หัวข้อ : เล่มที่ ๒ แรกเผยประกายกล้า ตอนที่ ๒ หุบเขามรณะ

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:35

ตอนที่ ๒

 

หุบเขามรณะ

 

เมื่อมาถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะ เฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพก็ถูกสภาพตรงหน้าทำเอางงไปหมดว่าพวกเขามาผิดที่หรือเปล่าเนี่ย ?

ที่นี่มันสวนสัตว์ขนาดย่อมชัดๆ !

ที่หน้าประตูบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านมี ไก่ เป็ด นก สุนัข แมว หมู กระต่ายป่า กวาง กระทิง แล้วยังมีม้าอีกหลายตัววิ่งไปวิ่งมากันให้ควั่ก

ที่น่าอึ้งกว่านั้นคือ ข้างๆ มีสระขนาดใหญ่อีกหนึ่งสระ ในสระเองก็มีสารพัดสัตว์เช่นกัน มีกบ ปลาหลี่ ปลาหมึก แมงกะพรุน ปลากบ แมวน้ำ สิงโตทะเล แล้วยังมีปลาโลมาอีกหลายตัว

พอวิหารจันทราเทพเห็นกระต่าย ก็กรี๊ดกร๊าดดีอกดีใจ เอาอาหารสัตว์เลี้ยงหนึ่งห่อออกมาป้อนให้มันกิน คิดไม่ถึงว่าการกระทำนี้จะนำความซวยมาสู่ทั้งสอง...

ทั้งสองถูกสัตว์ทั้งโขยงแห่กันเข้ามาล้อมไว้ทันที เห็นได้ชัดว่าต้องการขออาหารกิน

หลังจากอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ฝูงสัตว์ทั้งโขยงก็ยังไม่ยอมปล่อยทั้งคู่ จนทั้งคู่ต้องพยายามอยู่พักใหญ่ค่อยดิ้นรนเบียดออกจากวงล้อมของเป็ดไก่หมาแมว และมาถึงหน้าประตูบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านได้

หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มต้อนรับทั้งสองเข้าไปในบ้าน พร้อมกับขอบคุณที่เมื่อครู่ทั้งสองบริจาคอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงมาให้คนละ ๒๐ ห่อ

ในเวลาสั้นๆ แค่ ๒๐ นาที ทั้งสองได้สูญเงินไปฟรีๆ รวมกันถึง ๒,๐๐๐ เหรียญเงิน ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ไม่ใช่น้อย แม้ทั้งสองจะเจ็บใจ แต่จะขอคืนจากหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้เสียด้วย เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายเอาอาหารพวกนั้นออกมาเลี้ยงสัตว์เอง แล้วจะไปโทษใครได้ ? จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี

เห็นสีหน้ายิ้มๆ ของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะแล้ว เฉินเฟิงอยากจะตรงเข้าไปตั้นหน้าสักเปรี้ยง ความจริงหัวหน้าหมู่บ้านเห็นเขาสองคนตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเดินเข้ามาที่ลานบ้านแล้ว แต่กลับปล่อยให้สัตว์เลี้ยงทั้งโขยงเข้ามาล้อมเขาสองคนที่ถือเป็นแขกตามสบายโดยไม่ยอมออกมาห้ามปราม แถมยังแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่เห็นวิหารจันทราเทพล้วงอาหารสัตว์ออกมาป้อนกระต่ายอีกต่างหาก

วิหารจันทราเทพมองเฉินเฟิงอย่างเกรงใจ ถึงตัวเธอจะนึกโมโหอีตาหัวหน้าหมู่บ้านสันดานเสียที่ชอบเห็นคนอื่นตกระกำลำบากอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าไม่เพราะเธอดันนึกเอ็นดูกระต่าย ก็คงไม่พลอยทำให้เฉินเฟิงต้องเสียเงินฟรีๆ ตั้ง ๑,๐๐๐ เหรียญเงินไปด้วย

เงินที่ได้มาจากการคลี่คลายภารกิจที่เทือกเขาไทแทนในครั้งนี้แทบจะถูกใช้หมดเกลี้ยงไปกับเมื่อครู่ เพื่อไม่ให้กระต่ายหยกเหินลมต้องทนหิว วิหารจันทราเทพได้แต่ขอยืมเงินเฉินเฟิงไปก่อน เพราะเซียวหยาวไม่อยู่เสียแล้ว

ถึงจะโมโหแค่ไหน แต่จะลงไม้ลงมือกับหัวหน้าหมู่บ้านจริงๆ ก็กระไรอยู่ หลังจากทำใจจนค่อยหายโกรธแล้ว เฉินเฟิงก็บอกจุดมุ่งหมายในการมาที่นี่ หัวหน้าหมู่บ้านเองก็ทราบดีว่าทั้งสองมาที่นี่เพื่ออะไร จึงเริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นมาที่ระบบได้แต่งเอาไว้ให้เรียบร้อย

ที่มาของภารกิจนี้โหลมากๆ เนื่องจากเดิมทีหัวหน้าหมู่บ้านมีลูกชายโทนอยู่คนหนึ่ง ในวันไหนเดือนไหนปีไหนสักปีก็ดันเผลอเข้าไปในหุบเขามรณะด้วยเหตุผลโคตรจะโหลๆ คือ “นึกสนุก” แน่นอนว่าผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ “ไปแล้วไปลับไม่กลับมา”

และในปีก่อนของวันไหนเดือนไหนปีไหนสักปี ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านได้ล้มป่วยกลับบ้านเก่าไป จึงเหลือหัวหน้าหมู่บ้านที่อายุค่อนข้างมากแล้วอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเพียงลำพัง

เนื่องจากหัวหน้าหมู่บ้านได้สร้างคุณประโยชน์ต่อหมู่บ้านอิวะไว้ไม่ใช่น้อย ดังนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านจึงได้รวมตัวกัน บ้างช่วยออกเงินบ้างช่วยออกแรง แถมยังไปจ้างให้ศูนย์แนะนำทหารรับจ้างช่วยตามหาคนให้

หน้าที่ของเฉินเฟิงคือช่วยตามหาลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน และเนื่องจากว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว จึงมีวิธีในการคลี่คลายภารกิจอีกอย่างนอกเหนือจากตามหาลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน นั่นคือหาเพื่อนมาให้หัวหน้าหมู่บ้าน

สัตว์เลี้ยงทั้งโขยงที่นอกบ้านคือ “เพื่อนของหัวหน้าหมู่บ้าน” ที่เหล่าผู้เล่นรายอื่นๆ หามามอบให้หัวหน้าหมู่บ้านตามเงื่อนไขในการคลี่คลายภารกิจ

เฉินเฟิงพบปัญหาอยู่อย่าง นั่นคือมอบกระต่ายให้ ๑ ตัวกับมอบม้าให้ ๑ ตัวมันต่างกันตรงไหน ?

