โพสต์เมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:23
บทที่ 3
แม่หญิงนางนี้ไม่ผิดเลยสักนิด
อ้อมผ่านหัวเลี้ยวที่เยี่ยหัวสองพ่อลูกลับหายไป ข้าเหลียวซ้ายแลขวา พบว่าค่อนไปทางทิศเหนือ มีหญิงชุดขาวแต่งหน้าแต่งตัวแต่น้อยกำลังเร่งฝีเท้าเดินตรงมาหาข้า
ข้าหรี่ตามองอยู่พักใหญ่ ค้นพบด้วยความปลาบปลื้มเป็นที่ยิ่งว่า...วันนี้ต้องเป็นวันอันน่าตื่นตาตื่นใจและดั่งห้วงฝันอย่างแน่นอน
แม้หญิงนางนั้นจะก้าวเดินอย่างรีบร้อน ทั้งยังท้องโย้ ท่วงทีกิริยากลับชดช้อยงดงามยิ่ง ข้าหยิบพัดทลายเมฆออกมาคะเนน้ำหนักดู ใคร่ครวญว่าหากโบกพัดจากทางซ้ายไปทางขวาสักที จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะส่งนางจากทะเลบูรพาตรงดิ่งกลับไปถึงทะเลอุดร แต่ครั้นดูท้องโย้ๆ นั่นแล้ว สุดท้ายข้ายังคงใจอ่อนมืออ่อน เก็บพัดกลับเข้าที่
ครั้นมาถึงตรงหน้าข้า นางก็คุกเข่าลงโดยแรงทันที ข้าเบี่ยงกายหลบ ไม่คิดจะรับการไหว้นี้ นางกลับเดินเข่าเข้ามาหาอย่างลำบากยากเย็น
ข้าได้แต่หยุดยืน
นางมองข้า น้ำตาเอ่อคลอในดวงตา ท่าทางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใบหน้ากลับกลมยิ่งกว่าเมื่อห้าหมื่นปีก่อนมาก คาดว่าผู้ที่ตั้งครรภ์ต่างต้องอ้วนด้วยกันทั้งนั้น
ข้านิ่งคิดว่าโลกหล้าเวลานี้เหล่าเทพเซียนถือว่ารูปร่างผอมเป็นไม้เสียบผีนั้นงาม หรือถือว่ารูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์นั้นงาม เนิ่นนานไร้ผลลัพธ์ ดังนั้นจึงได้แต่เตือนตัวเองว่าห้ามเอ่ยถึงรูปร่างเด็ดขาด...ห้ามเอ่ยถึงรูปร่างเด็ดขาด จะได้ไม่เผลอกล่าวถ้อยคำที่ไร้ความเห็นใจออกมา
ไม่ได้พบกันหลายหมื่นปี แม้ว่าข้าจะแค้นเคืองนางอยู่เล็กน้อย แต่จะอย่างไรข้าก็เป็นผู้ใหญ่ ในเมื่อนางมีมารยาทต่อข้าไม่ขาดตกบกพร่อง ข้าย่อมไม่อาจเสียบุคลิกเช่นกัน
ดวงตาของนางยังคงสุกสกาววาวระยับ จ้องมองข้าน้ำตาคลอเบ้าระริกไหว จ้องเอาๆ จนข้าเริ่มเสียวสันหลัง ค่อยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาสะอึกสะอื้นว่า “กูกู”
ในที่สุดข้าก็อดใจไม่อยู่ หลุดปากโพล่งออกไปว่า “ส้าวซิน ทำไมเจ้าถึงได้อ้วนแบบนี้?”
.........
นางตะลึงลาน พวงแก้มทั้งสองซ่านสีแดงระเรื่อในบัดดล มือขวาลูบท้องที่นูนใหญ่ ท่าทางเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกอยู่เล็กน้อย อึกอักว่า “ส้าวซิน...ส้าวซิน...”
