โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:33
เล่มที่ ๒ แรกเผยประกายกล้า
ตอนที่ ๑
ประกาศเรื่องใหม่ของระบบ
เฉินเฟิง เซียวหยาว และวิหารจันทราเทพเดินทางไปพลางพูดคุยหยอกล้อกันไปพลาง ที่น่าประหลาดคือ นอกจากพวกนกฮูกที่เจอกลางทางเมื่อสักครู่แล้ว ก็ไม่พบสัตว์อสูรอื่นอีกเลย ซึ่งกรณีแบบนี้มีความเป็นไปได้ ๒ อย่าง หนึ่งคือข้างหน้ามีกลุ่มผู้เล่นเก่งๆ เคลียร์ทางให้ก่อนแล้ว อีกหนึ่งคือมีสัตว์อสูรระดับราชาปรากฏ ทำให้สัตว์อสูรระดับต่ำกว่าทั้งหมดพากันหลบซ่อนตัวเอาไว้ชั่วคราว
ทั้งสามคิดแค่อยากจะเอาไอเท็มตามเงื่อนไขอย่างสุดท้ายมาให้ได้เร็วๆ จึงต่างคาดหวังว่าที่สัตว์อสูรหายไปกันหมดเกิดจากเหตุผลข้อแรก แต่รอบด้านเงียบสงบเกินไปจนผิดปกติ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะเกิดจากเหตุผลข้อหลังเสียมากกว่า
จะได้เจอกับสัตว์อสูรระดับราชาแบบไหนกันนะ ? เฉินเฟิงบอกว่าถ้าเป็นพญาครุฑได้จะดีที่สุด และจะดียิ่งกว่าถ้ามันเพิ่งสู้กับสัตว์อสูรตัวไหนสักตัวหรือผู้เล่นกลุ่มไหนสักกลุ่มจบไปหมาดๆ และมีขนร่วงเกลื่อนให้พวกเขาไปเจอ พอพวกเขาเก็บขนมันเสร็จ ก็ใช้ม้วนคาถากลับบ้านกันทันทีอย่างสะดวกโยธิน
สองสาวโห่ใส่ทันทีว่าอย่าฝันกลางวันไปหน่อยเลย ไม่มีใครจะดวงดีโคตรๆ ได้ทุกวันหรอก ไม่อย่างนั้นพวกเธอจะจนกรอบกันมาตั้งนานอย่างนี้หรือ ?
ทางจะไกลแค่ไหนก็ต้องเดินถึงเข้าสักวันจนได้ เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพเดินเคียงไหล่กันอยู่ข้างหน้า เฉินเฟิงซึ่งยึดถือหลักการว่ามีม้าให้ขี่ก็ต้องขี่ขึ้นไปนั่งเบียดอยู่ด้านหลังวานรขนทองโดยไม่สนใจอาการประท้วงสุดใจขาดดิ้นของมัน ซวงเว่ยที่แสนจะน่าสงสารจึงพลอยซวยไปด้วย !
สองขาเฉินเฟิงไม่ต้องออกแรง เพราะซวงเว่ยเดินตามหลังสองสาวมาจนชิน จึงไม่ต้องบังคับแม้แต่ทิศทาง เขางัดกล้องส่องทางไกลออกมา เอาหัววานรขนทองเป็นแท่นรองในท่าบรรพตไท่ซาน[1]ถล่มทับ แล้วส่องดูลาดเลาแทนหลายฝู
ทั้งสามอาจกำลังอยู่ในช่วงดวงดีสุดๆ จริงๆ เพราะขึ้นไปถึงยอดเขาไทแทนได้โดยไม่พบเจออุปสรรคใดๆ เลยจนตลอดทาง อย่าว่าแต่สัตว์อสูรเผ่ามังกร กระทั่งเงาสัตว์อสูรตัวเล็กตัวน้อยยังไม่โผล่มาให้เห็น
เหยียบยอดไท่ซานปฐพีหดเล็ก เหยียบยอดไทแทนเห็นปฐพีราชาฯ คลองจักษุของทั้งสามเปลี่ยนเป็นกว้างไพศาลในพริบตา
ทางด้านขวามองเห็นสีเหลืองๆ แถบใหญ่ ก็ทราบว่านั่นคือทะเลทรายมรณะที่หดเล็กลงหลายร้อยเท่า ถัดไปอีกหน่อยคือสีเขียวพืดเป็นแผ่นผืน แยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นป่าละเมาะที่มีแมงมุมยักษ์ ตรงไหนเป็นป่าเฟิงนอกเมืองชิงจ้าง
ทางด้านซ้ายดูเรียบง่ายกว่ากันมาก มีแต่สีฟ้าสดล้วนๆ แยกไม่ออกว่าเป็นทะเลหรือท้องฟ้า ท้องฟ้ากับท้องน้ำหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ดลจิตใจให้ปลอดโปร่งโล่งสบาย สายลมแผ่วพลิ้วพัดมากระทบกาย นำพากลิ่นไอทะเลมาจางๆ ณ ขอบฟ้าไกลมีปุยเมฆฟูฟ่องดั่งปุยฝ้ายหลายก้อนพลิ้วลอยผ่าน
แม้เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพจะทราบดีว่านี่คือโลกสมมติที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เวลาแบบนี้ ถ้ามีแฟนมายืนอยู่เคียงข้างร่วมชื่นชมภาพทิวทัศน์ตรงหน้าอันควรจะเกิดจากการเรียงร้อยถ้อยบรรยายของเทพเจ้าผู้สร้างโลกด้วยกันละก็ จะดีสักแค่ไหนนะ !