คำตอบของหัวหน้าหมู่บ้านคือ

“ไม่มีข้อแตกต่าง แต่ไม่ว่าเตรียมจะให้สัตว์เลี้ยงอะไร อย่างน้อยก็ต้องไปที่หุบเขามรณะก่อน ไม่แน่ว่าลูกชายของข้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่”

ความเห็นของเฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพคือ หัวหน้าหมู่บ้านซี้ซั้วพูดชัดๆ ! ถ้าลูกชายเขายังไม่ตายจริงๆ แล้วทำไมข้างนอกถึงได้มีสัตว์เลี้ยงตั้งเป็นโขยงแบบนั้นเล่า ?

เฉินเฟิงถามคำถามไปอีกหลายคำถาม แต่หัวหน้าหมู่บ้านตอบแค่ว่า “นอกเหนือขอบเขต ไม่อาจตอบได้” แปดพยางค์ไม่ขาดไม่เกินทุกคำถาม แล้วเอาแต่บอกให้ทั้งสองไปที่หุบเขามรณะ พร้อมกับเสริมว่า ไปถึงที่นั่นแล้วก็จะรู้เองแหละ

ในเมื่อถามไปก็ไม่ได้ความอะไร เฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพได้แต่จากมาอย่างงงๆ ความจริงมันน่าจะเป็นภารกิจที่ง่ายมากๆ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันมีอะไรทะแม่งๆ ชอบกล

จะจับกระต่ายสักตัวนั้นง่ายมาก ไม่ต้องใช้แม้แต่เชือก ส่วนม้าไม่มีให้จับ มีแต่ต้องใช้เงินถึงจะซื้อมาได้ ในเมื่อให้สัตว์เลี้ยงตัวไหนก็ไม่แตกต่างกัน แล้วทำไมบางคนถึงให้กระต่าย บางคนไปซื้อม้าล่ะ ? ยังมีพวกที่ให้สัตว์ทะเลอีก ถ้าจับได้แล้วค่อยส่งมาให้ที่นี่ แถมยังต้องแบบเป็นๆ มันไม่น่าจะง่ายเลยนะ !

ยิ่งคิดเฉินเฟิงก็ยิ่งรู้สึกทะแม่งๆ ถึงจะเลือกจับกระต่ายจากข้างทางไปให้ได้ แต่เพราะมันไม่มีเหตุผลเลยที่ผู้เล่นคนอื่นจะยอมลำบากไปจับสัตว์ชนิดอื่นมาให้ คงมีแต่ต้องลองไปหุบเขามรณะดูเท่านั้นถึงจะคลี่คลายปริศนานี้ได้

แต่พอคิดถึงว่าสถานที่คือหุบเขามรณะ นั่นเป็นที่ที่กระทั่งพวกยอดฝีมือที่ได้อาชีพแล้วยังต้องรวมกลุ่มกันถึงจะเอาตัวรอดได้เชียวนะ ขืนเฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพที่ยังอยู่แค่ระดับ ๓๐ เข้าไปละก็ ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาก็บอกได้เลยว่า ได้กลายเป็น “ซาลาเปาไส้เนื้อขว้างสุนัข[1]” ขาเข้าเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย ขาออกถูกหามออกมาแหงๆ

แต่ดันรับภารกิจมาแล้ว จะไม่ไปก็ไม่ได้

ทั้งสองตกลงใจว่าจะลองไปหยั่งเชิงกันดูก่อน และคิดว่าอย่างมากก็แค่ใช้ม้วนคาถากลับบ้าน

หลังจากตุนอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ออกเดินทางสู่หุบเขามรณะ

ระยะทางหนึ่งชั่วโมงกว่า พอไม่มีเซียวหยาวแล้วเงียบเหงาไปถนัดใจ แต่ระหว่างเดินทาง วิหารจันทราเทพดูร่าเริงมาก เอาแต่เร่งความเร็วกระต่ายหยกเหินลมตลอด ผลคือไม่ถึง ๕๐ นาที ทางเข้าสู่หุบเขามรณะก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสอง

ทั้งสองดูคำแนะนำโดยสังเขปในคู่มือสัตว์อสูร

หุบเขามรณะ ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปกู่ย่า เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศแบบพิเศษของทวีปกู่ย่า ช่วงกลางทั้งหมดของทวีปถูกเทือกเขามังกรขนดขดล้อมเอาไว้ ทำให้เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการคมนาคมระหว่างด้านเหนือกับด้านใต้

ด้านตะวันออกของหุบเขามรณะติดกับเทือกเขาไทแทน ด้านตะวันตกติดกับเทือกเขาหางมังกรอันเป็นสาขาหลักของเทือกเขามังกรขนด เป็นพื้นที่หุบเขาโดยธรรมชาติ ในหุบเขามีเส้นทางผ่านไปสู่ “บึงกักมังกร”

เดิมทีหุบเขามรณะเป็นเส้นทางคมนาคมระหว่างทางเหนือและทางใต้ที่สะดวกที่สุดของทวีปกู่ย่า น่าเสียดายที่เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนได้เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้หุบเขาแคบลง ประกอบกับหลังจากนั้นสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศน์ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงได้กลายเป็นทางลัดที่ไม่มีใครกล้าผ่านไปในที่สุด