อึกอักไปได้ครึ่งหนึ่ง คงจะค่อยรู้ตัวว่าถ้อยคำเมื่อครู่ของข้าเป็นเพียงคำทักทาย มิใช่ต้องการถามนางจริงจังว่าเพราะเหตุใดถึงได้อ้วน จึงรีบร้อนหมอบกราบลงกับพื้นคารวะอย่างเต็มพิธีการต่อข้า พูดว่า “เมื่อครู่...เมื่อครู่มีพายุคลั่งม้วนพัดขึ้นมาจากในอุทยานนี้ น้ำทะเลปั่นป่วนไหลทวนกลับ ส้าวซิน...ส้าวซินคิดว่าอาจจะเป็นพัดทลายเมฆ...อาจจะเป็นกูกู จึงรีบร้อนแล่นมาดู แล้วก็ใช่จริงๆ...ใช่จริงๆ...” พูดจบก็ทำท่าจะน้ำหูน้ำตาไหลอีกรอบ
ข้าไม่ทราบว่าน้ำตานี้ของนางหลั่งด้วยเหตุใด แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร พัดทลายเมฆเป็นของเล่นที่ข้าเคยมอบให้นางเล่น ตอนนั้นนางเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บสาหัส รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก ข้าจึงมอบพัดเล่มนี้ให้นาง ปลอบว่า “หากมีใครกล้ามารังแกเจ้าอีก จงใช้พัดเล่มนี้พัดใส่เขา รับรองว่าเพียงพัดครั้งเดียว ก็ส่งคนผู้นั้นลอยออกไปจากชิงชิวอย่างแน่นอน”
แม้จะไม่เคยใช้พัดเล่มนี้อย่างจริงจังมาก่อน แต่นางกลับถือพัดนี้เป็นของสุดวิเศษ พกติดตัวตลอดเวลาไม่เคยห่าง แต่ตอนที่ไปจากถ้ำจิ้งจอก กลับไม่ได้นำมันจากไปด้วย
ว่ากันตามตรงแล้ว เผ่างูปาเสอนั้น ทุกตัวที่บำเพ็ญเพียรจนจำแลงร่างเป็นสตรีได้ ไม่มีตัวใดไม่งดงามยั่วยวนกล้าหาญชาญชัย ส้าวซินกลับผ่าเหล่า บางทีอาจเป็นเพราะตอนยังเล็กถูกรังแกมาหนักมาก แม้จะอยู่รักษาบาดแผลที่ชิงชิวจนหายดี นางกลับยังคงเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์[1] ตอนนั้น ทอดตามองทั่วทั้งชิงชิว นอกจากข้ากับพี่สี่แล้ว ไม่มีใครเข้าใกล้นางในรัศมีสองจ้างได้สักราย กระทั่งหมีกู่ที่หมื่นสาวต่างหลงใหลเป็นฝ่ายริเริ่มทอดไมตรีต่อนาง นางยังเผ่นหนีเสียไกลลิบ
อยู่มาวันหนึ่ง งูปาเสอน้อยตัวนี้ได้เริ่มแตกเนื้อสาว ปักถุงหอมใบหนึ่งมอบให้แก่พี่สี่ของข้าโดยแฝงความหมายบอกความในใจ แต่ตาท่อนไม้ป๋ายเจินกลับนำถุงหอมใบนี้ไปมอบต่อให้เจ๋อเหยียน หลังจากกลับมาแล้วยังจะเรียกตัวส้าวซินมาพบ บอกว่าเจ๋อเหยียนชอบรูปแบบของถุงหอมนั่นมาก แต่สีไม่ค่อยถูกใจเขาเท่าไรนัก พอจะช่วยปักเป็นสีบัว[2]ให้เขาอีกใบได้หรือไม่?
ดวงตาของส้าวซินแดงก่ำทันที
หลังจากนั้นส้าวซินก็ใช้ชีวิตแบบระวังตัวแจยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะเป็นขี้ขลาดอ่อนแอ
หลังจากนั้นไปอีก ก็คือนางได้หนีตามซางจี๋ไป ซางจี๋ถอนหมั้นข้า
ความจริงแล้วจนบัดนี้ข้ายังคงไม่ค่อยเข้าใจนักว่า งูปาเสอน้อยที่ขี้ระแวงเกินเหตุจนเข้าขั้นตัวนั้น เหตุใดจึงไม่หวาดระแวงซางจี๋สักนิด ทั้งสุดท้ายยังยินยอมหนีตามเขาไปอีกด้วย
พี่สี่บอกว่า “เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ กว่าครึ่งต้องเป็นเพราะเจ้าซางจี๋นั่นเห็นส้าวซินเป็นสาวน้อยหน้าตางดงาม จึงเกิดอาการหน้ามืดกะทันหัน หยิบท่อนไม้ฟาดหัวส้าวซินสลบ จับยัดใส่กระสอบป่านแบกขึ้นหลังหลอกพาตัวส้าวซินไปนั่นแหละ”
ตอนนั้นพี่สี่กำลังร่วมเรียบเรียงหนังสือชุดหนึ่งกับเจ๋อเหยียน ชื่อของหนังสือคือ “วิจัยตรวจสอบประวัติศาสตร์เรื่องรักใคร่ของทวยเทพยุคดึกดำบรรพ์ บทสร้างโลก” และบทที่พี่สี่กำลังลงมือเขียนอยู่ แนวความคิดหลักก็คือ “ความรักเริ่มต้นจากการลักพาตัว” พอดี
ข้าใคร่ครวญดูแล้ว จะอย่างไรนี่ก็เป็นการอนุมานโดยมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะเป็นพื้นฐาน จึงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เวลาและสถานการณ์เช่นนี้ เดิมทีข้าสามารถสะบัดหน้าจากไปได้ แต่ครั้นเห็นสีหน้าท่าทางน่าสงสารของส้าวซิน ข้าก็ทำใจแข็งไม่ลง ประจวบกับข้างๆ มีเก้าอี้หินอยู่ตัวหนึ่งพอดี ข้าจึงถอนหายใจ ย่อกายนั่งลงไป
“ข้าไม่ได้ออกจากชิงชิวมาหลายหมื่นปี ไม่นึกว่าครั้งนี้เพิ่งออกมาก็ได้พบคนรู้จักเก่าก่อน ไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัด ส้าวซิน เจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้าไม่อยากพบหน้าเจ้าอย่างยิ่ง แต่กลับจงใจมาคุกเข่าลงตรงหน้าข้า แสดงว่าต้องมีเรื่องจะขอร้องข้า เราเคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน ตอนเจ้าออกเรือน ข้าเองก็ไม่ได้เตรียมสินเดิมอะไรให้ ครั้งนี้ได้ชดเชยพอดี ข้าจะให้พรเจ้าหนึ่งข้อ ว่ามาเถิด เจ้าต้องการสิ่งใด?”
