โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:37
ตอนที่ ๔
วิหารมังกรเงิน
พอเห็นแบบนี้เฉินเฟิงก็รีบบอกเซียวหยาวทันที แล้วถามว่าเธอพกดาวกระจายมากี่อัน ?
สามสาวต่างก็ดีใจอย่างมาก แต่คำตอบที่ได้รับดันน่าผิดหวังชะมัด
เซียวหยาวอ้อมแอ้มว่า “ฉันมีแค่สิบกว่าอันเอง เพราะมันแพง แถมพลังโจมตีก็ไม่ได้สูงอะไร เมื่อกี้ตอนที่หนีกันมาฉันก็ใช้ไปบ้างแล้ว เลยเหลืออยู่แค่นี้แหละ”
ที่น่ายินดีคือ เซียวหยาวแบ่งดาวกระจายให้วิหารจันทราเทพกับระลอกน้ำแห่งสารทม่วงอย่างไม่ถือสามากความแล้วว่าต้องเก็บเป็นความลับ
ตอนแรกเฉินเฟิงยังนึกกังวลเรื่องนี้อยู่ แต่พอเห็นเซียวหยาวเป็นคนแบ่งดาวกระจายให้อีกสองสาวเอง ก็มองเซียวหยาวอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง เลยโดนเซียวหยาวค้อนขวับ
เฉินเฟิงเอาดาวกระจายทั้งหมดที่ตัวเองมีออกมาอย่างสุดเซ็ง แต่ก็แอบเม้มเอาไว้ให้ตัวเองก่อนหลายสิบอัน เพราะกลัวพวกสาวๆ จะเอาไปจนไม่มีเหลือให้เขาเลยสักอันเหมือนเมื่อกี้
พอรู้แล้วว่าสัตว์อสูรพวกนี้ไม่ใช่ว่าฆ่าไม่ตาย ทั้งสี่ก็สบายใจขึ้นมาก ถึงแม้แต่ละคนจะมีดาวกระจายกันแค่คนละไม่กี่สิบอัน ซึ่งเมื่อเทียบกับสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลตรงหน้าแล้ว ยังไงก็ไม่พอใช้แน่ๆ แต่เทียบกับความรู้สึกหวาดผวาทอดอาลัยเมื่อสักครู่ ก็ถือว่าดีกว่ากันมากโข
อยู่ๆ เฉินเฟิงก็พึมพำว่า “สไลม์กลัวไฟและกลัวแสง สไลม์กลัวไฟและกลัวแสง เจาะเพดานของถ้ำ...”
เซียวหยาวเอ็ดว่า “เฉินเฟิงอาการกำเริบอีกแล้ว ! อะไรสไลม์กลัวไฟและกลัวแสงกันยะ ? แล้วจะเจาะเพดานถ้ำไปทำไม ? เจาะเพดานตรงไหนล่ะ !”
แทนที่จะอธิบาย เฉินเฟิงกลับหันไปถามระลอกน้ำแห่งสารทม่วงว่า
“ระลอกน้ำฯ เธอบอกว่าที่นี่คือบริเวณที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำสามคูหาสุดบูรพา และเป็นที่เดียวที่มีแสงสาดลอดลงมาใช่หรือเปล่า ?”
แม้ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงจะไม่เข้าใจอะไรเลยเหมือนกับเซียวหยาว แต่ก็ตอบว่า
“ใช่ ว่าแต่มาถามเรื่องนี้ทำไมตอนนี้ ? คิดหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนสิ !”
เฉินเฟิงหยิบสมุดบันทึกที่ตัวเองหาเจอเมื่อกี้ออกมาโดยไม่สนใจความกังขาของสามสาว แล้วพูดอย่างดีใจ
“ก็กำลังคิดหาทางหนีออกไปอยู่นี่ไง ! พวกเธอดูนี่สิ”
วิหารจันทราเทพรับสมุดบันทึกมาพลิกเปิดไป ๒ - ๓ หน้าพลางถามว่า
“แปลว่าสัตว์อสูรพวกนี้คือสไลม์หรือ ?” พออีกสองสาวเห็นว่ามีข้อมูลของสัตว์อสูรนี้ให้ดู ก็พากันไปเบียดขอดูกับวิหารจันทราเทพ
“คงใช่มั้ง เธอดูเอาเองสิ” เฉินเฟิงว่า แล้วคุ้ยหาของในเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ต่อโดยไม่สนใจค้อนที่สามสาวส่งมาให้ จากนั้นหยิบตะขอสำหรับปีนที่เคยใช้มาแล้วเมื่อตอนไปเก็บดอกไม้เจ็ดสีออกมา แต่เชือกดันถูกเอามาใช้มัดวานรขนทองเสียแล้ว จึงได้แต่ถามสามสาวว่ามีใครพกเชือกมาด้วยบ้าง ?