ระดับความอันตรายของบริเวณรอบนอกและภูเขาที่รายล้อมหุบเขามรณะไม่สูงเท่าไรนัก ถึงจะมีสัตว์อสูรระดับสูง แต่ก็จะไม่เป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อน ขณะที่ฝูงสัตว์เวทซึ่งกระจายกันอยู่ภายในหุบเขามรณะอันตรายกว่ากันมาก

สัตว์เวทพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงูมังกรยักษ์กับลิงค้างคาว ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชอบอาศัยอยู่ในเขตหนาวเย็น ระดับความยากเหมาะสำหรับผู้เล่นระดับ ๔๕ - ๕๐ กว่า ขอย้ำว่าควรจะรวมกลุ่มกันเข้าไป เพราะนอกจากสัตว์อสูรส่วนใหญ่จะปรากฏตัวเป็นฝูงแล้ว ยังจะเป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อน ดังนั้นหากมือใหม่เข้ามาท่องเที่ยวที่นี่ ต้องระวังให้จงหนัก อย่าออกห่างจากเส้นทางมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะตกเป็นอาหารเย็นของสัตว์เวท

พวกเราขอแนะนำว่าผู้เล่นที่มีระดับต่ำกว่า ๓๕ อย่าได้บุ่มบ่ามเข้าไปเป็นอันขาด

การจะข้ามผ่านหุบเขามรณะจำเป็นต้องเดินไปตามถนนเล็กๆ ที่คดเคี้ยวพอสมควรสายหนึ่ง หากขี้เกียจเดินไกลและเลือกทางลัด ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกลิงค้างคาวอันดุร้ายที่วนเวียนอยู่แถวนี้ล้อมโจมตี

โครงสร้างสังคมของลิงค้างคาวจะมีนางพญาหนึ่งตัวเป็นผู้บัญชาการ คล้ายคลึงกับผึ้งหรือมด จากนั้นจะมีลิงค้างคาวสามระดับลดหลั่นกันลงมา พวกมันมักรวมตัวกันเป็นฝูง ป้วนเปี้ยนอยู่ทั่วหุบเขามรณะ เป็นฝูงสัตว์ที่ผู้เล่นซึ่งรักการผจญภัยทั้งหลายรังเกียจมากที่สุด

นอกจากนี้ ทางเข้าหนึ่งเดียวของเขตบึงกักมังกรในเทือกเขาหางมังกรก็อยู่ในหุบเขามรณะเช่นกัน เขตบึงกักมังกรเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบสำคัญ ๒ ชนิดของน้ำยาสีเขียว คือ เถามังกรเกาะ และเฟิร์นงูเขียว ซึ่งจำเป็นต้องเข้าไปเก็บในบึงกักมังกร สมุนไพรสองชนิดนี้ยิ่งอายุมากเท่าไร น้ำยาที่ได้ก็ยิ่งมีคุณภาพ สมุนไพรที่ดีที่สุดต่างก็ขึ้นอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของบึงกักมังกรซึ่งเป็นรังของงูมังกรยักษ์ พลังชีวิตที่กล้าแข็งและพิษที่ร้ายแรงของงูมังกรยักษ์ทำให้ผู้เล่นทั่วไปไม่กล้าย่างเท้าเข้าสู่เขตอันตรายนี้แม้แต่ก้าวเดียว น้ำยาสีเขียวชั้นเลิศจึงมีราคาแพงมาก

ตอกย้ำเพิ่มเติม : ทั่วทั้งเขตหุบเขามรณะไม่สามารถใช้ม้วนคาถากลับบ้านและม้วนคาถาเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ผู้เล่นที่ต้องการไปยังตอนเหนือของทวีปกู่ย่า ขอแนะนำให้ใช้เส้นทางระเบียงชิงคังด้านตะวันตกแทน จะได้ไม่ต้องถูกลดระดับและสูญเครื่องป้องกันอย่างไม่พอที่

พออ่านคำแนะนำจบ เฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพยิ่งไม่กล้าเข้าหุบเขามรณะเข้าไปใหญ่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับยาสมุนไพร ทำให้เฉินเฟิงสนอกสนใจเป็นอย่างมาก รีบพลิกไปดูส่วนแนะนำไอเท็ม

น้ำยาสีเขียว มีคุณประโยชน์ช่วยเพิ่มความเร็วเป็นสองเท่า ออกฤทธิ์นาน ๖ ชั่วโมง แต่หลังจากใช้แล้วต้องพักผ่อน ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยจึงจะใช้ซ้ำได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกพิษ ในร้านค้าทั่วไปไม่มีขาย เป็นไอเท็มที่สร้างขึ้นได้ชิ้นเดียวที่ทางการประกาศออกมาในเวลานี้

วัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้คือ เถามังกรเกาะ เฟิร์นงูเขียว ปัสสาวะลิงค้างคาว และน้ำพุเศียรมังกร รวม ๔ ชนิด

จากที่มีบันทึกไว้ ราคาในตลาดมืดขวดละ ๓,๐๐๐ เหรียญเงิน เป็นไอเท็มใช้แล้วหมดได้ซึ่งหาได้ยาก และยังไม่มีกลุ่มใดประกาศให้สั่งจองอย่างเป็นทางการ

หลังจากอ่านการสร้างไอเท็มน้ำยาสีเขียวจบ เฉินเฟิงก็ฝันหวานว่า ถ้าเขาสร้างน้ำยาสีเขียวได้ มีหวังกำไรอื้อซ่า ยิ่งคิดน้ำลายก็ยิ่งทำท่าจะย้อยออกมาจากปาก จนกระทั่งวิหารจันทราเทพเริ่มรู้สึกเบื่อ จึงขัดจังหวะฝันเฟื่องของเฉินเฟิงขึ้นว่า ตกลงว่าเขาจะเอาอย่างไร ?

