หัวข้อ : เล่มที่ ๒ แรกเผยประกายกล้า ตอนที่ ๖ เทพมังกรผู้มอบอาชีพ

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:39

ตอนที่ ๖

 

เทพมังกรผู้มอบอาชีพ

 

 

วิหารจันทราเทพที่คิดว่าเฉินเฟิงถูกเทพมังกรโจมตีตะโกนเสียงดังลั่น

“เฉินเฟิง ! ระวัง !” แล้วเล็งหน้าไม้ใส่เทพมังกรทันที แต่ก่อนจะทันได้ยิง เซียวหยาวกลับผลักหน้าไม้ของเธอเบี่ยงออกห่าง

ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงพูดว่า “เทพมังกรสัตตรงค์ ! จันทราเทพรอเดี๋ยว เฉินเฟิงได้อาชีพแล้ว !”

เซียวหยาวพูดว่า “ไม่รู้ตานั่นไปทำอะไรเข้าให้อีกแล้ว ฉันถึงได้เลื่อนระดับแบบนี้ ! ระลอกน้ำฯ จันทราเทพ พวกเธอล่ะ ?”

วิหารจันทราเทพตกตะลึง อุทานว่า

“ได้อาชีพ ?! ค่าประสบการณ์สะสมของฉันก็เต็มแล้ว โอ๊ะ ! กระต่ายหยกเหินลมก็เลื่อนขึ้นตั้งสามระดับแน่ะ !”

ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงพูดปนหัวเราะ

“ถูกต้อง ! เทพมังกรสัตตรงค์ตนนั้นถูกเรียกขานกันว่าเทพมังกรผู้มอบอาชีพ จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีผู้บรรลุเงื่อนไขในการได้อาชีพเท่านั้น ไม่ใช่จะได้เห็นกันง่ายๆ หรอกนะ !

“ฉันเองก็ได้เลื่อนระดับแล้วเหมือนกัน คิดไม่ถึงเลยว่าระดับห่างกันขนาดนี้ พวกเรายังได้แบ่งค่าประสบการณ์มากันคนละตั้ง ๖ - ๗ หมื่นจุดอีก ดูท่าเฉินเฟิงคงฆ่าพวกสไลม์หมดแล้วแน่ๆ”

ในสมองของเฉินเฟิงมีเสียงจากระบบดังติดต่อกันเป็นชุดอย่างรวดเร็ว นึกไม่ถึงเลยว่าสไลม์ที่จัดการโคตรยากพวกนี้จะมีระดับแค่ ๒๐ - ๒๕ เท่านั้น แต่จำนวนของมันมหาศาลมาก สไลม์ที่มีธาตุแตกต่างกัน ๓ ชนิดรวมแล้วมีจำนวนทั้งสิ้นถึง ๗๕๔ ตัว

เนื่องจากเขาฆ่าพวกมันหมดในรวดเดียว จึงไม่ทราบเหมือนกันว่าสไลม์สีไหนสังกัดธาตุอะไร จำได้แค่มีทั้งหมด ๓ สี คือสีดำ สีเขียว และสีม่วง จึงน่าจะแยกว่าเป็นธาตุไหนด้วยสีล่ะมั้ง

ส่วนทักษะที่ได้มาก็มี ทักษะสังหารด้วยโทสะของนักรบคลั่งได้เลื่อนขึ้น 3 ระดับ , ได้ทักษะใหม่ของนักอาคมมา คือ ทักษะ “อ่านอักขระโบราณ” , ทักษะอาวุธลับของนินจาเลื่อนรวดเดียว ๒ ระดับ บรรลุเงื่อนไขในการได้อาชีพนินจา !

เฉินเฟิงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เทพมังกรสัตตรงค์ก็พุ่งวาบลงมาจากฟ้าอย่างรวดเร็วจนเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะวิ่งหนี จากนั้นภาพข้างหน้าก็มืดวูบ มองอะไรไม่เห็นไปในทันที

วิหารจันทราเทพชี้ไปที่เฉินเฟิงพลางร้องโพล่งอย่างกระวนกระวาย

“พวกเธอดูสิ ! เฉินเฟิงหายไปแล้ว ! เทพมังกรสัตตรงค์ก็หายไปแล้ว !”