สามสาวอ่านบันทึกไปได้พอสมควรแล้ว จึงทราบดีว่าเฉินเฟิงคิดจะทำอะไร พอได้ยินเฉินเฟิงถามถึงเชือก ก็ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สรุปว่าต่างก็ไม่มีเชือกกันทั้งสามคน เฉินเฟิงได้แต่เดินไปที่ซวงเว่ยอย่างหมดทางเลือก ตอนนี้เหลือแต่เชือกที่มัดวานรขนทองอยู่
ท่าทางวานรขนทองเองก็รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น จึงตาลีตาเหลือกแหกปากร้องอู้อี้ไม่ยอมหยุด แม้สามสาวจะใจไม่เหี้ยมพอ แต่ก็กลัวตายกันมากกว่า ดังนั้นถึงจะทราบดีว่าเฉินเฟิงคิดจะทำอะไร ก็ไม่ได้ออกปากห้ามปราม ตอนนี้ทั้งสี่คิดแค่ว่าจะจัดการกับวานรขนทองตัวนี้ยังไงดีเท่านั้น
เฉินเฟิงพูดว่า “อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ ถ้าตอนนี้มันไม่ตาย พวกเรานั่นแหละจะตายเสียเอง” แล้วเอากระบองห่วงทองออกมาเตรียมลงมือ
วานรขนทองพ่นของที่ยัดปากมันไว้ออกมาอย่างยากเย็น แล้วแหกปากร้องเจี๊ยกๆ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“ขืนปล่อยแกตอนนี้ พวกเราก็ไม่กล้าต่อกรด้วย แกไปที่ชอบๆ เถอะนะ !” เฉินเฟิงเงื้อกระบองห่วงทองขึ้น เตรียมจะฟาดลงใส่
ทันใดนั้นเสียงจากระบบได้ดังขึ้นว่า
“ผู้เล่นเฉินเฟิงข่มขวัญสัตว์เลี้ยงสำเร็จอย่างราบรื่น ได้รับวานรขนทองระดับ ๔๕ หนึ่งตัว เนื่องจากเป็นการข่มขวัญสัตว์เลี้ยงข้ามระดับ จึงได้รับไอเท็มเป็นรางวัลพิเศษ แส้เทพสีหราชอหังการ์ของพญาสีหราช ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของผู้เริ่มต้นลุล่วง ได้รับทักษะ ‘ข่มขวัญ’ ของผู้เริ่มต้น ระดับที่ ๑ ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไขลุล่วง ได้เลื่อนระดับทักษะข่มขวัญของผู้เริ่มต้น เลื่อนเป็นระดับที่ ๒...ระดับที่ ๙”
เฉินเฟิงตะลึง คิดไม่ถึงว่าการขู่ก็เป็นทักษะกับเขาด้วย แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามาเป็นทักษะของอาชีพผู้เริ่มต้นนี่มันดูทะแม่งๆ ยังไงพิกล บัญชาการเอย ข่มขวัญเอย ดูยังไงมันก็น่าจะเป็นทักษะของแม่ทัพหรือราชามากกว่านี่นา ? แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาศึกษาอยู่ดี
เฉินเฟิงดูแส้เทพสีหราชที่โผล่เพิ่มมาในมือ ตัวแส้เรืองแสงสีทองจางๆ ความยาวของแส้ประมาณ ๑๘ ฟุต ที่ด้ามสลักอักษรว่า “เฉินเฟิง” และ “แส้เทพสีหราช” ดูท่าจะเป็นไอเท็มที่ขายโอนไม่ได้เสียด้วย
สามสาวกำลังนึกแปลกใจที่ไม่ยักได้ยินเสียงร้องโหยหวนของวานรขนทอง ก็พบว่าอยู่ๆ บนมือของเฉินเฟิงได้มีแส้เพิ่มมาหนึ่งเส้น
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงรับแส้มาดูอย่างถูกอกถูกใจ เธอเป็นนักฝึกสัตว์ แน่นอนว่าอาวุธที่ชอบใช้มากที่สุดก็คือแส้นั่นเอง แต่พอเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่บนด้าม ก็ทราบทันทีว่ามีแต่เฉินเฟิงคนเดียวที่ใช้แส้นี้ได้
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงลองตวัดแส้ดู ผลคือเธอไม่สามารถตวัดคลายแส้เส้นนี้ออกจนสุดได้ ทั้งที่ปกติเธอแค่สะบัดแส้เล่นๆ แส้ก็หวดลมดังขวับๆ น่าเกรงขามแล้ว จึงได้แต่คืนแส้ให้เฉินเฟิงอย่างไม่เต็มใจ
เฉินเฟิงแก้มัดให้วานรขนทองพลางบอกสาเหตุที่ได้แส้เทพสีหราชนี้มาแก่สามสาวอย่างไม่มีการปิดบัง
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงตัดสินใจว่าพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้เมื่อไร เธอจะจับสัตว์เลี้ยงที่ระดับสูงกว่าตัวเองมาสักตัว แล้วขู่จนกว่ามันจะยอมแพ้ให้ได้ !
แต่ตอนนี้ระดับของเธอปาเข้าไปตั้ง ๔๓ แล้ว หากจะหาสัตว์อสูรที่ระดับสูงกว่าเธอตั้ง ๑๕ ระดับ ก็ต้องเป็นสัตว์อสูรระดับ ๕๘ โน่น แล้วสัตว์อสูรที่ระดับสูงกว่า ๕๐ ต่างก็ร้ายกาจสุดๆ กันทั้งนั้น ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงโวยวายโทษเฉินเฟิงว่ารอจนสายป่านนี้เพิ่งจะมาบอกเธอ แบบนี้เธอมิต้องไปฆ่าตัวตายซ้ำๆ หลายรอบให้ระดับของตัวเองลดต่ำลงถึงจะทำได้สำเร็จหรอกเรอะ ?
