โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:36
ตอนที่ ๓
หนีตาย
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงยิ้มเจื่อนๆ
“ขอโทษนะ ฉันทำให้ทุกคนต้องพลอยมาตายด้วยซะแล้ว วิหารจันทราเทพ ปล่อยฉันลงเถอะ ถึงจะตายก็ต้องลากพวกมันตายตามไปด้วยอย่างน้อยสองตัวให้ได้ !”
ถ้าตอนที่ส่องกล้องส่องทางไกล เฉินเฟิงเห็นระลอกน้ำฯปุ๊บรีบสั่งให้ทุกคนถอยทันที โอกาสหนีรอดก็จะมีสูง แต่ต่อให้ให้โอกาสเฉินเฟิงได้เลือกอีกครั้ง เขาก็ขอเลือกที่จะช่วยคนอยู่ดี แต่สำหรับคนอื่น เขาไม่กล้ารับประกันว่าจะเลือกเหมือนเขา
อาจเป็นเพราะยังอ่อนหัดและไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนัก ทำให้เฉินเฟิงไม่รู้สึกกลัวอะไรมากมาย คิดแค่ว่าเขาจะไม่ยอมตายโดยไม่ลองพยายามดิ้นรนเด็ดขาด
ในคนทั้ง ๕ กลายเป็นว่าเฉินเฟิงคุมสติได้ก่อนใคร เขาส่งดาบสั้นเล่มหนึ่งให้ระลอกน้ำฯ แล้วคิดแป๊บหนึ่งก็ส่งโล่เหล็กกลมของตัวเองให้เธอไปด้วย ส่วนตัวเองหยิบกระบองห่วงทองสมปรารถนาออกมาเตรียมตัวรับศึก
ระลอกน้ำฯขอบคุณเฉินเฟิง คนที่เหลือทั้งสี่ถึงค่อยได้สติจากอาการตะลึง และทยอยกันชักอาวุธออกมาเตรียมสู้ตาย
เฉินเฟิงยืดความยาวของกระบองห่วงทองออกไปเป็น ๗ ฟุต แล้วคิดจะเอายาฟื้นพลังให้ระลอกน้ำฯ แต่โคบุปฏิเสธแทนเธอ พร้อมกับบอกว่าเขาได้ให้ยาฟื้นพลังของตัวเองครึ่งหนึ่งแก่เธอไปแล้ว
เฉินเฟิงยิ้มโดยไม่ว่าอะไร แล้วพูดยิ้มๆ ว่า
“ตอนนี้ถึงจะหนีก็ไม่ทันแล้ว ถือว่าลองฝึกตายกันดูสักครั้งก็แล้วกัน !”
โคบุตอบกลับอย่างเย็นชา “ลองฝึกตาย ? นายคิดว่าคนอื่นเขากระจอกเหมือนนายงั้นหรือ ?”
เซียวหยาวส่ายหน้าอย่างชักโมโห
“โคบุ ! เวลาแบบนี้ยังจะชวนทะเลาะอีก นับถือเธอเลยจริงๆ ! เฉินเฟิง ไม่ต้องไปสนใจ อีกประเดี๋ยวถ้ามีโอกาส ให้นายกับวิหารจันทราเทพรีบหนีไปซะ ไม่ต้องสนใจว่าพวกเราจะตามไปทันหรือเปล่า ตอนนี้พวกเธอสองคนอยู่ระดับ ๓๐ ถ้าตายไป ค่าประสบการณ์สะสมจะเหลือศูนย์ทันที ฉันจำได้ว่านายสะสมครบหนึ่งล้านจุดแล้วไม่ใช่เหรอ ?”
เฉินเฟิงอึกอัก “ก็ใช่ แต่ว่า...”
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงพูดแทรกขึ้นว่า
“ไม่ต้องแต่ว่าแล้ว พวกเธอมีม้า ถึงได้มีโอกาสหนีพ้น ไม่งั้นเซียวหยาวไม่บอกให้พวกเธอหนีไปกันก่อนหรอก ขืนตายไปด้วยกันก็ไม่มีรางวัลให้หรอกน่า ถ้านายอยากจะตายเป็นเพื่อนพวกเรานัก รอจนนายได้อาชีพแล้วค่อยมาตายเป็นเพื่อนฉันสักครั้งก็แล้วกัน !”
พูดจบ ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงก็เลิกสนใจเฉินเฟิงที่ยังทำท่าจะพูดอะไรต่อ แล้วหันไปร้องตะโกนว่า
“ลิงค้างคาวบัดซบ บังอาจมาทำให้ฉันต้องเป็นหนี้บุญคุณคนอื่น จงรับท่าไม้ตายของฉันซะ !
“สัจจะแห่งราชา โทสะแห่งผู้อหังการ์ พญาสีหราชผู้บงการสรรพชีวิตเอย ข้าปรารถนาพลังของท่าน โทสะแห่งพญาสีหราช !”
การต่อสู้เปิดฉากขึ้นในบัดดล
เซียวหยาวร้องตะโกนตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด
“สัจจะแห่งราชา โทสะแห่งผู้อหังการ์ เทพมังกรผู้บงการวายุพิรุณเอย ข้าปรารถนาพลังของท่าน วายุมังกรหมุน !”
โคบุกับเคย์มะก็ไม่ชักช้า ต่างตะโกนขึ้นไล่ๆ กันว่า
“สัจจะแห่งราชา โทสะแห่งผู้อหังการ์ เทพมังกรผู้บงการวายุพิรุณเอย ข้าปรารถนาพลังของท่าน วายุมังกรหมุน !”