เซียวหยาวเอามือปิดปากหัวเราะคิก คิดไม่ถึงว่าวิหารจันทราเทพที่ปกติทะเลาะกับเฉินเฟิงดุเดือดที่สุดจะเป็นห่วงเฉินเฟิงมากขนาดนี้ได้

ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงคว้ามือวิหารจันทราเทพดึงให้เดินตามมา พร้อมกับหันไปกวักมือเรียกให้เซียวหยาวไปที่ปากโพรงของเพดานถ้ำด้วยกัน พลางพูดกับวิหารจันทราเทพว่า

“แหม...คิดไม่ถึงเลยว่าจันทราเทพจะเป็นห่วงเฉินเฟิงมากขนาดนี้ ! วางใจเถอะน่า เขาแค่ถูกเรียกตัวไปรับอาชีพครู่เดียวเท่านั้น อีกสักสิบนาทีก็จะกลับมาแล้ว ฉันว่าพวกเราไปเก็บไอเท็มข้างล่างนั่นกันก่อนดีกว่า !”

วิหารจันทราเทพดึงมือกลับไม่ยอมเดินตามไป กระทืบเท้าร้องว่า

“ฮะ ! พวกเธอรุมกันแกล้งที่ฉันยังไม่ได้อาชีพเหรอ ! ก็ฉันเพิ่งจะเคยเห็นเทพมังกรสัตตรงค์เป็นครั้งแรกนี่ แล้วไม่เคยมีใครบอกฉันด้วยว่าเวลาได้อาชีพน่ะมันเป็นยังไง ฉันก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาน่ะสิ !”

พอระลอกน้ำแห่งสารทม่วงกับเซียวหยาวได้ยินเข้า รอยยิ้มก็ชะงักค้าง บรรยากาศเปลี่ยนเป็นประหลาดชอบกลไปในทันที

ลองคิดดูก็จริงของวิหารจันทราเทพ พวกเธอสองคนคนหนึ่งเป็นนักฝึกสัตว์ อีกคนเป็นนินจา แต่วิหารจันทราเทพยังเป็นแค่ผู้เริ่มต้นเท่านั้น !

แม้ทั้งสองจะเคยพยายามลากวิหารจันทราเทพเข้าสมาคมของตัวเอง แต่เพราะข้อตกลงลับระหว่างผู้เล่นเกม “ราชาแห่งราชัน” ทั้งสองจึงพร้อมใจกันไม่บอกสภาพตอนที่ได้อาชีพให้วิหารจันทราเทพทราบโดยไม่ได้นัดแนะ กระทั่งวิธีฝึกทักษะเฉพาะเพื่อให้ได้อาชีพ พวกเธอก็เพิ่งจะมาบอกให้วิหารจันทราเทพได้ร่วมรับรู้ในวันสองวันนี้เอง แต่ก็ไม่ได้บอกออกไปทั้งหมด

สองสาวมองตากัน ต่างอ่านความคิดจากสายตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนว่าที่ผ่านมาพวกเธอทำผิดพลาดไปเสียแล้ว ทุกคนต่างเสียสละเพื่อให้สมาคมที่ตัวเองสังกัดยืนหยัดอยู่ได้มากเกินไปจริงๆ แม้จะกล่าวได้ว่าทั้งสองต่างก็เป็นบุคคลระดับผู้นำของสมาคม แต่การที่ไม่แพร่งพรายเรื่องนี้กระทั่งกับเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันนี่ มันก็น่าอัศจรรย์เสียจนไม่อยากจะเชื่อ !

