เขาอย่างลำบากยากเย็นเป็นที่สุด “ผู้ที่ก่อเรื่องเกรงว่าจะไม่ใช่แค่เจ้าคนเดียว เพราะดูเหมือนข้าจะเป็นคนให้พัดเล่มนั้นแก่เจ้าเอง...”

ดวงตาก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเบิกกว้างทันที ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะใบหน้าที่พันผ้าแพรสีขาวเสียสามในสี่ส่วนของข้าค่อนข้างน่ากลัวอยู่บ้าง

ในเมื่อข้าทายจุดเริ่มเรื่องไม่ถูก ย่อมจะทายตอนจบไม่ถูกเช่นกัน

ปรากฏว่าก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยวิ่งตึงๆๆ ปานลมพัดโถมเข้ามากอดขาข้าไว้พร้อมกับร้องตะโกนว่า “เหนียงชินนนนน...”[11]

ข้ายืนงงเป็นไก่ตาแตก

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเอาแต่กอดขาข้าแผดเสียงร่ำไห้ปิ้มว่าจะขาดใจ แผดร้องไปพลางต่อว่าต่อขานอย่างเป็นจริงเป็นจังไปพลางว่า “เหนียงชินๆ ทำไมท่านถึงทิ้งอาหลีกับฟู่จวินไปเล่า...” พร้อมกับถูไถใบหน้าเช็ดน้ำมูกน้ำตาทั้งหมดกับชายกระโปรงของข้าด้วยเสียเลย

ข้าถูกเด็กน้อยแผดเสียงฟูมฟายต่อว่าต่อขานจนขนลุกเกรียว ขณะที่กำลังคิดจะช่วยเด็กน้อยลองย้อนนึกทบทวนดูว่าในช่วงเวลาแสนกว่าปีที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงพลิกผันดั่งทะเลเป็นท้องนานี้[12] ข้าเคยกระทำเรื่องทิ้งลูกทิ้งผัวมาก่อนจริงหรือไม่นั่นเอง ที่ด้านหลังกลับมีเสียงแผ่วเบาหนักอึ้งอย่างที่สุดดังขึ้นว่า

“ซู่...ซู่?”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเงยหน้าขึ้นทันที ร้องเรียกเสียงอ่อนว่า “ฟู่จวิน” แต่ยังคงกอดขาข้าแน่นดังเดิม

ข้าถูกเขากอดขาไว้แน่นจนหันตัวไม่ได้ ทั้งเนื่องจากอาวุโสกว่าเขาตั้งไม่ทราบกี่รุ่น ไม่สะดวกใจจะก้มตัวลงไปแกะนิ้วเขาออก จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

คนที่เป็นฟู่จวินนั่นได้ซอยเท้าถี่ๆ หลายก้าวอ้อมมายืนตรงหน้าข้า

เนื่องจากอยู่ใกล้กันมาก ทั้งข้ากำลังก้มหน้าอยู่ สิ่งที่ปรากฏแก่คลองจักษุจึงมีเพียงรองเท้าหุ้มข้อพื้นดำกับมุมหนึ่งของตัวเสื้อสีดำซึ่งลอบปักเป็นลวดลายเมฆ

ฟู่จวินของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยถอนหายใจเอ่ยว่า “ซู่ซู่”

ข้าค่อยรู้ตัวว่าคำ “ซู่ซู่” ที่เขาเรียก ก็คือตัวปู้ฉายจ้ายเซี่ยเปิ่นซ่างเสิน[13]นั่นเอง

พี่สี่ชอบบอกว่าข้านั้นขี้ลืม แต่ข้าก็ยังจำได้ว่าแสนกว่าปีมานี้เคยมีคนเรียกข้าว่า “น้องห้า” เคยมีคนเรียกข้าว่า “อาอิน” เคยมีคนเรียกข้าว่า “สิบเจ็ด” แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่เรียกข้าว่า “กูกู” แต่ไม่เคยมีผู้ใดเรียกข้าว่า “ซู่ซู่”