โทสะแห่งพญาสีหราช เป็นการโจมตีด้วยคลื่นเสียงในขอบเขตกว้าง เลียนแบบมาจากวิชาราชสีห์คำรามอันเป็นวิชาลับของสถาบันสงฆ์ในนิยายกำลังภายในยุคโบราณ[1] ผลลัพธ์สามารถทำให้สัตว์อสูรชะงักการเคลื่อนไหวได้ชั่วขณะ หากระดับของทักษะสูงมากพอ จะสามารถทำได้ถึงขนาดทำให้ศีรษะของสัตว์อสูรระเบิด บรรลุถึงการฆ่าในชั่วพริบตา เป็นทักษะพิเศษที่เป็นท่าไม้ตายของผู้ฝึกสัตว์โดยเฉพาะ
เสียงคำรามอันทรงพลังแข็งกล้าของพญาราชสีห์กลบเสียงกรีดร้องแหลมของฝูงลิงค้างคาวลงเสียสิ้น ส่วนวายุมังกรหมุนอีกสามระลอกที่ตามหลังมาได้พัดเหล่าลิงค้างคาวที่ออกันล้อมปิดทางถอยของคนทั้งหกจนปลิวละลิ่วออกไปไกลโข แม้จะไม่สามารถทำให้ฝูงลิงค้างคาวที่มีระดับสูงถึง ๔๕ ตายคาที่ได้ แต่ก็เปิดเส้นทางหนีที่ย้อมไปด้วยเลือดได้สำเร็จ
เฉินเฟิงตวัดกระบองงัดระลอกน้ำแห่งสารทม่วงกลับขึ้นไปอยู่บนหลังกระต่ายหยกเหินลมตามเดิม แล้วตวัดแขนรวบเซียวหยาวขึ้นมาอยู่ข้างๆ พูดทิ้งท้ายว่า
“เป็นผู้ชาย ก็ต้องหาทางเอาเอง !”
แล้วร้องตะโกนบอกวิหารจันทราเทพ จากนั้นวิ่งกลับไปตามเส้นทางขามาพร้อมกับตวาดลั่นไปตลอดทาง
“ซวงเว่ย บุกทะลวง ! ซวงเว่ย บุกทะลวงอีก ! ซวงเว่ย บุกทะลวงสองเท่า !”
โคบุกับเคย์มะตะลึง นึกไม่ถึงว่าเฉินเฟิงจะมาทิ้งกันแบบนี้ และชักเสียใจที่ดันไม่ได้ขี่ม้าออกมาด้วย
แต่เฉินเฟิงพูดมาแบบนี้แล้ว พวกเขาจะยังดื้อแพ่งไม่ยอมให้สี่คนนั้นหนีไปได้หรือ ? สองพี่น้องสบตากัน แล้ววิ่งตามหลังไปอย่างหมดทางเลือก
ลิงค้างคาวมีทั้งสิ้นสี่ชนิด ตัวนางพญามีสีทอง ตัวใหญ่กว่าลิงค้างคาวทั่วไปสองเท่า นางพญาแต่ละตัวสามารถบัญชาการลิงค้างคาวได้ประมาณ ๓๐ ตัว
ต่อมาคือลิงค้างคาวสีแดง ขนาดตัวเตี้ยกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย สูงประมาณ ๕ ฟุต อาวุธคือสามง่าม บวกกับปีกแบบค้างคาวขนาดเล็กที่หลัง ทำให้รูปร่างดูคล้ายปิศาจขนาดเล็กในตำนานปรัมปราของทางตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีลิงค้างคาวอีกสองชนิดสองสี ชนิดแรกคือลิงค้างคาวสีเขียว อีกชนิดคือลิงค้างคาวสีเทา ขนาดตัวเตี้ยกว่าลิงค้างคาวสีแดงประมาณครึ่งฟุต อาวุธของลิงค้างคาวสองชนิดนี้เหมือนกัน คือ ดาบผู่เตา[2]
ฝูงลิงค้างคาวที่เห็นได้บ่อยที่สุดคือลิงค้างคาวสีแดงหนึ่งตัวนำลิงค้างคาวสีเขียวและสีเทามาด้วยอย่างละตัว หรือหนึ่งแดงสองเขียว หรือหนึ่งแดงสองเทา สามตัวรวมเป็นหนึ่งฝูงย่อย ทุกสิบฝูงจะมีนางพญาลิงค้างคาวสีทองอยู่ด้านหลังด้วยหนึ่งตัว
ปกติเวลาเจอลิงค้างคาว มักจะเป็นแค่ฝูงละสามตัวสองฝูงเท่านั้น วิธีสู้กับมันมีสองวิธี ถ้าพลังโจมตีรุนแรงพอ ก็โจมตีตัวที่เป็นหัวหน้าฝูง ซึ่งก็คือตัวสีแดงตรงๆ ได้เลย เพราะพอลิงค้างคาวสีแดงตายปุ๊บ ลิงค้างคาวสองตัวที่เหลือจะแตกกระจายหนีไปเอง
ส่วนอีกวิธี ถ้าพลังโจมตีไม่รุนแรงพอ หรือคิดจะฆ่าเพื่อให้ได้ค่าประสบการณ์เป็นหลัก ก็ต้องโจมตีลิงค้างคาวสีเขียวก่อน เพราะลิงค้างคาวสีเขียวใช้คาถาฟื้นพลังเป็น และมีพลังป้องกันต่ำที่สุด
ตอนระลอกน้ำแห่งสารทม่วงกับนินจาทั้งสามร่วมมือกันเปิดฉากสู้ ที่สามารถทำให้ทางด้านหลังเกิดช่องโหว่เป็นทางให้ทั้งหกหนีรอดได้ เป็นเพราะวายุมังกรหมุนพัดนางพญาลิงค้างคาวสีทองปลิวละลิ่วไปสองตัว ฝูงลิงค้างคาวที่สูญเสียผู้บัญชาการไปอย่างกะทันหันจึงตกอยู่ในภาวะสับสนอลหม่านทันที