น่าเสียดายที่ดันมีคนไม่รู้จักกาลเทศะโผล่มาเสียได้ เฉินเฟิงออกอาการเหมือนวิหารจันทราเทพตอนที่ได้เห็นกระบองห่วงทองเปี๊ยบ คือกระโดดโลดเต้นพลางแหกปากร้องลั่นวิ่งไปทางพื้นที่ราบบนยอดเขา ทำลายความน่าซาบซึ้งของบรรยากาศอันเงียบสงบจนพังครืนไม่เหลือซาก
เซียวหยาวหันมาสบตากับวิหารจันทราเทพ ต่างก็อ่านคำพูดในสายตาของอีกฝ่ายออกอย่างชัดเจนว่า “ถึงเวลากินยาของอีตาเฉินเฟิงอีกแล้วหรือนี่ ?”
จากนั้นทั้งสองก็ยิ้มบางๆ ต่างคิดในใจเหมือนกันว่า “ฝ่ายที่ลืมเป้าหมายในการมาที่นี่มันพวกเราต่างหาก ไม่ใช่เฉินเฟิงสักหน่อย”
ทั้งสองต่างผละจากทิวทัศน์อันแสนจะดึงดูดใจเดินตามไปดูว่าเฉินเฟิงพบอะไรเข้า
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาสองสาวตกตะลึง จะว่าเป็นสิ่งก่อสร้างก็ไม่น่าจะใช่ จะว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก็มีร่องรอยการตกแต่งอยู่ ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนรังนก แต่เป็นรังนกขนาดอภิมหายักษ์ กว้างประมาณ ๓๐ เมตร สูงประมาณ ๑๐ เมตร
เฉินเฟิงหายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบ ซวงเว่ยถูกทิ้งไว้ที่ด้านล่างของรังนก ส่วนหลายฝูวิ่งไปๆ มาๆ ลาดตระเวนดูลาดเลารอบนอก บางทีก็หยุดแหงนหน้าขึ้นดูบนยอดรังนก
เฉินเฟิงปีนรังนกอย่างกินแรงจนเข้าไปข้างในได้ในที่สุด เขาปลดเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ลงมา แล้วตั้งหน้าตั้งตายัดอะไรบางอย่างเข้าไป สองสาวที่เดินเข้าไปใกล้รังนกต่างก็คิดว่า หรือเขาเจอของดีอะไรเข้า ? แต่จากที่เดินทางมาด้วยกัน เฉินเฟิงไม่เคยแอบงุบงิบของดีอะไรเลยสักครั้งนี่นา
พอทั้งสองลองมองอย่างตั้งใจ ก็พบว่าของที่เฉินเฟิงกำลังยัดใส่เป้คือขนนกสารพัดสีสารพัดแบบทั้งใหญ่ทั้งเล็ก มีทั้งสีแดง สีขาว สีเหลือง สีฟ้า สีทอง อันที่เล็กที่สุดใหญ่แค่ประมาณฝ่ามือ ส่วนอันที่ใหญ่ที่สุดใหญ่กว่าตัวเฉินเฟิงเองเสียอีก
ตอนนี้กระเป๋าเป้เป็นเหมือนกล่องวิเศษของพ่อมดยังไงยังงั้น ไม่ว่าขนนกอันใหญ่แค่ไหน พอแตะโดนปากกระเป๋าเป้ ก็หดเล็กลงจนสามารถใส่เข้าไปได้ สองสาวต่างมองเฉินเฟิงตั้งหน้าตั้งตาทำงานตาค้าง
เฉินเฟิงผงกศีรษะพรวดขึ้นกะทันหัน เห็นสองสาวยืนอ้าปากค้างอยู่ข้างๆ ก็เอามือปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางคำรามว่า
“ยังจะดูอยู่อีก รีบมาช่วยกันหน่อยสิ ! ขนนกยังอุ่นอยู่ แปลว่าพญาครุฑอาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อนะ !”
สองสาวได้ยินเข้า ก็ค่อยได้สติ ขมีขมันเข้าไปช่วยกันยัดขนนกใส่เป้
เซียวหยาวถามว่า “จะเอาไปทำไมตั้งเยอะแยะ เอาไปแค่อันเดียวก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ?”
เฉินเฟิงตอบโดยไม่หยุดมือว่า “เธอรู้หรือว่าขนนกแบบไหนถึงจะเป็นไอเท็มที่ภารกิจนี้ต้องการ ?”
เซียวหยาวงงไป แล้วส่ายหน้าเป็นความหมายว่าไม่รู้
“ก็นั่นไง ! ไม่มีใครรู้ว่าต้องเป็นขนนกแบบไหน เลยต้องเอาไปให้หมดทุกแบบไง !” เฉินเฟิงว่า “จันทราเทพ สีเงินปนทองนั่นก็เอาด้วยนะ”
วิหารจันทราเทพชี้ขนนกสองสีขนาดใหญ่เท่าตัวเธอแล้วถามว่า
“อันนี้เหรอ ?”
เฉินเฟิงตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“ใช่ๆ อันเล็กนั่นไม่ต้องเอาแล้ว เพราะไม่น่าจะใช่ เลือกอันที่มันเด่นๆ ไม่เหมือนอันอื่นหน่อยนะ”
วิหารจันทราเทพมองเฉินเฟิง เห็นเขายัดขนนกยาวประมาณหนึ่งฟุตใส่เป้เสร็จก็เดินวนหาขนนกอันอื่นต่อ
เซียวหยาวทักว่า “อันนั้นเมื่อกี้เธอหยิบใส่เป้แล้วนี่ ?”
เฉินเฟิงหอบขนนกที่ดูแปลกจากขนนกอันอื่นๆ มาอีกเต็มอ้อมแขน แล้วพูดพลางยัดใส่เป้ไปพลางว่า
“อันที่มันแปลกกว่าอันอื่นๆ ก็เอาไปเยอะๆ หน่อย ถ้าเราโชคดีเดาถูกอัน จะได้เอาไปขายให้คนอื่นที่อยากคลี่คลายภารกิจได้ด้วย ถึงไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ดูท่าเฉินเฟิงจะชอบสะสมของพิลึกๆ จริงๆ ด้วย...