บังเอิญว่าก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยคลายมือออกขยี้ตาตัวเองพอดี ข้ารีบก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว อมยิ้มเงยหน้าขึ้น “สหายเซียนสายตาไม่ดี เกรงว่าจะจำผิดคนเสียแล้ว”

ครั้นกล่าวประโยคนี้จบ ชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาใด ข้ากลับตกตะลึงจังงัง

อันความคิดวิทยาคืออาวุธ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ใบหน้านี้ของอาเตียก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อย ช่างเหมือนกับม่อเยวียนอาจารย์ผู้มีพระคุณซึ่งถ่ายทอดวิชาแก่ข้าเหลือเกิน

แต่จะอย่างไรข้ายังคงไม่ได้จำเขาผิดเป็นม่อเยวียน

เจ็ดหมื่นปีก่อนเผ่าปิศาจก่อกบฏ คงคาสวรรค์เดือดพล่าน เปลวไฟแดงฉานเผาผลาญสิ้น ม่อเยวียนได้ผนึกขังราชาปิศาจฉิงชางไว้ในระฆังจักรพรรดิบูรพา ณ ริมฝั่งแม่น้ำรั่วสุ่ย แต่ตัวท่านเองกลับพลังฝึกปรือสลายสิ้น วิญญาณแตกซ่าน ข้าเสี่ยงตายรักษาร่างกายของท่านไว้ พากลับไปยังชิงชิว วางไว้ในถ้ำเหยียนหัว ใช้เลือดสดๆ เดือนละหนึ่งถ้วยเลี้ยงรักษาไว้ทุกเดือน

ม่อเยวียนคือโอรสองค์เดียวในมเหสีเอกของเทพบิดร เป็นซ่างเสินแห่งดนตรีและสงครามของโลกนี้ ข้าไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าสักวันท่านจะตายจากไป แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่เชื่อ ดังนั้นข้าจึงเฝ้ารอคอยอยู่เงียบๆ ใช้เลือดจากหัวใจเดือนละหนึ่งถ้วยเลี้ยงร่างของท่านไว้ เพื่อว่าสักวันท่านจะสามารถเรียกข้าด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มว่า “สิบเจ็ดน้อย” อีกครั้ง

คิดถึงตรงนี้ ข้าให้แปลบใจเล็กน้อย

แต่ดูเหมือนสถานการณ์ตรงหน้าจะไม่เหมาะสำหรับการมานั่งแปลบใจนัก เป็นดังคำโบราณที่ว่า “หลังตกตะลึงครั้งใหญ่ ต้องมีเหตุตกตะลึงครั้งใหญ่กว่า”

ข้ายังไม่ทันได้สติจากภวังค์ ชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งเป็นพ่อของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยก็ตวัดแขนเสื้อเขี่ยผ้าแพรพันตาของข้าลงมา ข้ารีบหลับตาแน่นโดยสัญชาตญาณ เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากข้า

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยโก่งคอร้องตะโกนอยู่ข้างๆ ว่า “เติงถูจื่อ! เติงถูจื่อ!”[14]

เนิ่นนานปีมานี้ข้าสงบนิ่งอย่างยิ่งเสมอมา กระทั่งปีนั้นที่จิ้งจอกแดงเฟิ่งจิ่วถอนเห็ดหลิงจือตรงหน้าถ้ำของข้าไปจนหมดเกลี้ยงเพื่อจะต้มพระกระโดดกำแพง ข้าก็ไม่เคยถือสาหาความนาง แต่ครั้งนี้เอ็นเขียวๆ บนขมับข้ากลับแข่งกันเต้นระริกอย่างร่าเริงยิ่ง

“บังอาจนัก!”

หลายปีเต็มทีที่ไม่เคยได้ใช้คำนี้ มาทบทวนใช้ในตอนนี้ ออกจะไม่คุ้นปากนักโดยแท้

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเข้ามากระตุกชายกระโปรงข้า ถามขลาดๆ “เหนียงชินโกรธแล้วหรือ?”