เฉินเฟิงได้แต่ทำตาปริบๆ กับยิ้มเฝื่อนๆ เมื่อมาเจอะกับระลอกน้ำฯที่แสนจะเอาแต่ใจและไร้เหตุผล เขามีแต่ต้องยอมแพ้สถานเดียว หลังจากรับปากว่าจะช่วยเธอจับสัตว์อสูรที่ระดับสูงกว่าเธอ ๑๕ ระดับให้ได้แล้ว ระลอกน้ำฯค่อยยอมให้หูของเฉินเฟิงได้รับความสงบ
เฉินเฟิงตั้งชื่อให้วานรขนทองว่า “อู้คง” วานรขนทองดูจะพออกพอใจชื่อนี้มาก หลังจากได้รับอิสระแล้ว มันก็ดูเฉินเฟิงที่กำลังศึกษาแส้เทพสีหราช แต่จุดที่สายตาของมันจ้องเขม็งคือกระบองห่วงทองที่เคยเป็นอาวุธของมัน
เมื่อแส้เทพสีหราชอยู่ในมือเฉินเฟิง แค่สะบัดเล่นๆ ก็เกิดเป็นเสียงคำรามอย่างน่าเกรงขาม แถมยังใช้สะดวกกว่ากระบองห่วงทองมาก เพราะไม่จำเป็นต้องออกปากสั่ง แค่คิดในใจว่าต้องการความยาวเท่าไร แส้เทพสีหราชก็ยืดหดตามที่ใจคิดทันที ทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้สารพัด ทำเอาเฉินเฟิงถูกอกถูกใจอย่างมาก
สุดท้ายเฉินเฟิงเปลี่ยนแส้เทพสีหราชให้มีรูปร่างเหมือนกำไล แล้วสวมเอาไว้ที่ข้อมือซ้าย ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงดูแล้วมีอาการแทบจะเหมือนวานรขนทองเปี๊ยบ คือน้ำลายแทบจะย้อยออกมาจากปาก
พอเล่นแส้เทพสีหราชจนพอใจแล้ว เฉินเฟิงก็มองเห็นสายตาของวานรขนทองในที่สุด แต่กระบองห่วงทองไม่ใช่ของเฉินเฟิงคนเดียว เขาจึงถามความเห็นของเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพดู
เซียวหยาวเสนอข้อแลกเปลี่ยนว่าขอสุนัขป่าสีเงินหนึ่งตัวเป็นสัตว์เลี้ยง ส่วนวิหารจันทราเทพขอไม้เท้าเวทมนตร์ระดับสูงหนึ่งอัน แล้ววานรขนทองก็ได้อาวุธของตัวเองกลับคืนไปในที่สุด มันดีใจสุดขีดจนเอาแต่ควงกระบองห่วงทองเล่นอยู่ไปมาดูเหมือนเห้งเจีย (ซุนอู้คง) ในเรื่องไซอิ๋วไม่มีผิด
อู้คงน่ะดีใจแน่ แต่เฉินเฟิงสิกระอักเลือด ยังดีที่หลังจากอู้คงได้รับกระบองห่วงทองกลับไปแล้ว ระบบก็แจ้งให้ทราบว่าทักษะสื่อสารของนักฝึกสัตว์ของเฉินเฟิงได้เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ เป็นระดับ ๗ พอจะถือว่าเป็นข้อชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง
หลังเรื่องราวผ่านพ้น เฉินเฟิงยังไม่ลืมว่าเขาปล่อยอู้คงทำไม เขาจัดการมัดเชือกเข้ากับตะขอ กำชับสามสาวให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกสไลม์ แล้วเหวี่ยงตะขอขึ้นไปเกี่ยวด้านบนโพรงได้อย่างราบรื่น จากนั้นค่อยๆ ไต่ขึ้นไปบนโพรงที่เพดานถ้ำอย่างเชื่องช้าเพื่อเสาะหาหนทางรอดท่ามกลางสายตารอคอยของสามสาว
หลังจากไต่ขึ้นไปบนโพรงเหนือเพดานถ้ำได้แล้ว เฉินเฟิงก็ทอดตามองไป แล้วต้องตกตะลึงอ้าปากค้าง
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือ เจดีย์ยักษ์ยอดแหลมสูงทะลุชั้นเมฆ รอบๆ เจดีย์ยักษ์เป็นป่าทึบกว้างไกลสุดสายตา
ลักษณะของเจดีย์คล้ายคลึงกับพีระมิดอย่างมาก เพียงแต่สูงใหญ่กว่า และเปล่งแสงสีทองเรืองรองจนตาพร่า ด้านล่างของเจดีย์มีถนนกว้างขวางสามสายทอดยาวออกมา ทางหนึ่งในสามสายได้ทอดตรงมายังตำแหน่งที่เฉินเฟิงยืนอยู่พอดี
เห็นแล้วไม่อยากจะเชื่อ นี่มันมหึมาเกินไปแล้ว ! ต้องใช้แรงงานคนและวัตถุดิบมากมายมหาศาลขนาดไหนถึงจะสร้างออกมาใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ได้ ? ถ้าที่นี่ไม่ใช่โลกสมมติในเกมออนไลน์ล่ะก็ เฉินเฟิงคงอดสงสัยไม่ได้ว่ามนุษย์สามารถทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ?
ทันใดนั้นสามสาวที่อยู่ด้านล่างก็พากันร้องเรียก ทำให้เฉินเฟิงได้สติจากอาการตะลึง แล้วรีบช่วยพาพวกเธอขึ้นมา
หลังจากเซียวหยาวตามขึ้นมาแล้ว เฉินเฟิงก็ห้ามอีกสองสาวไว้ไม่ให้ไต่ตามขึ้นมา พอวิหารจันทราเทพรู้ว่าเฉินเฟิงจะทิ้งให้เธอกับระลอกน้ำฯอยู่เฝ้าดูต้นทางที่ข้างล่าง ก็ตกใจจนน้ำตาแทบไหล พูดเสียงปนสะอื้นอย่างหมดอาย
“โฮฮฮฮฮ ! อย่าทิ้งพวกเราสองคนไว้ที่นี่นะ ! สไลม์พวกนี้น่ากลัวจะตาย แล้วถ้าพวกเธอเกิดไปกันนาน พวกเราจะทำยังไง ?”