ทันใดนั้นหลายฝูได้ส่งเสียงเห่าเตือนขึ้น พอทั้งสามได้ยินเข้า ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
หลายฝูรับหน้าที่ลาดตระเวนดูลาดเลามาหลายวันแล้ว ทำให้ทั้งสามต่างก็สามารถเข้าใจความหมายที่หลายฝูต้องการสื่อได้ และเสียงเห่าเมื่อกี้หมายถึงเตือนว่ามีสัตว์อสูรกำลังใกล้เข้ามา
เฉินเฟิงไม่พูดพล่ามทำเพลง ยัดขนนกสารพัดสียาวประมาณสองฟุตอันสุดท้ายใส่เป้ แล้วยกเป้ขึ้นสะพาย ตะโกนว่า
“ถอยเร็ว !”
เพิ่งจะกระโดดออกจากรังนก ก็เห็นนกขนาดใหญ่กำลังบินใกล้เข้ามาจากตรงสุดขอบฟ้า แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวสุดๆ !
เฉินเฟิงวิ่งไปพลางสังเกตไปพลาง ยิ่งสัตว์อสูรตัวนั้นบินใกล้เข้ามา ก็ยิ่งดูน่าขนหัวลุกมากขึ้นทุกทีๆ มันคือพญาครุฑที่สูงอย่างน้อย ๗๐ - ๘๐ เมตร แค่เล็บของมันเล็บเดียวยังใหญ่กว่าวิหารจันทราเทพที่ตัวเล็กบางที่สุดเสียอีก
เฉินเฟิงตะโกนลั่น
“โกหกน่า ! นี่มันกะฆ่ากันชัดๆ ! มิน่าล่ะถึงว่าทำไมตอนผู้บวงสรวงนั่นพูดถึงขนพญาครุฑ ถึงทำหน้ายังกับว่าฉันต้องตายแหงๆ ! ไอ้เรารึนึกว่าแค่รู้สึกไปเอง ใครจะไปนึกว่าไอ้นกนี่มันโคตรจะน่ากลัวขนาดนี้ เร็วเข้า ! เตรียมม้วนคาถากลับบ้าน !”
พญาครุฑแผดร้องดังก้องสะท้านสะเทือนประหนึ่งฟ้าคำราม เสียงลมพัดหวีดหวิวถาโถมเข้าใส่ทั่วทั้งยอดเขาตามการขยับไหวของปีกขนาดยักษ์ เฉินเฟิงคว้าเท้าของซวงเว่ย อุ้มหลายฝูขึ้นมา แล้วตะโกนว่า
“เจอกันที่คลังเก็บไอเท็ม !”
แล้วแสงสว่างจ้าก็วาบขึ้น พาเฉินเฟิงหายวับไป
เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพก็ใช้ม้วนคาถากลับบ้านตามไปติดๆ แสงสว่างวาบขึ้นพาทั้งสองจากไปก่อนกรงเล็บพญาครุฑจะมาถึงศีรษะแค่เสี้ยววินาที
ที่เฉินเฟิงเสี่ยงวิ่งเข้าไปหาเป็นหลายก้าว ไม่ใช่เพราะอยากจะดูพญาครุฑให้ชัดๆ แต่เป็นเพราะถ้าใช้ม้วนคาถากลับบ้าน สัตว์เลี้ยงต้องห่างจากตัวเองไม่เกิน ๕ ก้าว ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปรับสัตว์เลี้ยงคืนที่โรงรับฝากสัตว์เลี้ยง แถมยังต้องจ่ายค่าขนส่งอะไรนั่นตั้ง ๓๐๐ เหรียญเงินอีกต่างหาก เรื่องนี้เขาเพิ่งจะเห็นตอนไปที่วิหาร
ณ มุมหนึ่งของหมู่บ้านอิวะ ณ สถานที่ซึ่งคล้ายสวนสาธารณะขนาดเล็ก มีต้นหลิวหลายต้น มีเก้าอี้หินหลายตัว และมีผู้เล่นในชุดนินจาสองคนกำลังสนทนากัน เมื่อดูดีๆ ปรากฏว่าคือหัวหน้าและรองหัวหน้าของสมาคมนินจา ฟูมะ โคทาโร่ กับ อิงะ คันทาโร่ นั่นเอง
อิงะพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่ว่าเฉินเฟิงจะป่าวประกาศความลับของดาวกระจายหรือเปล่า ?”
ฟูมะส่ายหน้า “ฉันว่าไม่น่าจะนะ ! แถมฉันก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่ไม่ใช่ความลับมาแต่แรก จะป่าวประกาศออกไปหรือเปล่าก็ไม่เป็นไรหรอก ที่ฉันกำลังคิดคือ พวกเราสมควรเปลี่ยนวิธีการกันเสียทีหรือยัง ?”
อิงะตกใจ “เปลี่ยนวิธีการ ? ขาดอีกแค่หนึ่งแสนเหรียญทองก็จะซื้อที่ดินได้แล้วนะ ! ถ้ามาเปลี่ยนวิธีการเอาตอนนี้ แล้วจะอธิบายกับพวกสมาชิกที่สนับสนุนพวกเราว่ายังไง ?”
ฟูมะถอนใจ “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องซื้อที่ดิน แล้วต่อให้จะไม่ซื้อที่ดินจริงๆ เราก็คืนเงินบริจาคไปให้หมดก็สิ้นเรื่อง ที่ฉันกังวลคือเรื่องอาชีพ ฉันเริ่มกังวลมาตั้งแต่สมาคมอัศวินผงาดขึ้นอย่างปุบปับแล้ว...พูดตามตรงนะ พี่น้อง เรารู้จักกันมาหลายปีแล้วใช่มั้ย ?”
อิงะนั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง “ใช่ เรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว วันนี้พี่ใหญ่ดูแปลกไปนะ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ ?”
ฟูมะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว “ฉันไม่อยากพูดถึงหลักเหตุผลอะไรมากมาย ฉันกับนายต่างก็เป็นนักเล่นเกมอาชีพ พวกเราเปลี่ยนจากเกมโน้นมาเกมนี้ไปเรื่อย ถึงจะพยายามจนสุดกำลังแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ค่อยดีเท่าที่หวังไว้ จนมาถึงเกม ‘ราชาแห่งราชัน’ นี่ ค่อยพูดได้หน่อยว่าได้กำไรพอจะเลี้ยงตัวได้”
“ใช่ เพราะเมื่อก่อนพอความสามารถของพวกเราขึ้นถึงจุดสูงสุด บริษัทเกมก็ถูกแฮคมันซะทุกที ทั้งฟอกเงินฟอกไอเท็มกันใหญ่ สุดท้ายเงินในเกมกลายเป็นไม่มีค่าอะไรเลย พวกเราเลยต้องย้ายไปเล่นเกมอื่น” อิงะเห็นด้วย
ฟูมะพูดว่า “จุดจบของเกมเกิดขึ้นเพราะความไม่ยุติธรรม ทำให้ผู้เล่นหมดความเชื่อถือและความอยากเล่น จนพากันย้ายไปเล่นเกมอื่นกันหมด”
อิงะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ฟูมะพูดต่อว่า “ในโลกของเกมราชาฯ ได้แก้ไขข้อเสียของเกมอื่นๆ ที่ผ่านมา NPC ในเกมใช้คนจริงมาเล่นแทนเกือบทั้งหมด ทำให้พวกแฮคเกอร์เก่งๆ หมดปัญญาหาวิธีแฮค แต่พวกเรากลับมาสร้างข้อเสียอีกแบบให้เกมนี้ด้วยการสร้างเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรม”
อิงะถามว่า “พี่หมายถึงสมาคมหรือ ?”
ฟูมะพยักหน้า “ถูกต้อง พวกเราก็แค่มาเล่นเกมนี้เร็วหน่อยเท่านั้น แล้วอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านเกมมามากฉกฉวยโอกาสดีๆ มาได้ก่อนคนอื่น แต่สุดท้ายพวกเราก็กลายเป็นเหมือนพวกนักเล่นเกมอาชีพที่เน้นหากำไรจากเกมให้ได้มากที่สุดเป็นหลักพวกนั้น คือพอตั้งสมาคมแล้ว พวกเราก็ยึดครองความลับในการได้อาชีพเอาไว้ แล้วเก็บเงินค่าสมาชิกจากสมาชิกสมาคมเอามาหาเลี้ยงตัวเอง”
“เมื่อก่อนพี่เคยบอกเองนี่ว่า ถ้าบริษัทเลจจ์ไม่คิดจะให้ผู้เล่นทำแบบนี้ ก็คงประกาศความลับในการได้อาชีพไปนานแล้ว ที่สถานการณ์กลายมาเป็นแบบในตอนนี้ ก็เพราะพวกบริษัทเลจจ์อนุญาตอยู่ในทีไม่ใช่หรือ ?” อิงะท้วง “อย่าว่าแต่พวกเราไม่เหมือนสมาคมพวกนั้นซะหน่อย พวกเราประกาศผลการค้นคว้าส่วนใหญ่ให้สมาชิกรู้ตั้งแต่ก่อนสมาคมอัศวินจะก่อตั้งขึ้นแล้ว เพราะอย่างนั้นที่สมาคมอัศวินโผล่ขึ้นมาถึงไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับพวกเราเลย !”
“ตอนนั้นมันเป็นเพราะเกมนี้ยังอยู่ในช่วงบุกเบิก ที่บริษัทเลจจ์ทำแบบนี้ เพราะไม่อยากให้ผู้เล่นพัฒนากันเร็วเกินไป แต่นายรู้สึกไหมล่ะว่า ตอนนี้ผู้เล่นระดับ ๓๐ แทบจะกลายเป็นผู้เล่นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ?” ฟูมะย้อนถาม
“นั่นสิ แม้แต่ผู้เล่นธรรมดาทั่วไปยังอยู่ระดับ ๓๐ กันแล้วเลย แต่แบบนี้มีแต่จะยิ่งเป็นผลดีกับสมาคมไม่ใช่หรือ ? เพราะถ้าอยากจะให้ระดับเลื่อนสูงขึ้น ก็ต้องเลือกเข้าสมาคมไหนสักสมาคม ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะเลื่อนระดับได้ไปตลอดชาติโน่นแหละ”
“นั่นแหละประเด็นสำคัญ เมื่อวานฉันไปดูๆ ที่บอร์ดสนทนาอยู่นานมาก แล้วพบว่าอย่างช้าที่สุดภายในเดือนนี้ เลจจ์ต้องมีความเคลื่อนไหวอะไรแน่”
“ความเคลื่อนไหว ?” อิงะสงสัย “พี่หมายถึงเลจจ์จะเปิดตึกแนะนำอาชีพแล้วหรือ ?”
“ถูกต้อง ! พวกผู้เล่นรอกันมาตั้งเกือบปีแล้ว ถ้ายังไม่เปิดอีก จะสูญเสียความแปลกใหม่ไป พวกผู้เล่นจำนวนมากจะพากันเลิกเล่น ถ้านายเป็นเถ้าแก่ของเลจจ์ นายจะยอมเห็นแก่ผลประโยชน์ของสมาคมแค่ไม่กี่สมาคม หรือจะสร้างกระแสให้เกมราชาฯบูมขึ้นมาอีกครั้งกันล่ะ ? ถึงตอนนั้นนายว่าสมาคมทั้งหมดที่มีในตอนนี้จะยังเหลืออยู่ซักกี่สมาคม ? หรือที่ถูกควรจะพูดว่า จะมีซักกี่สมาคมที่ยังเก็บค่าสมาคมได้ ?”
