หัวข้อ : บทที่ 5 ในวังต้าจื่อหมิงกงมีบุปผางามประหลาดอยู่มากหลาย

โพสต์เมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:26

บทที่ 5

 

ในวังต้าจื่อหมิงกงมีบุปผางามประหลาดอยู่มากหลาย

 

 

เนื่องจากทำกิ่งหมีกู่หาย ประกอบกับวิกาลมืดสนิท ที่สามารถอ้อมออกจากทะเลบูรพาก่อนจะล่วงเข้าหนึ่งยาม[1]ได้ ถือว่าช่วงนี้สะสมบุญกุศลไว้มากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมิได้คาดหวังว่าจะสามารถกลับไปถึงชิงชิวก่อนฟ้าสางแต่อย่างใด

ทว่าทะเลบูรพานั้นทั้งสี่ด้านมีแต่เส้นทางน้ำ ส่วนตัวข้านับตั้งแต่สี่เท้าแตะพื้นยังคงเป็นจิ้งจอกน้อย ก็ใช้ชีวิตอยู่บนบก ย่อมมองเห็นเส้นทางน้ำทั้งสี่เส้นนี้ล้วนมีหน้าตาเหมือนกันหมด ไร้ข้อแตกต่างใด ด้วยเหตุนี้เมื่อออกพ้นขึ้นมาเหนือน้ำ ค่อยรู้ตัวว่ามาผิดทิศเสียแล้ว โดยเข้าใจว่าเส้นทางทิศเหนือคือทิศตะวันออก

ในคลองจักษุเวลานี้ บนท้องฟ้าจันทราส่องสว่าง ข้านั่งอยู่บนหินโสโครกตรงชายฝั่งทิศเหนือของทะเลบูรพา ออกจะกลุ้มใจอยู่บ้างโดยแท้

ย้อนกลับไปตามทางเดิม ว่ายน้ำกลับไปยังวังแก้วผลึกไม่ใช่เรื่องยากเย็นก็จริง แต่หากเจอเยี่ยหัวจวินนั่นอีกครั้ง ก็ออกจะน่าขายหน้าอยู่ คืนนี้จึงได้แต่ทนค้างแรมบนชายฝั่งทิศเหนือนี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยคิดอ่านหาทาง

เดือนสี่ในโลกมนุษย์ดอกไม้ใบหญ้าตระการตาหอมอบอวล ตอนกลางวันก็อุ่นดีอยู่ดอก ตกกลางคืนกลับหนาวเย็นยิ่งนัก เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็บางมาก ละอองหมอกสีขาวม้วนตลบในทะเลทำเอาข้าจามออกมาถึงสามครั้งติดกัน ในที่สุดยังคงกระโดดลงจากหินโสโครก ปักศีรษะเข้าไปในป่าด้านข้าง

ป่านี้สู้ป่าท้อของเจ๋อเหยียนไม่ได้ ต้นไม้เหล่านี้สูงชะลูดสลับซับซ้อน ปูใบไม้ร่วงลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า กลับบังลมได้ไม่เลวอยู่ ในเมื่อบังลมได้ไม่เลว ย่อมบังแสงได้ไม่เลวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ถึงแม้บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจะมีจันทราแผ่รัศมีสว่างไสว ในป่ากลับกางมือตรงหน้ายังมองไม่เห็นนิ้ว

ข้าปลดแพรขาวพันตาลงมาพับอย่างประณีต ค่อยคลำหยิบไข่มุกประกายราตรีลูกขนาดไข่นกพิราบออกมาจากในแขนเสื้อหนึ่งลูก คิดในใจว่าหาคาคบไม้สามแขนงเอนหลังนอนสักคืนเป็นอันสิ้นเรื่อง

ป่านี้รกทึบมากจริงๆ แม้จะเป็นสัตว์สี่เท้า ทั้งยังมีไข่มุกประกายราตรีช่วยส่องแสง ดวงตาของข้ากลับสู้สัตว์ประเภทเดียวกันไม่ได้ เพิ่งจะเดินสะดุดโน่นสะดุดนี่ไปได้เพียงสามจ้าง เผลอนิดเดียวก็กลิ้งตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่ใต้เท้าเสียแล้ว

พี่สี่เขียนหนังสือกับเจ๋อเหยียน เคยรวบรวมนิทานเรื่องเล่าเหลวไหลเลื่อนเปื้อนทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนไว้ไม่น้อย มีอยู่เรื่องหนึ่งได้เล่าว่าท่ามกลางบรรดาภูเขาทั้งหลายในแดนบูรพา มีภูเขาโดดลูกหนึ่งชื่อว่า “เยี่ยนคง” ตรงเชิงเขาสร้างผายโหลว[2]ไว้ ภายในหลุมลึกไร้ก้นที่ใต้ผายโหลวมีปิศาจผู้งดงามนางหนึ่งอาศัยอยู่ ถึงแม้ปิศาจนางนั้นจะดูยั่วยวนร่านโลกีย์ แต่ก็เป็นปิศาจที่ดีตนหนึ่ง กลับไปหลงรักมนุษย์ผู้ฝึกวิถีพรต จนใจที่มนุษย์ผู้นั้นมุ่งมั่นแต่จะสำเร็จเป็นเซียน ก่อเกิดเรื่องทุกข์ร้อนหมองใจไปพักใหญ่ จนสุดท้ายทำลายพลังฝึกปรือของตัวเองไป ทั้งยังพลอยสร้างความเดือดร้อนให้ทุกชีวิตทั่วภูเขา นับเป็นอุทาหรณ์อย่างหนึ่ง

ถึงแม้หลุมที่ฝังข้าในยามนี้จะลึกมากเอาการ กลับไม่น่าใช่หลุมลึกไร้ก้นแห่งเขาเยี่ยนคงหลุมนั้นเด็ดขาด แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ที่ก้นหลุมก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีปิศาจแสนสวยผู้งมงายในรักอาศัยอยู่ หากสามารถได้พบสักครั้ง ช่วยชี้ทางสว่างให้นาง มอบแก่พี่สี่ให้ไปช่วยควบคุมดูแลนกปี้ฟังพาหนะตัวนั้นของพี่เขา ก็นับได้ว่าเป็นวาสนาอันดีในการออกมาจากชิงชิวครั้งนี้

คิดถึงชั้นนี้ ข้าก็ปล่อยให้ร่างกายร่วงตกลงไปอย่างสบายใจ ตอนแรกรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่บ้างก็จริง ครั้นร่วงตกลงไปได้ครึ่งหนึ่ง กลับยังพอจะสามารถปรับให้อยู่ในท่าที่สบายได้ นับว่าร่วงตกลงไปอย่างมีหลักเกณฑ์ยิ่ง

ครึ่งชั่วธูปผ่านไป สองเท้าข้าค่อยได้เหยียบพื้นดินในที่สุด

ตรงหน้าพลันแผ่ไพศาล บนผืนฟ้าซึ่งสร้างด้วยอาคมจันทร์กระจ่างดาวประปราย เบื้องล่างคือสายน้ำทอดคดเคี้ยว บนน้ำยังสร้างศาลามุงหญ้าไว้หลังหนึ่ง กว้างขวางกว่าถ้ำจิ้งจอกของอาเตียอาเหนียงเล็กน้อย