เฉินเฟิงบอกว่ายังไงก็ต้องมีคนคอยเฝ้าม้าใช่ไหมล่ะ หรือจะยอมให้ซวงเว่ยกับกระต่ายหยกเหินลมตาย ?
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะพยายามพูดเกลี้ยกล่อมยังไง หัวเด็ดตีนขาดวิหารจันทราเทพก็ไม่ยอมอยู่เฝ้าข้างล่าง และแน่นอนว่าจะทิ้งให้ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงอยู่เฝ้าคนเดียวก็ไม่ได้เสียด้วย สุดท้ายเมื่อหมดทางเลือก ทั้งสี่จึงต้องช่วยกันดึงม้าสองตัวกับหลายฝูขึ้นไปข้างบนด้วย ทำเอาทั้งสี่ต่างหอบแฮ่กไปตามๆ กัน
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการขนย้ายสัตว์ สามสาวค่อยมีเวลาหันไปดูรอบๆ แล้วถูกภาพตรงหน้าทำเอาตะลึงจังงัง ปากอ้าตาค้างพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ส่วนเฉินเฟิงก็ยืนร่ายแผนการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปอยู่ข้างๆ
เฉินเฟิงร่ายไปๆ ก็ผิดสังเกตขึ้นมาว่าทำไมไม่ยักมีเสียงสนับสนุนหรือคัดค้านสักแอะ พอหันไปดู ก็เห็นว่าสามสาวกำลังตกตะลึงอ้าปากค้างกับพีระมิดยักษ์ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกเหมือนเขาเมื่อตะกี้ไม่มีผิด
ดูท่าแผนการที่เขาคิดจะให้ใครสัก ๑ - ๒ คนคอยเฝ้าอยู่ที่นี่คงล้มเหลวเสียแล้ว เพราะเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ก็มักจะอยากสืบเสาะจนกว่าจะได้ความกระจ่าง
และเป็นไปตามคาด หลังจากได้สติจากอาการตะลึง สามสาวก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะเข้าไปสำรวจดูข้างใน
ตอนนี้เฉินเฟิงเริ่มจะนึกเสียใจเสียแล้วที่เอาสัตว์เลี้ยงมาด้วย เพราะยังไงเขาก็ต้องตายแน่ๆ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น และถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็อดเสียดายสัตว์เลี้ยงพวกนี้ไม่ได้
แม้ว่านับแต่เข้ามาในเกมนี้ เฉินเฟิงจะได้รู้จักผู้คนมากมาย ความจริงเขาเองยังตกใจด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้คบเพื่อนมากขนาดนี้ในเวลาอันสั้น แต่เขาเคยชินกับการคบหาคนอื่นแบบเย็นชาในโลกแห่งความจริงเสียแล้ว ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับซวงเว่ยและหลายฝูที่ติดตามเขามาแทบจะตั้งแต่เริ่มเล่นเกมมากกว่าเพื่อนคนไหนๆ เสียอีก
พอรู้ว่าถ้าตัวเขาตายไป สัตว์เลี้ยงจะสลายตามไปด้วย เฉินเฟิงก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นมาก นอกจากจะพูดคุยกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองบ่อยๆ แล้ว เขายังไม่ค่อยจะยอมปล่อยให้สัตว์เลี้ยงรับศึกเพียงลำพัง นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ทักษะสื่อสารของเฉินเฟิงก้าวหน้ารวดเร็วอย่างเหลือเชื่อก็เป็นได้ !
พอหมดปัญญาจะทัดทานสามสาว เฉินเฟิงจึงต้องบอกว่างั้นเขาจะอยู่เฝ้าเองก็แล้วกัน แต่ทว่าตั้งแต่รับคลี่คลายภารกิจแรก ถึงแม้ระดับของเฉินเฟิงเกือบจะเรียกได้ว่าต่ำที่สุด แต่พอถึงคราวคับขัน ก็ได้เขาเป็นคนช่วยคลี่คลายจนปลอดภัยกันทุกที ดังนั้นแม้สามสาวจะกล้าหาญชาญชัยแค่ไหน ก็ไม่เห็นด้วยที่เฉินเฟิงจะอยู่เฝ้าที่นี่ แถมยังไม่เห็นด้วยกับท่าทีร้อนรนกระวนกระวายเป็นห่วงเป็นใยพวกสัตว์เลี้ยงของเขาอีกต่างหาก
หลังจากถูกกึ่งบังคับกึ่งขอร้อง เฉินเฟิงได้แต่นำทุกคนออกเดินทาง หลายฝูเริ่มทำหน้าที่ลาดตระเวนดูลาดเลาอีกครั้ง อู้คงที่ได้รับอิสระแล้วก็วิ่งลาดตระเวนไปรอบด้านเลียนแบบหลายฝู
พฤติกรรมของหลายฝูกับอู้คงทำเอาระลอกน้ำแห่งสารทม่วงตะลึง เพราะเธอเคยฝึกสัตว์เลี้ยงมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีตัวไหนฉลาดแสนรู้เท่านี้เลยสักตัว เธอจึงขอความรู้จากเฉินเฟิงเกี่ยวกับทักษะของผู้ฝึกสัตว์ เฉินเฟิงก็บอกสิ่งที่ตัวเองรู้ไปทั้งหมดอย่างไม่มีการปิดบัง ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงเองก็บอกผลจากการศึกษาของตัวเองแก่เฉินเฟิงอย่างใจกว้างแตกต่างจากสมาชิกระดับสูงของสมาคมอื่นๆ