ท่านพ่อของเด็กน้อยยืนนิ่งไร้ปฏิกิริยาอยู่ครู่ใหญ่ ตามด้วยอีกครู่ใหญ่ ในที่สุดก็พันผืนแพรขาวกลับคืนให้ข้าดังเดิม ค่อยกล่าวว่า “ถูกแล้ว ข้าจำคนผิดไปเอง เพราะนางแสดงกิริยานอกแข็งกร้าวในขลาดเขลาเช่นที่ท่านทำไม่เป็น และไม่งดงามล่มเมืองเท่าท่าน เมื่อครู่นี้ล่วงเกินแล้ว”

อยู่ในระยะกึ่งใกล้กึ่งไกลเช่นนี้ ข้าค่อยเห็นชัดเจนว่า ตัวเสื้อและแขนเสื้อของเสื้อแพรยาวสีดำของเขาปักเป็นลวดลายมังกรสีเดียวกับเสื้อทั้งสิ้น

แม้ไม่ได้ออกจากชิงชิวมาหลายหมื่นปี แต่เคราะห์ดีที่กฎธรรมเนียมพื้นฐานของเหล่าเทพเซียนทั้งหลายนั้น ข้ายังพอจะจำได้อยู่บ้าง นอกจากตระกูลเทียนจวินแล้ว จากสวรรค์ชั้นฟ้าไปจนถึงนรกใต้ดิน กลับไม่มีเซียนคนใดที่เริงสำราญเสียจนนึกเบื่อชีวิตถึงขั้นกล้าปักลายมังกรลงบนเสื้อผ้า ก้มลงมองก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยที่ชายหนุ่มจูงมืออยู่อีกครั้ง ข้าลอบคิดในใจว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้น่าจะเป็นเยี่ยหัวจวิน...หลานชายซึ่งเทียนจวินแสนจะภาคภูมิใจคนนั้นนั่นเอง

ช่างน่าเสียดายมาดดั่งต้นไม้หยกกลางสายลมนี่แท้ๆ อายุยังน้อยยังหนุ่มยังแน่น สุดท้ายกลับต้องมาแต่งงานกับข้ายายแก่แร้งทึ้งคนนี้ ช่างชวนให้ทอดถอนใจยาวด้วยความเสียดายนัก สวรรค์ช่างอยุติธรรม...ช่างอยุติธรรมถึงเพียงนี้...

เนื่องจากความสัมพันธ์ชั้นนี้ ข้าจึงรู้สึกผิดต่อเยี่ยหัวจวินอย่างลึกล้ำตลอดมา ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยามนี้ แม้ว่าข้าจะเป็นฝ่ายถูกล่วงเกิน แต่ครั้นนึกถึงว่าเขาคือ “เยี่ยหัวจวิน” ข้าก็เกิดอุปาทานไปเองว่าความจริงข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายล่วงเกินเขา ได้แต่ยิ้มเก้อๆ กล่าวว่า “สหายเซียนกล่าวเกรงใจเกินไปแล้ว”

เขามองข้า สายตาลึกล้ำเย็นชา

ข้าก้าวไปด้านข้างหนึ่งก้าวเป็นการหลีกทางให้ ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยยังคงสูดจมูกเรียกข้าว่าเหนียงชิน

ข้าเห็นว่าในเมื่ออีกไม่ช้าไม่นานข้าก็ต้องไปเป็นแม่เลี้ยงของเขาจริงๆ จึงยิ้มบางๆ แข็งใจรับคำเรียกนั้นไว้

เยี่ยหัวจูงมือก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเดินลับหายไปกับหัวเลี้ยวที่สุดปลายทางอย่างรวดเร็ว

จนถึงยามนี้ข้าจึงค่อยนึกขึ้นได้กะทันหันว่า ปล่อยพวกเขาสองพ่อลูกไปเสียแล้ว อย่างนั้นใครเล่าจะมาช่วยพาข้าออกไปจากสวนนี้?

ข้ารีบร้อนไล่ตามไป แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของสองพ่อลูกเสียแล้ว...



 

 


แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:03 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:22

0 ความคิดเห็น