หัวข้อ : บทที่ 4 คิดว่าจะเป็นท่อนไม้ใหญ่ตีเยวียนยางอย่างไรดี

โพสต์เมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:25

บทที่ 4

 

คิดว่าจะเป็นท่อนไม้ใหญ่ตีเยวียนยางอย่างไรดี

 

 

เทพสมุทรบูรพาเดินนำทางอยู่ข้างหน้า ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเดินโยกเยกไปมาคนเดียวอยู่ตรงกลาง เยี่ยหัวคว้ามือข้าไว้เดินปิดท้าย

ข้าก็แค่พูดปดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ทั้งคำโป้ปดนี้กว่าครึ่งยังพูดเพื่อช่วยปกป้องก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยก้อนนั้นของเขา เขาพอจะทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้างได้ แต่กลับจงใจมาหาเรื่องข้า ช่างน่าโมโหนัก ข้าเองไม่อาจมัวคำนึงถึงบุคลิกซ่างเสินอีกต่อไป ตัดสินใจใช้คาถา หมายสลัดหลุดจากเขา เยี่ยหัวหัวเราะเบาๆ ใช้คาถามาต้านเช่นกัน

ข้ากับเขาประลองคาถากันตลอดทาง เยี่ยหัวมีที่ถือดีไม่กลัวความแตก แต่ข้ากลับต้องคอยสังเกตดูปฏิกิริยาของเทพสมุทรบูรพาที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา หนึ่งใจใช้สองด้าน สู้กันถึงตอนท้าย กลับพ่ายแพ้อนาถ

ไม่นานก่อนหน้านี้พี่สี่บอกข้าว่า โลกหล้าเวลานี้สู้ยุคทวยเทพบรรพกาลเมื่อครั้งกระโน้นไม่ได้จริงแท้ เหล่าเทพเซียนรู้จักเพียงทำตัวอิสระเริงสำราญไปวันๆ วิชาเซียนไม่เชี่ยวชาญ วิถีเต๋าเสื่อมทราม ช่างน่าแค้นเคืองเดือดดาลยิ่งนัก มิคาดวิชาฤทธิ์ของเยี่ยหัวจวินก้าวหน้าเลิศล้ำถึงเพียงนี้ นับว่า “วิชาเซียนไม่เชี่ยวชาญ” บ้านปู่มัน “วิถีเต๋าเสื่อมทราม” บ้านย่ามันโดยแท้

เทพสมุทรบูรพาหันหน้ามายิ้มประจบ สองตากลับยังคงจ้องเขม็งที่มือของข้ากับเยี่ยหัวซึ่งกุมกันอยู่ “จวินซ่าง ท่านทูตเซียน ข้างหน้าคือห้องโถงใหญ่ขอรับ”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยโห่ร้องยินดี เดินเข้ามาจูงมือข้างที่ว่างอยู่ของข้าอย่างว่าง่าย วางมาดเคร่งขรึมสำรวมสมเป็นเหลนคนสำคัญของเทียนจวิน

หากเวลานี้ผู้ที่ยืนในตำแหน่งซึ่งข้ากำลังยืนอยู่คือเช่อเฟยที่เยี่ยหัวเก็บไว้ในตำหนักสวรรค์นางนั้น การจัดเรียงขบวนในรูปนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล สุดจะกล่าวตำหนิได้

วันนี้ตอนที่กล่าวลาจากเจ๋อเหยียน น่าจะให้เขาช่วยเสี่ยงทายให้ข้า ไม่แน่ว่าวันนี้อาจเป็นวันที่ดวงขัดกับเวลาเกิดของข้าอย่างจัง

ประตูห้องโถงแกะสลักเลี่ยมทองก่ออิฐหยกนั่นอยู่ตรงหน้าแล้ว ศีรษะของเปิ่นซ่างเสินเองเวลานี้ออกจะปวดตุบๆ อยู่รำไร

 

บรรดาเทพเซียนในห้องโถงใหญ่ต่างรอคอยเวลาเริ่มงานเลี้ยงกันตาใส เยี่ยหัวเพิ่งจะเผยโฉม เหล่าเทพเซียนก็พากันคุกเข่าเป็นสองแถวโดยพร้อมเพรียง เว้นทางเดินตรงกลางตรงดิ่งไปยังที่นั่งเจ้าภาพ

ครั้นพวกเราสามคนนั่งลงเรียบร้อย เหล่าเทพเซียนค่อยร้องสรรเสริญออกมา ต่างคนต่างเข้านั่งที่ งานเลี้ยงเป็นอันเริ่มต้น

เทพเซียนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ที่สุดเข้ามาคารวะสุรา หลังจากคารวะเยี่ยหัวแล้วก็มาคารวะข้า พูดว่า “กลับมีบุญได้น้อมพบซู่จิ่นเหนียงเนี่ยงในที่นี้ นับเป็นบุญของเสี่ยวเสินอย่างยิ่ง...นับเป็นบุญของเสี่ยวเสินอย่างยิ่ง...”