ตั้งแต่ได้อาชีพ ทั้งสองก็ไม่ได้ไปผจญภัยด้วยกันมานานมาก กระทั่งทักทายกันยังแทบไม่มี บางครั้งเห็นอีกฝ่ายออนไลน์ ก็คิดจะคุยด้วยสัก ๒ - ๓ คำ แต่พอนึกถึงข้อบังคับของสมาคม ก็ต้องเลิกล้มความคิดไป

วิหารจันทราเทพเห็นสีหน้าของทั้งสอง ก็ทราบว่าเป็นเพราะปัญหาเดิมๆ คือความลับของอาชีพอีกแล้ว จึงบอกทฤษฎีของเฉินเฟิงให้พวกเธอได้ร่วมรับรู้ ทำให้สองสาวต่างก็ไตร่ตรองดูใหม่ว่า ที่ผ่านๆ มาวิธีการที่พวกเธอทำ ดีกว่าทฤษฎีสร้างอาณาจักรที่เฉินเฟิงพูดหรือเปล่า ? อย่าว่าแต่ตอนนี้บรรดาหัวหน้าสมาคมของแต่ละสมาคมต่างก็เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ดี และพากันปรับเปลี่ยนกฎที่มีมาแต่เดิม

บางทีถ้าฉวยโอกาสนี้ลาออกจากสมาคมเดิมไปหาเพื่อนที่มีความคิดเห็นตรงกัน แล้วก่อตั้งสมาคมหรือกลุ่มขึ้นมาใหม่ หรือกระทั่งสร้างอาณาจักร ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่นะ !

 

ทันใดนั้นตัวเฉินเฟิงที่พลิกหมุนตีลังกาคว้างก็หยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน รอบตัวเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดจนวังเวงอย่างทันทีทันใด เฉินเฟิงลืมตามองด้วยใจเต้นระทึก

มังกรในตำนานโบราณของจีนได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว...

เทพมังกรสัตตรงค์นิ่งมองเฉินเฟิง พอสบตากัน เฉินเฟิงก็เกิดความหวาดหวั่น ยำเกรง ตกตะลึง กระสับกระส่าย ขึ้นในทันที

ก่อนจะถูกย้ายที่ เฉินเฟิงจำได้รางๆ ว่าได้ยินเสียงวิหารจันทราเทพกรีดร้อง พอเขาจะหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพข้างหน้าก็ถูกแสงสีดำกลืนหายไปจนหมด

เดิมทีเขาคิดว่ามังกรตนนี้คือสัตว์อสูรตัวใหม่ และคิดว่าหนนี้เขาตายชัวร์ ๑๐๐% แต่อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะได้เห็นมังกรเงินจากในวิหารมังกรเงินมาหยกๆ ทำให้สามารถสงบใจให้เยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว

คนที่ทะนงตัวว่าเป็นลูกหลานมังกรอย่างเฉินเฟิงได้เห็นเทพมังกรตัวเป็นๆ ที่ควรจะมีอยู่แต่ในตำนานมาปรากฏขึ้นตรงหน้า ก็รู้ว่าตัวเองน่าจะยังไม่ถึงที่ตาย เพราะเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร และความรู้สึกก็ไม่เหมือนกับที่เพื่อนๆ หลายคนเคยพูดให้ฟังเลยด้วย ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่คิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนัก

เฉินเฟิงกระแอมกระไอ แล้วพูดในแบบที่คิดว่าสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้

“สวัสดีครับคุณมังกร ต้องขออภัยอย่างยิ่งครับที่รบกวนคุณ แต่คุณช่วยกรุณาบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ?” เสียงอดสั่นนิดๆ ไม่ได้ แต่เทียบกับตอนที่พูดกับมังกรเงินเป็นครั้งแรกแล้ว ถือว่าก้าวหน้าขึ้นมาก

เสียงอันลึกลับเปี่ยมด้วยพลังดึงดูดดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง น้ำเสียงดูจะตกใจเล็กน้อย

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเราพูดได้ ?”

แรงกดดันในใจเฉินเฟิงเพลาลงไปมากทันที และแสดงอาการผิดหวังเล็กน้อย เพราะถึงเสียงนี้จะฟังดูพิเศษมาก แต่ก็ต่างกับที่เขาคาดหวังเอาไว้

เฉินเฟิงอดนับถือบริษัทเลจจ์ไม่ได้ที่สามารถควานหาคนคนนี้มารับบทมังกรตนนี้ เชื่อว่ากว่าจะได้ตัวคนคนนี้มารับบทเสียงพูดของมังกรตนนี้ คงต้องใช้วิธีคัดเลือกแบบพิเศษอย่างแน่นอน

เฉินเฟิงสะบัดหน้าสองที เหมือนจะพยายามสลัดความผิดหวังออกไป และเหมือนจะให้สมองปลอดโปร่งกว่านี้ จากนั้นยิ้มพลางพูดว่า

“เพราะก่อนหน้านี้ผมเพิ่งจะถูกเพื่อนของคุณทำให้ตกใจมาหยกๆ น่ะครับ เธอชื่อว่า PM01 ว่าแต่คุณยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลยครับ !”