นางกลับเอาแต่เหม่อมองข้า “ส้าวซินคาดได้ว่ากูกูจะต้องโกรธ แตะ...แต่ว่าเหตุใดกูกูจึงไม่อยากพบหน้าส้าวซินเล่า?”
ข้าตกตะลึงอย่างมาก หลังจากตกตะลึงเสร็จแล้ว ข้าก็ใช้ความคิดใคร่ครวญดู ด้วยสถานการณ์ของข้านี้ การที่ไม่สามารถมาพบหน้านางในสภาพอารมณ์ดีได้ ถือเป็นเรื่องควรแก่การอภัยโดยแท้ กระนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถบอกกล่าวเป็นนัยๆ อย่างมีมาดได้ว่า การที่ข้าไม่ยินดีพบหน้านางนั้นเป็นการพาล กลับเป็นปัญหายุ่งยากอยู่
ข้ายังไม่ทันเอ่ยตอบ ส้าวซินกลับเดินเข่าเข้ามาอีกสองก้าว พูดอย่างร้อนรนว่า “กูกูไม่เคยพบหน้าซางจี๋มาก่อน กูกูยังบอกว่าไม่มีทางรักซางจี๋ได้ กูกูแต่งงานกับซางจี๋ต้องไม่มีความสุข ซางจี๋รักส้าวซิน ส้าวซินก็รักซางจี๋ กูกูเสียซางจี๋ไปยังสามารถได้คนที่ดีกว่า เยี่ยหัวจวินมิใช่ดีกว่าซางจี๋ร้อยเท่าพันเท่าดอกหรือ? เยี่ยหัวจวินยังเป็นว่าที่เทียนจวินอีกด้วย แต่หากส้าวซิน...หากส้าวซินเสียซางจี๋ไป ก็...ก็ไม่เหลืออะไรเลย ส้าวซินนึกว่า...ส้าวซินนึกว่ากูกูคือเทพเซียนผู้ตระหนักในสถานการณ์ใหญ่ กูกูจะต้องโกรธที่ส้าวซินไปจากชิงชิวโดยพลการไม่บอกกล่าว แต่ไม่มีทางโกรธ...ไม่มีทางโกรธที่ส้าวซินแต่งงานกับซางจี๋เด็ดขาด กูกู...กูกูมิได้เฝ้าหวังมาตลอดให้ส้าวซินสามารถเชิดหน้ายืดอกอยู่ในโลกนี้ได้อย่างแกร่งกล้าดอกหรือ?”
ไม่พบกันหลายหมื่นปี งูปาเสอน้อยในตอนนั้นได้เปลี่ยนเป็นปากลิ้นคมกริบเสียแล้ว พลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติช่างน่ามหัศจรรย์โดยแท้ แต่เวลากลับน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าพลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติ
ข้าหยิบพัดทลายเมฆออกมาคลี่ ลูบถูตัวพัดอย่างถี่ถ้วน เอ่ยถามนางว่า “ส้าวซิน เจ้าคิดแค้นเหล่าพวกพ้องเผ่าเดียวกันที่รังแกเจ้าในพงอ้อริมบึงเมื่อตอนนั้นหรือไม่?”
นางทำสีหน้ากึ่งงุนงงกึ่งสงสัย แต่ก็พยักหน้า
“เจ้าเองก็ทราบดีกระมังว่า ความจริงในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น มีบางคนไม่ได้นึกอยากรังแกเจ้าจริงๆ เพียงแต่หากพวกเขายื่นมือออกมาปกป้องเจ้า ก็ต้องพลอยถูกรังแกไปด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ร่วมกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมารังแกเจ้าซึ่งอ่อนแอที่สุด?”
นางพยักหน้าอีกครั้ง
ข้าเอามือยันปลายคางมองหน้านาง “เจ้าสามารถอภัยให้ผู้ที่ถูกบีบบังคับมารังแกเจ้าเหล่านั้นหรือไม่?”
นางกัดฟัน ส่ายหน้า
กล่าววกอ้อมเป็นวงใหญ่ปานนี้ ในที่สุดก็สามารถบอกกล่าวใจความหลักออกมาจนได้ ข้าให้สมใจยิ่ง น้ำเสียงจึงพลอยอ่อนโยนปรานีขึ้นไม่น้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ส้าวซิน จงลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ที่ข้าไม่อยากพบหน้าเจ้า ถือเป็นเรื่องสมควรแก่เหตุผล การที่เทพธิดาเช่นข้ากลับต้องใช้เวลาฝึกฝนบำเพ็ญเพียรถึงแสนกว่าปีจึงค่อยบรรลุขั้นซ่างเสิน ก็ดูออกได้อยู่ว่าระดับจิตใจและปัญญารู้แจ้งของข้าต่ำเกินเกณฑ์ปกติเพียงใด จึงไม่อาจนับว่าเป็นเทพเซียนผู้ตระหนักในสถานการณ์ใหญ่ได้โดยสิ้นเชิง เจ้ายกย่องเกินไปแล้ว”
นางเบิกตากว้างทันที
หญิงงามถึงเพียงนี้กลับต้องมาถูกข้าทำให้ตื่นตระหนกตกใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง เปิ่นซ่างเสินกำลังทำบาปแท้ๆ...ทำบาปใหญ่หลวงเทียมฟ้า...