เยี่ยหัวประคองจอกสุราอยู่ข้างๆ วางท่าเหมือนกำลังรอดูงิ้วหลงโรง บทบาทที่ข้าต้องแสดงนี้กลับน่ากระอักกระอ่วนโดยแท้

เทพสมุทรบูรพาหน้าซีดขาวไปทั้งหน้า พยายามส่งสายตาอย่างสุดชีวิตให้เทพเซียนที่ยังคงหลงนึกปลาบปลื้มเป็นเกียรติ

ข้าสุดจะทนดูต่อไปได้ไหว หัวเราะเจื่อนๆ ให้เทพเซียนผู้นั้น เอ่ยว่า “ความจริงแล้วเสี่ยวเซียนคือน้องสาวแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันมานานของเยี่ยหัวจวิน เวลานี้ทำงานรับใช้อยู่ที่ป่าท้อของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน”

กิริยาจิบสุราของเยี่ยหัวชะงักกึก เหล้าในจอกกระฉอกออกมาไม่ใช่แค่หยดสองหยด

เทพสมุทรบูรพามองข้าอย่างงุนงง

เทพเซียนที่มาคารวะสุราผู้นั้นเหมือนกลืนแมลงวันตายเข้าไปทั้งตัว ประคองจอกบรรจุสุราเต็มจอกจะดื่มก็ใช่ที่ จะถอยก็ใช่ที่ ครู่ใหญ่ให้หลังจึงค่อยพูดเก้อๆ “เสี่ยวเสินสายตาย่ำแย่ ขอปรับตัวเองหนึ่งจอก...ขอปรับตัวเองหนึ่งจอก”

ข้ายิ้มอย่างปรานี มิได้ถือสาจริงจัง ดื่มเป็นเพื่อนเขาไปด้วยหนึ่งจอก

ข้างล่างสังสรรค์เฮฮากัน หูจิ้งจอกเฉียบไว ระหว่างคารวะสุรากันไปมา ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่รางๆ หลายเสียง

เสียงหนึ่งพูดว่า “วันนี้ไม่ได้พบกูกู ช่างน่าเสียดายยิ่ง แต่ได้เห็นทูตเซียนท่านนี้ของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน กลับพอจะสนทนาแก้เบื่อได้เหมือนกัน พวกท่านว่าที่กูกูไม่มาในวันนี้ ใช่เป็นเพราะทราบว่าเยี่ยหัวจวินกับท่านเทพสมุทรอุดรต่างก็มาร่วมในงานเลี้ยงหรือไม่ ดังนั้น...”

เสียงหนึ่งพูดว่า “คำกล่าวนี้ของสหายเซียนไม่แปลกปลอม ในความเห็นของเปิ่นจวิน ที่ครั้งนี้กูกูผิดนัด เจ๋อเหยียนซ่างเสินกลับส่งทูตเซียนมาร่วมในงานเลี้ยง การนี้มีที่มาแอบแฝงใหญ่หลวง ทุกท่านพึงทราบว่าเนื่องจากอุปนิสัยอันประหลาดของเจ๋อเหยียนซ่างเสิน ครั้งนี้เทพสมุทรบูรพาจึงมิได้ส่งเทียบเชิญไปให้ท่าน”

เสียงหนึ่งพูดว่า “มีเหตุผลๆ ที่น่าประหลาดคือทูตเซียนผู้นี้ของเจ๋อเหยียนซ่างเสินกลับยังเป็นน้องสาวของเยี่ยหัวจวินอีกด้วย”

อีกเสียงหนึ่งพูดว่า “ข้าผู้เฒ่ากลับสงสัยนัก ทูตเซียนผู้นี้คือน้องสาวของเยี่ยหัวจวินจริงๆ หรือ? ข้าผู้เฒ่ารับราชการที่ตำหนักสวรรค์มาหลายปีปานนี้ กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเยี่ยหัวจวินมีน้องสาวอยู่ด้วย”

ตามด้วยอีกเสียงพูดว่า “เมื่อครู่สหายเซียนไม่เห็นเยี่ยหัวจวินจูงมือทูตเซียนผู้นั้นหรือ? ดูจากการนี้เรื่องที่ว่าเป็นพี่น้องกันกลับมีความน่าเชื่อถืออยู่หลายส่วน”

ข้าคิดว่าหากเทพสมุทรบูรพาประกาศเลิกงานเลี้ยงในตอนนี้ เทพเซียนเหล่านี้จะต้องดีอกดีใจจนลุกขึ้นกรีดมือวาดเท้าเต้นระบำ จากนั้นไปหาที่เงียบสงัดลับตาคนสักแห่งถกถึงเรื่องนี้กันอย่างถึงพริกถึงขิงเป็นแน่ แต่บัดนี้กลับต้องฝืนทนข่มกลั้นอยู่ในงานเลี้ยง ทำได้เพียงแอบกระซิบข้างหูกันประโยคสองประโยคนานๆ ครั้ง ต้องข่มกลั้นอย่างทุกข์ทรมาน เจ็บช้ำระกำทรวงถึงเพียงนี้

ข้าถอนหายใจสองเฮือก แล้วดื่มเองอีกหนึ่งจอก มิคาดเยี่ยหัวกลับขมวดคิ้ว “เจ้านี่คอแข็งเทียวนะ ระวังดื่มมากเกินไป จะมาเมาอาละวาดอีกดอก”

ข้าให้ดูแคลนอย่างยิ่ง สุราของเทพสมุทรบูรพานี้ แม้จะนับได้ว่าเป็นยอดสุราธาราหยก แต่เมื่อนำมาเทียบกับเหล้าที่เจ๋อเหยียนบ่ม ก็เป็นแค่น้ำเปล่าเท่านั้น จึงคร้านจะสนใจเขา จะอย่างไรก็ฉีกหน้าแตกหักกันไปแล้ว ได้แต่เจ็บใจที่เปิ่นซ่างเสินโชคไม่ดี กระดาษสัญญาแต่งงานแผ่นเดียวกลับแข็งขืนจับข้ามาเข้าคู่กับเขาเท่านั้น

 

งานเลี้ยงดำเนินไปได้ครึ่งหนึ่ง ข้าก็หมดความกระตือรือร้น อยากแต่จะรีบกินข้าวมื้อนี้ให้เสร็จเร็วๆ จะได้รีบกลับถ้ำจิ้งจอกไปคลุมโปงนอนหลับแต่เนิ่นๆ

ในจังหวะนี้ เทพสมุทรบูรพากลับปรบมือแปะๆๆ ขึ้นสามครั้ง

ข้าฝืนใจเรียกสติ ก็เห็นกลุ่มนางรำเดินนวยนาดเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ในมือต่างถือพัดจีบแพร ชุดที่สวมล้วนแต่เย็นสบายทั้งสิ้น ข้านึกประหลาดใจ นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิดของเทพสมุทรบูรพาสักหน่อย งานเลี้ยงครบเดือนของเด็กทารก ต้องให้กลุ่มนางรำมาช่วยสร้างความครึกครื้นด้วยหรือ?