ที่เฉินเฟิงแกล้งทำตัวสบายๆ ชนิดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะในใจเขาไม่อยากให้เทพมังกรในจินตนาการของตัวเองถูกโยงเข้ากับคนธรรมดาๆ โดยที่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนี้ ดังนั้นเขาจึงแยกเทพมังกรที่ปรากฏตรงหน้ากับเจ้าของเสียงออกจากกัน ถึงแม้เขาจะกำลังเผชิญหน้ากับเทพมังกร แต่เขาพอใจจะมองว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ NPC ธรรมดาๆ คนหนึ่งมากกว่า

เกือบหนึ่งนาทีให้หลัง เสียงของมังกรค่อยดังขึ้นอีกครั้งว่า

“ไม่รู้เพราะอะไรเราจึงรู้สึกได้ว่าเจ้ากำลังผิดหวัง หรือเจ้าไม่ชอบเสียงนี้ ?”

คิดไม่ถึงว่านอกจากเทพมังกรสัตตรงค์จะไม่ตอบคำถามของเฉินเฟิงแล้ว ยังดันย้อนถามนอกเรื่องเสียได้

เฉินเฟิงตัดสินใจนั่งแหมะลงกับพื้นเสียเลย ค่อยพบว่าจุดที่ตัวเองอยู่มีแต่ความว่างเปล่า ใต้เท้าไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ให้ความรู้สึกว่ากำลังเหยียบอยู่บนพื้นแน่ๆ พอมองลงไป ก็เห็นทวีปกู่ย่าที่ย่อส่วนลงหลายสิบเท่า ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่กลางอากาศของโลกราชาแห่งราชันยังไงยังงั้น

เสียงของเทพมังกรดังขึ้นอีกครั้ง

“โอ๊ะ ! ต้องขอโทษด้วย เราลืมแนะนำตัวเองไป เจ้าสามารถเรียกเราว่า เทพมังกรผู้มอบอาชีพ หรือชื่อรหัสว่า PM01”

ทำไมถึงเป็น PM01 อีกแล้วล่ะ ? เฉินเฟิงมองเทพมังกรอย่างไม่เข้าใจ เขายังพอจะจำเสียงของ PM01 ได้ และแน่ใจมากๆ ว่าเป็นคนละคนกับ PM01 ของเทพมังกรผู้มอบอาชีพแน่ๆ

PM01 พูดว่า “หึหึ เจ้าคงสงสัยสินะ ! เมื่อครู่เราได้ตรวจสอบข้อมูลของเจ้ามาแล้ว เจ้าไปเจอเพื่อนของเรามาจริงๆ นั่นล่ะ แต่ชื่อจริงของเธอไม่ใช่ PM01 หรอกนะ ชื่อนี้เป็นแค่รหัสของพวกเราเท่านั้น เป็นชื่อรหัสที่ระบบมอบให้โดยอัตโนมัติ พวกเราเองก็เลือกไม่ได้

“เจ้าหน้าที่ผู้บุกเบิกเกมที่ปรากฏตัวในเกมในเวลาเดียวกันทุกคน จะถูกเรียกว่า PM01 , PM02 เรียงกันไปแบบนี้โดยอัตโนมัติ เนื่องจากตอนนี้มีแค่เราคนเดียว ดังนั้นเราจึงเป็น PM01”

เฉินเฟิงค่อยทำหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีจุดที่ไม่กระจ่างอยู่ดี ว่าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อมีแต่จะทำให้สับสนกันเองเท่านั้น ? จึงถามออกไปว่า

“PM01 ทำไมไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้บุกเบิกเกมคนหนึ่งก็ใช้ชื่อรหัสหนึ่งไปเลยล่ะครับ ? ออกแบบอย่างนี้ไม่สับสนแย่หรือ ?”