ในศาลามุงหญ้ามีหญิงชายคู่หนึ่งกำลังทำท่าเยวียนยางเกี่ยวคอ

เจตนาเดิมของข้าคือมาเสาะหานางปิศาจที่ยังมิได้กระทำชั่วเพื่อชี้แนะทางสว่าง ไม่นึกว่ากลับมาพบเห็นผู้อื่นกำลังหยอกเย้าเล้าโลมกันอย่างจัง ช่างน่ากระอักกระอ่วนโดยแท้

ฝ่ายชายนั้นเนื่องจากหันหลังให้ข้า จึงเห็นหน้าไม่ชัดเจน ฝ่ายหญิงใบหน้าครึ่งหนึ่งฝังอยู่กับซอกคอฝ่ายชาย คิ้วขนงดวงตากลับดูดีอยู่ เพียงแต่ปราดแรกที่ได้เห็นข้าร่วงฝุ่นตลบลงมาจากข้างบนหลุม นางอดตื่นตระหนกอยู่บ้างไม่ได้

ข้ายิ้มให้นางอย่างสนิทสนมเป็นความหมายปลอบขวัญ นางกลับเอาแต่จ้องหน้าข้าเขม็ง ทำให้ข้าชักรู้สึกกระดาก เนื่องจากเขาสองคนกำลังกอดกันกลม ฝ่ายชายคงจะรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงเบี่ยงกายหันหน้ามามองบ้าง

ห่างกันชั่วระยะสระน้ำกว่าครึ่งสระคั่นกลาง พริบตาที่ได้เห็นใบหน้านั้น กลับทำให้ข้าเหมือนถูกสาดน้ำมันหมูเดือดๆ เข้าใส่อย่างจังกลางหน้าร้อน ทั้งมันเยิ้มทั้งตื่นตระหนก

เรื่องราวเก่าก่อนบางเรื่องที่จงใจทำเป็นลืมไปเสียในหลายปีมานี้ พากันเผยตัวออกมาจากห้วงสมอง

หว่างคิ้วของเขาดั่งมีพันภูผาหมื่นสายน้ำ จ้องมองมาที่ข้านิ่งๆ พักใหญ่ค่อยพูดว่า “อาอิน”

ข้าหลุบตาลง กล่าวเสียงเคร่ง “ที่แท้คือท่านราชาปิศาจหลีจิ้งนั่นเอง เหล่าเซินกับท่านราชาปิศาจสะบั้นสัมพันธ์กันไปแล้ว ‘อาอิน’ สองพยางค์นี้มิอาจรับได้อย่างยิ่ง ยังคงขอให้ท่านราชาปิศาจเรียกขานฉายาของเหล่าเซินเถิด”

เขาไม่เอ่ยคำ แต่ข้ากลับเห็นชัดเจนว่าหญิงในอ้อมแขนเขาตัวสั่นสะท้านไปสองเฮือก

ข้ารำคาญอย่างมาก แต่ไม่กี่ปีมานี้ เหล่าเทพเซียนรุ่นเยาว์อยู่ร่วมกับเผ่าปิศาจได้กลมเกลียวไม่เลวอยู่ จะอย่างไรย่อมไม่อาจทำลายมิตรภาพที่สร้างขึ้นมาไม่ง่ายดายนี้เพราะบุญคุณความแค้นส่วนตัวของข้า เมื่อมีข้อกริ่งเกรงชั้นนี้ สีหน้าย่อมไม่อาจจะเย็นชาเกินไปนัก

เขาถอนหายใจพูดว่า “อาอิน เจ้าหลบหน้าข้ามาเจ็ดหมื่นปี ยังเตรียมจะหลบต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงจริงใจนัก ราวกับเสียใจอย่างมากที่ไม่ได้พบหน้าข้า ช่างน่าถอนสะอื้นยิ่ง

ข้าสงสัยจริงแท้ว่า ทั้งที่ความสัมพันธ์ของข้ากับเขามัจฉาตายตาข่ายขาด[3]ถึงขั้นพบหน้ามิสู้ไม่พบชัดๆ เขายังสามารถกล่าวถ้อยคำสนิทสนมเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้ออกมาอีกได้อย่างไร?

อีกอย่าง บอกว่าข้าหลบหน้าเขา กลับเป็นการใส่ความอย่างมโหฬารโดยแท้ แม้จะกล่าวว่าการอยู่มานานเกินไปมักจะหลงลืมได้ง่ายก็ตาม ข้าเอามือนวดขมับลองย้อนนึกอย่างถ้วนถี่ กลับยังคงรู้สึกเช่นเดิมว่า เจ็ดหมื่นปีมานี้ ที่ข้ากับเขาไม่อาจพบหน้ากัน มิใช่เพราะข้าจงใจหลบหน้าเป็นอันขาด หากแต่เป็นเพราะชะตาลิขิต

 

เจ็ดหมื่นปีจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น บึงใหญ่แดนบูรพานั่นทะเลเป็นท้องนากลับไปกลับมายี่สิบรอบ ก็ครบถ้วนพอดี

 

วันหนึ่งของเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อน ฉิงชาง ราชาปิศาจคนก่อนออกมาล่าสัตว์นอกแคว้น แล้วต้องตาศิษย์พี่เก้าลิ่งอวี่เข้า จึงลักพาตัวเขาไปยังวังต้าจื่อหมิงกง หมายจะแต่งตั้งเป็นหวางโฮ่วชาย[4] เนื่องจากตอนนั้นข้าอยู่กับลิ่งอวี่ จึงตกกระไดพลอยโจนถูกจับตัวไปด้วย

ตอนที่ข้าอายุห้าหมื่นปี ได้กราบม่อเยวียนเรียนวิชา ม่อเยวียนไม่เคยรับศิษย์สตรี อาเหนียงจึงใช้คาถาเปลี่ยนร่างข้าให้เป็นชาย พร้อมกับหลับหูหลับตาตั้งชื่อปลอม “ซืออิน” นี้ให้ เวลานั้นทุกผู้คนล้วนทราบว่า ซืออิน ศิษย์คนที่สิบเจ็ดในสำนักของม่อเยวียน คือเสินจวินผู้ใช้พัดจีบแพรเป็นศาสตราวุธวิเศษ เป็นศิษย์คนสุดท้องที่ม่อเยวียนซ่างเสินรักใคร่เอ็นดูที่สุด ไม่มีผู้ใดเคยคิดสงสัยเด็ดขาดว่าความจริงแล้วซืออินผู้นี้กลับเป็นเสินจวินหญิง