เสียงเครื่องดีดสีตีเป่าลอยเป็นสายเข้ามาในโสต ข้าสนใจแต่ชะโงกตัวออกไปหยิบกาสุราซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดมา

กาลก่อนข้าโชคดีถูกราชาปิศาจฉิงชางลักพาตัวไปรบกวนอยู่ที่วังต้าจื่อหมิงกงของเขาเป็นหลายวัน เหล่านางรำในวังต้าจื่อหมิงกงมีทั้งที่หมดจดงดงาม ที่เรียบหรูสูงสง่า และที่เย้ายวนหยาดเยิ้ม จากการที่จำเป็นต้องเสแสร้งคลุกคลีตีโมงกับพวกนางเป็นสามวันห้าวันอย่างไม่มีทางเลือก ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนก็ไม่มีนางรำที่สามารถต้องใจข้าอีก

เหลือบไปมองเยี่ยหัวที่นั่งข้างๆ เขาเองก็เบื่อหน่ายอย่างยิ่งเช่นกัน

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยกลับพลันถอนหายใจออกมา “อ้าว เจี่ยเจียผู้นั้นนี่”

ข้ามองไปที่กลางห้องโถงตามสายตาของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อย เหล่านางรำชุดขาวกำลังแสดงเป็นกลีบดอกบัวสีขาวล้อมสาวน้อยชุดเหลืองที่อยู่ตรงกลาง สาวน้อยชุดเหลืองนั้นปราดแรกที่เห็นมิได้มีสิ่งใดพิเศษโดดเด่น เค้าหน้ากลับมองเห็นเงาของเทพสมุทรบูรพาอยู่หลายส่วนได้รำไร

ข้าหันไปมองหน้าเทพสมุทรบูรพาอย่างอดไม่ได้

เขากระแอมออกมา ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนกล่าวว่า “น้องสาวข้าเอง” แล้วสืบเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวไปถึงตรงหน้าก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อย “เทียนซุนน้อยรู้จักน้องสาวข้าด้วยหรือขอรับ?”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยหันมามองข้า อึกอักว่า “รู้จักนั้นรู้จักอยู่” แล้วกลับรีบโบกมือยืนกรานจุดยืนอย่างมั่นคงทันที “แต่เปิ่นเทียนซุนไม่สนิทกับนาง” พูดจบก็แอบมองฟู่จวินของตนแวบหนึ่ง

เวลานี้ “น้องสาวข้า” ผู้นั้นของเทพสมุทรบูรพากำลังจ้องมองตาปรอยมาที่เยี่ยหัวจวินซึ่งนั่งอยู่ข้างข้า สายตาทั้งร้อนแรงสนิทสนมและอ้างว้าง ทั้งปวดร้าวและสุขใจ

เยี่ยหัวถือจอกสุราสีหน้าเรียบสนิท พริบตาเดียวก็ได้เปลี่ยนกลับไปเป็นเทพหนุ่มผู้เย็นชาที่ข้าเห็นตอนแรกสุดอีกครั้ง

นี่มันแสดงงิ้วฉากใดกัน? ดอกร่วงมีใจ น้ำไหลไร้ใจ? สาวน้อยเปี่ยมอารมณ์พบชายหนุ่มผู้เย็นชา เชี่ยเซิน[1]มีใจเป็นเถาวัลย์ร้อยรัดต้น จนใจที่หัวใจท่านดั่งเหล็กกล้า เชี่ยเซินช่างน่าเวทนานัก?

ข้าพยักหน้าอย่างพอใจ เป็นงิ้วที่น่าสนุกองก์หนึ่ง รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก ชมดูอย่างเพลิดเพลินยิ่ง

ขณะที่กำลังถึงตอนตื่นเต้น เสียงเครื่องดนตรีกลับหยุดลงกะทันหัน “น้องสาวข้า” ผู้นั้นของเทพสมุทรบูรพาได้หันมากราบคารวะทางเยี่ยหัว เดินตัวลอยจากไปภายใต้การห้อมล้อมของกลุ่มนางรำ

เยี่ยหัวหันหน้ามามองข้า สีหน้าเหมือนจะยิ้ม “ไยสีหน้าท่านทูตเซียนจึงเต็มไปด้วยความผิดหวังเช่นนั้นเล่า?”

ข้าลูบหน้าตัวเอง หัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน “มีด้วยหรือ?”

ทนนั่งต่อไปอีกชั่วยามกว่า งานเลี้ยงจึงค่อยเลิก เดิมทีควรจะต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เยี่ยหัวกลับดันก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเข้าสู่อ้อมแขนข้า “เจ้าช่วยดูแลอาหลีไปก่อน ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”

เหล่าเทพเซียนจากทั่วสารทิศได้มาประสานมือกล่าวลาพอดี ข้าเผลอคลาดสายตาวูบเดียว เยี่ยหัวก็หายตัวไปไม่เหลือแม้แต่เงา

ไหวพริบที่ถูกเรื่องจุกจิกบางเรื่องกดทับไว้มาเป็นเวลาหลายชั่วยามวูบกลับคืนสมองอย่างฉับพลัน หน้าผากข้ามีเหงื่อเม็ดโตผุดซึมหลายเม็ดในบัดดล เยี่ยหัวคงไม่ได้ตีขลุมถือถ้อยคำหลอกเอาใจก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยของข้าเป็นคำมั่น จะลากข้าไปตำหนักสวรรค์จริงๆ ดอกนะ? นึกมาถึงชั้นนี้ ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยตัวอุ่นนุ่มนิ่มในอ้อมแขนก็พลันกลายเป็นเผือกร้อนลวกมือในบัดดล