“ถ้าฉันเป็นเถ้าแก่ของเลจจ์ ก็ต้องเห็นแก่ผู้เล่นส่วนใหญ่อยู่แล้ว อ๊ะ...ไม่ได้สิ ! แล้วพวกเราล่ะจะทำยังไง ?” อิงะเอะใจ
“ถ้าไม่อยากต้องหาเงินด้วยการสู้กับสัตว์อสูรทุกวันอีกละก็ พวกเราก็ต้องคิดหาวิธีเสนอผลประโยชน์ที่ดีกว่านี้ให้สมาชิก ไม่งั้นพอถึงเวลานั้น สมาคมใหม่ๆ สมาคมไหนก็มาแทนที่พวกเราได้ทั้งนั้น !”
อิงะชักจะเริ่มวิตก “แล้วพี่คิดวิธีได้หรือยัง ? ฉันไม่อยากต้องไปสู้กับสัตว์อสูรทุกวันแล้วนะ ช่วงที่ต้องทำแบบนั้นทุกวันน่ะฉันเซ็งแทบบ้า”
“แผนขั้นต้นน่ะมีแล้ว ก่อนอื่นต้องปรับค่าสมาคมลงให้ต่ำที่สุด”
“หา !” อิงะตกใจ “แบบนั้นเงินเดือนของพวกเราก็น้อยลงน่ะสิ ?”
“จะทำการใหญ่อย่าถือเรื่องเล็ก ถ้ามัวแต่ห่วงเงินเดือนในตอนนี้ ต่อไปทุกอย่างจะพังพินาศกันหมด แล้วนายว่าแบบไหนจะสูญเสียมากกว่ากัน !”
“แล้วลดค่าสมาคมมันมีประโยชน์อะไรหรือ ?” อิงะสงสัย
“หลังจากนั้นก็ประกาศความลับเกี่ยวกับอาชีพทั้งหมดให้สมาชิกสมาคมรู้”
อิงะตกใจหนักกว่าเดิม “แล้วพวกเราจะเอาอะไรหากินล่ะพี่ !”
ฟูมะหัวเราะเบาๆ “อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป รอให้ฉันพูดจบก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มเปิดรับสมาชิกใหม่จำนวนมาก และบอกไปด้วยว่ายินดีต้อนรับทุกอาชีพ จากนั้นค่อยแพร่งพรายข่าวลือเรื่องที่เลจจ์จะเปิดตึกแนะนำอาชีพออกไป”
อิงะคอตก “แบบนั้นพวกเรามีหวังจบเห่ก่อนเลจจ์จะเปิดตึกแนะนำอาชีพแน่ ! ฉันว่าเรามาเริ่มพยายามฝึกวิชากับควานหาไอเท็มดีๆ ที่หายากกันตอนนี้เลยยังจะชัวร์ซะกว่า”
ฟูมะทุบอิงะไปหนึ่งปึ้ก “วะ ! นายเริ่มไม่เชื่อใจฉันตั้งแต่เมื่อไหร่หา ! จากนั้นเป้าหมายของฉันคือ จำนวนสมาชิก ๕,๐๐๐ คน ชิงเป็นเจ้าแรกที่สร้างอาณาจักรในเกม ‘ราชาแห่งราชัน’ ได้สำเร็จ”
อิงะพูดเนือยๆ “แล้วบุคลากรเก่งๆ กับเงินล่ะ จะทำยังไง ?”
“พอตึกแนะนำอาชีพเปิดตัว นายคิดหรือว่าระดับกับความสามารถของผู้เล่นจะเป็นเหมือนเมื่อก่อน ? ประเด็นสำคัญอยู่ที่จำนวนสมาชิก คิดจะหาสมาชิกให้ได้ ๕,๐๐๐ คนไม่ใช่เรื่องที่คนแค่ไม่กี่คนจะทำได้ ตอนนี้ความได้เปรียบของพวกเราคือ พวกเรามีสมาชิกอยู่แล้ว ๒,๐๐๐ กว่าคน ส่วนค่าสมาคมเราก็สะสมได้ถึง ๔๐๐,๐๐๐ เหรียญทองแล้ว จะซื้อที่ดินต้องจ่าย ๕๐๐,๐๐๐ เหรียญทอง ส่วนจะสร้างอาณาจักรต้องจ่าย ๑,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญทอง ความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้มีมากแค่ไหน เชื่อว่านายเองก็คงรู้ล่ะนะ !”
“รู้แหงๆ สิ ถ้าสร้างอาณาจักร พวกเราก็นอนรอรับทรัพย์อย่างเดียวได้เลย แต่แบบนี้เราจะอธิบายกับพวกสมาชิกว่ายังไงดี ?”
ฟูมะอธิบายว่า “พวกเราต้องแบ่งเป็นสองอย่าง อย่างแรกคือต้องให้พวกนักเล่นเกมอาชีพกับพวกผู้เล่นธรรมดาแยกกันประชุม แต่ต้องผ่านการตรวจสอบก่อนว่าใครบ้างที่เป็นนักเล่นเกมอาชีพ อย่างที่สองคือ ร่วมมือกับสมาคมใดสักสมาคม”
“ร่วมมือ ? ที่พี่ใหญ่พูดมาชักจะซับซ้อนขึ้นทุกทีแล้วนะ สมองทื่อๆ ของฉันเริ่มคิดตามไม่ทันแล้ว”
“ที่ให้ร่วมมือกันก็เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเงิน ขนาดสมาคมของเรายังเก็บเงินได้ตั้งสี่แสน นายคิดว่าสมาคมอื่นจะเก็บเงินได้น้อยกว่าเราหรือไง ? สมาคมจะอาศัยแต่ความลับในการได้อาชีพมาค้ำจุนไม่ได้อีกแล้ว ก็เหลือแค่ทางเดียวคือต้องสร้างอาณาจักร หัวหน้าของแต่ละสมาคมเป็นนักเล่นเกมอาชีพแทบทั้งนั้น ต้องมีคนที่คิดเหมือนฉันอยู่แน่ ขอแค่ตกลงกันได้เรื่องแบ่งผลประโยชน์ ฉันเชื่อว่าต้องหาสมาคมที่ยินดีร่วมมือกับเราได้แน่”
อิงะคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าวิธีการของฟูมะมีทางเป็นไปได้ จึงค่อยกระตือรือร้นขึ้นมาหน่อย
“พี่ใหญ่ ฉันจะสนับสนุนพี่แน่นอน แล้วตอนนี้ฉันต้องทำอะไรบ้าง ?”