แม้ว่าข้ากับลิ่งอวี่จะถูกลักพาตัวไปด้วยกัน แต่เพราะข้าเป็นเพียงของแถม การคุมตัวจึงย่อมจะหย่อนยานกว่าบ้าง ด้วยเหตุนี้นอกจากข้าวสามมื้อ ยังได้รับอนุญาตให้เดินเล่นไปทั่วได้ ขอเพียงไม่ออกไปจากวังต้าจื่อหมิงกงแห่งนี้ ก็ไม่เป็นอุปสรรคใด

ในภายหลัง ข้ามักจะคิดเสมอว่า มื้อเที่ยงของวันที่สามในวังต้าจื่อหมิงกง ข้าอาจไม่ควรกินเนื้อพะโล้ชามนั้นก็เป็นได้ หากข้าไม่กินเนื้อพะโล้ที่เพิ่มมาชามนั้น สี่ทะเลแปดดินแดนดำเนินมาจนถึงในวันนี้ ไม่แน่ว่าจะยังคงเป็นฟ้าดินเดียวกับที่เป็นอยู่ในยามนี้

ตอนนั้น เดิมทีข้ากินข้าวเที่ยงเสร็จไปแล้ว ในครัวกลับส่งเนื้อพะโล้แห่งโชคชะตาชามนี้มาให้ บอกว่าเป็นหมูป่าตัวหนึ่งที่ฉิงชางล่าได้เมื่อตอนสาย ตัดขามันมาปรุงเป็นสองชามโดยเฉพาะ ชามหนึ่งส่งไปที่ลิ่งอวี่นั่นแล้ว อีกชามจึงตกรางวัลแถมให้ข้า ข้าดูว่ามันมันเยิ้มเป็นประกาย หน้าตาดูดียิ่งนัก จึงจัดการกินจนเกลี้ยงชามอย่างเกรงอกเกรงใจ

พึงทราบว่าก่อนหน้านี้ข้าได้กินข้าวเที่ยงไปแล้ว เนื้อพะโล้ชามนี้ถือเป็นของว่าง ด้วยเหตุนี้การเดินเล่นเป็นประจำหลังอาหาร จึงจำเป็นต้องเดินมากกว่าปกติหลายก้าว

หลายก้าวที่เดินเพิ่มมานี้เอง ทำให้ข้าได้พบกับหลีจิ้งซึ่งเวลานั้นยังเป็นแค่องค์ชายเป็นครั้งแรก เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของข้าอย่างหักโหม

มีคำกล่าวว่า “เขื่อนยาวพันหลี่พังภินท์ด้วยรังมด” และมีคำกล่าวว่า “หมั่นโถวหนึ่งลูกจุดคดีเลือด” ด้วยเหตุนี้การที่เนื้อพะโล้หนึ่งชามจะปูเส้นทางชีวิตของข้าให้ขรุขระสุดเปรียบปาน จึงไม่อาจนับเป็นเรื่องเหลวไหล และเมื่อย้อนมองกลับไปอีกครั้งในวันนี้ เปิ่นซ่างเสินอดไม่ได้ต้องทอดถอน คับแค้นขุ่นเคืองยิ่งนัก

 

ข้ายังจำได้ว่าวันนั้นฟ้าหลังฝนเพิ่งจะใสสว่าง ดวงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ่านปราการหมอกสีเทาอ่อนของวังต้าจื่อหมิงกงมาแต่ไกลประหนึ่งไข่เป็ดที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

นางกำนัลที่เดินเป็นเพื่อนเสนอแนะข้าว่า “ในอุทยานมีปทุมจันทร์เย็นอยู่ต้นหนึ่งหาดูได้ยากมาก เวลานี้ดอกกำลังผลิบานพอดี หากเสินจวินยังคงรู้สึกท้องอืด ก็สามารถไปดูได้” แล้วช่วยชี้ทางให้ข้า

ข้าโบกพัดจีบแพรลองเดินไปดู ระหว่างทางสกุณาร้องขับขาน ดอกไม้ใบหลิวฟื้นผลิบาน เนื่องจากความสามารถในการจำทางไม่ดีนัก เป็นพักใหญ่ก็ยังหาปทุมหายากนั่นไม่พบ ยังดีที่แม้ในอุทยานแห่งนี้จะมีเพียงสระน้ำตื้นภูเขาจำลอง เที่ยวชมอย่างละเอียดก็ยังพอจะเบิกบานอยู่

ข้ากำลังเดินเที่ยวชมสวนคนเดียวอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ ตรงมุมเฉียงกลับพลันมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมุดพรวดออกมา ตัวเสื้อเปิดอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ผมเผ้าปล่อยสยาย สายตาเลื่อนลอย บนไหล่ยังมีกลีบดอกไม้ติดอยู่หลายกลีบ แม้หน้าตาสารรูปแบบเพิ่งตื่นนอน ก็ไม่อาจปกปิดรูปลักษณ์บุปผาเรืองนามงามล่มเมืองได้แม้แต่น้อย

ข้าคาดเดาว่าอาจจะเป็นฟูเหรินคนใดคนหนึ่งของตาราชาปิศาจต้วนซิ่วนั่น จึงพยักหน้าเล็กน้อยให้เขา เขานิ่งเหม่อ ไม่พยักหน้าตอบ ดูเหมือนจะยังตั้งสติได้ไม่มั่นคงดีนัก ข้าย่อมไม่ถือสาหาความคนที่ยังไม่ตื่นดี แสดงมารยาทตามควรแล้ว ก็เดินเที่ยวสวนต่อ ขณะจะเดินเฉียดผ่านไหล่เขาไป เขากลับคว้าแขนเสื้อข้าไว้ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดระคนสงสัย “เสื้อชุดนี้ของเจ้าสีดูประหลาดนัก แต่ก็น่ามองมาก ตัดจากที่ใดหรือ?”

ข้าตอบโต้ไม่ทันไปชั่วครู่ เบิกตาโตมองเขา พูดอะไรไม่ออก

เสื้อชุดนี้สีม่วงเงินตลอดตัว เนื่องจากกลางวันสวมกลางคืนซักมาติดต่อกันหลายวัน สีจึงออกจะซีดกว่าตอนเพิ่งหยิบมาสวมใหม่ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ ไม่อาจนับได้ว่าประหลาดโดยแท้ ก่อนที่ฉิงชางจะลักพาตัวข้ากับลิ่งอวี่ ก็ไม่ได้บอกกล่าวกันล่วงหน้า ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ข้าเองก็ไม่ทันได้ตระเตรียมเสื้อผ้าสำหรับซักเปลี่ยน เข้ามาในวังต้าจื่อหมิงกง ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีเพียงเสื้อชุดนี้ เสื้อผ้าที่พวกเขาเตรียมไว้ให้ ข้าก็สวมไม่คุ้น ได้แต่ขยันซักบ่อยหน่อย