ข้ารีบร้อนก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ ณ ขณะเวลานี้ การรีบตามหาตัวเตียของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยให้พบโดยเร็ว คืนตัวก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยกลับไปนี่แหละสำคัญ

ถามบ่าวรับใช้ไปหลายคน กลับไม่มีใครเห็นเยี่ยหัวจวินสักคน ข้าได้แต่วกอ้อม เปลี่ยนเป็นถามว่า “น้องสาวข้า” ผู้นั้นของเทพสมุทรบูรพาเวลานี้อยู่ที่ใด เมื่อครู่นี้สีหน้าท่าทางเยี่ยหัวดูรีบร้อน ในความเฉยชาแฝงความสนิทสนม ในความห่างเหินแฝงความเวทนา สีหน้าท่าทางเช่นนี้ จากประสบการณ์ในการพบเห็นเรื่องสายลมจันทรา[2]มาเป็นเวลาแสนกว่าปีของข้า เขาต้องไปพบยอดพธูอย่างแน่นอน

บ่าวรับใช้ชี้มือออกไปไกล ทิศที่ชี้ไปคือตรงสุดทางอันเป็นที่ตั้งของอุทยานท้ายวังแก้วผลึกของทะเลบูรพา...

 

ข้าจูงมือก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยยืนอยู่ตรงทางเข้าอุทยาน สะท้อนใจเหลือจะเอ่ย พึงทราบว่าแม้เปิ่นซ่างเสินจะอายุมากแล้ว แท้จริงหาได้มีความสามารถในการจำแนกทิศทางแต่อย่างใด การเข้าไปนั้นง่ายดาย แต่ไม่ทราบจะสามารถกลับออกมาได้หรือไม่ ยังคงยืนรอตรงปากทางเข้านี่ดีกว่า

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยกลับไม่คล้อยตาม กำหมัดน้อยๆ ทำท่าโหดเหี้ยมดุดัน “ขืนเหนียงชินยังไม่เข้าไปเอาท่อนไม้ตีเยวียนยางอีก ฟู่จวินก็จะถูกองค์หญิงเมี่ยวชิงนั่นแย่งตัวไปแล้วนะ!” จากนั้นเอามือกุมหน้าผากทำท่าทอดถอนอย่างกลัดกลุ้ม “นับแต่โบราณมาสวนดอกไม้ท้ายเรือนคือต้นกำเนิดเรื่องยุ่งยาก บัณฑิตหนุ่มตั้งกี่รายถูกยอดพธูล่อลวงให้ลุ่มหลงจนต้องเสียอนาคต ต้องลำบากทุกข์ยากไปชั่วชีวิตที่นี่”

ข้าตกตะลึงจังงังไปพักใหญ่ โพล่งถามตะกุกตะกักว่า “นี่นี่นี่...ใครเป็นคนสอนเจ้ากันหือ?”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยทำหน้างุนงง “เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน บนสวรรค์มีเซียนน้อยผู้หนึ่งเหาะเลื่อนขั้นขึ้นมา ชื่อว่าเฉิงอวี้ ท่านปู่ทวดเทียนจวินแต่งตั้งประทานฉายา ‘หยวนจวิน’ ให้เขา เขานั่นแหละเป็นคนบอกข้า” เว้นจังหวะเล็กน้อยเกาศีรษะถามอย่างงุนงง “หรือว่าจะไม่จริง?”

ข้าลอบคิดอยู่ชั่วแล่น เห็นว่าสิ่งที่เฉิงอวี้หยวนจวินผู้นี้กล่าวไม่แปลกปลอมโดยแท้ ผู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ วันหน้าต้องคบหาไว้ให้จงได้

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยตัดสินใจมาดึงแขนเสื้อข้า คิดบังคับลากข้าเข้าไปในอุทยาน

เขาเป็นแค่เด็กน้อย ข้าเองไม่สะดวกจะขัดขืน ได้แต่เอ่ยปากปรามว่า “ฟู่จวินของเจ้ากำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ส่วนเมี่ยวชิงนั่น...ชื่อเมี่ยวชิงกระมัง? องค์หญิงเมี่ยวชิงนั่นก็กำลังอยู่ในวัยกำดัด หนุ่มเหน้าสาวน้อยผูกสมัครรักใคร่กันถือเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อเขาสองคนได้เป็นเยวียนยางแล้ว เจ้ากับข้ายังไปเป็นท่อนไม้ใหญ่ตีเยวียนยางนั่นอีก ทำลายบุพเพสันนิวาสของผู้อื่นโดยไร้มูลเหตุ เป็นการก่อกรรมทำเข็ญโดยแท้ เจ้ากับองค์หญิงเมี่ยวชิงนั่นก็ใช่ว่ามีความแค้นใหญ่หลวงไม่อาจคลี่คลายต่อกัน ถึงจะต้องไปทำลายบุพเพฯของนางให้จงได้จึงจะสาสมใจ”

อาจเป็นด้วยประโยคท้ายของข้ากล่าวแรงเกินไป ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยจึงเบะปาก ข้ารีบร้อนโอ๋ปลอบ จูบจอมถนอมเกล้าเป็นพัลวัน เขาจึงค่อยสงบลงได้ พูดเสียงอ่อนว่า “ถึงนางจะเคยช่วยชีวิตข้ามาครั้งหนึ่ง แต่ข้าก็พูดขอบคุณนางดีๆ ไปแล้ว นางกลับเข้าใจไปเองว่านับแต่นี้นางจะแตกต่างจากผู้อื่นในสายตาฟู่จวิน ทุกครั้งที่ฟู่จวินพาข้าไปพักที่เขาจวิ้นจี๋ของเหนียงชิน นางก็จะมาคอยเกาะคอยพัวพัน น่ารำคาญยิ่งนัก”