แต่ครั้นข้าก้มหน้าลงดูที่ขาตัวเอง ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างลืมตัวเช่นกัน
ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยซึ่งเดิมทีควรจะออกจากอุทยานไปแล้ว แต่กลับไม่ทราบโผล่มากะทันหันจากทางใด กำลังกระตุกชายกระโปรงข้าอย่างเบามือ บนดวงหน้าน้อยๆ ขาวผ่องอ่อนเยาว์แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “เหตุใดเหนียงชินต้องพูดว่าตัวเองไม่ใช่เทพเซียนผู้ตระหนักในสถานการณ์ใหญ่เล่า? เหนียงชินคือเทพเซียนผู้ตระหนักในสถานการณ์ใหญ่มากที่สุดทั่วฟ้าดินนี้ต่างหาก”
ข้านิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ถามเขาอย่างเหลือเชื่อเป็นที่ยิ่ง “เจ้าคือถู่สิงซุน[3]หรือ?”
เขาเงยหน้าขึ้นบุ้ยปากไปทางต้นปะการังข้างหลังข้า
เยี่ยหัวเดินออกมาจากเงามืดของต้นปะการัง สีหน้ากลับแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างมาก ริมฝีปากประดับรอยยิ้มละไม เอ่ยเนิบช้าว่า “เยี่ยหัวไม่ทราบความ กูเหนี่ยงคือป๋ายเฉี่ยนซ่างเสินแห่งชิงชิวนี่เอง”
ข้าหน้ามืดวิงเวียนไปชั่ววูบ คำ “กูเหนี่ยง” นี้ทำเอาข้าขนลุกเกรียวไปทั้งตัว แต่เขาเหมือนไม่รู้สึก
ข้าลูบหน้าผากแรงๆ “เหล่าเซิน[4]แก่กว่าเยี่ยหัวจวินเก้าหมื่นปีพอดิบพอดี เยี่ยหัวจวินยังคงเรียกเหล่าเซินว่า ‘กูกู’ ตามลำดับศักดิ์เถิด”
เยี่ยหัวทำหน้าเหมือนจะยิ้ม “อาหลีเรียกเจ้าว่า ‘เหนียงชิน’ แต่ข้ากลับต้องเรียกเจ้าว่า ‘กูกู’ อืม...เฉียนเฉี่ยน[5] นี่คือเหตุผลแบบใดกัน?”
ได้ยินคำ “เฉียนเฉี่ยน” สองพยางค์นี้แล้ว ข้าเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียนไปชั่ววูบอีกรอบ
ส้าวซินมองพวกเราเงียบๆ
สถานการณ์นี้ได้ก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความรู้สึก “กระอักกระอ่วน” นี้ไม่ได้มาเยือนข้าเป็นเวลากว่าหมื่นปี บัดนี้กลับสามารถสัมผัสด้วยตัวเองอีกครั้ง ทำให้รู้สึกตื้นตันอย่างประหลาด ซึ่งไม่ค่อยจะเข้ากับวาระโอกาสนี้นัก
ข้าถอนหายใจเปลี่ยนเรื่องว่า “เจ้ากล่าวถึงเหตุผลกับข้า เช่นนั้นการที่พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่หลังต้นปะการังแอบฟังพวกข้าสนทนากันอยู่เป็นนาน นับเป็นเหตุผลแบบใด?”
ฝ่ายผู้ใหญ่นั่นวางท่าตามสบายไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ ฝ่ายเด็กน้อยกลับรีบไถลตัวลงจากหัวเข่าข้า ชี้มือไปที่ทางสายน้อยซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังต้นปะการัง แก้ตัวอย่างร้อนใจว่า “ข้ากับฟู่จวินไม่ได้เจตนาจะแอบฟังนะ ฟู่จวินบอกว่าเหนียงชินกำลังไล่ตามพวกเราอยู่ จึงได้วกย้อนกลับมาจากทางโน้น เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าฟูเหริน[6]ท่านนี้กำลังพูดคุยกับเหนียงชิน พวกข้าจึงได้แต่เลี่ยงหลบต่างหาก” ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยมองข้าอย่างระมัดระวัง “เหนียงชินมาไล่ตามข้ากับฟู่จวิน เป็นเพราะไม่อาจตัดใจจากอาหลี คิดจะกลับไปที่ตำหนักสวรรค์ด้วยกันกับอาหลีและฟู่จวินกระมัง?”