เด็กหนุ่มตรงหน้าดึงตัวข้าหมุนหนึ่งรอบ แล้วพิจารณาขึ้นๆ ลงๆ กล่าวอย่างจริงใจ “ข้ายังไม่เคยเห็นของที่มีสีแบบนี้มาก่อน กำลังกลุ้มใจอยู่เทียวว่าวันเกิดของเสด็จพ่อจะหาของขวัญที่เหมาะสมไม่พบ นี่กลับเป็นของที่หาได้ยากพอดี เสี่ยวซยงตี้[5]ถือเสียว่าสร้างน้ำใจกันสักครั้ง เปลี่ยนเสื้อชุดนี้มาให้ข้าเถิด” จบคำก็จับตัวข้าไว้ ผิวขาวราวหิมะเรื่อสีแดงจางๆ เปลื้องเสื้อผ้าข้าอย่างขัดเขินและคล่องแคล่ว

แม้จะแปลงร่างเป็นชาย แต่จะอย่างไรโดยเนื้อแท้แล้วข้าก็เป็นเทพเซียนหญิงสาว เมื่อพบกับเรื่องเช่นนี้ ตามธรรมเนียมที่สืบทอดกันมา ต่อให้เรี่ยวแรงสู้ไม่ได้ ก็ต้องต่อต้านขัดขืนกันสักตั้ง

ตอนนั้นข้ากับเขากำลังยืนอยู่ริมสระบัวสี่เหลี่ยมแห่งหนึ่ง สายลมอ่อนจางโชยพัดมา กลิ่นหอมดอกบัวพาชื่นใจ การดิ้นรนขัดขืนของข้านั่น แม้ไม่ได้ใช้คาถา เพียงแต่ยื้อและผลักด้วยมือเปล่า ไม่นึกว่าอุบัติเหตุพลิกผันระหว่างนั้นกลับทำเอาเราทั้งสองคนพลัดตกสระบัวไปด้วยกันทั้งคู่

หูของเผ่าปิศาจไวมาแต่ไหนแต่ไร เสียงตกน้ำดังตูมสนั่นได้ชักนำผู้คนมากมายมามุงดู เรื่องนี้นับว่าน่าขายหน้าโดยแท้ เขาทำมือบอกนัยต่อข้า ข้าใคร่ครวญดูแล้วว่าหมายถึง “อย่าขึ้นไป” จึงพยักหน้า หันหลังชนกับเขานั่งยองๆ อยู่ใต้น้ำด้วยกัน

พวกเรานั่งยองๆ อย่างทุกข์ระทม นั่งอยู่จนฟ้ามืด คาดว่าข้างบนน้ำไม่มีใครอยู่แล้ว จึงค่อยปีนขึ้นฝั่งในสภาพตัวสั่นกึกๆ

ด้วยมีชะตาร่วมนั่งยองๆ ด้วยกันครึ่งวันนี้ เราสองคนกลับละลายความกินแหนงก่อนหน้า เรียกหาเป็นพี่น้องกันขึ้น แลกกันบอกชื่อ

ชายหนุ่มหน้าตางดงามผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับราชาปิศาจต้วนซิ่วนั่นจริงๆ แต่ไม่ใช่ฟูเหรินของเขา ทว่าเป็นบุตรชายแท้ๆ คนรองของเขา ก็คือหลีจิ้ง

จำได้แต่ว่าตอนนั้นข้าทั้งตกตะลึงและสะท้อนใจ ที่แท้คนเป็นต้วนซิ่วก็มีบุตรกับเขาได้ด้วย

 

หลังจากนั้นหลีจิ้งก็มาเชิญข้าไปกินน้ำชาชนไก่ดื่มเหล้าทุกวัน ข้ากลับไม่มีแก่ใจเอาเลย เพราะได้รับข่าวใหม่มาว่า ฉิงชางใช้อำนาจบังคับ ฤกษ์แต่งงานกำหนดเป็นวันสามค่ำเดือนยี่ซึ่งเป็นเดือนถัดไป ลิ่งอวี่ยอมตายไม่ยอมจำนน เอาหัวชนเสาไปสามครั้งแต่ถูกช่วยไว้ได้ ตอนนี้เริ่มอดอาหารอีกแล้ว

ตอนนั้นข้าคนเดียวกำลังน้อย อย่าว่าแต่ช่วยลิ่งอวี่พาหนีออกไปจากวังต้าจื่อหมิงกงด้วยกันเลย แค่ข้าคนเดียวจะหนีออกไปยังยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก เนื่องจากเชื่อใจว่าม่อเยวียนออกจากปิดด่านกักตัวเมื่อไร จะต้องรุดมาช่วยพวกเราจากเภทภัยอย่างแน่นอน ข้าจึงอยู่ที่นี่อย่างไม่ได้ทุกข์ทรมานมากมาย แต่เดิมข้าคิดว่าในเมื่อฉิงชางหลงรักลิ่งอวี่อย่างมาก เช่นนั้นสถานการณ์ของลิ่งอวี่ก็ไม่ต้องกังวลมาก ไหนเลยจะทราบว่าลิ่งอวี่กลับทำร้ายตัวเองจนน่าวิตกกังวลปานนี้

ข้ากลางวันก็วิตกกลางคืนก็วิตก

หลีจิ้งเห็นแล้วรำคาญ นึกโมโหขึ้นมา ขว้างจอกสุราที่ถืออยู่ตกแตก พูดว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้ากลับยอมทำท่าอมทุกข์อยู่ได้ทุกวี่วันโดยไม่ยอมมาขอให้ข้าช่วย แสดงว่าไม่เห็นข้าเป็นพี่น้องชัดๆ! ซ้ำยังต้องให้ข้าตั้งหน้ามาถามไถ่เจ้าเสียอีก เจ้าไม่ถือข้าคนนี้เป็นพี่ชาย ข้ากลับจะขอถือเจ้าเป็นน้องชายอยู่ดี ข้าขอรับประกันว่าก่อนสามค่ำเดือนยี่ จะช่วยเจ้าพาเขาออกไปจากวังให้เอง เจ้ามีสิ่งใดจะบอกเขาก็เขียนมาให้ละเอียด คืนนี้ข้าจะช่วยนำไปให้ให้เขาค่อยเบาใจ ฟังว่าเมื่อวานนี้เขากระโดดสระอีกแล้ว ข้าไม่เห็นจะเคยรู้มาก่อนว่าเทพเซียนเดี๋ยวนี้บอบบางถึงเพียงนี้ แค่กระโดดสระก็จมน้ำตายได้ มีแต่เสด็จพ่อข้าเท่านั้นแหละที่ยังจะเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่โตเทียมฟ้าได้”

ข้าพูดไม่ออกอย่างยิ่ง ที่ไม่นำเรื่องนี้มารบกวนเขา เดิมทีเพราะเห็นว่าจะอย่างไรเขากับฉิงชางก็เป็นพ่อลูกกัน หากหาเรื่องเดือดร้อนให้เขา มันจะไม่ดี ในเมื่อเขายืนกรานอยากจะช่วย ข้าก็ได้แต่จำใจรับไว้

เนื่องจากจะต้องติดค้างน้ำใจเขาหนึ่งครั้งอย่างแน่นอน เมื่อดื่มเหล้าเป็นเพื่อนหลีจิ้งหลังจากนั้น ข้าจึงทุ่มเทมากขึ้นหน่อยโดยปริยาย