เฉินเฟิงถามวิหารจันทราเทพกลับไปว่า แล้วเธอล่ะจะเอาอย่างไร ? ตลอดเขตหุบเขามรณะใช้ม้วนคาถากลับบ้านไม่ได้ เข้าไปก็มีแต่ตายสถานเดียว แต่ถ้าไม่เข้าไป ก็จะไม่มีโอกาสคลี่คลายภารกิจของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะ

จนถึงตอนนี้ เฉินเฟิงผู้โชคดียังไม่เคยตายเลยสักครั้ง จึงไม่ค่อยอยากจะเอาครั้งแรกไปสังเวยให้ที่ที่รู้ชัวร์ๆ ตั้งแต่แรกว่าต้องตายแหงแก๋

วิหารจันทราเทพเคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง และรสชาติของมันทำให้เธอไม่กล้าลองลิ้มอีกเป็นครั้งที่สอง ถึงได้ไม่คิดจะเร่งให้เฉินเฟิงรีบออกเดินทาง คิดไม่ถึงว่าเฉินเฟิงดันโยนคำถามกลับมาให้เธอ ทั้งสองตาสบตา เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา กะจะโยนให้อีกฝ่ายเป็นคนตัดสินใจ

วิหารจันทราเทพพูดอย่างเกรงอกเกรงใจว่าเฉินเฟิงเป็นหัวหน้ากลุ่ม ดังนั้นต้องให้หัวหน้ากลุ่มเป็นคนตัดสินใจ เธอเป็นแค่ทหารเลว ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอะไร

เฉินเฟิงตอบกลับไปว่า วิหารจันทราเทพเป็นผู้หญิง ตามหลักแล้วต้องให้เลดี้เฟิร์สท์ ดังนั้นเธอจึงควรจะเป็นผู้ตัดสินใจ

ทั้งสองเถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายกลายเป็นทะเลาะกันที่หน้าหุบเขามรณะไป แล้วต่างฝ่ายต่างก็งอน แยกกันนั่งลงที่หน้าหุบเขามรณะห่างกันคนละมุม ต่างก็เมินไม่สนใจอีกฝ่าย

เฉินเฟิงส่งข้อความถามในช่องมวลชนอย่างเซ็งๆ ว่า

“ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสทั้งหลายหน่อยครับ ถ้าผู้เริ่มต้นระดับ ๓๐ สองคนรวมกลุ่มกันเข้าไปในหุบเขามรณะ เปอร์เซ็นต์ที่จะปลอดภัยกลับออกมามีสูงแค่ไหน ?”

คำตอบส่วนใหญ่มีแต่

“ตายแหงแซะ !”

“คิดไม่ตกขนาดนี้เชียว ?”

“ตาย ๑๐๐%”

ทันใดนั้นมีผู้เล่นคนหนึ่งพูดว่า

“เฉินเฟิง มันยอดฝีมือซื่อบื้อคนนั้นนี่นา ? ถ้านายจะไป ฉันว่ามีโอกาส ๙๙% แหละ ! แต่ไม่ใช่โอกาสรอดนะ ฉันหมายถึง มีหวังนายหาทางเข้าไม่เจอซะ ๙๙% ว่ะ !”

จากนั้นเสียงตอบกลับก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าในพริบตา

“ยอดฝีมือซื่อบื้อเริ่มจะหัดเดินเตาะแตะได้แล้วเว้ย !”

“ใช้ม้วนคาถากลับบ้านเป็นหรือยัง ?”

“ได้ยินว่าม้าของนายอยู่ระดับ ๒๐ ตั้งแต่แรกเลย จริงหรือเปล่าน่ะ ?”

“ยังมีดาบขายหรือเปล่า ? ฉันขอเอาขวานยักษ์แลกกับนาย”

“ฉันมีสิงโตทะเลเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ตัว ระดับ ๒๐ ขายให้นาย ๑,๕๐๐ เหรียญเงินก็แล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนนะว่ามันอยู่ห่างจากน้ำนานเกินหนึ่งชั่วโมงไม่ได้”

“ฉันมีดาบเคียวอยู่เล่มหนึ่ง แค่ระดับที่ ๑ แต่ไม่มีขายในร้านขายไอเท็มร้านไหนทั้งนั้นนะ ขายให้นาย ๑๐๐ เหรียญเงินก็พอ เอามั้ย ?”

“เฉินเฟิง ฉันหมาป่าโลหิตนะ ฉันก็อยู่ในหุบเขามรณะเหมือนกัน เดี๋ยวถ้าต้องเผ่นก็ให้ตะโกนเรียกชื่อฉัน ฉันจะไปช่วยนายเอง !”

เห็นข้อความตอบกลับพิลึกๆ พวกนี้แล้ว เฉินเฟิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

จังหวะนั้นระบบก็ดันเลื่อนระดับทักษะชื่อเสียงให้เขาสองระดับรวดเสียอีก ส่วนวิหารจันทราเทพที่กำลังนั่งอารมณ์ขุ่นมัวอยู่อีกฟากหัวเราะก๊ากจนตัวงอ

นึกไม่ถึงว่าคนในช่องมวลชนที่ลืมง่ายลืมดายจะยังไม่ลืมเรื่องทุเรศๆ ของเฉินเฟิง ดูเหมือนจะมีคนรู้จักยอดฝีมือซื่อบื้อเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ! แถมยังเพิ่มนิสัยชอบสะสมไอเท็มพิลึกๆ มาอีก แล้วยังใช้ของแลกของได้

ข่าวลือเรื่องชอบสะสมไอเท็มพิลึกๆ วิหารจันทราเทพกับเซียวหยาวนั่นแหละเป็นมือมืด ยิ่งเห็นวิหารจันทราเทพหัวเราะจนโอเวอร์ สีหน้าเฉินเฟิงก็ยิ่งบึ้งมากขึ้นทุกทีๆ ในที่สุดวิหารจันทราเทพก็พบความผิดปกติของเฉินเฟิง จึงรีบกลั้นหัวเราะทันควัน ไม่อย่างนั้นได้มีคนงอนจนเลิกคบเธอจริงๆ แน่

ขณะนั้นเองในช่องกลุ่มได้มีข้อความจากเซียวหยาวส่งมาว่า

“รอฉันด้วย ! ฉันจะไปคลี่คลายภารกิจด้วย ฉันยังไม่เคยคลี่คลายภารกิจนี้เลย ฉันเพิ่งประชุมเสร็จ ตอนนี้พวกเธออยู่ที่ไหนน่ะ ? ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ !”