ข้าเห็นว่าการอนุมานนี้ของเด็กน้อยออกจะพิลึกเกินไป ขณะจะส่ายหน้า ตาคนเป็นฟู่จวินนั่นกลับกล่าวเสียงเน้นย้ำหนักแน่นว่า “ถูกแล้ว เหนียงชินไม่อาจตัดใจจากอาหลีจริงๆ”
ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยโห่ร้องยินดี มองข้าอย่างดีอกดีใจ ดวงตาเป็นประกายวาววับ “เหนียงชิน อย่างนั้นพวกเราจะกลับตำหนักสวรรค์กันเมื่อไร?”
เยี่ยหัวตอบแทนให้ว่า “จะกลับไปพรุ่งนี้ละ”
ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยโห่ร้องยินดีอีกรอบ มองข้าอย่างดีอกดีใจต่อ ดวงตาวาววับเจิดจ้ากว่าเดิมมาก “เหนียงชิน จะกลับบ้านกันแล้ว ท่านไม่ได้กลับบ้านมาตั้งนานปานนี้ รู้สึกตื่นเต้นมากหรือไม่?”
ครั้งนี้เยี่ยหัวกลับไม่ได้เอ่ยตอบ
ข้าได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะแห้งๆ กล่าวว่า “ตื่นเต้นมาก”
ข้าไม่มีโอกาสอธิบายให้กระจ่างจนแล้วจนรอดว่าที่เมื่อครู่ข้ารีบไล่ตามพวกเขาสองคนไป เพียงเพราะอยากให้พวกเขาช่วยพาข้าออกไปจากสวนบ้านี่ด้วยเท่านั้น แต่สถานการณ์ตรงหน้าเวลานี้แม้จะยุ่งเหยิงไปหมด ทว่าก็บรรลุเป้าหมายที่ข้าต้องการจนได้
นับตั้งแต่เยี่ยหัวปรากฏตัวขึ้น ส้าวซินก็คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างสงบเสงี่ยมโดยตลอด ในสายตาที่เหลือบขึ้นมองเยี่ยหัวในบางครั้งกลับมีประกายแค้นใจอยู่หลายส่วน ตอนนั้นหากซางจี๋ไม่ถอนหมั้น ตอนนี้ตำแหน่งไท่จื่อแห่งเทียนจวินย่อมไม่มีทางตกมาถึงเยี่ยหัว แต่กรรมใดใครก่อ ย่อมต้องรับผลกรรมนั้น ซางจี๋ปลูกต้นกรรมเช่นนั้นไว้ ก็ต้องประสบผลกรรมเช่นนั้น ข้าเพียงแค่เติมน้ำมันพืชเล็กน้อยลงไปในกองไฟ เพิ่มอารมณ์โมโหที่ไม่เจ็บไม่คันเพียงไม่กี่ส่วนใส่ผลกรรมผลใหญ่ของเขาเท่านั้น นับว่าข้าได้รับการอบรมมาดีมากแล้ว
ก่อนจากไป ข้าวางพัดทลายเมฆกลับลงไปในมือของส้าวซินอีกครั้ง กล่าวกับนางว่า “ข้าจะให้พรเจ้าเพียงหนึ่งข้อ กลับไปคิดดูให้ดีๆ ว่าต้องการจะขอสิ่งใดจากข้า เมื่อคิดดีแล้วจงมาหาข้าที่ชิงชิวเถิด มีพัดเล่มนี้อยู่ ครั้งนี้พวกหมีกู่ย่อมจะไม่ขวางเจ้าอีก”
ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยมองพัดเล่มนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ พูดตาละห้อย “ข้าก็อยากได้ด้วย”
ข้าขยี้ศีรษะเล็กๆ ของเขา “ยังเป็นแค่เด็กน้อย จะเอาอาวุธฆ่าฟันไปไย?” แล้วล้วงก้อนน้ำตาลก้อนหนึ่งจากกระเป๋าในแขนเสื้อมาอุดปากเด็กน้อย
เยี่ยหัวมีสัมผัสด้านทิศทางดีมากจริงๆ ทำให้ข้าตื่นเต้นยินดีเป็นที่ยิ่ง
ถึงปากทางเข้าสวนดอกไม้ ข้าลอบคิดในใจว่า จะอย่างไรการปรากฏกายในงานเลี้ยงของเทพสมุทรบูรพาด้วยกันกับเยี่ยหัว ก็ไม่อาจนับเป็นการกระทำที่ฉลาดนัก ดังนั้นจึงยกแขนเสื้อขึ้นทำท่าจะบอกลา ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยรีบทำสีหน้า “ไม่มีใดจะชอกช้ำระกำทรวงยิ่งไปกว่าหัวใจตายดับ” ทันที ข้าลำบากใจไม่น้อย ได้แต่กล่าวปลอบไม่ตรงกับใจว่า “ตอนนี้มีธุระบางเรื่องต้องไปจัดการให้เสร็จสิ้นจริงๆ พรุ่งนี้จะมาหาพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยกลับพอจะรู้เหตุผลมากพอควร แม้จะยังคงไม่พอใจ แต่ก็เพียงทำปากเบ้ แล้วมาเกี่ยวก้อยสัญญากับข้า
เยี่ยหัวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เฉียนเฉี่ยนคงไม่ได้กลัวว่าหากเข้าไปในงานเลี้ยงพร้อมกับพวกข้าสองพ่อลูกแล้วจะก่อให้เกิดเสียงครหานินทากระมัง?”