แม้เฉินเฟิงที่ปกติไม่ค่อยขยันหาข้อมูลจะไม่ทราบว่าทำไมฝูงลิงค้างคาวจึงระส่ำระสายแบบนั้นได้ แต่จากประสบการณ์ในการหนีเอาชีวิตรอดหลายต่อหลายครั้งทำให้เขาเริ่มมองเห็นทางรอด
เฉินเฟิงไม่เสียเวลาที่จะฉวยโอกาส จุดประสงค์ของเขาคือหนี จึงยืดกระบองห่วงทองให้ยาวออก ใช้แต่วิธีฟาดไปให้พ้นทางหรืองัดให้ปลิวกระเด็นเป็นหลัก
เขาค้นพบโดยบังเอิญว่ากระบองห่วงทองทำได้แค่เปลี่ยนขนาดใหญ่ขึ้น เปลี่ยนให้ยาวขึ้นอย่างเดียวไม่ได้ บวกกับโครงสร้างของตัวกระบอง ทำให้ยากจะแทงทะลุตัวสัตว์อสูรได้
ขณะบุกทะลวงไปอีกครั้ง เขากระแทกถูกลิงค้างคาวสีแดงตัวหนึ่งเข้าพอดี ลิงค้างคาวสีแดงไม่ได้ถูกกระแทกตายในทันที แต่ท่าบุกทะลวงจะทำให้มันตัวชานิ่งไปครู่หนึ่ง บวกกับความเคยชินของมันเอง ทำให้ลิงค้างคาวตัวนี้บินไปชนลิงค้างคาวสีแดงอีกตัว ทำให้ลิงค้างคาวใต้บังคับบัญชาสี่ตัวตกอยู่ในสภาพสับสนอลหม่านเพราะสูญเสียผู้บังคับบัญชาไปในทันที
เฉินเฟิงที่ค้นพบข้อนี้ดีใจอย่างมาก การใช้ท่าบุกทะลวงทุกครั้งหลังจากนั้นจึงเน้นกระแทกแต่ลิงค้างคาวสีแดงเป็นหลัก เพื่อให้ลิงค้างคาวบินชนกันเอง บุกทะลวงแต่ละครั้งจะมีลิงค้างคาวสามตัวตกอยู่ในสภาพสับสนอลหม่านบินชนกันมั่วไปหมด เขายิ่งจงใจท่าบุกทะลวงสองเท่า ให้ลิงค้างคาวสีแดงสองตัวบินมาชนกันเอง ทำให้ฝูงลิงค้างคาวยิ่งสับสนอลหม่านหนักกว่าเดิม ลิงค้างคาวบางตัวถึงกับเริ่มจะบินหนีไปแล้ว เมื่อบวกกับเซียวหยาวที่อยู่ด้านหลังทยอยซัดดาวกระจายเสริมเป็นระยะๆ และวิหารจันทราเทพที่ตามหลังมาติดๆ ก็ใช้ทวนตวัดงัดโดยหวังผลแค่ปัดกระเด็นหรืองัดกระเด็น ไม่ได้คาดหวังจะแทงทะลุลิงค้างคาวเช่นกัน ผลคือม้าสองตัวบรรทุกคนทั้งสี่ทะลวงผ่านวงล้อมของฝูงลิงค้างคาวไปได้ราวปาฏิหาริย์
โคบุกับเคย์มะพบว่าอยู่ๆ ความเร็วของพวกเฉินเฟิงก็เพิ่มขึ้นพรวดพราด จึงสังเกตดูวิธีสู้ของเฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพ แล้วเลิกสู้แบบติดพัน เปลี่ยนมาใช้วิธีหลบหลีกและปัดออกแบบเดียวกัน
น่าเสียดายที่ถึงแม้นินจาจะมีจุดเด่นที่เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว แต่สองเท้าหรือจะสู้สี่เท้าได้ บวกกับนางพญาลิงค้างคาวสีทองได้กลับเข้ามาร่วมฝูงเหมือนเดิมแล้ว ภายใต้การสกัดขวางทางอย่างมีระบบของฝูงลิงค้างคาว ทำให้ทั้งสองกลับไปตกอยู่กลางวงล้อมของพวกมันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ข้างพวกเฉินเฟิงทั้งสี่ได้หนีทิ้งห่างฝูงลิงค้างคาวไปได้ไกลถึงห้ากิโลเมตรโดยไม่ได้ฆ่าลิงค้างคาวเลยสักตัว แค่ไม่กี่นาทีที่หนีกันแบบตาลีตาเหลือก ระดับของทักษะบุกจู่โจมกับบุกทะลวงของเฉินเฟิงต่างก็เพิ่มขึ้น ๑ ระดับ ทำให้มองเห็นภาพได้เลยว่าช่วงเวลานั้นอันตรายมากขนาดไหน เพราะเขาต้องใช้ท่าบุกทะลวงชนสัตว์อสูรไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทักษะถึงได้เลื่อนระดับโดยอาศัยเพียงความถี่ของการใช้งานได้
แต่หุบเขามรณะไม่ใช่สถานที่กระจอกๆ มีหรือจะยอมให้พวกเขานึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปได้ แบบนั้นชื่อเสียงอันโด่งดังของหุบเขามรณะมิป่นปี้แย่หรือ ?
ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกไว้อยู่อย่าง นั่นคือในหุบเขามรณะจะมีหมอกปกคลุมอยู่บางๆ ตลอดทั้งปี บวกกับสภาพภูมิประเทศแบบพิเศษของหุบเขาที่ทั่วทุกที่แทบจะมีแต่หินผาล้วนๆ ไม่ว่าจะเดินไปถึงไหน ทิวทัศน์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด แล้วยังขึ้นชื่อว่ามีทางแยกที่ทั้งเล็กและคดเคี้ยวอยู่เยอะเป็นพิเศษจนถ้าไม่ระมัดระวังคอยดูป้ายบอกทางให้ดี จะหลงทางได้ง่ายมาก
ที่ตอนขาเข้าพวกเขาไม่หลงทาง เพราะตลอดทางจะมีป้ายบอกทางปักอยู่ ส่วนเฉินเฟิงเองไม่ได้จำทางมาแต่แรก เมื่อคำนวณดูจากระยะทางที่เข้ามาในหุบเขา แค่ระยะทางที่พวกเขาหนีตาลีตาเหลือกกันมาเมื่อครู่ ก็ควรจะออกไปจากหุบเขาได้แล้ว
แต่เฉินเฟิงลนลานจัดจนไม่ทันได้ดูทาง และคิดแค่จะหนีให้พ้นจากวงล้อมของฝูงลิงค้างคาว ตอนที่หนีก็แค่เลือกไปตามทางแยกเส้นที่ใหญ่กว่า ตอนแรกๆ ก็ไปถูกทางดีอยู่หรอก เพราะพวกเขาก็แค่เดินไปตามเส้นทางหลักเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าทางแยกเส้นไหนสักเส้นดันใหญ่กว่าทางหลักเสียได้ ตอนที่เฉินเฟิงพบว่าทางข้างหน้าไม่มีป้ายบอกทาง ก็แน่ใจทันทีว่าพวกเขาหลงทางกันเรียบร้อยแล้ว
ช่องกลุ่มส่งข้อความมาแจ้งว่าโคบุกับเคย์มะได้เสียชีวิตแล้ว และหากไม่มีใครใช้ม้วนคาถาคืนชีพช่วยคืนชีพให้พวกเขาภายในเวลาครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ต้องรอจนถึง ๒๔ ชั่วโมงให้หลังตามเวลาในเกมถึงจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งได้ และสถานที่ที่จะปรากฏตัวหลังจากฟื้นคืนชีพคือเมืองหรือหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับหุบเขามรณะมากที่สุด
แต่มีสถานการณ์หนึ่งที่อยู่นอกเหนือจากนี้
หากไม่เหลือซากศพในสภาพสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่นตายโดยถูกสัตว์อสูรฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ก็จะไม่สามารถใช้ม้วนคาถาคืนชีพได้ และดูจากปริมาณของฝูงลิงค้างคาวเมื่อครู่แล้ว โอกาสที่จะเหลือซากศพในสภาพสมบูรณ์คงมีแค่ ๐%
ส่วนไอเท็มที่สวมติดตัวทั้งหมด นอกจากไอเท็มพิเศษบางชิ้นแล้ว หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ก็จะหายไปหมด ดังนั้นในโลกของเกม “ราชาแห่งราชัน” การตายจึงถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก
ได้ยินผู้เล่นที่เคยตายมาแล้วหลายคนบอกว่า นอกจากโคตรจะเสียดายไอเท็มเครื่องป้องกันแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานสุดยอดตอนที่ตายทำเอาไม่กล้าไปลิ้มลองอีกเป็นครั้งที่สอง แถมค่าประสบการณ์สะสมจะกลายเป็นศูนย์ แล้วยังจะถูกลดระดับ ๑ - ๓ ระดับอีกต่างหาก ซึ่งทักษะบางอย่างก็จะถูกลดตามไปด้วย
ถึงแม้ในโลกของเกมราชาฯ ระดับไม่ถือว่ามีความสำคัญอะไรมากมายนัก แต่มันจะส่งผลกระทบต่อทักษะบางอย่าง เช่น การกำราบสัตว์เลี้ยง การใช้ทักษะพิเศษ และจำนวนครั้งในการใช้เวทมนตร์เป็นต้น ดังนั้นยิ่งระดับสูงมากเท่าไร ความสูญเสียอันเกิดจากการตายก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
พอเห็นทางแยกสามทางตรงหน้า เฉินเฟิงก็รั้งบังเหียนให้ซวงเว่ยหยุดวิ่ง วิหารจันทราเทพขี่กระต่ายหยกเหินลมเข้ามาใกล้ๆ แล้วถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ไปต่อล่ะ ? ลิงค้างคาวอาจจะไล่ตามมาอยู่ก็ได้นะ !”
เฉินเฟิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ เซียวหยาวตอบแทนเขาว่า
“เพราะท่านหัวหน้ากลุ่มของพวกเราหลงทางซะแล้วน่ะสิ !” พูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ
วิหารจันทราเทพหันไปมอง ก็เห็นว่าข้างหน้าไม่มีป้ายบอกทางจริงๆ จึงทราบว่าพวกตนหลงทางแล้ว เธอหันมาถามเฉินเฟิงว่า
“ท่านหัวหน้ากลุ่ม แล้วนี่จะทำยังไงกันดี ?”
นี่มันจงใจทำให้เฉินเฟิงตกที่นั่งลำบากชัดๆ !
เฉินเฟิงหน้าเจื่อนกว่าเดิม แบมือพลางพูดว่า
“วิหารจันทราเทพ เธอเอาเรื่องส่วนรวมมาล้างแค้นเรื่องส่วนตัวกันเห็นๆ นะ”
วิหารจันทราเทพแกล้งถามเสียงซื่อ
“ล้างแค้นเรื่องส่วนตัว ? พวกเรามีความแค้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ ?”
เซียวหยาวดูสถานการณ์แล้วเห็นว่าถ้าเธอไม่เข้าไปช่วย มีหวังเฉินเฟิงถูกบีบจนเถียงไม่ออกแน่ๆ เพราะทั้งสามอยู่ด้วยกันมาก็หลายวันอยู่ ทุกครั้งที่เถียงกัน เฉินเฟิงยังไม่เคยเอาชนะพวกเธอได้เลยสักครั้ง ดังนั้นจึงช่วยพูดให้ว่า
“เอาน่าๆ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ระลอกน้ำฯ เธอมาหุบเขามรณะบ่อยที่สุดนี่ พอจะจำตรงนี้ได้บ้างหรือเปล่า ?”