ข้าอดไม่ได้ต้องว่ากล่าวสอนเขาว่า “บุญคุณช่วยชีวิตลึกล้ำกว่าห้วงสมุทร ไหนเลยเพียงกล่าวขอบคุณก็จบเรื่องได้”

หากกล่าวขอบคุณแล้วสามารถไม่ต้องใส่ใจอีก เวลานี้ข้าไม่ทราบสบายตัวขึ้นตั้งเท่าไร เพียงจดจำความผูกพันสนิทสนมเมื่อครั้งข้ากับคนผู้นั้นเป็นศิษย์อาจารย์กันก็พอ ไม่ต้องมีความรู้สึกผิดและเสียใจอีกมากมายเช่นนี้อย่างเด็ดขาด

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยนิ่งสำนึกผิดอยู่ชั่วครู่สั้นๆ แล้วกลับกระทืบเท้าทันควัน “นางไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว นางทราบดีชัดๆ ว่าฟู่จวินมีภรรยาอยู่แล้ว กลับยังมาตามพัวพันฟู่จวิน นางอยู่บ้านของเหนียงชิน ใช้เครื่องครัวของเหนียงชิน ยังจะมาแย่งสามีของเหนียงชินอีก!”

ข้าแหงนหน้ามองฟ้า ย้อนนึกไปถึงใบหน้าที่เหมือนม่อเยวียนราวกับพิมพ์ของเยี่ยหัวจวินนั่น แล้วให้สะท้อนใจยิ่ง เรื่องนี้จะไปโทษเมี่ยวชิงก็ไม่ได้ เปิ่นซ่างเสินมองดูใบหน้าแบบนั้นมาเป็นหลายหมื่นปี ตอนนี้จึงค่อยสามารถควบคุมใจตัวเองได้บ้างเล็กน้อย การที่สตรีธรรมดาคิดจะรักนวลสงวนตัวอย่างเคร่งครัดยามอยู่ต่อหน้าใบหน้าแบบนั้น ออกจะลำบากยากเย็นเอาการโดยแท้ ว่าแต่เขาจวิ้นจี๋แห่งแดนบูรพากลายไปเป็นสมบัติส่วนตัวของซู่จิ่นนั่นตั้งแต่เมื่อไรกัน? ข้าออกจะนึกสงสัยอยู่บ้าง ครั้นเลียบเคียงถามดู ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยก็บอกเล่าออกมาจนหมดเปลือก

เขาพูดวกไปวนมา แต่ข้าก็พอจะสามารถปะติดปะต่อออกมาได้คร่าวๆ

ที่แท้เหนียงชินของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยไม่ใช่ซู่จิ่นเช่อเฟยของเยี่ยหัว แต่เป็นมนุษย์ธรรมดาบนพื้นดินผู้หนึ่ง เวลานี้ในตำหนักบรรทมของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยยังคงแขวนภาพวาดของหญิงมนุษย์ผู้นั้นไว้ภาพหนึ่ง เห็นบอกว่าสวมชุดสีเขียวอ่อนมีผ้าขาวพันตา ซึ่งก็คือรูปร่างหน้าตาของตัวข้าในยามนี้นั่นเอง สามร้อยปีก่อนไม่ทราบเพราะเหตุใด หญิงมนุษย์ผู้นั้นเพิ่งจะคลอดก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยออกมา ก็กระโดดลงจากแท่นประหารเซียน แท่นประหารเซียนแห่งนั้นข้าเคยได้ยินมา เทพเซียนกระโดดลงไปพลังฝึกปรือจะสลายสิ้น มนุษย์กระโดดลงไปจะต้องสามหุนเจ็ดพ่อ[3]สลายสิ้นไม่มีเหลือแม้แต่ซากอย่างแน่นอน

คิดว่าก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยหาทราบเรื่องนี้ไม่

ก่อนที่หญิงมนุษย์นางนั้นจะถูกรับตัวขึ้นไปอยู่บนตำหนักสวรรค์ นางพักอาศัยอยู่บนเขาจวิ้นจี๋แห่งแดนบูรพานั่นเอง เยี่ยหัวจวินคิดถึงรักเก่า จึงทำการผนึกกระท่อมที่นางเคยพักอยู่บนเขาจวิ้นจี๋ พาก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยไปพักอยู่สิบวันครึ่งเดือนทุกปี

ข้านับถือความใจกล้าของเยี่ยหัวจวินโดยแท้ เรื่องราวความรักความแค้นเก่าก่อนในรั้วในวังเช่นนี้ กลับไม่ปิดบังก้อนแป้งข้าวเหนียวแม้แต่น้อย ไม่มีกลัวเลยว่าจะก่อให้เกิดปมด้อยขึ้นในใจของบุตรชายเขาคนนี้

วันหนึ่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเล่นจับกระต่ายเพียงลำพังในป่าบนเขา ปราณทิพย์ได้ล่อปิศาจงูที่ผ่านทางเข้ามาหา ปิศาจงูเข้าใจผิดว่าเป็นนักพรตเด็กของสำนักพรตใดสักแห่ง คิดจะใช้ปราณเซียนรอบตัวเขามาบำรุง จึงจะมากินเขา เคราะห์ดีที่ได้องค์หญิงเมี่ยวชิงแห่งทะเลบูรพาซึ่งบังเอิญมาเก็บสมุนไพรยังเขาจวิ้นจี๋พอดีช่วยชีวิตเขาไว้ และส่งเขากลับกระท่อมบนเขาตามที่เขาชี้บอกทาง เนื่องจากกระท่อมหลังนั้นถูกลงผนึกไว้ คนนอกจะมองไม่เห็น แต่ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยถือองค์หญิงเมี่ยวชิงเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต จึงเปิดเผยฐานะของตนพร้อมกับพานางกลับไปดื่มน้ำชาด้วยกันที่กระท่อม