ข้าเสียวฟันแปลบ หัวเราะเจื่อนๆ กลบเกลื่อนว่า “เยี่ยหัวจวินคิดมากเกินไปแล้ว”
เยี่ยหัวคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม สีหน้านี้กลับดูเหมือนสีหน้าท่าทางของม่อเยวียนในกาลก่อนอยู่หลายส่วนมาก
ข้าถูกรอยยิ้มนี้สาดส่องจนเผลอสติไปครู่หนึ่ง ครั้นได้สติกลับคืนมา เขากำลังจูงมือข้ากล่าวเบาๆ “ที่แท้เฉียนเฉี่ยนเองก็ทราบว่าเจ้ากับข้ามีพันธะหมั้นหมายกันแต่แรก จึงไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงข้อครหาใด”
สองมือของเยี่ยหัวเรียวยาวงดงาม กุมมือซ้ายของข้าไว้เหมือนไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าเรียบเรื่อยสบายอารมณ์ อิริยาบถองอาจสง่างาม สีหน้าท่าทางของเขาในยามนี้ เหมือนไม่ได้เป็นคนเดียวกับเทพหนุ่มผู้เย็นชาที่มาเขี่ยผ้าพันตาของข้าออก
ในใจข้าปั่นป่วนสับสน คาดคิดว่าโลกหล้าเวลานี้ ชายหนุ่มหญิงสาวที่มีพันธะหมั้นหมายส่วนใหญ่คงจะหยอกเย้าเกี้ยวพากันเช่นนี้เอง จนใจที่สถานการณ์ของเปิ่นซ่างเสินนั้นพิเศษนัก แม้จะสามารถแสดงกิริยาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเหล่านี้ออกมาได้เช่นกันก็ตาม แต่ครั้นนึกถึงว่าข้ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้มาเป็นเวลาเก้าหมื่นปี เขาจึงค่อยก้าวเดินออกมาจากในท้องแม่ ก็พลันเกิดความรู้สึกว่าการทำตัวหวานชื่นกับเขานั้น ข้ากำลังก่ออาชญากรรมอยู่ชัดๆ แต่การชักมือกลับออกมาโดยบุ่มบ่าม ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าข้าจิตใจไม่กว้างขวางพอเช่นกัน หลังจากคิดแล้วคิดอีก ข้าก็ยกมือขวาขึ้นไปแตะผมเขา กล่าวระคนทอดถอนอย่างเปี่ยมความรู้สึกลึกล้ำ “เมื่อครั้งข้าหมั้นหมายกับท่านอารองของเจ้า เจ้ายังไม่ถือกำเนิด พริบตาเดียวเจ้าก็โตปานนี้แล้ว นับว่าม้าขาวผ่านช่อง ท้องนาเป็นทะเลโดยแท้ วันเวลานี่ไม่ยอมปรานีใครจริงๆ”
เยี่ยหัวตกตะลึง ข้าฉวยโอกาสชักมือทั้งสองข้างกลับมาโดยละม่อม ผงกศีรษะให้เขาอีกครั้ง แล้วถอนตัวผละจากไปเช่นนี้
มิคาดชีวิตมีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่ทุกที่ ฝ่ายตัวข้าเพิ่งจะเดินไปได้เพียงสามก้าว เทพสมุทรบูรพาซึ่งมัวแต่ตกตะลึงในความงามที่ห้องโถงใหญ่เมื่อครู่ก่อนก็ทิ้งตัวดิ่งจากฟากฟ้าลงมาปักอยู่ตรงหน้าข้าพอดิบพอดีประดุจท่อนซุงสีม่วงแดงพร้อมกับร้องตะโกนสามครั้งว่า “ชะงักเท้า!”
คำ “ชะงักเท้า” สามครั้งของเขาช่างตะโกนออกมาอย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทางเพียงเส้นเดียวที่มีเวลานี้ได้ถูกตัวเขาอุดขวางไว้อย่างแน่นหนา อย่าว่าแต่ยามนี้เปิ่นซ่างเสินจำแลงร่างเป็นมนุษย์ ต่อให้จำแลงร่างเป็นยุงน้ำก็ยากยิ่งจะเบียดผ่านไปได้
ข้าถอยหลังไปสองก้าว ทอดถอนชมเชยจากใจจริง “ท่านเทพสมุทรท่าร่างเลิศล้ำนัก หากเข้ามาอีกสองก้าว เหล่าเซินคงถูกท่านเหยียบตายไปแล้ว”
ใบหน้าสี่เหลี่ยมของเขาแดงก่ำดั่งปะการัง ไหว้คำนับเยี่ยหัว ตามด้วยกล่าวทักทายก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยอย่างนอบน้อมไปสองคำ ค่อยเบี่ยงกายมาดูข้า สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง นัยน์ตาพยัคฆ์ทั้งคู่แทบจะมีน้ำตาเอ่อคลอ “ไม่ทราบเปิ่นจวินล่วงเกินสหายเซียนท่านนี้ในที่ใด สหายเซียนจึงได้มาระบายโทสะกับสวนของเปิ่นจวินในวันงานเลี้ยงมงคลของเปิ่นจวินเช่นนี้?”