ฟูมะหัวเราะ “ไปบอกให้พวกลูกน้องของนายเตรียมตัวกันให้พร้อม เพราะเราจะเปิดศึกชิงสมาชิกกันแล้ว ! แล้วก็เรื่องตรวจสอบว่าใครบ้างที่เป็นนักเล่นเกมอาชีพ หวังว่านายจะทำเสร็จในเร็วๆ นี้ ตอนนี้มีแต่ต้องเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว พวกเราถึงจะมีโอกาส”
อิงะลุกขึ้นยืน กระแทกเท้าเข้าหากันดัง “ปัง !” แล้ววันทยาหัตถ์อย่างเท่
“เยสเซอร์ ! ฉันจะรีบจัดการให้เสร็จโดยเร็วที่สุดแน่นอน !”
ลานกว้างในหมู่บ้านอิวะมีคนผ่านไปมาคึกคักครึกครื้น มีคนตั้งแผงลอยขายของ มีคนจับกลุ่มคุยกันกลุ่มละ ๒ - ๓ คน
ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าได้วาบขึ้นสามดวงติดๆ กัน
แต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้กระตุ้นให้ใครหันมาสนใจ เพราะทุกคนต่างรู้ว่านั่นเกิดจากการใช้ม้วนคาถากลับบ้าน ซึ่งที่นี่จะเห็นคนใช้ม้วนคาถากลับบ้านกลับมาแบบนี้ ๑ - ๒ หนทุกๆ ๒ - ๓ นาที ต่างจากที่เกาะเริ่มต้นที่นานๆ ครั้งจึงจะเห็นสักที
หลังจากแสงสว่างจ้าหายไป พวกเฉินเฟิงสามคนก็แยกย้ายกันโผล่ขึ้นบนลานกว้าง หนนี้ได้มีเสียงผู้คนหัวเราะครืนดังขึ้นทันที
เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพพบเฉินเฟิงอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องไปเดินหา ก็ใครใช้ให้ซวงเว่ยกับวานรขนทองที่ถูกมัดอยู่บนหลังมันสะดุดตาซะขนาดนั้นเล่า และสาเหตุที่ทุกคนพากันหัวเราะ ก็เพราะซวงเว่ยกับวานรขนทองนี่เอง
สัตว์อสูรประเภทลิงและม้าหาดูได้ไม่ยาก และไม่ได้ทำให้คนพวกนี้นึกสนใจอะไร แต่วานรขนทองที่ถูกมัดเป็นบ๊ะจ่างลิง แถมยังถูกมัดซ้อนเอาไว้บนหลังม้าอีกต่างหากนี่สิที่ประหลาด
ผู้เล่นหลายคนพากันมามุงดูเฉินเฟิงที่เป็นเจ้าของม้าอย่างสนอกสนใจ จนกระทั่งเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพมาถึง ค่อยช่วยคลี่คลายสถานการณ์อีหลักอีเหลื่อที่เฉินเฟิงถูกรุมมุงดูเหมือนเป็นตัวประหลาดไปได้ สามคนสองสัตว์เลี้ยงเดินผละออกมามุ่งตรงไปยังประตูทางเข้าหมู่บ้านท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านชาวช่อง
เฉินเฟิงกลับขึ้นหลังม้าอีกครั้ง พอคิดถึงเมื่อกี้ที่โดนมุงดูเหมือนเป็นตัวประหลาดแล้ว ก็เงื้อกระบองห่วงทองที่หดเหลือความยาวหนึ่งฟุตเคาะโป๊กลงบนหัววานรขนทองแรงๆ หนึ่งที แล้วพูดเสียงเหี้ยม
“ฉันต้องกลายเป็นตัวตลกเพราะแกแท้ๆ ไอ้ลิงโง่ ! รู้งี้เมื่อกี้ทิ้งแกไว้เป็นเพื่อนพญาครุฑบนยอดเขาซะก็ดี ยิ่งถ้าแกถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะโดนคิดว่าเป็นโจรขโมยขนนกจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
เซียวหยาวหัวเราะ “โจรคนที่ว่ามันนายต่างหากมั้ง ! อย่าเคาะหัวมันแล้วเลยน่า ดูแล้วน่าสงสารออก”
วานรขนทองเห็นมีคนพูดช่วยมัน ก็ร้อง “เจี๊ยกๆ !” ทันที แต่ไม่กล้าร้องดังมาก เพราะกลัวจะถูกเฉินเฟิงเคาะหัวอีก
วิหารจันทราเทพเองก็พูดว่า “นั่นสิ ! ขืนยังเคาะอีก นายไม่กลัวจะถูกสมาคมคุ้มครองสัตว์ฟ้องเอาหรือ ? ยกโทษให้มันเถอะน่า ! แต่มัดซะขนาดนี้ก็น่าขำอยู่หรอก”
ตอนแรกเฉินเฟิงคิดจะเคาะหัววานรขนทองอีกหลายโป๊ก แต่พอได้ยินวิหารจันทราเทพว่าแบบนั้น จึงได้แต่ลดมือที่เงื้อขึ้นเตรียมเคาะลงแต่โดยดี สองสาวเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
ตกลงว่าเฉินเฟิงกลายเป็นฝ่ายผิดไปเสียแล้ว เขาได้แต่บ่นกระปอดกระแปดว่า
“ไม่มัดไว้อย่างนี้ แล้วพวกเธอจะให้ผมทำยังไงล่ะ ? ถึงจะเห็นมันน่าสงสารแบบนี้ แต่อย่าลืมสิว่ามันน่ะระดับตั้ง ๔๕ เชียวนะ ! ขืนปล่อยมันละมีหวังเดี๋ยวได้เกิดสงครามเลือดสาดแน่ แต่จะให้ฆ่ามัน พวกเธอก็ใจอ่อนอีก...จะกำราบมันก็ดันทำไม่ได้ซะด้วย ถ้าไม่เคาะหัวมันแก้แค้นบ้าง ผมได้อึดอัดใจตายน่ะสิ !”