ดื่มน้ำชาเสร็จ องค์หญิงเมี่ยวชิงกำลังจะขอตัวกลับ ก็ได้พบเยี่ยหัวจวินที่บังเอิญกลับมากะทันหัน พริบตานั้นดั่งสายฟ้าสวรรค์ชักนำอัคคีพสุธา[4] องค์หญิงเมี่ยวชิงผู้นี้ได้ตกหลุมรักเยี่ยหัวจวินแต่แรกพบ เยี่ยหัวไม่ต้องการติดค้างน้ำใจองค์หญิงแห่งทะเลบูรพา จึงรับปากให้พรแก่องค์หญิงผู้นี้หนึ่งข้อ

หนึ่งร้อยกว่าปีมานี้เมี่ยวชิงแทบจะเฝ้าอยู่ที่เขาจวิ้นจี๋แห่งแดนบูรพา ครั้นเยี่ยหัวสองพ่อลูกมาถึง ก็จะซักเสื้อผ้าทำกับข้าวนึ่งขนมให้สองพ่อลูก องค์หญิงผู้หนึ่งกลับมาทำงานของสาวใช้เหล่านี้ เยี่ยหัวเห็นว่าไม่เหมาะสม ทางด้านองค์หญิงนั่นกลับก้มหน้าอย่างหม่นหมอง กล่าวอย่างอุธัจขัดเขินเป็นที่สุดว่า “นี่แหละคือพรที่ข้าปรารถนา ขอจวินซ่างโปรดส่งเสริมเถิด”

เยี่ยหัวเองก็จนใจ จึงได้แต่ปล่อยนางไปตามใจ

กระนั้นที่ร่ายมาข้างต้นเป็นเพียงวาจาข้างเดียวของก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเท่านั้น ดูจากสภาพการณ์นี้แล้ว เยี่ยหัวจวินกลับเป็นหนุ่มมากรักเช่นกัน ยากจะบอกได้ว่าไม่เคยหวั่นไหวใจไปกับองค์หญิงแห่งทะเลบูรพาผู้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นนางนี้

ข้ารู้สึกวูบโหวงขึ้นมาปุบปับ เยี่ยหัวอยู่มาถึงวันนี้ อายุเพิ่งจะแค่ห้าหมื่นกว่าปีเท่านั้น ก็สร้างหนี้รักมากมายเหล่านี้แล้ว ช่างเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมสามารถโดยแท้

ตอนที่เปิ่นซ่างเสินอายุห้าหมื่นปี ยังกำลังทำอะไรอยู่เลยหนอ?

สีหน้าก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยดูสับสน มองหน้าข้าทำท่าจะพูดแล้วกลับไม่ได้พูด

ข้ากล่าวเสียงเคร่ง “เป็นลูกผู้ชายไม่พึงแสดงสีหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ เผลอเดี๋ยวเดียวก็กลัวหัวหดเสียแล้ว มีสิ่งใดก็ว่ามา ให้สมใจหน่อย”

เขาน้ำตาคลอ ชี้มาที่ข้า “ท่าทางไม่แยแสของเหนียงชินนี้ เป็นเพราะมีผู้ที่ต้องใจอยู่แล้ว ไม่ต้องการอาหลีกับฟู่จวินแล้วใช่หรือไม่?”

ข้าพูดไม่ออก แม้เยี่ยหัวกับข้าจะมีพันธะหมั้นหมายกัน แต่ก็เพิ่งจะพบหน้ากันเท่านั้น ยากยิ่งจะกล่าวได้ว่าแยแสหรือไม่

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยกลับก้าวถอยหลังไปสองก้าว เอามือปิดหน้าพูดอย่างเจ็บปวดรวดร้าวเป็นที่ยิ่ง “พ่อจะแต่งแม่เลี้ยงแม่จะแต่งพ่อเลี้ยง อาหลีเป็นอย่างชื่อจริงๆ สมน้ำหน้าตัวเองแล้วที่ไม่มีทางได้ลิ้มรสชีวิตที่สมบูรณ์ ต้องอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย พวกท่านต่างไม่ต้องการอาหลี อาหลีอยู่คนเดียวก็ได้!”

ข้าถูกเขาแผดเสียงใส่จนใจหาย

กาลก่อนแม่แท้ๆ ของเขาทอดทิ้งเขากระโดดลงแท่นประหารเซียน เขาที่อายุยังน้อยย่อมต้องมีปมด้อยในใจอยู่บ้าง บัดนี้ความเก็บกดแทรกลึกลงในอก เกรงว่าจะไม่เข้าทีนัก

ข้ารีบปั้นยิ้มประจบเข้าไปกอดเขา “ในเมื่อข้าเป็นแม่ของเจ้า ย่อมไม่มีทางไม่ต้องการเจ้าเด็ดขาด”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยต่อว่าข้าว่า “แต่ว่าท่านไม่ต้องการฟู่จวินนี่ ท่านไม่ต้องการฟู่จวิน ฟู่จวินก็จะแต่งงานกับองค์หญิงเมี่ยวชิงนั่น ฟู่จวินแต่งงานกับองค์หญิงเมี่ยวชิง ก็จะเกิดเป๋าเป่า[5]คนอื่น แล้วไม่ต้องการอาหลีอีก” พูดพลางทำท่าจะวิ่งร้องไห้จากไป

ข้ารู้สึกปวดศีรษะยิ่ง เพื่อไม่ให้เขาต้องผิดหวัง ได้แต่แสร้งทำท่าหวานชื่น กัดฟันกล่าวว่า “ฟู่จวินของเจ้าคือแก้วตาดวงใจของข้า คือยอดรักสุดที่รักของข้า ข้ามีหรือจะไม่ต้องการเขาได้?”