เดิมทีเวลาดื่มเหล้า ข้ากลัวที่จะต้องสิงหย่าลิ่ง[6]มากที่สุด ตอนนั้นข้ายังเยาว์ ชอบเล่นสนุกเกินไป วันทั้งวันเอาแต่เที่ยวเล่นตะลอนๆ ชนไก่แข่งหมาตามพวกศิษย์พี่เหลวไหลทั้งหลาย เที่ยวอวดฝีมือในที่ชุมชนทำตัวเจ้าสำราญหาสาระมิได้ โคลงกลอนดนตรีกาลไม่กระดิกหูสักอย่าง ทุกครั้งที่สิงหย่าลิ่ง ข้ามักจะเป็นคนที่ถูกปรับมากที่สุดบนโต๊ะ แต่สิงทงลิ่ง[7]กลับเป็นเรื่องที่ข้าถนัดมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทอยเต๋า จับฉลาก หรือทายหมัด[8] ทายถั่วโป ก็สามารถคว้าที่หนึ่งของสำนักมาได้สบายๆ

ครั้งนี้ข้ากลับต้องเอาใจหลีจิ้ง ดังนั้นจึงสิงหย่าลิ่งอย่างเบิกบานสำราญใจยิ่ง โดยแค่อ้าปากกล่าวส่งเดชกับก้มหน้าดื่มเหล้าเป็นพอ สิงทงลิ่งข้ากลับเล่นจนเกาหัวเกาหูร้อนใจ หลีจิ้งเริงร่าอารมณ์ดียิ่ง

ด้วยเหตุนี้จึงปรึกษาวางแผนกันอย่างละเอียด ตกลงกันว่าคืนวันสองค่ำจะขโมยตัวลิ่งอวี่ออกจากวังไป เมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจึงก้าวหน้าเร็วถึงวันละพันหลี่ แค่สั้นๆ สิบวันก็เหาะพรวดไปถึงหมื่นหลี่ บรรลุถึงขั้นปรึกษาหารือเรื่องแต่งงาน

มิใช่ว่าข้าคุยเรื่องแต่งงานกับเขาดอก แต่หมายถึงเยียนจือน้องสาวของเขา ไม่ทราบอย่างไร ได้มาต้องตาข้าเข้า

น้องสาวชื่อเยียนจือของหลีจิ้งคนนี้ข้าเคยเห็นหน้ามาครั้งหนึ่ง หน้าตาไม่เหมือนหลีจิ้ง คิดว่าคงจะเหมือนแม่ แต่ก็เป็นสาวงามที่หน้าตาหมดจดนางหนึ่ง

หลีจิ้งกระตือรือร้นยินดียิ่ง บอกแต่ว่าได้เกี่ยวดองสองชั้น แม้ว่าเดิมทีข้ากับเขาจะไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติโยมอะไรกันก็ตาม กระนั้นข้างฝ่ายข้าก็กลุ้มใจโดยแท้ หากข้าเกิดมาเป็นชาย กลับไม่มีใดจะว่ากล่าว ถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าตอนที่ข้าเกิดมา หาใช่จิ้งจอกตัวผู้ที่มีแท่งติดตัวมาด้วยไม่ จึงบอกหลีจิ้งว่าคนเถื่อนอย่างข้าไม่คู่ควรกับองค์หญิงเยียนจือจริงแท้ เขากลับคิดไปเองว่าข้าเขิน จึงเพียงแต่ยิ้มบางๆ เป็นการตัดบท ข้ากลัดกลุ้มยิ่งนัก

ในวังต้าจื่อหมิงกงแห่งนี้ ลิ่งอวี่แข็งใจฝืนทนอยู่ตรงมุมตะวันออก ข้าแข็งใจฝืนทนอยู่ตรงมุมตะวันตก ก็นับได้ว่าเสมอภาคสมานฉันท์ดีอยู่

 

วันหนึ่งข้าฝัน...ฝันเห็นลิ่งอวี่แต่งงานกับราชาปิศาจต้วนซิ่วนั่น กลายเป็นหวางโฮ่วไปจริงๆ ส่วนข้าก็แต่งงานกับเยียนจือจริงๆ หลีจิ้งโอบไหล่ข้าอย่างสนิทสนม ชี้ไปที่ลิ่งอวี่พูดว่า “อินตี้[9] รีบเรียกเสด็จแม่สิ”

ลิ่งอวี่เข้ามาคว้ามือข้าไปวางทาบบนท้องเขา ศีรษะเทินประกายสีทองอร่ามทั้งแถบ กล่าวกับข้าอย่างเมตตายิ่งว่า “อีกไม่กี่เดือนให้หลังเสด็จแม่ก็จะคลอดน้องชายครอกหนึ่งออกมาเพิ่มให้พวกเจ้าแล้ว อาอิน เจ้าดีใจหรือไม่?”

ข้ายิ้มแห้งสนิทด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “ดีใจพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นตื่นขึ้นมา เสื้อชั้นในได้ถูกเหงื่อซึมจนเปียกชุ่ม ข้าคิดจะลงจากเตียงไปดื่มน้ำเย็นแก้ตกใจสักอึก แหวกม่านเปิดออก กลับเห็นหลีจิ้งสวมชุดยาวสีขาวยืนนิ่งเงียบไร้สุ้มเสียงอยู่ตรงหัวเตียง นัยน์ตาลุกโรจน์จ้องมองข้าเขม็ง

ข้ากลิ้งจากเตียงลงไปที่พื้น

ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แม้แสงจันทร์นอกหน้าต่างจะไม่ค่อยสว่างนัก แต่ก็มากพอจะส่องสว่างห้องหลังเล็กนี้ ข้านอนหมอบอยู่กับพื้น คิดในใจว่า ไม่แปลกๆ เขาอาจจะนอนไม่หลับ จึงมาหาข้าแก้กลุ้ม

เห็นเขาย่อตัวลงนั่งจริงๆ นิ่งเงียบไปพักใหญ่ค่อยพูดว่า “อาอิน ข้าจะบอกความลับเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าอยากฟังหรือไม่?”