ทั้งสามนัดว่าจะไปเจอกันที่ป้อมข้ามทะเลทราย ระหว่างทางเซียวหยาวขอพาเพื่อนนินจาไปด้วยสองคน เฉินเฟิงกับวิหารเทพจันทราต่างก็ไม่คัดค้าน เพราะถึงจะเพิ่มเซียวหยาวมาอีกคนเป็นสามคน ก็มีแต่ตายกับตายอยู่ดี มีคนจะขอตามมาเพิ่มสิยิ่งดี เพราะเพิ่มมาอีกคนก็เพิ่มอีกแรง อย่าว่าแต่ยังเป็นยอดฝีมือที่ได้อาชีพแล้วเสียด้วย จึงบอกให้เซียวหยาวพามาด้วยได้

ทั้งสองต่างหุบปากเงียบกันมาตลอดทางจนถึงป้อมข้ามทะเลทราย วิหารจันทราเทพทนความอึดอัดของบรรยากาศอึมครึมระหว่างกันไม่ไหว แต่หนนี้เฉินเฟิงใจแข็งมาก ทำท่าไม่แยแสแม้แต่น้อย ขนาดว่าวิหารจันทราเทพขอโทษไปแล้ว เฉินเฟิงก็ยังทำเย็นชาใส่

วิหารจันทราเทพเข้าไปรอในป้อมข้ามทะเลทราย ส่วนเฉินเฟิงนั่งเล่นกับหลายฝูอยู่นอกป้อมคนเดียวโดยไม่ยอมเข้าไปในป้อม

ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง เซียวหยาวก็พาเพื่อนที่สวมชุดนินจาเหมือนกันสองคนมาถึง หลังจากต่างแนะนำตัวกันแล้ว เฉินเฟิงก็ทราบว่าคนหนึ่งชื่อ โคบุ อีกคนชื่อ เคย์มะ เป็นพี่น้องกัน

ปรากฏว่าสองพี่น้องต่างก็รู้จักเซียวหยาวและวิหารจันทราเทพ เพราะทั้งสี่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน พอโคบุกับเคย์มะเจอวิหารจันทราเทพ ก็พูดเหมือนเซียวหยาวก่อนหน้านี้เปี๊ยบ คือชวนให้วิหารจันทราเทพเข้าสมาคมนินจา

คนที่อลักเอลื่อที่สุดคือเฉินเฟิง เพราะตอนนี้เขากำลังทะเลาะกับวิหารจันทราเทพ แล้วที่วิหารจันทราเทพไม่ยอมเข้าสมาคมนินจาก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุเสียด้วย ยังดีที่เซียวหยาวเห็นบรรยากาศชักจะไม่ค่อยดี จึงแอบถามวิหารจันทราเทพผ่านช่องเพื่อน ถึงค่อยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างวิหารจันทราเทพกับเฉินเฟิง และรีบห้ามปรามโคบุกับเคย์มะทันที แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยราบรื่นนัก เพราะหลังจากที่สองพี่น้องเข้าร่วมกลุ่มแล้ว โคบุก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าทำไมเฉินเฟิงถึงได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ?

เนื่องจากปกติเวลาผู้เล่นรวมกลุ่มกัน คนที่มีระดับสูงที่สุดมักจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม และหากสมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมกลุ่มมีระดับสูงกว่าหัวหน้ากลุ่มเดิม ก็จะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มแทนที่โดยอัตโนมัติ

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าระดับของสองพี่น้องต่างก็สูงกว่าเฉินเฟิง แม้แต่ระดับของเซียวหยาวก็สูงกว่าเฉินเฟิงมากโข ไม่ว่ายังไงเฉินเฟิงก็ไม่น่าจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มถึงจะถูก

แน่ละว่าเฉินเฟิงไม่พอใจอย่างมาก แต่ไม่ใช่ไม่พอใจเรื่องที่จะให้ใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม ที่เขาไม่พอใจคือกิริยาท่าทีของโคบุ เรื่องสละตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม เขาน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่คนที่รับภารกิจนี้มาคือเขานะ !

ความจริงทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกลุ่มของตัวเองถึงต่างจากกลุ่มของชาวบ้าน ทำไมระบบถึงไม่เลือกหัวหน้ากลุ่มตามระดับ แถมถึงเฉินเฟิงอยากจะสละตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม ก็ทำไม่ได้เสียด้วย แต่โคบุพูดเหมือนเขาจงใจยึดตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเป็นของตัวเองคนเดียวยังไงยังงั้น ทำเอาเฉินเฟิงโมโหจนเกือบจะสลายกลุ่มเสียเดี๋ยวนั้น

แต่ถ้าสลายกลุ่มในตอนนี้ จะทำให้เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพไม่ได้ร่วมรับมอบรางวัลจากการคลี่คลายภารกิจของวิหาร เฉินเฟิงจึงได้แต่จำทน

หลังจากที่เคย์มะแสดงความเห็นว่าน่าจะเป็นเพราะเฉินเฟิงเป็นคนรับภารกิจนี้ และน่าจะเกี่ยวข้องกับทักษะบัญชาการที่เป็นทักษะใหม่ซึ่งทางการเพิ่งจะประกาศออกมาก็ได้ ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าที่เกิดปัญหานี้ขึ้นคงเป็นเพราะการปรับระบบใหม่นั่นเอง

ถึงยังไงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มก็เป็นแค่ในนามเท่านั้น ไม่ได้มีผลใช้บังคับจริง เพราะสมาชิกกลุ่มแต่ละคนก็ต่างคนต่างเคลื่อนไหวเหมือนเดิม ไม่ได้ถูกหัวหน้ากลุ่มบัญชาการแต่อย่างใด สุดท้ายเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพเสียเวลาพูดกล่อมอยู่เป็นนานกว่าจะทำให้โคบุกับเคย์มะยอมรับให้เฉินเฟิงเป็นหัวหน้ากลุ่มได้

และแน่นอนว่าทัศนคติที่เฉินเฟิงมีต่อโคบุพลอยติดลบไปด้วยอย่างมาก

เมื่อได้โคบุกับเคย์มะมาเพิ่ม กลุ่มของเฉินเฟิงก็แข็งแกร่งขึ้นมาก ทั้งห้าออกเดินทางสู่หุบเขามรณะท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมระหว่างกัน

ตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปขบวนใหม่ โคบุรับหน้าที่แนวหน้า เคย์มะรับผิดชอบด้านขวา เซียวหยาวรับผิดชอบด้านซ้าย วิหารจันทราเทพขี่กระต่ายหยกเหินลมอยู่ทางขวาหลังเคย์มะ ส่วนเฉินเฟิงขี่ซวงเว่ยอยู่ทางซ้ายหลังเซียวหยาว จัดขบวนเป็นรูปลูกศรก้านคู่

เฉินเฟิงส่งหน้าไม้ให้วิหารจันทราเทพที่กลายมาเป็นองครักษ์ระวังหลังใช้ ส่วนตัวเขาเตรียมตัวใช้หน้าไม้มือเดียว นินจาข้างหน้าทั้งสามคนต่างก็ใช้อาวุธประเภทดาบกันทุกคน

นอกจากเซียวหยาวที่ใช้ดาบซามูไรแล้ว ดาบของโคบุเป็นดาบสองคมสำหรับฟันขนาดใหญ่ ดูรูปร่างทั้งใหญ่และหนาของดาบ น่าจะหนักอย่างน้อย ๓๕ - ๔๐ กิโลกรัม แต่พอเทียบกับหน้าหล่อๆ ของโคบุที่ไม่ได้สวมผ้าคลุมศีรษะของนินจาแล้วดูแปลกๆ ไม่ค่อยเข้ากันชอบกล

ดาบของเคย์มะก็พิเศษไม่เบา ถึงจะดูคล้ายๆ ดาบซามูไร แต่ตัวดาบยาวกว่ากันมาก อย่างน้อยยาว ๗ ฟุตครึ่ง เมื่อรวมกับนิสัยไม่ค่อยชอบพูดมากของเขาแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจอมดาบผู้โดดเดี่ยวอย่างไรอย่างนั้น แต่แค่ดูปุ๊บก็รู้ว่าเขาไม่กระจอกแน่นอน

มาถึงหุบเขามรณะ เฉินเฟิงก็เรียกหลายฝูกลับมาข้างๆ ตัว เพื่อที่อีกประเดี๋ยวเมื่อเข้าไปในหุบเขาแล้วจะได้ไม่เผลอไปล่อฝูงสัตว์อสูรมา นอกจากนี้เฉินเฟิงยังจัดการอุดปากของวานรขนทองซะ เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่าเจ้านี่จะไม่เกิดเป็นบ้าแหกปากร้องเรียกฝูงสัตว์อสูรมาหา

โคบุกับเคย์มะดูเฉินเฟิงแล้วแอบซุบซิบกัน จากนั้นลงความเห็นว่าเฉินเฟิง “รักตัวกลัวตายจนน่าทุเรศ”

แน่นอนล่ะว่าเฉินเฟิงเองก็ได้ยิน แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ทะเลาะกันเรื่องหัวหน้ากลุ่มมาแล้วเมื่อครู่ เขาก็คร้านจะแยแสโคบุ จึงตอบกลับไปอย่างเย็นชาว่า

“พอใจซะอย่าง !”

แล้วไม่สนใจสีหน้าดูถูกของสองพี่น้อง เพราะที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะกลัวตายจริงๆ นั่นล่ะ

เมื่อได้ยินเฉินเฟิงตอบแบบนั้น เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพก็แอบกังวล ยังดีที่เคย์มะห้ามโคบุไม่ให้ต่อความยาวสาวความยืด สองสาวถึงค่อยวางใจลงได้

สองสาวต่างก็สบตาแล้วแอบปรับทุกข์กันว่า ใครๆ ก็บอกว่าผู้หญิงน่ะใจแคบ แล้วไหงผู้ชายทั้งแท่งอย่างสองหนุ่มนี่ถึงได้ใจแคบยิ่งกว่าผู้หญิงแท้ๆ อย่างพวกเธอสองคนอีกล่ะเนี่ย ? สงสัยจริงๆ ว่าสองคนนี้ศรศิลป์ไม่กินกันมาตั้งแต่เกิด หรือไปเหยียบตาปลากันมาแต่ชาติปางไหน ทำไมถึงดูไม่ถูกชะตากันเอาเสียเลย

ถึงแม้กำลังของทั้ง ๕ รวมกันในเวลานี้มากพอจะบุกหุบเขามรณะได้แล้ว แต่ยังไงหุบเขามรณะก็ไม่ใช่ที่สำหรับเข้าไปเที่ยว โดยเฉพาะพวกนินจาแห่งหมู่บ้านอิวะที่ออกเคลื่อนไหวในละแวกนี้อยู่บ่อยๆ ยิ่งรู้ดีกว่าใครว่าหุบเขามรณะไม่ใช่ที่ที่จะประมาททำเป็นเล่นได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้หลังจากเข้าสู่หุบเขาแล้ว ความเร็วในการรุดหน้าของทั้งกลุ่มจึงช้าลงมาก เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างระมัดระวังเต็มที่ การพูดคุยระหว่างกันก็ลดน้อยลงหลายเท่า

ที่น่าประหลาดคือ เดินรุดหน้าไปอย่างช้าๆ ได้เกือบ ๑๐ กิโลเมตร ก็ยังไม่เจอสัตว์อสูรตัวไหนเลยสักตัว