แต่พอได้เทียบกันแล้ว การศึกษาค้นคว้าของสมาคมแทบจะน้อยกว่าที่เฉินเฟิงรู้อยู่แล้วเสียอีก แต่เฉินเฟิงเองก็ได้รับทราบวิธีการฝึกทักษะเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ทักษะทำอาหารและทักษะสร้างสองทักษะนี้เขายังไม่มี จึงถือว่าได้ประโยชน์ไม่ใช่น้อยอยู่
ทักษะสองอย่างนี้ต่างก็มีภารกิจคนละอย่าง ต้องคลี่คลายภารกิจและได้รับสิทธิ์เสียก่อนถึงจะเรียนรู้ได้ ไม่ใช่ทักษะที่แค่ใช้ไอเท็มแล้วจะได้มา
อันที่จริงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ระลอกน้ำฯแบ่งปันเรื่องพวกนี้กับคนนอกสมาคมเหมือนกัน ถึงเรื่องพวกนี้จะถือเป็นความลับ แต่ข้อมูลที่เฉินเฟิงให้มาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้อมูลพวกนี้เลย โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับทักษะสื่อสารซึ่งเป็นทักษะเดียวที่จนแล้วจนรอดสมาคมผู้ฝึกสัตว์ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจกระจ่างได้
เซียวหยาวฟังทั้งสองแบ่งปันข้อมูลกันแล้วรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างมาก ตั้งแต่ได้พบเฉินเฟิง ความลับที่รู้กันระหว่างแต่ละสมาคมต่างก็ถูกทำลายลงทีละข้อๆ จนทำให้เธอทำตัวไม่ถูกเอาเลย
เซียวหยาวไม่ทราบเหมือนกันว่าสมาคมผู้ฝึกสัตว์สั่งให้สมาชิกของสมาคมไม่ต้องรักษาความลับเกี่ยวกับอาชีพอีกต่อไปตั้งแต่เกมราชาฯประกาศปรับเปลี่ยนระบบบางอย่างเหมือนอย่างที่สมาคมนินจาทำหรือเปล่า ยังไงก็ตาม เธอสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเกมราชาฯกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกแล้ว
วิหารจันทราเทพสังเกตเห็นสีหน้าของเซียวหยาว จึงเดินเข้าไปกุมมือเธอเบาๆ ช่องว่างเล็กๆ ที่เกิดจากความลับเรื่องทักษะอาชีพได้สลายไปทันทีโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดใดๆ
เฉินเฟิงนึกดีใจแทนเซียวหยาว เพราะไม่มีใครหรอกที่อยากจะเป็นคนที่เอาแต่เล่นเกมจนเพื่อนฝูงรอบกายหดหายลงทุกทีๆ
ทั้งสี่มาถึงฐานของพีระมิดโดยสวัสดิภาพ ขนาดว่าดูจากที่ไกลก็รู้สึกว่ามันใหญ่โตมโหฬารมากแล้ว แต่พอเข้ามาดูใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมหึมาจนโอเวอร์
ประตูทางเข้าพีระมิดสูง ๒๐ กว่าเมตร ทั้งสี่หยุดยืนที่หน้าประตู ต่างก็รู้สึกเหมือนมาถึงอาณาจักรของยักษ์ยังไงยังงั้น ตลอดทั้งพีระมิดถูกห่อหุ้มด้วยประกายสีทองอันเรืองรอง ถึงจะเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว ก็ยังไม่สามารถมองเห็นข้างในพีระมิดได้อยู่ดี
เฉินเฟิงเพิ่มความระมัดระวัง เขาสัมผัสได้ว่าภายในพีระมิดมีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างมาก แต่หลายฝูกลับไม่ได้ส่งเสียงเห่าเตือน เขากระตุกคลายแส้เทพสีหราชออกมาอย่างไม่ไว้วางใจนัก แล้วเดินนำเข้าประตูไปก่อน
เซียวหยาวเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตเช่นกัน จึงชักดาบซามูไรออกมาคุ้มครองอยู่ข้างหน้าวิหารจันทราเทพทันที เธอรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้ตัวเองเย็นชากับเพื่อนสนิทคนนี้เกินไป ดีเท่าไรแล้วที่วิหารจันทราเทพไม่โกรธเธอ แถมยังถือเธอเป็นเพื่อนสนิทอยู่เหมือนเดิม เซียวหยาวตัดสินใจว่าจะคุ้มครองวิหารจันทราเทพอย่างสุดกำลังของตัวเอง
ระลอกน้ำฯชักดาบวงเดือนที่เฉินเฟิงใช้คว้านเนื้อที่ถูกพิษให้เธอออกมา เพราะดาบสั้นเล่มก่อนหน้านี้โดนพวกสไลม์ละลายไปเสียแล้ว แถมเธอไม่ชินกับดาบสองมือ จึงได้แต่ใช้ดาบเล่มนี้ที่เธอเองก็ไม่เคยใช้มาก่อน ส่วนมือซ้ายถือโล่เหล็กกลมที่ก็ยืมมาเหมือนกัน แล้วก้าวไปติดตามอยู่ด้านหลังเฉินเฟิงกับเซียวหยาว
หลังจากทั้งสี่เดินเรียงกันเป็นแถวตอนผ่านประตูพีระมิดเข้าไปแล้ว ก็ถูกภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาตกตะลึงจังงังอีกครั้ง
ความรู้สึกของเฉินเฟิงกับเซียวหยาวนั้นถูกต้อง ในพีระมิดมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างมากอยู่จริงๆ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคือ “มังกร” ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในเกม “ราชาแห่งราชัน”