“ฉันว่าปล่อยมันเถอะ ! ถ้ามันจะแก้แค้น ก็มาสู้กันอีกสักตั้งก็แล้วกัน” เซียวหยาวว่า
“คิดไม่ถึงเลยว่าจับมันได้แล้วจะกลายเป็นภาระแบบนี้ งั้นสู้ก็ได้ !” วิหารจันทราเทพเห็นพ้อง
“ตกลง ! ถ้าพวกเธอว่าแบบนี้ งั้นเรามาสู้กับมันอีกสักตั้งก็ได้ แต่พวกเราต้องเตรียมยาฟื้นพลังเพิ่มก่อนนะ ไม่งั้นอีกเดี๋ยวมีหวังฝ่ายที่ถูกส่งไปเกิดใหม่จะเป็นเราสามคนน่ะแหละ ไม่ใช่มัน”
พอฟังที่เฉินเฟิงพูด สองสาวค่อยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้พวกเธอใช้ม้วนคาถากลับบ้านเผ่นแนบกันทำไม ดังนั้นทั้งสามจึงจัดแจงสำรวจไอเท็มกันที่หน้าหมู่บ้านอิวะ เสร็จแล้วสองสาวก็พากันไปซื้อยาฟื้นพลังโดยทิ้งเฉินเฟิงเอาไว้ที่เดิมคนเดียวเพื่อคอยเฝ้าวานรขนทอง
เวลานั้นเอง ระบบของเกมราชาฯได้ประกาศแจ้งขึ้นกลางอากาศให้ผู้เล่นทราบโดยทั่วกันว่า
“นับแต่วันนี้ จะขอปรับข้อบังคับของกลุ่มและสมาคมดังนี้ เงื่อนไขในการยื่นคำร้องขอก่อตั้งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อรวบรวมผู้เล่นได้ครบ ๕ คน ก็จะสามารถยื่นคำร้องได้ จำนวนสมาชิกต่ำสุดที่ต้องคงเอาไว้ของกลุ่มปรับลดลงเป็น ๓๐ คน จำนวนสมาชิกสูงสุดขอจำกัดที่จำนวน ๕ เท่าของระดับทักษะบัญชาการของหัวหน้ากลุ่ม จำนวนสมาชิกต่ำสุดที่ต้องคงเอาไว้ของสมาคมปรับลดลงเป็น ๒๕๐ คน จำนวนสมาชิกสูงสุดขอจำกัดที่จำนวน ๑๐ เท่าของระดับทักษะบัญชาการของหัวหน้ากลุ่มและรองหัวหน้ากลุ่มทั้ง ๕ คนรวมกัน
“เพื่อป้องกันมิให้มีการยื่นคำร้องขอตั้งกลุ่มและสมาคมมากจนเกินไป จึงจะขอเพิ่มเงินค้ำประกันดังนี้ ยื่นคำร้องขอตั้งกลุ่ม ๑ กลุ่มต้องจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐ เหรียญเงิน ยื่นคำร้องขอตั้งสมาคม ๑ สมาคมต้องจ่ายเงิน ๕๐,๐๐๐ เหรียญเงิน และจะคืนเงินค้ำประกันให้เมื่อกลุ่มหรือสมาคมจัดตั้งต่อเนื่องได้ครบ ๑ ปี สมาคมที่มีอยู่แล้วในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าค้ำประกันเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่ทักษะบัญชาการจำเป็นต้องเร่งเลื่อนระดับให้ถึงเงื่อนไขที่กำหนดไว้ภายในเวลา ๑ เดือน
“เพิ่มเติมความสามารถพื้นฐานของกลุ่มและสมาคม สามารถทำการตั้งศัตรูและทำสงครามได้ “ตั้งศัตรู” และ “ทำสงคราม” ส่วนข้อกำหนดเกี่ยวกับทักษะ “บัญชาการ” รบกวนไปดูได้ที่กระดานประกาศข่าวทุกแห่ง
“นับแต่เวลานี้ไป จะหยุดรับการยื่นคำร้องทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ประกาศแจ้งนี้จะเริ่มมีผลใน ๓ วันให้หลังของเวลาในเกม ณ เวลา ๐.๐๐ น. เมื่อนั้นจึงจะเริ่มเปิดให้ทำการยื่นคำร้องได้อีกครั้ง”
ประกาศแจ้งนี้ได้ประกาศซ้ำโดยอัตโนมัติทุก ๑๐ นาที และดำเนินไปตลอดทั้งวัน ในช่องมวลชนของนาฬิกาข้อมือมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างครึกครื้น ผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างก็เชื่อว่า ที่เลจจ์มาปรับข้อกำหนดสำหรับกลุ่มและสมาคมเอาตอนนี้ เพื่อเตรียมการสำหรับเปิดตึกแนะนำอาชีพอย่างแน่นอน
ในวันเดียวกันนั้นได้มีกลุ่มใหม่กลุ่มหนึ่งถูกตั้งขึ้น กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยื่นคำร้องขอตั้งกลุ่มตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน ชื่อของกลุ่มคือ “สมาพันธ์ต่อต้านสมาคมอัศวิน” จำนวนสมาชิกในกลุ่มมีทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ คน