ข้าเหงื่อตกทันที ที่แท้ก็ความแตกเสียแล้วนี่เอง
เยี่ยหัวยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างเย็นชา ยื่นมือลูบผมยาวสลวยมันลื่นเป็นประกายของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเป็นพักๆ
ความจริงตัวข้านับเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น แต่หลังจากก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเรียกข้าว่าเหนียงชิน ข้าย่อมไม่อาจบอกชื่อเขาออกมาร่วมรับโทษได้ การถูกปรักปรำแบบน้ำท่วมปากนี้ ได้แต่กล้ำกลืนไว้คนเดียวเสียแล้ว แต่ข้าใคร่รู้อย่างยิ่งว่าเทพสมุทรบูรพาทราบได้อย่างไรว่ารูปแบบของสวนนี้ถูกข้าทำให้พลิกโฉมหน้า ข่มใจอยู่พักใหญ่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ สุดท้ายเอ่ยถามออกมาจนได้
เทพสมุทรบูรพากลับเดือดจัดจนเป่าหนวดถลึงตา ชี้หน้าข้าสั่นสะท้านไปทั้งตัวอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยสงบอารมณ์ได้ “จ...จ...จ...เจ้ายังจะเฉไฉอีกรึ? ภูตปะการังในสวนของข้าเห็นมากับตา ลมหอบใหญ่เมื่อครู่นี้เป็นฝีมือของเซียนน้อยเสื้อเขียวผู้หนึ่ง เรื่องนี้มีรึเจ้าคิดจะเฉไฉแล้วจะเฉไฉได้!”
ข้าก้มหน้าลงดูเสื้อยาวสีเขียวอ่อนที่ตัวเองสวมอยู่ ค่อยเงยหน้าขึ้นดูก้อนแป้งข้าวเหนียวสีเขียวแก่ที่เยี่ยหัวจูงมืออยู่ก้อนนั้น เข้าใจในบัดดล เกรงว่าเทพสมุทรบูรพาจะตีความคำว่า “เซียนน้อย” ที่ภูตปะการังกล่าวคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย โดยฝ่ายนั้นหมายถึงรูปร่างหน้าตา แต่ฝ่ายนี้กลับเข้าใจว่าหมายถึงระดับขั้น ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเป็นบุตรคนโตของเยี่ยหัว เหลนคนสำคัญของเทียนจวิน ระดับขั้นย่อมไม่มีทางต่ำได้ ส่วนชุดที่ตัวข้าสวมอยู่ในตอนนี้ก็ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นซ่างเสิน เทพสมุทรบูรพาคิดจะชี้กวางเป็นม้า เห็นชีวิตคนเป็นผักหญ้า ล้วนมีเหตุผลควรแก่การอภัยทั้งสิ้น
แต่เดิมเรื่องนี้เป็นความผิดของข้า เทพสมุทรบูรพาอุตส่าห์ได้บุตรชายมาและจัดงานเลี้ยงฉลองครบเดือน แม้ว่าข้าจะเป็นแขกที่เขาร่อนบัตรเชิญไปเชื้อเชิญมาร่วมงานอย่างจริงใจ แต่ก็ทำให้ตัวเขาเดือดร้อนจริงแท้ด้วยเช่นกัน เขาปักใจเชื่อว่าข้าคิดจะเฉไฉ แต่ข้ากลับไม่เคยคิดจะเฉไฉ กระนั้นผู้ไม่ทราบย่อมไม่ผิด ข้าย่อมจะไม่ถือสาหาความเขา
เทพสมุทรบูรพาได้หมดความอดทน สองตาเบิ่งกว้างแทบฉีกขาด
ข้าย้อนนึกทบทวนอย่างตั้งใจว่าทุกครั้งหลังจากทำผิดล่วงเกินต่อข้า จิ้งจอกแดงเฟิ่งจิ่วมักจะทำท่าก้มหน้าคอตกสำนึกผิดอย่างไร จากนั้นเลียนแบบตาม ก้มหน้าหลุบตากล่าวว่า “ท่านเทพสมุทรกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง เสี่ยวเซียน[7]อยู่เฝ้าป่าท้อสิบหลี่มานานปี ครั้งนี้ออกมาจากป่าท้อเป็นครั้งแรก ก็ก่อเหตุเช่นนี้ขึ้น ทำลายความบันเทิงของท่านเทพสมุทร ทั้งยังทำให้เจ๋อเหยียนซ่างเสินต้องเสียหน้า เสี่ยวเซียนละอายใจยิ่งนัก ขอท่านเทพสมุทรโปรดลงทัณฑ์สถานหนักด้วยเถิด”
เยี่ยหัวปรายตามามองข้าลอยๆ ดวงตาทั้งคู่ทอประกายพราวระยับ
ข้าเห็นว่าในเมื่ออย่างไรก็ต้องเสียหน้าแน่แล้ว การให้เจ๋อเหยียนเป็นคนเสียหน้า ย่อมจะดีกว่าให้อาเตียอาเหนียงเป็นคนเสียหน้ามากนัก กาลก่อนข้ากับพี่สี่เยาว์วัยไม่รู้ความ พากันไปเที่ยวเตร่เหลวไหลนอกบ้าน ก็ล้วนแต่ยกชื่อเจ๋อเหยียนมาอ้างทั้งสิ้น ต่อให้ก่อเรื่องบัดซบมากเพียงใด เจ๋อเหยียนก็จะแค่ยิ้มบางๆ แต่หากเป็นอาเตียละก็ มีหวังถลกหนังจิ้งจอกของพวกข้าเป็นแน่...