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ มังกรไม่ได้โจมตีทั้งสี่แต่อย่างใด มันเอาแต่นิ่งมองทั้งสี่เดินเข้ามาเฉยๆ กลิ่นอายแห่งพลังอำนาจที่แผ่ออกจากตัวของมันโดยธรรมชาติทำเอาเฉินเฟิงปอดลอยจนไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้ว ได้แต่ยืนตะลึงตาค้างตัวแข็งทื่อ
มังกรตรงหน้าตัวนี้สูงอย่างน้อย ๒๐ เมตร แค่กรงเล็บของมันเล็บเดียวก็สูงถึงเอวของเฉินเฟิงแล้ว ตลอดทั้งตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงิน เมื่อดูจากความหนาของเกล็ด เฉินเฟิงเชื่อว่าไม่มีอาวุธชนิดใดสามารถทำร้ายมันได้ นัยน์ตาของมังกรเงินเป็นสีแดงฉาน จ้องมาเขม็งจนทั้งสี่ต่างสะบัดร้อนสะบัดหนาว แต่ก็ไม่กล้าก้าวออกพ้นไปจากรัศมีสายตาของมัน
นี่ถ้ามังกรตัวนี้เกิดเข้าใจผิดขึ้นมาว่าทั้งสี่มีเจตนาร้ายกับมันละก็ เฉินเฟิงมีหวังรีบโกยอ้าวทันทีอย่างไม่ต้องกังขา เวลาแบบนี้เขาไม่มัวมาสนใจเรื่องรักษาภาพพจน์ของลูกผู้ชายแล้ว
ความหวาดกลัวจับใจของเฉินเฟิงทวีความรุนแรงขึ้นทุกที...ทุกที ตลอดทั้งตัวเย็นเฉียบ อึดอัดแทบบ้าจนอยากจะระบายออกไปหนักๆ สองขาเริ่มจะสั่นพั่บๆ
เขาพยายามข่มความต้องการที่จะโกยแนบอย่างสุดความสามารถ แล้วพูดว่า
“สวัสดีครับคุณมังกร ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่มารบกวนคุณ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกครับ ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อจะมาหาเด็กมนุษย์คนนึง ไม่ทราบว่าคุณเห็นเด็กคนนั้นบ้างหรือเปล่าครับ ?”
พอได้ยินที่เฉินเฟิงพูด เซียวหยาวก็นึกอยากจะหัวเราะขึ้นมาทันที ถ้าไม่เพราะมังกรตัวนี้น่ากลัวสุดๆ ล่ะก็ เธอคงหัวเราะไปแล้ว มีแต่เฉินเฟิงเท่านั้นแหละที่จะพูดกับสัตว์แบบนี้ ครั้งก่อนตอนที่เขาพูดกับซวงเว่ย จนตอนนี้เธอก็ยังไม่เชื่อเลย
เซียวหยาวหันไปมองวิหารจันทราเทพ ก็เห็นความคิดแบบเดียวกับเธอเปี๊ยบสะท้อนอยู่ในดวงตาของเพื่อนสาวอย่างชัดเจน วิหารจันทราเทพเองก็กำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต ระลอกน้ำฯเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสาวทั้งสองแล้ว ถึงจะคิดเหมือนกันว่าพฤติกรรมของเฉินเฟิงน่าสนใจอย่างมาก แต่เนื่องจากตัวเธอตั้งใจจะเล่นอาชีพผู้ฝึกสัตว์มาแต่แรก จึงคาดหวังอยากให้มังกรตัวนี้พูดได้จริงๆ
เหมือนจะยืนยันความคิดของสองสาว รออยู่นานสามนาทีเต็ม มังกรเงินก็ไม่ได้พูดตอบอย่างที่เฝ้ารอ ทำเอาเฉินเฟิงชักจะเริ่มรู้สึกหน้าแตก
ถ้าไม่เพราะมังกรกำลังหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า ทุกคนคงจะคิดว่านี่เป็นแค่รูปปั้นมังกรไปแล้ว ส่วนเฉินเฟิง หลังจากที่ได้พูดระบายออกไปบ้าง ความหวาดกลัวก็ลดลงไปมาก
เขาส่งข้อความไปยังช่องกลุ่มของสองสาวและช่องเพื่อนของระลอกน้ำฯให้ทุกคนถอยออกไปกันก่อน และเป็นครั้งแรกที่สามสาวต่างเห็นด้วยโดยปราศจากคำโต้แย้ง
ขณะที่เตรียมตัวจะออกจากพีระมิด มังกรเงินก็พูดขึ้นในที่สุดว่า
“ยินดีต้อนรับผู้เล่นทุกท่านที่มาถึงวิหารมังกรเงิน ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ! เนื่องจากระบบคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้เล่นหาที่นี่พบเร็วขนาดนี้ ดังนั้นในตอนนี้จึงยังไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการเป็นมังกรเงิน
“ฉันคือเจ้าหน้าที่ฝ่ายค้นคว้าวิจัยของบริษัทเลจจ์ นามแฝงคือ PM01 ตอนนี้ฉันจะเป็นคนให้บริการทุกท่านเป็นการชั่วคราว”
เสียงของ PM01 เป็นเสียงผู้หญิงที่ไม่เข้ากับรูปร่างหน้าตาของมังกรเงินแม้แต่น้อย แต่พอได้ยินเธอพูด หัวใจที่ร่วงวูบลงไปอยู่ตาตุ่มของทั้งสี่ก็ค่อยกลับเป็นปกติ
ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงลูบอกตัวเองเบาๆ
“ตกใจหมด ไอ้ฉันหรือหลงคิดว่ามังกรตัวนี้พูดได้จริงๆ !”