มีผู้เล่นที่คุ้นเคยกับข้อกำหนดต่างๆ เป็นอย่างดีหลายคนได้แพร่งพรายข่าวออกมาอย่างรวดเร็วว่า หัวหน้าสมาพันธ์นี้มีระดับของทักษะบัญชาการอย่างน้อยระดับ ๑๐ ดังนั้นจึงเป็นบุคคลที่ร้ายกาจมากๆ อย่างแน่นอน
วานรขนทองรอดพ้นจากชะตาดวงกุดมาได้อีกหนเพราะประกาศแจ้งนี้ เนื่องจากเซียวหยาวได้รับข้อความแจ้งจากทางสมาคมว่าเปิดประชุมด่วน จึงรีบจากไปทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้ซื้อยาฟื้นพลัง
ตอนที่วิหารจันทราเทพหอบยาฟื้นพลังมาเต็มอ้อมแขน ก็ทำหน้ามุ่ยบ่นอุบอิบว่า เซียวหยาวนี่เป็นสาวกผู้คลั่งไคล้สมาคมตัวจริงแท้ๆ เชียว พอเป็นเรื่องของสมาคมปุ๊บ ก็ทิ้งได้กระทั่งเพื่อนทันที เฉินเฟิงได้แต่ปลอบให้วิหารจันทราเทพช่วยเข้าใจเซียวหยาวหน่อย เซียวหยาวที่ระดับสูงตั้ง ๔๐ กว่าอุตส่าห์ขึ้นเขาไทแทนเป็นเพื่อนเขากับวิหารจันทราเทพไปคลี่คลายภารกิจ ถือเป็นเพื่อนที่แสนดีมากๆ แล้ว
พอไม่มีเซียวหยาวอยู่ด้วย เขากับวิหารจันทราเทพก็ไม่มั่นใจว่าจะฆ่าสัตว์อสูรระดับ ๔๕ ได้ จึงจำต้องปล่อยให้วานรขนทองถูกมัดอยู่บนหลังของซวงเว่ยต่อไป
วิหารจันทราเทพเองก็ไปซื้อม้ามาหนึ่งตัว โดยเลือกม้าสีขาวล้วนเหมือนกัน และตั้งชื่อให้ว่า กระต่ายหยกเหินลม (อวี้ทู่หลิงเฟิง) เฉินเฟิงอธิบายวิธีได้ทักษะบุกจู่โจม บุกทะลวง ขี่ม้า และทักษะสื่อสารให้วิหารจันทราเทพทราบอย่างละเอียดโดยไม่มีการปิดบัง
แต่ถึงจะทราบวิธีก็เถอะ วิหารจันทราเทพก็ยังทำได้แค่ทักษะสื่อสารระดับที่ ๑ เท่านั้น ส่วนเงื่อนไขในการได้ทักษะระดับที่ ๒ เข้าใจความต้องการของสัตว์เลี้ยงและให้ในสิ่งที่สัตว์เลี้ยงต้องการ...เนื่องจากกระต่ายหยกเหินลมไม่ได้แสดงท่าทีว่าต้องการอะไรเลย ก็เลยไม่รู้จะให้อะไรมันเพื่อที่จะได้บรรลุเงื่อนไขในการเลื่อนระดับ
เฉินเฟิงแนะให้ลองปล่อยให้มันอดอาหารสัก ๒ - ๓ วัน แต่วิหารจันทราเทพกลัวว่าเกิดมันหิวตายขึ้นมา เธอมีหวังได้ร้องไห้ตายก่อนแน่ ดังนั้นเลยรอดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากันใหม่
เซียวหยาวส่งข้อความมาบอกว่าได้มีมติแน่นอนแล้วว่าจะเปิดการประชุม เนื่องจากไม่ทราบว่าต้องประชุมกันนานแค่ไหน จึงบอกให้ทั้งสองไม่ต้องรอเธอแล้ว และถ้าไม่มีธุระอะไรอื่น ก็ให้กลับไปที่เมืองชิงจ้างส่งมอบภารกิจได้เลย
ทั้งสองเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านอิวะอยู่ครึ่งวัน ในหมู่บ้านอิวะไม่มีขายทวนยาวระดับสูง เฉินเฟิงได้แต่เอาทวนของตัวเองให้วิหารจันทราเทพยืม เพราะถึงยังไงเขาก็ถนัดใช้หน้าไม้มากกว่า
นอกจากนี้วิหารจันทราเทพยังซื้อโล่ทองเหลืองมาอีกหนึ่งอัน และคืนเงินค่าไอเท็มที่ยืมมาใช้ก่อนหน้านี้จนหมดในราคาขาย
เนื่องจากเหลือแค่พวกเขาสองคน ทั้งสองจึงตัดสินใจจะไปรับภารกิจจากหัวหน้าหมู่บ้านอิวะไปพลางๆ ระหว่างรอให้เซียวหยาวกลับมาเข้ากลุ่ม เพราะเกมราชากำหนดไว้ว่า สมาชิกกลุ่มที่รับภารกิจมาพร้อมกัน หากไม่ได้อยู่ด้วยในตอนส่งมอบภารกิจที่คลี่คลายสำเร็จ ก็จะถูกยกเลิกคุณสมบัติที่จะได้รับรางวัลไป
ลองคิดดูแล้ว ถ้าไม่มีเซียวหยาวช่วยนำทางให้ ทั้งสองคงไม่สามารถคลี่คลายภารกิจสำเร็จอย่างรวดเร็วขนาดนี้ หรืออันที่จริงคงไม่มีทางคลี่คลายภารกิจนี้สำเร็จเสียด้วยซ้ำ หากตอนนี้ทั้งสองกลับเมืองชิงจ้างกันไปก่อน จึงเป็นการไม่ยุติธรรมต่อเซียวหยาวอย่างมาก