กล่าวจบก็ตัวสั่นยะเยือกก่อนใคร

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยพอใจอย่างมาก กอดขาข้าลากไปทางอุทยานต่อ

ข้าจนหนทาง ได้แต่ปล่อยให้เขาลากตัวไป และมุ่งหวังอย่างยิ่งว่าเวลานี้เยี่ยหัวจวินจะไม่อยู่ในอุทยานนี้ ข้าจะได้ไม่ต้องแสดงงิ้วโรงใหญ่ฉากท่อนไม้ตีเยวียนยางเข้าจริงๆ

หากบังเอิญโชคร้าย เปิ่นซ่างเสินยังปราดเปรื่องดังเดิม เวลานี้เยี่ยหัวกำลังนัดพบยอดพธูจริงๆ เช่นนั้นเยี่ยหัวจวิน ที่วันนี้มาก่อกวนบุพเพฯของเจ้า ก็เพื่อสุขภาพจิตที่แข็งแรงของบุตรชายเจ้าดอก จะมาโทษว่าข้าไม่ได้แล้ว

 

อ้อมผ่านประตูโค้ง ในศาลางามประณีตซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มในชุดยาวสีดำซึ่งยืนเอามือไพล่หลังก็คือเยี่ยหัว และสาวน้อยในชุดเหลืองที่นั่งอยู่ด้านข้างก็คือองค์หญิงเมี่ยวชิง

เปิ่นซ่างเสินทายได้ไม่ผิด เยี่ยหัวมาพบยอดพธูจริงๆ

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเขย่าแขนเสื้อข้า “เหนียงชิน ถึงตาท่านออกโรงแล้ว”

เขากลับเข้าร่วมในบทบาทได้เร็วนัก ข้าขนหัวลุกเกรียว ใช้ความคิดว่าจะเริ่มประโยคเปิดฉากอย่างไรดี

ในบรรดาคนคุ้นเคยที่ข้ารู้จักทั้งหมด มีแต่พี่ใหญ่ป๋ายเสวียนมีหนี้ดอกท้อมากที่สุด

ทุกครั้งเวลาจัดการบรรดาดอกท้อของพี่ใหญ่เหล่านั้น พี่สะใภ้ใหญ่ใช้วิธีใดแล้วหนอ?

ข้าย้อนนึกดูเล็กน้อย

ก่อนอื่นก็สายตา...สายตาต้องเย็นชา มองดอกท้อนั่นขึ้นๆ ลงๆ มองสาวงามเหมือนมองผักกาดขาว

ถัดไปก็น้ำเสียง...น้ำเสียงต้องเบาหวิว กล่าวกับตัวต้นเหตุว่า

“ครั้งนี้คนนี้ข้าดูแล้วก็ว่าดีมากอยู่ หากว่าฟูจวิน[6]ชอบ ก็รับนางไว้เถิด ข้าจะได้มีน้องสาวเพิ่มอีกคน”

นี่คือ “ใช้การถอยเป็นการรุก”

ถึงแม้ส่วนมากพี่ใหญ่จะเล่นไปตามบทที่พี่สะใภ้ชักนำก็ตาม แต่กับพี่สะใภ้ พี่ใหญ่กลับรักมั่นไม่แปรผัน ต้องเป็นนางเท่านั้น ไม้นี้จึงจะได้ผล เมื่อเทียบกันเช่นนี้ สถานการณ์ของข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่กลับแตกต่างกันอยู่บ้าง

ข้าลังเลอยู่พักใหญ่ ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยได้สาวเท้าถี่ๆ ไปหลายก้าว คุกเข่าลงตรงหน้าฟู่จวินของเขา พูดว่า “ผู้บุตรน้อมพบฟู่จวินพ่ะย่ะค่ะ”

ดวงตาเยี่ยหัวหรี่ลง มองข้ามก้อนแป้งข้าวเหนียวมาจ้องที่ข้าเขม็ง

ข้าได้แต่แข็งใจเดินเข้าไป แสดงความเคารพตามมารยาทเล็กน้อย ดึงก้อนแป้งข้าวเหนียวขึ้นมาจากบนพื้น ปัดดินบนหัวเข่าให้ ค่อยมองหาพนักพิง อุ้มเขานั่งลง

ข้างหลัง สายตาของเยี่ยหัวจวินคมกล้า กิริยาเหล่านี้ของข้าสำเร็จเสร็จสิ้นอย่างลำบากยากเย็นยิ่ง

องค์หญิงเมี่ยวชิงนั่นเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “เจี่ยเจียคือ?”

ข้าพยายามปั้นสีหน้า “ยิ้มเชือดเฉือน” ลูบใบหน้าก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อย “เด็กคนนี้เรียกข้าว่าเหนียงชิน”

นางเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่

ความจริงแล้วในใจข้ารู้สึกผิดอย่างยิ่ง องค์หญิงเมี่ยวชิงผู้นี้หน้าตาไม่เลวอยู่ แม้เมื่อเทียบกับองค์หญิงลวี่ซิ่วแห่งทะเลทักษิณแล้วออกจะด้อยกว่าบ้าง กระนั้นจะมากจะน้อยก็นับเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง นางกับข้ามิได้มีความแค้นต่อกัน การกระทำครั้งนี้ของข้าจึงใจร้ายใจดำโดยแท้

ในใจข้ากลัดกลุ้ม เปลือกนอกกลับยังคงต้องแสดงงิ้วต่อไปอย่างสุดฝีมือ ยิ้มเชือดเฉือนกล่าวต่อไปว่า “ทิวทัศน์ในยามนี้ เมฆดำลอยต่ำ ลมพัดหวีดหวิว ทำให้อดเกิดอารมณ์อยากร่ำกลอนขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้ เม่ยเมย[7]ว่าใช่หรือไม่?”