PM01 พูดว่า “การออกแบบแต่เดิมนั้นมันพูดได้จริงๆ ค่ะ แต่เมื่อครู่ฉันได้อธิบายไปแล้วว่า พวกคุณสี่คนเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงวิหารมังกรเงินแห่งนี้ ถึงแม้จะไม่มีรางวัลอะไรเป็นพิเศษ แต่ฉันต้องขอบอกว่าพวกคุณเก่งมากๆ เพราะนี่เป็นภารกิจลับที่คลี่คลายยากที่สุดภารกิจหนึ่งในเกม ‘ราชาแห่งราชัน’ เลยทีเดียว
“เดิมทีระบบคาดเอาไว้ว่า อย่างน้อยผู้เล่นต้องอยู่ระดับประมาณ ๑๐๐ ถึงจะมีผู้เล่นที่สามารถคลี่คลายภารกิจนี้ได้ และเนื่องจากตอนนี้ไม่มีผู้เล่นคนใดมีระดับสูงถึงขนาดนั้น จึงยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาประจำการ แต่ในเมื่อตอนนี้มีผู้เล่นมาถึงแล้ว บริษัทจะรีบจัดหาเจ้าหน้าที่มาประจำการโดยเร็วที่สุดค่ะ”
เฉินเฟิงม้วนเก็บแส้เทพสีหราช แล้วนั่งแหมะลงกับพื้น ถึงแม้ตั้งแต่เข้ามาในพีระมิด เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ ๕ นาที แต่เขาก็ทั้งเครียดและกลัวจัดจนเข่าอ่อนไปหมดแล้ว พอได้ยินที่ PM01 อธิบาย ก็รู้ว่าพวกเขาตกใจกลัวไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ตั้ง ๕ นาทีเต็มๆ เมื่อลองหันไปดูสามสาว ก็เห็นว่าแทบไม่ต่างอะไรกับตัวเอง
เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพเห็นเฉินเฟิงนั่งลงแบบนั้น ประสาทที่ตึงเครียดก็ค่อยผ่อนคลาย และพากันนั่งลงด้วย
เมื่อระลอกน้ำแห่งสารทม่วงได้ยินคำว่าคลี่คลายภารกิจ ก็นึกขึ้นได้ว่าเดิมทีที่พวกเฉินเฟิงเข้ามาในหุบเขามรณะก็เพราะจะมาคลี่คลายภารกิจกัน ส่วนตัวเธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร เธอจึงนั่งลงกับพื้นตามทั้งสาม แล้วพูดกับเฉินเฟิงว่า
“เชิญพวกเธอตามสบายเถอะ ฉันไม่เกี่ยว”
เฉินเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่มีเธอ พวกเราคงหาที่นี่ไม่เจอหรอก จริงสิ เธอเคยคลี่คลายภารกิจลับของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะหรือยัง ? ถ้ายังล่ะก็ ขอเชิญเธอเข้าร่วมกลุ่มตอนนี้เลย ไม่ทราบว่าสนใจจะเข้าร่วมหรือเปล่า ?”
เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพเองก็เห็นด้วยกับเฉินเฟิง ทำให้ระลอกน้ำฯตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะมาเชิญเธอเข้าร่วมเอาตอนนี้ ก็เหมือนมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เธอดีๆ นี่เอง เพราะของรางวัลจากการคลี่คลายภารกิจลับมีแต่ของเลิศๆ ทั้งนั้น
เฉินเฟิงส่งข้อความเชิญเข้าร่วมกลุ่มให้ระลอกน้ำฯ ระลอกน้ำฯตอบตกลงทันที เฉินเฟิงค่อยเพิ่มจำนวนสมาชิกในการคลี่คลายภารกิจในช่องกลุ่มของระบบ เสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ระลอกน้ำฯถึงค่อยมีสิทธิ์ได้รับของตอบแทนในการคลี่คลายภารกิจลับ
หลังจากจัดการเรื่องสิทธิ์ของระลอกน้ำฯเสร็จเรียบร้อย เฉินเฟิงก็ถาม PM01 ว่า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องทำยังไงต่อถึงจะหาลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านพบล่ะครับ ?”