ข้าคิดตรึกตรอง เวลาป่านนี้เขายังไม่นอน กลับตั้งใจมาที่พักของข้าเพื่อจะบอกความลับให้ข้าฟัง แสดงว่ากลุ้มใจอย่างมาก หากข้าไม่ฟัง ก็ไม่สมเป็นพี่น้องโดยแท้ จึงพยักหน้าอย่างอึดอัด

หลีจิ้งพูดอย่างขัดเขินว่า “อาอิน ข้าชอบเจ้า อยากหลับนอนกับเจ้า”

ข้าที่เพิ่งจะปีนขึ้นมาจากพื้นได้ร่วงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง

จากที่ข้าทราบมา เนื่องจากหลีจิ้งชิงชังพฤติกรรมต้วนซิ่วของเหล่าจือ[10]เขา ด้านเรื่องสายลมจันทราจึงปกติอย่างยิ่งเสมอมา ในตำหนักบรรทมมีสาวงามสะสมไว้มากมาย แต่ละนางล้วนอกโตเอวคอดขาเพรียวยาวทั้งสิ้น ตอนนั้นข้าจำแลงร่างเป็นชาย แม้หน้าตาจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากมาย หน้าอกกลับแบนราบจริงแท้ หลังจากได้ฟังถ้อยคำนี้ของเขาจบ ระดับความตกตะลึงพรึงเพริดของข้าจึงสามารถคาดเดาได้

เขานึกว่าตัวเองแหวะใจสารภาพแล้ว ก็ถือว่าได้ร่วมปรึกษาหารือกับข้าแล้ว จึงเข้ามาเปลื้องเสื้อผ้าข้า ข้าปกป้องตัวเสื้อด้านหน้าอย่างสุดชีวิต เขาพูดอย่างโมโหว่า “ในเมื่อเจ้ารับปากโดยดุษณีแล้ว ยังจะกระบิดกระบวนเช่นนี้ไปไย?”

พึงทราบว่าการที่ตอนนั้นเปิ่นเสินจวินไม่ได้เอ่ยอะไร มิใช่การรับปากโดยดุษณีเด็ดขาด หากแต่เป็นตกตะลึงจังงังไปชั่วขณะ

ตอนแรกที่เขาได้พบข้าก็มาเปลื้องผ้าข้า เพิ่งจะผ่านไปแค่สิบกว่าวันก็มาเปลื้องกันอีกหน มนุษย์ดินยังมีสันดานดินอยู่สามส่วน[11] อย่าว่าแต่ตอนนั้นจะมากจะน้อยตัวข้าก็มีตำแหน่งเทพเซียน ได้รับแต่งตั้งเป็นเสินจวิน

สุดจะทนได้ไหวแล้วจริงๆ มือดาบฟันลงไปหนึ่งที เล่นงานหลีจิ้งล้มลงกับพื้น ไหนเลยจะคาดดันออกแรงหนักเกินไป ทั้งบังเอิญฟันถูกชีพจรเทียนจู้[12]ที่หลังคอเขาพอดี จังหวะโอกาสประจวบเหมาะ หลีจิ้งจึงสลบไป ร่วงตกลงทับใส่ท้องข้าโดยแรง ตั้งแต่หัวจดเท้ากลิ่นเหล้าคลุ้งตลบ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงเห็นว่าพฤติกรรมต่างๆ เมื่อครู่ของเขาล้วนเป็นเพราะเมาเหล้าทั้งสิ้น ก็มิได้ถือสาหาความนักอีก แล้วเห็นว่าบนพื้นนั้นเย็น จึงอุ้มผ้าห่มบนเตียงมาห่อตัวเขาไว้ลวกๆ เป็นม้วน ค่อยผลักไปที่ขาเตียง ส่วนตัวเองก็ขึ้นไปนอนบนเตียง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ข้าลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นหลีจิ้งห่อตัวด้วยผ้าห่มเมื่อคืนนี้เกาะฟุบอยู่บนขอบเตียงอย่างน่าสงสาร ขมวดคิ้วไปพลางนวดหลังคอไปพลาง “เหตุใดข้าจึงมานอนอยู่ที่ห้องเจ้าได้เล่า?”

ข้านิ่งคิดคะเนอยู่ในใจไปหนึ่งตลบ ตามด้วยอีกตลบ ค่อยกล่าวเนิบช้าว่า “เมื่อคืนนี้เจ้าดื่มเหล้า แล่นมาที่ห้องข้าตอนเที่ยงคืน บอกว่าชอบข้า อยากหลับนอนกับข้า”

มือที่กำลังจับผมของหลีจิ้งแข็งทื่ออยู่กลางอากาศในบัดดล สีหน้าเขียวคล้ำสลับซีดขาว ขับเน้นด้วยผมยุ่งเหยิงเป็นรังนกนั่น ดูประดุจไข่ไก่หนึ่งฟองที่ตอกลงใส่ชามน้ำแกง ครู่ใหญ่ให้หลังค่อยพูดติดอ่างว่า “ข...ข้าไม่ใช่ต้วนซิ่ว ถ...ถ้าข้าเป็น มีหรือจะบอกว่ายก...ยกน้องสาวแท้ๆ ให้เป็นภรรยาเจ้า?”

ข้ารวบตัวเสื้อเข้าหากัน กล่าวอย่างยินดีว่า “เจ้าไม่ใช่ต้วนซิ่วจริงๆ นั่นแหละ”

ไม่นึกว่ากิริยารวบตัวเสื้อนี้ของข้าได้เสียดแทงใจเขาอย่างรุนแรง

เขายกมือขวาขึ้นชี้สั่นๆ มาที่ข้า “จ...เจ้าทำแบบนี้ ส..แสดงว่ากลัวจะถูกข้าจะเอาเปรียบชัดๆ”

ข้าตกตะลึง กล่าวเสียงขื่น “ก็เมื่อคืนนี้เจ้าเกือบจะเปลื้องเสื้อผ้าข้าจริงๆ นี่”

 

หลังจากนั้นมาก็ไม่เห็นหลีจิ้งติดต่อกันหลายวัน เมื่อก่อนเขาแทบจะมารบกวนข้าทุกวัน ครั้งนี้กลับห่างไกลไร้ข่าวคราว

วิจารณ์กันด้วยจิตใจฝ่ายดี ถึงแม้หลีจิ้งออกจะพูดมากอยู่บ้าง เหล้าที่นำมากลับอร่อยดีอยู่ เล่นชนไก่ตีจิ้งหรีดกับเขาก็สนุกสนานสำราญใจดี ด้วยเหตุนี้ไม่ได้พบกันหลายวัน ข้าจึงคิดถึงเขามาก

องค์หญิงเยียนจือเชิญข้าไปเดินเล่นในอุทยานท้ายวังด้วยกัน เอ่ยถึงพี่ชายคนนี้ของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าค่อยทราบว่าไม่กี่วันมานี้หลีจิ้งนอนค้างกับบุปผางามทุกค่ำคืน ใช้ชีวิตอย่างปล่อยตัวเจ้าสำราญยิ่ง

เยียนจือละเอียดอ่อนและอ่อนโยน ถามอย่างกังวลว่า “หรือเสินจวินกับพี่รองจะเกิดข้อกินแหนงใดขึ้น? เมื่อก่อนท่านสองคนเหมือนเกิดมาตัวติดกันก็ไม่ปาน อยู่ด้วยกันไม่เคยห่างทุกวี่วัน”