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงที่หลบอยู่ด้านหลังวิหารจันทราเทพกำลังแอบหัวเราะคิก พอได้ยินที่เซียวหยาวถาม ก็รีบยื่นศีรษะออกไปดูทางข้างหน้า ครู่หนึ่งต่อมาค่อยพูดว่า
“นี่มันห่างกันเกินไปแล้วมั้ง ? พวกเราวิ่งลงทางใต้ชัดๆ ไหงถึงมาโผล่ที่ถ้ำลับทางตะวันออกสุดได้ล่ะนี่ ?”
พูดจบก็ประสานมือคารวะเฉินเฟิงอย่างนับถือสุดขีด ทำเอาเฉินเฟิงได้แต่ถอนหายใจว่าทำไมถึงเจอแต่คนช่างกัดนะเนี่ย !
หลังจากบรรลุจุดมุ่งหมายในการทำให้เฉินเฟิงหน้าแตกแล้ว ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงก็อธิบายว่า
“แต่มาถึงที่นี่ได้ พวกเราก็ปลอดภัยแล้วล่ะ สุดทางของทางสามสายนี้จะเป็นปากทางเข้าถ้ำสามแห่ง ในถ้ำจะไม่มีสัตว์อสูรอะไรเลยสักตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะยังไม่เปิดใช้งาน หรือจงใจออกแบบมาอย่างนี้ แถมถ้ำทั้งสามแห่งนี้เชื่อมต่อถึงกัน ผู้เล่นที่มาฝึกวิชาที่นี่บ่อยๆ อย่างน้อยก็ต้องเคยมาสักครั้งสองครั้งกันทั้งนั้น
“เนื่องจากในถ้ำไม่มีสัตว์อสูร ผู้เล่นหลายคนเลยถือถ้ำนี้เป็นที่หลบภัยฉุกเฉิน และมีแต่ที่นี่เท่านั้นที่จะมีทางแยกสามทางที่ขนาดเส้นทางเท่ากันเปี๊ยบ พวกผู้เล่นต่างก็ตั้งชื่อให้มันว่า ‘ถ้ำสามคูหา[3]สุดบูรพา’ ฉันกับพวกหมาป่าโลหิตเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้วล่ะ”
แปลว่าพวกเฉินเฟิงรอดตายแล้วสินะ
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงนำทุกคนเลือกเดินไปตามเส้นทางตรงกลาง เดินไปได้ประมาณ ๕๐๐ เมตร ก็เห็นทางเข้า ๑ ใน ๓ แห่งของถ้ำสามคูหาสุดบูรพาจริงๆ เพียงแต่ถ้ำนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย ทั้งสี่จึงได้แต่ลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไป
เฉินเฟิงล้วงกระดาษพับนำไฟออกมาจุดไฟแล้วจ่อกับคบไฟจนติด เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพเห็นเขาทำอะไรพิลึกๆ จนชินแล้วเลยเฉยๆ แต่ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงไม่เคยเห็นมาก่อน จึงมองกระเป๋าเป้ของเฉินเฟิงอย่างอัศจรรย์ใจ
ไอเท็มพวกนี้ก็ไม่ใช่ไอเท็มที่ผู้เล่นปกติทั่วไปจะเตรียมติดตัวเอาไว้เหมือนกัน เพราะถ้ำขนาดใหญ่หน่อยต่างก็ติดตั้งแสงสว่างเอาไว้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าผู้เล่นที่จะเตรียมไอเท็มพวกนี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ถึงราคาจะแค่ไม่กี่เหรียญเงิน แต่เพราะโอกาสที่จะได้ใช้มีไม่มาก คนที่ยอมเสียเงินซื้อจึงมีน้อยเป็นธรรมดา
พอเห็นลิงค้างคาวไม่ได้ไล่ตามมา เฉินเฟิงก็คิดจะกลับไปช่วยใช้ม้วนคาถาคืนชีพคืนชีพให้โคบุกับเคย์มะ แต่พวกเซียวหยาวพากันห้ามเขาไว้ เพราะโดยนิสัยของลิงค้างคาวแล้ว หลังจากพวกมันรวมกันเป็นฝูงใหญ่ ก็จะไม่แยกย้ายกระจายกันไปจนกว่าจะหาเหยื่อไม่พบสักรายเป็นเวลานานกว่า ๕ ชั่วโมง
ทั้งสี่รอที่ปากถ้ำอยู่ครู่ใหญ่ จนแน่ใจว่าไม่มีลิงค้างคาวไล่ตามมา จึงค่อยเข้าไปในถ้ำตามคำแนะนำของระลอกน้ำแห่งสารทม่วง มุ่งสู่ตำแหน่งที่ถ้ำทั้งสามเชื่อมต่อกัน อันเป็นที่เดียวในถ้ำที่มีแสงสาดลอดเข้ามา เพราะด้านบนมีโพรงอยู่หนึ่งโพรง
เมื่อไปถึงตำแหน่งที่ถ้ำทั้งสามเชื่อมต่อกัน ก็พบว่าบนพื้นที่กว้างประมาณสิบกว่าตารางเมตรมีเก้าอี้หินกระจายกันอยู่หลายตัว ทั้งสี่ต่างแยกย้ายกันไปนั่งพักผ่อน
เพิ่งจะนั่งลง เฉินเฟิงก็ได้รับข้อความแจ้งจากระบบว่า ทักษะบัญชาการของผู้เริ่มต้นลดลง ๑ ระดับ ชื่อตำแหน่งเปลี่ยนกลับไปเป็น หัวหน้ากลุ่มย่อย ตามเดิม จำนวนสมาชิกสูงสุดในกลุ่มลดลงเหลือ ๕ คน เมื่อลองคำนวณดู เขาได้รับแจ้งว่าโคบุกับเคย์มะตายแล้วประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนพอดี ดูท่าการตายของสมาชิกในกลุ่มจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระดับทักษะบัญชาการของหัวหน้ากลุ่ม
พอเอาข้อความแจ้งให้สามสาวดู บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที เฉินเฟิงย่อมจะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ต่อการตายของโคบุกับเคย์มะที่เขาไม่ชอบขี้หน้า ความจริงออกจะสมน้ำหน้าอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำ พอเขาต้องมาถูกลงโทษโดยการลดขั้น เฉินเฟิงจึงบ่นอุบในใจว่าไม่ยุติธรรมเลย ! แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่สามสาวจะคิดต่างกับเขา โดยเฉพาะระลอกน้ำแห่งสารทม่วง เพราะเธอเป็นคนพาฝูงลิงค้างคาวพวกนั้นมา จึงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“ยังไงๆ พวกนั้นก็ตายไปแล้ว จะติดต่อตอนนี้ก็ไม่ได้ด้วย เดี๋ยวรออีกหน่อยค่อยออกไปช่วยเก็บพวกเครื่องป้องกันอะไรๆ ให้ก็แล้วกันน่า” เฉินเฟิงบ่นสามสาวที่เอาแต่โทษตัวเองอยู่นั่นแล้ว แน่นอนว่าเขาถูกขว้างค้อนใส่ไปหลายขวับทันควัน
เฉินเฟิงที่เริ่มรู้ตัวว่าท่าชักจะไม่ค่อยดีรีบหาทางเผ่นหนีโดยทำเป็นบอกว่าจะไปดูลาดเลา แล้วคว้าคบไฟเดินเข้าไปในถ้ำทางขวามือ เฉินเฟิงที่น่าสงสาร เพิ่งจะได้นั่งแค่ไม่ถึงสองนาที ก็ต้องมาซวยอีกแล้ว...