เทพสมุทรบูรพาตกตะลึงมองข้า “ซ่างเสินแห่งป่าท้อสิบหลี่ท่านนั้นมิใช่...มิใช่...”
เขากลั้นหายใจตั้งสติ สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง สุดท้ายยังคงเลี่ยงไม่เอ่ยนามของเจ๋อเหยียน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงรู้สึกว่า เทพสมุทรหน้าสี่เหลี่ยมหน้าผากกว้างผู้นี้เป็นคนซื่อผู้หนึ่ง
คนซื่อล้วนเป็นคนมีค่าควรอนุรักษ์ทั้งสิ้น ข้าหยิบไข่มุกประกายราตรีลูกขนาดฟักทองกับสุราเก่าเก็บที่กรอกไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วหนึ่งกาออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อมอบให้ถึงมือเขา ทอดถอนกล่าวอย่างจริงใจว่า “ท่านเทพสมุทรไม่เชื่อกระนั้นหรือ? เรื่องนี้ไม่อาจโทษท่านได้ จวินซ่างของข้าไม่เคยร่วมพบปะสังสรรค์กับเหล่าเทพเซียนทั้งหลายมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้วจริงๆ ที่ครั้งนี้ส่งข้ามาร่วมงาน ก็เนื่องด้วยป๋ายเฉี่ยนซ่างเสินแห่งแคว้นชิงชิว ซ่างเสินได้ไปเป็นแขกยังป่าท้อ แล้วเคราะห์ร้ายล้มป่วย เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ตอบรับเทียบเชิญของท่านเทพสมุทร ไม่ต้องการผิดวาจาต่อท่านเทพสมุทร ดังนั้นจึงได้ส่งเสี่ยวเซียนมุ่งหน้ามายังทะเลบูรพา นี่คือไข่มุกเก็บจันทรา เป็นของขวัญอวยพรจากป๋ายเฉี่ยนซ่างเสิน นี่คือสุราดอกท้อซึ่งจวินซ่างของข้าบ่มรักษาด้วยมือท่านเอง จวินซ่างกำชับข้าว่าให้ใช้สิ่งนี้แทนเจตนาแสดงความยินดีเล็กน้อยๆ มิคาดครั้งนี้เสี่ยวเซียนกลับก่อเหตุใหญ่โตเช่นนี้ นับว่า..นับว่า...”
ข้ากำลังจะแสดงบทน้ำตาไหลพราก น้ำตายังไม่ทันถูกเค้นออกมาถึงเบ้าตา เทพสมุทรบูรพาก็ลนลานกล่าวปลอบขึ้นว่า “ท่านทูตเซียนเดินทางมาไกล ที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับกลับเป็นความผิดของเสี่ยวเสิน[8] จะอย่างไรก็แค่สวนดอกไม้สวนหนึ่งเท่านั้น เช่นนี้กลับค่อยสว่างไสวหน่อย ท่านทูตเซียนโปรดตามเสี่ยวเสินไปที่ห้องโถงหน้า ร่วมดื่มสุรากันสักจอกเถิด”
ข้าย่อมจะร้อยบ่ายร้อยเบี่ยง เขาย่อมจะพันชักพันชวน
เยี่ยหัวเดินเข้ามา กุมมือข้าไว้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งกล่าวว่า “ก็แค่ดื่มสุราจอกเดียวเท่านั้น ท่านทูตเซียนช่างเกรงอกเกรงใจนัก”
ข้าเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก ชี้มือขวาซึ่งถูกเยี่ยหัวกุมไว้แน่นหันไปกล่าวกับเทพสมุทรบูรพาว่า “ความจริงแล้วเสี่ยวเซียนคือบุรุษปลอมเป็นสตรีขอรับ”
เทพสมุทรบูรพาปากอ้าตาค้าง อึดใจใหญ่...ค่อยกล่าวอย่างกระดากกระเดื่อง “ต้วนซิ่ว[9]นี่รักกันลึกล้ำโดยแท้”
เดิมทีนึกว่าบอกว่าเป็นชายกับชายแล้วจะสามารถเลี่ยงคำครหาได้ ไม่นึกว่าปัจจุบันเหล่าเทพเซียนจะต่างมีความรู้กว้างขวางนัก ครั้งนี้เปิ่นซ่างเสินนับว่าโดดลงฮวงโหก็ล้างมลทินไม่สิ้นเสียแล้ว...