ข้าลูบท้ายทอยย้อนคิดดู เห็นว่านอกจากคืนนั้นที่เขาเมาเหล้ามาลวนลามข้าไม่สำเร็จแล้ว ข้ากับเขาก็อยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานกลมเกลียวโดยตลอด อีกประการ พี่น้องเหมือนเสื้อผ้า ภรรยาเหมือนแขนขา[13] เขากับบรรดาแขนขาของเขากระทำกิจสำคัญในการสืบทอดลูกหลานกัน การเพิ่มเสื้อผ้าเข้าไปย่อมเป็นส่วนเกินโดยแท้ การได้กอดสตรีในอ้อมแขนถือเป็นเรื่องสุนทรีย์ หากข้างๆ มีชายอื่นมายืนตาลุกวาวจ้องมองสาวงามในอ้อมแขนท่าน ก็ออกจะสุนทรีย์เลยเถิดเกินไปบ้าง แม้ว่าข้าจะไม่ใช่บุรุษ จึงไม่มีทางมุ่งมาดสาวงามในอ้อมแขนเขาเด็ดขาด เขากลับมิได้ทราบ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน การเป็นบุรุษไม่ง่ายดาย การเป็นบุรุษที่มีภรรยามากมายยิ่งไม่ง่ายดาย เมื่อคิดถึงชั้นนี้ ข้าก็เข้าใจและเห็นใจเขายิ่ง

เยียนจือมองข้าตาปรอยอยากซักถามให้กระจ่าง ข้าใคร่ครวญในใจไปหนึ่งตลบ เห็นว่ากล่าวให้นางฟังออกจะไม่ดีนัก กระอักกระอ่วนอยู่พักใหญ่ ก็หาข้ออ้างส่งเดชมากลบเกลื่อนผ่านเรื่องนี้ไป

 

อีกไม่กี่วันก็จะเป็นสามค่ำเดือนยี่

วังต้าจื่อหมิงกงประดับประดาฟู่ฟ่างดงาม อาหารการกินของข้าก็ปรับปรุงขึ้นไม่น้อย

นับแต่ได้รับจดหมายฉบับนั้นของข้า เนื่องจากได้รับการปลอบขวัญ ลิ่งอวี่จึงนับว่าฝืนใจอยู่อย่างสงบได้บ้าง เรื่องส่งลิ่งอวี่ออกจากวังเป็นความลับอย่างมาก ข้ามิได้เอ่ยถึงในจดหมาย ด้วยเหตุนี้เมื่อฤกษ์แต่งงานใกล้เข้ามาทุกวัน เขาจึงเริ่มอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ลำพังแค่ภายในช่วงเช้าสองชั่วยามกว่า ก็กัดลิ้นไปหนึ่งหน กินยาพิษไปหนึ่งหน ทั้งยังผูกคอตายไปหนึ่งหน ช่างทรมานตัวเองได้เก่งกาจยิ่งนัก

ข้าเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องไปสิบรอบ ใคร่ครวญแล้วเห็นว่าควรต้องไปตำหนักบรรทมของหลีจิ้งสักหน ปรึกษาเขาดูว่าพอจะสามารถดำเนินแผนการล่วงหน้าหนึ่งวันได้หรือไม่

ไปถึงหน้าตำหนักบรรทมของหลีจิ้ง กลับถูกนางกำนัลสองนางขวางไว้ บอกว่าองค์ชายรองพาฟูเหรินสองนางออกไปล่าสัตว์ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในวัง ข้าไตร่ตรองดู ได้แต่ฝากข้อความไว้กับนางกำนัล รอจนองค์ชายรองกลับวังแล้ว รบกวนนางสองคนช่วยรายงานให้สักคำว่า ซืออินเสินจวินไปได้การละเล่นที่น่าสนุกอย่างหนึ่งมา ต้องการแสดงให้เขาดู

ข้านั่งหง่าวอยู่ในห้องแทะเม็ดแตงได้พักใหญ่ หลีจิ้งยังไม่มา ซือฝุ[14]ของข้าม่อเยวียนกลับมาถึงแทน ใต้ซอกแขนของม่อเยวียนหนีบม้วนผ้าห่มม้วนหนึ่ง ในม้วนผ้าห่มห่อร่างคนผู้หนึ่งไว้ หน้าตานั้นน่าจะเป็นศิษย์พี่เก้าลิ่งอวี่ผู้ฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จนั่นเอง

เปลือกแตงเปลือกหนึ่งลงไปติดอยู่ในคอข้าทันควัน ข้าหายใจไม่ออกหน้าดำหน้าแดง ม่อเยวียนขมวดคิ้วพินิจดูข้าหนึ่งรอบ เข้ามาช่วยตบอกให้

ข้าไอเอาเปลือกแตงออกมา นึกถึงว่าในที่สุดวันนี้ก็จะหนีรอดเป็นอิสระ ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญแขวนเป็นห่วงลิ่งอวี่อีก ก็ยินดีปรีดายิ่ง

ม่อเยวียนวางลิ่งอวี่ลงจับข้ากอด รวบเอวข้าแน่น อึดใจใหญ่ให้หลังจึงค่อยปล่อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เลว ลิ่งอวี่ผอมไปโข สิบเจ็ดน้อยเจ้ากลับอ้วนขึ้นโข คำนวณแล้วก็ไม่แน่ว่าพวกเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

ข้าหัวเราะเก้อๆ กอบเม็ดแตงส่งไปให้ตรงหน้าท่าน

“ซือฝุ ทานเม็ดแตงขอรับ”

 

คืนนั้นการหนีออกไปของพวกเราไม่ได้ราบรื่น

ฉิงชางจับตัวข้ากับลิ่งอวี่ ต่อให้เขารักลิ่งอวี่จนหมดใจ กระนั้นลิ่งอวี่ไม่คล้อยตาม ก็มาบังคับกัน ม่อเยวียนคำนึงถึงมิตรภาพระหว่างเผ่าเทพกับเผ่าปิศาจ มิได้ยกทัพมาประจัญ เพียงลอบเร้นกายเข้ามาในวังต้าจื่อหมิงกงเงียบๆ แล้วลักพาตัวข้ากับลิ่งอวี่กลับไป นับว่าเห็นแก่หน้าฉิงชางมากแล้ว ฉิงชางกลับไม่รู้ความยิ่ง ยกแม่ทัพทหารมาอุดขวางที่หน้าประตูวัง หมายจะจับกุมพวกเรา จึงไม่อาจตำหนิที่ม่อเยวียนเหลืออด เปิดฉากฆ่าฟันครั้งใหญ่

เนื่องจากลิ่งอวี่หมดสติอยู่ตลอด จึงไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ข้ามองดูศีรษะที่เลือดสดๆ สาดกระเซ็นตรงหน้า ให้ตื่นตระหนกยิ่ง

ม่อเยวียนไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ตอนที่หิ้วข้ากับลิ่งอวี่กระโดดออกจากกำแพงวัง ข้าหันหน้ากลับไปมอง ได้เห็นฉิงชางถือง้าวฟังเทียนฮั่วจี่ยืนอยู่กลางบึงเลือดสีแดงคล้ำ เบิ่งตาแทบฉีกขาด

ข้าไม่ได้เห็นหลีจิ้งเลย

ม่อเยวียนหิ้วข้ากับลิ่งอวี่จากวังต้าจื่อหมิงกงแล่นกลับไปยังคุนหลุนซวีทั้งกลางคืน ไม่ได้เอ่ยคำตลอดทาง ลิ่งอวี่ยังคงสลบอยู่ จึงยิ่งไม่ได้เอ่ยคำ