เซียวหยาวออกความเห็นว่า ถึงฝูงลิงค้างคาวเมื่อครู่จะมีจำนวนถึงหนึ่งร้อยกว่าตัว แต่สำหรับหมาป่าโลหิตและแปดองครักษ์เหล็กที่ติดตามมาด้วยซึ่งแสนจะเก่งกาจแล้ว ยังถือว่าพอจะรับมือไหวอยู่ ยังไงๆ ก็ไม่น่าจะถึงขั้นตายกันหมดทุกคนแบบนี้นี่นา ?
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงอธิบายว่า ถ้าแค่ฝูงลิงค้างคาวพวกนี้ล่ะก็ ไม่มีทางเก็บพวกหมาป่าโลหิตที่ย่ำเข้าย่ำออกหุบเขามรณะเป็นประจำได้หรอก พวกหมาป่าโลหิตถูกฝูงงูมังกรยักษ์รุมฆ่าต่างหาก
จุดที่ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงหนีมาเจอกับพวกเฉินเฟิงอยู่ห่างจากบึงกักมังกรแค่ประมาณ ๕ กิโลเมตรเท่านั้น ที่ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงหนีรอดออกมาจากบึงกักมังกรได้ ก็เพราะพวกหมาป่าโลหิตทั้งเก้าคนช่วยกันคุ้มครองให้ ใครจะไปนึกว่าจะโชคร้ายซ้ำซ้อนขนาดนี้ ดันหนีเสือปะจระเข้ เพิ่งจะหนีรอดจากงูมังกรยักษ์มาได้ ก็ดันมาเจอะกับฝูงลิงค้างคาวเข้าให้ เนื่องจากจำนวนของลิงค้างคาวมีมากเกินไป เธอจึงได้แต่หนีลูกเดียว
ลิงค้างคาวโด่งดังนักเรื่องชอบเรียกพวกพ้องมาช่วยกันรุมยำ พอพวกมันมารวมกันเป็นฝูงใหญ่ แค่รับมือมันอย่างเดียว ผู้เล่นก็เหนื่อยตายได้แล้ว ไม่ว่าผู้เล่นจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงแค่ไหน ถ้าถูกมันเล็งเข้าให้และต้องสู้คนเดียว ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างอะไรกับมือใหม่นักหรอก
ข้างเฉินเฟิง ระหว่างที่เดินสำรวจภายในถ้ำอยู่คนเดียว ก็พบว่าสีของผนังถ้ำทางขวามือจุดหนึ่งต่างจากสีของผนังถ้ำส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด จึงลองเอามือเคาะดูด้วยความประหลาดใจ
ก๊อง ! ก๊อง !
“ข้างในกลวง ?” เขาลองเอาคบไฟเข้าไปส่องดูใกล้ๆ แล้วพินิจอย่างละเอียดว่ามีอะไรแปลกๆ ตรงไหนบ้าง ผลปรากฏว่ามีแค่พื้นที่ประมาณสามตารางเมตรเท่านั้นที่ข้างในกลวง
เฉินเฟิงนึกขึ้นได้ว่าในเป้ของเขามีอีเตอร์ที่ไม่ได้ใช้งานมานานมากอยู่หนึ่งด้าม จึงรีบหยิบออกมาลองดู แค่กระแทกแบบไม่ต้องออกแรงมากไม่กี่ที ผนังถ้ำก็ถูกเจาะเป็นโพรงใหญ่ประมาณหนึ่งตารางฟุต เฉินเฟิงตื่นเต้น คิดว่าตัวเองขุดเจอสมบัติอะไรดีๆ เข้าให้
ผลปรากฏว่าในโพรงมีหนังสืออยู่แค่เล่มเดียว ปกหนังสือเริ่มจะเหลืองแล้ว หน้าปกไม่ได้เขียนอะไรเอาไว้เสียด้วย เขาจึงลองพลิกเปิดดู ๒ - ๓ หน้า
“วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่รีบมา พวกเราคงต้องลองฝ่ากันเอาเองดูแล้วล่ะ ถึงจะรู้ดีว่าออกไปก็มีแต่ต้องตายสถานเดียวก็เถอะ...”