เมื่อไม่มีหลายฝูคอยลาดตระเวนดูต้นทางให้ เฉินเฟิงก็หยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องด้วยความเคยชิน

พอโคบุกับเคย์มะเห็นกล้องส่องทางไกล ก็หน้าเปลี่ยนสีเหมือนเซียวหยาวก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เซียวหยาวเห็นเข้า ก็รีบลากสองพี่น้องออกห่างไปอีกทางทันที แล้วซุบซิบอะไรกันสามคนก็ไม่ทราบ

วิหารจันทราเทพนึกเซ็งอยู่ในใจ เห็นปฏิกิริยาของสามคนนั้นแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอเท็มที่เฉินเฟิงกำลังใช้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทักษะในการได้อาชีพนินจาแน่ๆ เธออดเจ็บปวดและรู้สึกโหวงเหวงไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าอดีตเพื่อนร่วมชั้นสามคนนี้จะเห็นความลับในการได้อาชีพสำคัญกว่าความผูกพันระหว่างเพื่อนเสียอีก พอมาเทียบกับเฉินเฟิงที่ใจกว้างและไม่เห็นแก่ตัว ก็เหมือนสามคนนั้นเป็นบ้าไปแล้วยังไงยังงั้น !

ทันใดนั้น เฉินเฟิงได้พูดขึ้นว่า “ข้างหน้ามีคนกำลังวิ่งหนีมาทางนี้”

ประโยคเดียวนี้ได้เรียกสติของทุกคนกลับมาจากความคิดฟุ้งซ่านทันควัน ต่างก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นทันที

เซียวหยาวถามว่า “เห็นร่องรอยของสัตว์อสูรหรือเปล่า ?”

“ยังไม่เห็น แต่คนนั้นดูท่าจะแย่เอามากๆ โอ๊ะ ! ผู้หญิงนี่นา เซียวหยาว เธอช่วยไปรับเขาหน่อยน่าจะดีนะ”

เซียวหยาวกำลังนึกประหลาดใจ ก็ได้รับข้อความลับที่เฉินเฟิงส่งมาให้ว่า

“เสื้อผ้ากับชุดเกราะของเธอรุ่งริ่งหมดแล้ว คงไม่คิดจะให้เธอต้องโป๊หรอกนะ !”

พอเซียวหยาวได้รับข้อความ ก็รีบรั้งโคบุที่ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าทันที พูดทิ้งท้ายว่า

“ฉันไปเอง โคบุ นายคุ้มครองทุกคนไว้นะ !”

เฉินเฟิงส่งกล้องส่องทางไกลให้วิหารจันทราเทพ ให้เธอคอยดูว่ามีสัตว์อสูรเข้ามาใกล้หรือเปล่า โดยที่หน้าของเขาเองออกจะแดงๆ

วิหารจันทราเทพรู้สึกว่าเฉินเฟิงทำอะไรแปลกๆ ชอบกล เมื่อบวกกับปฏิกิริยาที่พวกเซียวหยาวทั้งสามมีต่อกล้องส่องทางไกลเมื่อครู่ ทำให้เธอไม่ยอมรับกล้องส่องทางไกลเพราะเห็นแก่เพื่อนๆ ทั้งสาม และเอาแต่มองหน้าเฉินเฟิงเฉยอยู่

เฉินเฟิงค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบส่งข้อความลับไปว่า

“ตอนนี้สถานการณ์คับขัน จันทราเทพไม่ต้องไปสนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว ถ้าพวกนั้นจะเอาเรื่องก็ให้มาเอาเรื่องผมแทน !”

วิหารจันทราเทพรับกล้องส่องทางไกลที่เฉินเฟิงยัดเยียดมาให้ พอดูปุ๊บก็ร้องอุทานลั่นทันที

“ทุกคนเตรียมหนีเร็ว ! มีสัตว์อสูรไล่ตามมา...เป็นลิงค้างคาวทั้งหมด อย่างน้อย ๗๐ - ๘๐ ตัว !”

เดิมทีโคบุไม่พอใจอยู่ก่อนแล้วที่โดนเซียวหยาวรั้งไว้ ยิ่งมาเห็นเฉินเฟิงไม่รักษาคำพูดส่งกล้องส่องทางไกลให้วิหารจันทราเทพหน้าตาเฉย ก็ก่นด่าโคตรเหง้าเฉินเฟิงในใจไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบ

“นึกอยู่แล้วว่าขืนปล่อยให้ไอ้กระจอกนี่สั่งการ พวกเราทั้งกลุ่มมีหวังตายลูกเดียว !”

พอเขาได้ยินที่วิหารจันทราเทพร้องบอก ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แถมยังทำหน้าเหมือนจะบอกว่าเธอตกอกตกใจเกินเหตุ ขณะจะออกปากพูดถากถางเฉินเฟิงซะหน่อย ก็พอดีได้ยินว่าสัตว์อสูรคือลิงค้างคาว ๗๐ - ๘๐ ตัว หน้าจึงเปลี่ยนสีในพริบตา

ถึงลิงค้างคาวจะไม่ถือว่าร้ายกาจอะไรมากมาย แต่เล่นมาทีเดียวพร้อมกัน ๗๐ - ๘๐ ตัวแบบนี้ ต่อให้มีโคบุเพิ่มมาอีก ๑๐ คนก็ไม่พอให้ตาย ! โคบุได้แต่ร้องในใจว่า “ทำไมวันนี้ถึงซวยอย่างนี้ !”