PM01 แซวเล่นว่า “ในที่สุดก็หันมาสนใจฉันได้ซะที ! นึกว่าพวกเธอลืมฉันไปแล้วนะเนี่ย เมื่อกี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะแจกไฟใส่พวกเธอดีหรือเปล่า”
ทั้งสี่ตกตะลึงตัวแข็ง
จริงด้วย ! ในเกมราชาไม่มี NPC ที่โปรแกรมสร้างขึ้น NPC ในเกมทุกคนใช้คนจริงมาทำหน้าที่แทนทั้งนั้น เมื่อกี้พวกเขาลืมเธอไปเสียสนิทจริงๆ ขืนเผลอไปทำให้คนพวกนี้ไม่พอใจละก็ มีหวังซวยแน่ เพราะได้ยินว่าคนพวกนี้มีอำนาจที่จะกำหนดความยากง่ายของภารกิจเสียด้วย
PM01 ดูสีหน้าใจหายวาบของทั้งสี่อย่างมีความสุข แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า
“ล้อเล่นหรอกน่า ! วางใจเถอะ ที่เกมราชาฯใช้คนจริงมาทำหน้าที่แทน NPC ที่ถูกสร้างโดยโปรแกรม ก็เพื่อจะสร้างโลกที่มีความยุติธรรมมากที่สุด ถึงเจ้าหน้าที่ของระบบจะมีอำนาจในระดับหนึ่ง แต่ทุกอย่างต่างก็มีข้อกำหนดอยู่ ขืนเผลอใช้อำนาจเกินขอบเขตละมีหวังได้ตกงานแน่
“อีกสักครู่ให้พวกคุณสี่คนเดินเลียบบันไดด้านขวามือขึ้นไปข้างบนนะคะ ชั้นสองมีห้องแค่ห้องเดียว เป็นห้องสำหรับฟักไข่ของสัตว์เลี้ยงระดับสูง พวกคุณสี่คนเอาไข่ไปได้คนละหนึ่งใบ ส่วนจะฟักกันยังไง ก็คิดหาทางกันเอาเองนะ !
“ขอเตือนท่านผู้เล่นว่า ต้องรักษาอุณหภูมิไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นสัตว์เลี้ยงจะตายแหงแก๋ก่อนทันได้ออกมาชมโลกแน่ค่ะ ! แล้วก็ตรงนี้มีจดหมายหนึ่งฉบับ หลังจากกลับไปที่หมู่บ้านอิวะแล้ว จงมอบมันให้หัวหน้าหมู่บ้าน จากนั้นเขาจะบอกพวกคุณเองค่ะว่าพวกคุณจะได้อะไรเป็นรางวัล”
เฉินเฟิงเดินเข้าไปใกล้มังกรเงิน แล้วรับจดหมายมาจากกรงเล็บขนาดยักษ์ ถึงจะรู้ดีว่ามังกรตัวนี้จะไม่โจมตีเขา แต่ตัวของมังกรก็ใหญ่มากเสียจนแค่มันขยับตัวนิดเดียว เขาก็เกร็งแข็งทื่อไปหมดทั้งตัวแล้ว
PM01 เสริมปิดท้ายว่า “ใช่แล้ว เกือบลืมไปแน่ะ สุดท้ายนี้ฉันขอพูดเสริมให้ ๓ จุด เป็นข้อมูลทั้งหมดที่สามารถจะบอกได้แล้วล่ะนะ
“ประการแรก ตำแหน่งที่ตั้งของวิหารมังกรเงินจะปรากฏขึ้นตามแต่โอกาสเท่านั้น ดังนั้นหากพวกคุณคิดจะเดินเที่ยวดูล่ะก็ ฉวยโอกาสนี้รีบๆ เดินเที่ยวเข้าล่ะ เพราะโอกาสที่จะได้เจออีกครั้งมีน้อยมากๆ
“ประการที่สอง มาทางไหน ก็กลับไปทางนั้น เคล็ดลับอย่างเดียวกันนั่นแหละ
“ประการที่สาม ภารกิจนี้สามารถกระทำซ้ำได้ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เคยได้รับไข่ของสัตว์เลี้ยงระดับสูงมาก่อน หรือสัตว์เลี้ยงระดับสูงที่เคยมีได้สลายไปแล้ว
“เอาล่ะ ได้แต่อวยพรให้พวกคุณโชคดีนะคะ ! บายๆ”
มังกรเงินยังอยู่ในห้องโถงเหมือนเดิม แต่พอ PM01 พูดจบ แสงในดวงตาของมังกรก็ดับไป อาการเกร็งสุดขีดจนแทบไม่กล้าหายใจของทุกคนจึงพลอยผ่อนคลายไปด้วย
หลังจากหันมามองหน้ากันแล้ว ทั้งสี่ก็หันไปมองรอบๆ และหาบันไดที่ PM01 บอกไว้เจอในที่สุด สีของบันไดดันเป็นสีทองกลืนกับสีของห้องโถงเสียด้วย ถ้าไม่เพราะ PM01 บอกไว้ล่วงหน้า ทั้งสี่คงไม่มีทางสังเกตเห็นแน่
เฉินเฟิงจัดการสั่งให้อู้คง ซวงเว่ย และหลายฝูอยู่รอที่ห้องโถง ข้างวิหารจันทราเทพ ถึงแม้จะอยากพูดกับกระต่ายหยกเหินลมบ้างเหมือนกัน แต่พอนึกถึงว่ามันไม่เคยมีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเลย จึงได้แต่เดินเข้าไปลูบหัวมันเบาๆ
เฉินเฟิงมองวิหารจันทราเทพอย่างชื่นชม แต่กลับได้ค้อนวงเบ้อเร่อพร้อมด้วยสายตาบอกความนัยว่า “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง !” ตอบแทนกลับมาเสียนี่
ครั้นระลอกน้ำฯเห็นเข้าก็หัวเราะเบาๆ
“คิกคิก ! คนเค้าไม่รับน้ำใจแน่ะ ทางที่ดีนายต้องรีบสอนให้เธอพูดกับม้าได้เร็วๆ ซะแล้ว ไม่อย่างนั้นได้โดนค้อนอีกหลายหนแน่”
เฉินเฟิงที่พยายามช่วยจนสุดความสามารถแล้วได้แต่ยิ้มกร่อยๆ แล้วเดินนำขึ้นบันไดสู่ชั้นสองโดยมีสามสาวเดินตามหลังไป