“วันที่ห้า มีเพื่อนร่วมชะตากรรมหนีตายเข้ามาเพิ่มอีกหลายราย...ในจำนวนนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นนักผจญภัย เขาบอกว่าสไลม์พวกนี้จะไม่อยู่ที่นี่นานนักหรอก เพราะที่นี่แห้งเกินไปสำหรับพวกมัน...”
“วันที่เจ็ด พวกสไลม์ไม่มีทีท่าว่าจะถอยออกไปเลย อาหารของทุกคนต่างก็หมดแล้ว มีนินจาบางคนลองใช้วิชาพรางกายชั้นสูง แต่ก็ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ...”
“สไลม์พวกนี้กลัวไฟและกลัวแสง นักผจญภัยหลายคนลองเจาะเพดานของถ้ำที่ใหญ่ที่สุดดู หวังจะให้มันทะลุ...”
“ในที่สุดเพดานถ้ำก็ทะลุจนได้ บนนั้นมีเส้นทางอื่นให้ออกไปได้...”
ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้จะเป็นสมุดบันทึก เฉินเฟิงลองตรวจหาอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็พบอัญมณีหน้าตาประหลาดๆ หนึ่งก้อนกับคทาหนึ่งอัน ปลายด้านหนึ่งของคทายื่นออกมาโดยตรงกลางเว้าลึกเข้าไปเหมือนสองง่าม บนด้ามสลักอักษรเอาไว้หลายตัว แต่ดูไม่ออกว่าเป็นอักษรอะไร
เมื่อไม่พบอะไรใหม่ๆ อย่างอื่นอีก เฉินเฟิงก็ได้แต่กลับไปที่จุดรวมตัวเพื่อบอกให้ทุกคนรู้สิ่งที่เขาค้นพบนี้
เพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสามสาวแว่วมา เฉินเฟิงรีบยัดของในมือทั้งหมดลงในกระเป๋าคาดเอว มือคว้ากระบองห่วงทองรี่ไปดูอย่างรวดเร็ว
ครั้นได้เห็นตัวประหลาดเต็มพื้นถ้ำ ไม่ต้องให้บอกเขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น มองไปทางไหนก็มีแต่เจ้าพวกนี้อยู่เต็มไปหมด แม้แต่ทางที่เขาวิ่งกลับมาเมื่อกี้ก็มี เห็นแล้วน่าขยะแขยงสิ้นดี
สัตว์อสูรพวกนี้รูปร่างค่อนข้างกลม ตัวเป็นเมือกเหนียวๆ ฝูงแล้วฝูงเล่า มีสีดำ สีเขียว สีม่วง ไม่ทราบว่าเป็นสัตว์อสูรอะไร ระหว่างที่เคลื่อนไหว มันได้ปล่อยของเหลวกลิ่นฉุนจัดจนแทบทนไม่ไหวออกมา ไม่ต้องลองก็รู้ว่าต้องมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนสูงมากแน่ๆ
สัตว์อสูรค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปยังที่ที่สามสาวอยู่รวมกัน
พอสามสาวเห็นเฉินเฟิงกลับมาถึง ก็สูดจมูกพลางกล่าวหาเฉินเฟิงว่าไปดูลาดเลาประสาอะไร ตัวประหลาดพวกนี้เข้ามาตั้งเป็นนานสองนาน ดันเพิ่งจะมารู้ตัวเป็นคนสุดท้ายซะได้ เฉินเฟิงได้แต่ทำตาปริบๆ กับข้อกล่าวหาโดยไม่ทราบจะแก้ต่างให้ตัวเองยังไงดี
พอมารวมกันครบสี่คน สามสาวก็ค่อยมีความกล้าเพิ่มขึ้นมาหน่อย และลองใช้อาวุธโจมตีพวกสัตว์อสูรดู วิหารจันทราเทพแทงทวนเข้าใส่ตัวพวกมัน แต่ผลคือ...
“เผละ ! เผละ !”
ใบทวนถูกกัดกร่อนจนละลายโดยที่ทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงชักดาบสั้นออกมาแทงใส่บ้าง เพราะไม่เชื่อว่ามันจะร้ายกาจอย่างที่เห็น
“เผละ ! เผละ ! โอ๊ย !” เสียงแรกคือเสียงใบดาบละลายเหมือนที่ใบทวนโดน ส่วนเสียงหลังเป็นเสียงร้องอุทานด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากของเหลวที่สัตว์อสูรปล่อยออกมากระเซ็นมาโดนแขนของเธอ ระลอกน้ำฯสะบัดแขนเร่าๆ อยู่หลายที ของเหลวนั้นก็ไม่ยอมหลุด
เฉินเฟิงไม่พูดพล่ามทำเพลง ชักดาบวงเดือนออกมาคว้านเนื้อบนแขนระลอกน้ำฯออกทั้งก้อน จากนั้นค่อยควักยาแปลกๆ จากขวดใบหนึ่งมาทาให้
ตอนแรกระลอกน้ำฯถลึงจ้องเฉินเฟิงเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จากนั้นค่อยระบายลมหายใจยาว ปาดเหงื่อที่ออกมาจนชุ่มหน้าผาก แล้วขอบใจเฉินเฟิงที่ยื่นมือเข้าช่วยทันท่วงที เพราะแค่เวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาที ของเหลวก็ได้กัดกร่อนจนเกือบจะถึงกระดูกอยู่แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าระดับความรุนแรงของการกัดกร่อนมีมากแค่ไหน
เฉินเฟิงพูดยิ้มๆ “เรื่องเล็กน่า ไม่ต้องไปสนใจมากหรอก”