จุดที่น่ากลัวที่สุดของลิงค้างคาวคือความเร็ว หากถูกพวกมันเล็งเข้าให้ ก็มีแต่ต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ หากคิดหนี มีแต่จะชักนำลิงค้างคาวมามากกว่าเดิม

ลิงค้างคาวเป็นสัตว์อสูรที่มีมากที่สุดในหุบเขามรณะและกระจายอยู่ทั่วทั้งหุบเขา โดยมากเวลาปรากฏตัวมักจะมาทีละ ๒ ฝูงเป็นหลัก หากสู้ไม่ได้มันจะแตกกระจายกันหนีไปเองโดยจะไม่ไล่ตามศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ถ้ามันเห็นฝูงของพวกมันกำลังไล่ตามศัตรูอยู่ล่ะก็ ลิงค้างคาวที่อยู่แถวนั้นทั้งหมดจะมารวมตัวกันโดยอัตโนมัติ และไล่ตามอย่างเอาเป็นเอาตายทันทีอย่างผิดจากปกติ

ลิงค้างคาว ๗๐ - ๘๐ ตัวนี้น่าจะถูกผู้หญิงที่กำลังหนีตายข้างหน้าชักนำมาแน่ๆ

โคบุที่เพิ่งจะได้สติตัดสินใจว่าจะไม่ฟังคำสั่งของไอ้กระจอกเฉินเฟิงอีกแล้ว และพูดอย่างดุดันว่า

“ตั้งแต่นี้ไปฉันจะเป็นคนสั่งการเอง อีกประเดี๋ยว...”

เขากำลังจะออกคำสั่งว่าอีกประเดี๋ยวจะหนีกันยังไง เซียวหยาวก็พาคนที่ออกไปรับกลับมาพอดี

พอเห็นผู้มาใหม่ชัดตา โคบุก็อุทานอย่างประหลาดใจ

“ระลอกน้ำ ! ทำไมถึงเป็นเธอได้ล่ะ ?”

เฉินเฟิงไม่ถือสาท่าทางเป็นอริเมื่อครู่ของโคบุ เพราะถึงยังไงแค่เห็นสัตว์อสูรโขยงใหญ่ข้างหน้า เขาเองก็ตกตะลึงจนงงไปหมด โคบุอยากทำตัวเป็นพระเอกสิดี เขาจะได้สบายไป แต่พอเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นคนที่พวกนี้รู้จัก ก็คิดในใจว่า “บังเอิญจริงๆ แฮะ !”

เซียวหยาวรู้สึกถึงความโกรธของโคบุได้แต่ไกล จึงนึกกังวลว่าคงไม่ดันทะเลาะกันขึ้นมาอีกหรอกนะ โชคดีที่ ระลอกน้ำแห่งสารทม่วง[2] (สุ่ยย่างจื่อชิว) เบนความสนใจของโคบุไปได้

เซียวหยาวโยนระลอกน้ำแห่งสารทม่วงขึ้นไปบนหลังม้าของวิหารจันทราเทพ แล้วพูดว่า

“จะพูดอะไรรออีกเดี๋ยวมีโอกาสแล้วค่อยพูด พวกเรารีบหนีกันก่อนเร็ว !” แล้ววิ่งกลับไปตามทางเดิม หยุดการทะเลาะกันครั้งนี้ลงได้อย่างชะงัด

ทุกคนหนีไปพลาง เคย์มะไล่ตามขึ้นมาที่ด้านข้างของกระต่ายหยกเหินลมแล้วถามว่า

“ระลอกน้ำฯ หมาป่าโลหิตล่ะ ! เขาปล่อยให้เธอมาที่นี่คนเดียวได้ยังไง ?”

ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงค่อยหายใจคล่องขึ้นในที่สุด จึงพูดตอบโดยที่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง

“ตายแล้ว ตายกันหมดแล้ว หมาป่าโลหิตกับเพื่อนๆ อีก ๘ คนถูกฆ่าหมดแล้ว เหลือแต่ฉันคนเดียวที่หนีออกมาได้”

พอได้ยินคำตอบนี้ เฉินเฟิงยังเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่อีกสี่คนที่เหลือนี่สิแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หญิงสาวที่หนีตายมานี้ชื่อว่า “ระลอกน้ำแห่งสารทม่วง” เป็นผู้เล่นที่ได้อาชีพนักฝึกสัตว์ คนในเกมนี้ต่างก็ทราบดีว่าเธอกับหมาป่าโลหิตเป็นแฟนกัน เพื่อนๆ อีก ๘ คนที่เธอเอ่ยถึงเมื่อครู่คงจะเป็น ๘ องครักษ์เหล็กแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์ ระดับต่างไม่ด้อยไปกว่าพวกโคบุ หมาป่าโลหิตออกโรงเองแบบนี้ ทั้ง ๘ คนนั้นน่าจะไปด้วย รวมกับระลอกน้ำแห่งสารทม่วง หากสัตว์อสูรพวกนั้นสามารถกำจัดกลุ่มของคน ๑๐ คนที่ต่างก็แข็งแกร่งไม่ใช่เล่นกันทุกคนได้ แปลว่าหนนี้พวกเขา ๕ คนมีหวังตายแหงแก๋

วิ่งไปได้ไม่ถึง ๕ กิโลเมตร ทั้ง ๖ ก็หยุดชะงักลง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะหนีมาจนไกลจากเขตอันตรายได้แล้ว แต่เป็นเพราะลิงค้างคาวส่วนหนึ่งไม่ทราบบินอ้อมมาดักทางถอยของทั้ง ๖ ตั้งแต่เมื่อไร

ทั้ง ๖ ทอดสายตามองไป แล้วต่างใจหาย เพราะลิงค้างคาวมีไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ตัว...

ทั่วทั้งหุบเขามีแต่เสียงกรีดร้องแหลมของลิงค้างคาวดังสะท้อนก้องไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าฟังไม่ได้ศัพท์ ทั้ง ๖ ฟังแล้วหัวใจต่างก็ร่วงวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม...



[1] ซาลาเปาไส้เนื้อขว้างสุนัข หมายถึง เป็นเหมือนซาลาเปาไส้เนื้อที่ถูกขว้างใส่สุนัข คือ “ไปแล้วไปลับไม่กลับมา” เพราะถูกสุนัขคาบไปกินเรียบร้อย

[2] ระลอกน้ำแห่งสารทม่วง (สุ่ยย่างจื่อชิว) แปลว่า ระลอกน้ำในฤดูใบไม้ร่วงสีม่วง ; สารท (สา - ระ - ทะ) แปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:26 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:35

0 ความคิดเห็น