นั่นจะเป็นคืนซึ่งข้าไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต แต่กลับไม่อยากนึกถึงอีกไปชั่วชีวิตเช่นกัน

หลังจากกลับถึงคุนหลุนซวี ม่อเยวียนฝากลิ่งอวี่ให้ศิษย์พี่สี่ดูแล แล้วรีบร้อนพาข้าไปที่ห้องยาของท่าน มือฟันฉับเดียวทุบข้าสลบไป ขังไว้ในเตาหลอมยาของท่าน

ตอนแรกที่ฟื้นคืนสติมา ข้ายังนึกว่านี่อาจจะเป็นการลงโทษของม่อเยวียน ตักเตือนที่ข้าไม่ได้ดูแลลิ่งอวี่ให้ดีๆ ทำให้ลิ่งอวี่เป็นทุกข์ตั้งกว่าครึ่งเดือนจนผอมไปโข

แต่พลันได้ยินเสียงสายฟ้าดังครืนครั่น

ตอนนั้นจึงค่อยรู้ตัวว่า เกรงว่านี่จะเป็นด่านสวรรค์ของข้า ม่อเยวียนจัดให้ข้าอยู่ในนี้ คงจะให้ข้าเลี่ยงจากด่านนี้

แม้ว่าข้าจะเกิดมาเป็นทารกเซียน แต่หากต้องการมีอนาคตสักหน่อย หนทางนั้นตัวเองก็ต้องบุกฝ่าเอาเอง จากเทพเซียนธรรมดาเลื่อนขั้นเป็นซ่างเซียน และจากซ่างเซียนเลื่อนขั้นเป็นซ่างเสิน อย่างน้อยเจ็ดหมื่นปี อย่างมากหนึ่งแสนสี่หมื่นปี ต้องผ่านด่านสวรรค์สองครั้ง หากผ่านได้ ก็อายุยืนเสมอผืนฟ้า หากผ่านไม่ได้ ก็จบชีวิตแต่เพียงนี้

ตอนนั้นข้าเป็นศิษย์ม่อเยวียนมาได้สองหมื่นปีเต็มแล้ว ว่ากันตามเหตุผล การทำนายว่าด่านสวรรค์ของตัวเองจะลงมาเยือนที่ไหนเวลาใดและในรูปแบบใด ค่อยตระเตรียมวิธีการผ่านด่านไว้ล่วงหน้านั้น ควรจะทำได้สบายมาก แต่เนื่องจากข้าเกลียดวิชาทำนายมาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกเพียงว่าท่ามือเหล่านั้นน่าเบื่อหน่ายที่สุด ทุกครั้งที่ม่อเยวียนสอน ข้าเป็นต้องสัปหงกอย่างกระตือรือร้น ผลคือเรียนมาเนิ่นนาน ก็ยังแค่สามารถคำนวณดวงชะตาของมนุษย์ได้เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นคำนวณสิบครั้ง ก็ยังไม่ถูกเสีย 5-6 ครั้ง

ข้าตระหนักดีว่าตัวเองนั้นธัมมะเบาบางวาสนาตื้นเขิน ใช้ระดับการฝึกปรือเช่นนี้ไปผ่านด่านสวรรค์เช่นนั้น ก็เหมือนกับการผ่าท้องไก่แล้วเจอไข่เป็ดเค็ม ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด โชคดีที่เจ็ดหมื่นปีมานี้ข้าใช้ชีวิตแบบไม่เป็นโล้เป็นพายผ่านมาอย่างสุขสำราญบานใจยิ่ง ต่อให้วิญญาณแตกซ่านไปในตอนนี้ ก็ไม่ได้เสียใจมากมาย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงนับว่ามองด่านสวรรค์ครั้งนี้อย่างเฉยชา เพียงทราบคร่าวๆ ว่าเป็นภายในปีนี้เอง อย่างอื่นไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง

ข้าขดตัวอยู่ในเตาหลอมยา นั่งได้พักใหญ่ค่อยนึกขึ้นได้กะทันหัน ตัวข้าหลบซ่อนเสียแล้ว จะไปหาใครมาแทนข้าเล่า?

พึงทราบว่าการที่ด่านสวรรค์ได้ชื่อว่าเป็น “ด่านสวรรค์” ย่อมไม่อาจเทียบกับด่านเคราะห์ธรรมดาได้ ทันทีที่ลงมาเยือน ก็จำเป็นต้องเยือนลงสู่ตัวคน จึงจะนับว่าจบเรื่องได้

เสียงสายฟ้าดังครืนครั่นกระแทกสมองข้าจนขาวโพลน ใช้คาถาปลดคลายออกมาอย่างสุดตัว หมายจะมุดออกไปจากเตาหลอมยา กลับไม่สำเร็จจนแล้วจนรอด

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้ารู้ตัวว่า ชีวิตฝากตัวร่ำเรียนวิชาสองหมื่นปีที่ผ่านมานี้ ข้าช่างใช้ชีวิตอย่างบัดซบเหลือเกิน

วันรุ่งขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่มาเปิดฝาเตาหลอมยา กล่าวอย่างจริงจังว่า “สิบเจ็ด เมื่อวานนี้ซือฝุยืนอยู่ข้างเตาหลอมยารับอสนีสวรรค์สามสายจังๆ แทนเจ้า ต่อไปเจ้ายังคงตั้งใจศึกษาเรียนรู้วิชาไว้บ้างเถิด ครั้งหน้าเลื่อนขั้นเป็นซ่างเสิน กลับต้องให้ซือฝุช่วยเจ้าผ่านด่านสวรรค์อีก คงไม่ดีแน่”

ม่อเยวียนรับด่านสวรรค์แทนข้า และได้เข้าปิดด่านกักตัวรักษาอาการบาดเจ็บตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะปีนออกมาจากเตาหลอมยา

ข้าคุกเข่าที่หน้าถ้ำของท่านสามวัน น้ำมูกน้ำตาไหลนองหน้า พูดพร่ำไม่ได้หยุดว่า “ซือฝุ ท่านบาดเจ็บสาหัสมากใช่หรือไม่? อาการบาดเจ็บนี้ของท่านยังสามารถรักษาให้หายดีได้หรือไม่? ศิษย์มันบัดซบแท้ๆ เอาแต่ทำให้ท่านเดือดร้อนอยู่เรื่อย ท่านอย่าได้บาดเจ็บเรื้อรังเด็ดขาดนะขอรับ หากท่านเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา ศิษย์ได้แต่เอาตัวเองไปตุ๋นเป็นน้ำแกงให้ท่านทานบำรุงเท่านั้น”

ชั่วชีวิตนี้มีครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวที่ข้าร้องไห้อย่างเสียกิริยาและเสียใจถึงเพียงนั้น

 


แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:02 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 5 ก.พ. 2555, 20:26

0 ความคิดเห็น