แล้วเฉินเฟิงก็ค้นพบว่าดูเหมือนพวกสัตว์อสูรจะไม่กล้าเข้าใกล้ตัวเขา แต่กับสามสาวแล้วมันไม่เกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อย พอเขาเดินไปทางไหน พวกมันก็จะหลบไปห่างๆ โชคดีที่พวกมันเคลื่อนไหวอืดอาดมาก สุดท้ายสามสาวพากันเกาะเฉินเฟิงหนึบไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว อีกอย่างคือดูเหมือนสัตว์อสูรพวกนี้จะกลัวแสงด้วยเหมือนกัน เพราะพวกมันไม่กล้าเข้าไปอยู่ตรงบริเวณที่มีแสงอาทิตย์สาดลอดลงมาจากช่องโหว่บนเพดานถ้ำ
เฉินเฟิงบอกสิ่งที่เขาสังเกตเห็นให้สามสาวได้ทราบ ทั้งสี่จึงไปเบียดกันอยู่ข้างๆ ม้าทั้งสองตัว บริเวณที่แสงอาทิตย์สาดลอดลงมากว้างแค่ราวๆ ๕ ตารางเมตรเท่านั้น พื้นที่บริเวณอื่นนอกเหนือจากนี้ต่างก็ถูกฝูงสัตว์อสูรยึดครองไปหมดแล้ว
หลังจากลองดูอยู่หลายครั้ง เฉินเฟิงก็พบว่าที่สัตว์อสูรพวกนี้กลัวคือคบไฟในมือเขาต่างหาก จึงรีบคุ้ยหาคบไฟที่เหลือในเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ น่าเสียดายที่เขาซื้อมาแค่ ๓ อัน สามสาวต่างก็แย่งไปกันคนละอันอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจ สุดท้ายไม่มีเหลือให้เฉินเฟิงเลยสักอัน
พอมียันต์คุ้มกันตัว สามสาวก็ค่อยหายกลัว ระลอกน้ำฯที่หายตกใจแล้วพูดว่า
“แปลกจัง สัตว์อสูรพวกนี้มาจากไหนกันน่ะ ? พวกฉันมาที่นี่ก็ตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่เห็นจะเคยเจอเลยสักครั้ง ?”
คนที่เหลือทั้งสามต่างก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ย่อมจะไม่สามารถตอบคำถามของเธอได้ และได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาพร้อมกับเริ่มที่จะกังวล
ทุกคนเพิ่งจะเคยเห็นสัตว์อสูรชนิดนี้เป็นครั้งแรกกันทั้งนั้น จึงไม่มีใครทราบว่าต้องใช้วิธีไหนจัดการกับมัน จะใช้อาวุธโจมตีหรือก็ดูเหมือนจะไร้ประสิทธิผลโดยสิ้นเชิง อีกเดี๋ยวพอพระอาทิตย์ตก สถานการณ์คงเลวร้ายกว่านี้หลายเท่าแน่
เฉินเฟิงนึกเจ็บใจที่ก่อนหน้านี้ดันไม่ซื้อคบไฟมาให้มากกว่านี้ คบไฟพวกนี้แต่ละอันจุดไฟได้นานแค่ ๕ ชั่วโมงเท่านั้น นี่ถ้าพระอาทิตย์ตกแล้ว ทุกคนก็หนีไม่รอดกันน่ะสิ ?
คิดถึงตรงนี้ก็รีบขอเก็บคบไฟกลับมาสักอันสองอันทันที แต่ตอนนี้คบไฟพวกนี้ถือเป็นยันต์คุ้มครองตัวของสามสาว ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง สามสาวก็ไม่ยอมคืนให้ ทำเอาเฉินเฟิงร้อนใจจนเต้นเหยงๆ
แต่เฉินเฟิงไม่ใช่คนที่เอาแต่นั่งกลุ้มโดยไม่ยอมหาทางทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อริบคบไฟกลับคืนมาไม่ได้ เขาจึงดูตำแหน่งของแสงอาทิตย์ แล้วคะเนว่าอย่างมากอีกไม่เกิน ๓ ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะตกแล้ว จะให้ยอมแพ้โดยไม่ลองทำอะไรดูน่ะ เขาไม่ยอมหรอก
แล้วเฉินเฟิงก็ลองใช้อาวุธโจมตีพวกสัตว์อสูรดู
เนื่องจากเห็นตัวอย่างจากการทดลองของสองสาวมาแล้ว เฉินเฟิงย่อมจะไม่ยอมซ้ำรอย เขาค้นดูอาวุธทั้งหมดที่ตัวเองมี หลังจากเอาดาบวงเดือนให้ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงยืมแล้ว ตัวเองก็ใช้ธนูมือเดียวลองยิงออกไปหลายดอก
ลูกดอกเงินเหมือนถูกกลืนหายยังไงยังงั้น สรุปว่าไม่สามารถทำอะไรสัตว์อสูรนี้ได้เช่นกัน เฉินเฟิงจึงยิ่งไม่กล้าใช้ดาบสองมือกับกระบองห่วงทองเข้าทดลองไปใหญ่ เขาลองล้วงดาวกระจายออกมาซัดออกไป ๒ - ๓ อันโดยกะเอาไว้ว่าก็คงจะถูกกลืนหายไปเหมือนกันนั่นแหละ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าดันใช้ได้ผล
ดาวกระจายไม่ได้ถูกกลืนหายไปเหมือนลูกดอกเงิน แต่ปักลงบนตัวของสัตว์อสูรนั้น สัตว์อสูรส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา แต่ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แถมตรงรอยแผลมีของเหลวสีเขียวไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
[1] วิชาราชสีห์คำราม ซึ่งเป็นต้นแบบของทักษะพิเศษโทสะแห่งพญาสีหราช เป็นวิชาของวัดเส้าหลิน
[2] ดาบผู่เตา เป็นดาบคมเดียว ใบดาบค่อนข้างใหญ่ คมดาบโค้ง ส่วนด้ามจะกลวงใน สามารถนำไปต่อกับด้ามไม้ยาวกลายเป็นดาบด้ามยาวสำหรับใช้บนหลังม้าได้ หรือถ้าไม่ต่อกับด้ามไม้ยาว ก็สามารถใช้แบบดาบด้ามสั้นทั่วไปได้
[3] คูหา แปลว่า ถ้ำ