เยี่ยหัวตัดสินใจเอามือกอดอกพิงตัวกับเสาศาลาข้างๆ ฟังข้าซี้ซั้วแถ

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยไม่เข้าใจเจตนาของข้า จึงหันหน้ามามองข้าอย่างงุนงง ข้าเอานิ้วจิ้มหน้าผากเขากล่าวกลั้วหัวเราะว่าฟ้าเวิ้งว้าง ดินไพศาล หนึ่งกิ่งซิ่งแดงอยากออกกำแพงกว้าง[8]” ค่อยมององค์หญิงเมี่ยวชิง “เม่ยเมยว่าเข้ากับบรรยากาศหรือไม่?”

นางตะลึงลาน วูบต่อมาน้ำตาอุ่นๆ สองสายก็ไหลพรากลงมาจากหางตา คุกเข่าลงดัง “ตึง” ตรงหน้าข้า “เหนียงเนี่ยงระงับโทสะ เมี่ยวชิง...เมี่ยวชิงไม่ทราบว่าเหนียงเนี่ยงมาเยือน เมี่ยวชิงมิกล้าเป็นน้องสาวของเหนียงเนี่ยงเด็ดขาด เมี่ยวชิงเพียงแต่มีใจรักต่อจวินซ่าง มิได้คิดร้องขอให้จวินซ่างรับปากเมี่ยวชิงในสิ่งใด ครั้งนี้ท่านพี่คิดจะให้เมี่ยวชิงแต่งไปทะเลประจิม องค์ชายรองแห่งทะเลประจิมผู้นั้นกลับเป็น...กลับเป็นบุรุษเสเพลโดยแท้ เนื่องจากฤกษ์แต่งงานใกล้เข้ามา เมี่ยวชิงจนหนทาง ได้ทราบว่าจวินซ่างพาเทียนซุนน้อยมาร่วมงานเลี้ยงยังทะเลบูรพา จึงได้คิดแผนต่ำต้อยใช้การร่ายรำเชิญมานัดพบนี้ เมี่ยวชิงหวังเพียงติดตามจวินซ่างไปทุกชาติทุกภพ โดยขอเป็นสาวใช้คอยรับใช้จวินซ่าง มิได้คิดอื่นใดอีก ขอเหนียงเนี่ยงโปรดส่งเสริมด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง ช่างน่ารันทดและน่าตื้นตันเสียนี่กระไร ข้าแทบจะหลั่งน้ำตาอย่างสะทกสะท้อน เดิมทีเห็นว่าตำหนักสวรรค์ออกจะกว้างใหญ่ ก็แบ่งที่สักมุมหนึ่งให้นางอยู่จะเป็นไรไป คิดดูแล้ว จะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของเยี่ยหัวจวิน หากนางมิได้รักมั่นจริงจังหาญเผยต่อตะวันจันทรา ข้าหวดท่อนไม้ลงไปสักทีจะเป็นไรมี มาบัดนี้กลับทำไม่ลงจริงๆ เสียแล้ว เรื่องความรักนี้ เดิมทีก็ไม่มีคุณธรรมให้กล่าวอ้าง ไม่อาจแบ่งแยกผิดถูก ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยยังเด็กนัก วันหน้าพอจะทุ่มเทใจสั่งสอนชี้นำได้ แต่ข้าไม่อาจช่วยโจ้วทำชั่ว[9]เช่นนี้อีกเด็ดขาด คิดถึงชั้นนี้ ข้าก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจ อุ้มก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยขึ้นมาหมายจากไป

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยเกาะแนวพนักพิงอย่างเอาเป็นเอาตายตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจ “เหนียงชิน เมื่อกี้ท่านยังพูดอยู่หยกๆ ว่าฟู่จวินคือแก้วตาดวงใจของท่าน คือยอดรักสุดที่รักของท่าน คนอื่นมาแย่งฟู่จวิน ท่านกลับปล่อยให้เขาแย่งไป ท่านพูดไม่เป็นคำพูด!”

ศีรษะข้าพองโตขึ้นมาเท่าตัวทันควัน

เยี่ยหัวทำหน้าเหมือนจะยิ้ม ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวขวางทางไปของข้า เกี่ยวผมปอยหนึ่งของข้าขึ้นมา เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าคือแก้วตาดวงใจของเจ้า?”

ข้าหัวเราะแห้งๆ ก้าวถอยไปหนึ่งก้าว

เขาเข้ามาใกล้อีกก้าว “ยอดรักของเจ้า?”

ข้าหัวเราะเสียงแห้งกว่าเดิม ก้าวถอยไปอีกก้าว

เยี่ยหัวจัดแจงกักตายตัวข้าไว้ตรงมุมหนึ่งของศาลา “สุดที่รักของเจ้า?”

ครั้งนี้กระทั่งหัวเราะแห้งๆ ข้าก็หัวเราะไม่ออกเสียแล้ว ในปากขมไปหมด เปิ่นซ่างเสินไปก่อกรรมใดมานี่...ไปก่อกรรมใดมา

ข้าหลับตาแข็งใจโพล่งออกไป “อีตาบ้าเนี่ย...ท่านก็รู้อยู่แล้วนี่นา แล้วยังจะให้คนเค้าพูดออกมาอีก ช่างใจร้ายนักเทียว”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยในอ้อมแขนข้าตัวสั่นยะเยือก เยี่ยหัวที่อยู่ตรงหน้าเองก็ตัวสั่นยะเยือก

ข้าฉวยโอกาสจากช่องว่างที่สองพ่อลูกมัวแต่ตกตะลึง โยนก้อนแป้งข้าวเหนียวน้อยใส่แนวพนักพิง ทิ้งอาวุธชุดเกราะ เผ่นแนบในบัดดล

เปิ่นซ่างเสินหนนี้ ทุลักทุเลโดยแท้



 

 


แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:03 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:25

0 ความคิดเห็น