PM01 อธิบายว่า “ก็เพื่อ ‘ความยุติธรรม’ เหตุผลอันดับหนึ่งตลอดกาลของเกมราชาแห่งราชันยังไงล่ะ พวกเราเป็นคนกลุ่มเดียวที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าเล่นเกมนี้ และเหตุที่ทำแบบนี้ ก็เพื่อไม่ให้ผู้เล่นคนไหนมีโอกาสรู้ตัวจริงของเจ้าหน้าที่ผู้บุกเบิกเกม ดังนั้นกระทั่งรหัสก็ไม่มีการกำหนดตายตัว

“เพราะปฏิกิริยาของเจ้าต่างจากคนอื่น เมื่อครู่เราถึงได้ลองไปตรวจสอบข้อมูลของเจ้าดู การจะได้พบกับเจ้าหน้าที่ผู้บุกเบิกเกมน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกนะ ! นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเก่งขนาดนี้ แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ได้เจอพวกเราแล้วถึงสองคน”

พอได้ฟังคำอธิบายของ PM01 เฉินเฟิงก็พยักหน้าเข้าใจ แล้วคิดในใจว่าบริษัทเลจจ์นี่รอบคอบดีจัง ระมัดระวังกระทั่งสถานที่เล็กๆ แบบนี้

คิดจะทำให้เกมที่มีขนาดใหญ่แบบนี้มีความยุติธรรมและเที่ยงธรรมในทุกๆ ด้านนี่ไม่ใช่ง่ายๆ เลยแฮะ !

PM01 พูดต่อว่า “เอาล่ะ ออกนอกเรื่องมานานแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ ไม่อย่างนั้นเพื่อนๆ ของเจ้าได้รอกันเงกแน่ ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีที่เจ้าบรรลุเงื่อนไขในการได้อาชีพนินจา เจ้าจะได้รับฉายาของอาชีพนินจาขั้นแรกสุด ‘นินตัน’ (นักเรียนนินจา) ได้รับชุดนินจา ๑ ชุด และดาบซามูไร ๑ เล่ม”

PM01 พูดจบ ตรงหน้าเฉินเฟิงก็ปรากฏชุดนินจาใหม่เอี่ยม ๑ ชุดพร้อมด้วยดาบซามูไรพร้อมฝัก ๑ เล่ม

เฉินเฟิงหยิบชุดนินจาซึ่งเป็นเครื่องป้องกันขึ้นมาดู

ชุดนินจา เครื่องป้องกันประเภทไอเท็มเฉพาะสำหรับอาชีพ พลังป้องกัน ๓,๐๐๐ จุด มีช่องใส่ไอเท็ม ๕๐ ช่อง ช่องใส่ม้วนคาถา ๓๐ ช่อง สามารถใส่อาวุธจำพวกอาวุธลับได้เป็นสองเท่าของจำนวนช่อง เป็นไอเท็มเครื่องป้องกันที่มีไว้สำหรับอาชีพนินจาขั้นนินตันขึ้นไปเท่านั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของทักษะพรางกาย ทักษะหลบหลีก และความเร็วในการเคลื่อนไหว ๕%

ดาบซามูไร อาวุธประเภทดาบ ไอเท็มชั้นสูง ระดับที่ ๕ พลังโจมตี ๓๕๕ จุด คุณสมบัติเสริมเพิ่มความชำนาญในทักษะวิชาดาบ ๑ ระดับ

เฉินเฟิงยิ้มอย่างพอใจ ในบรรดาไอเท็มทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ ไอเท็มสองอย่างนี้กล่าวได้ว่าเจ๋งมากๆ

PM01 พูดต่อว่า “อีกประเดี๋ยวพอเจ้ากลับไปที่เดิมแล้ว ข้อจำกัดระดับของผู้เริ่มต้นจะสลายไปโดยอัตโนมัติ ต่อไปชื่ออาชีพของเจ้าจะเปลี่ยนเป็น ผู้เลื่อนขั้น ระดับจำกัดสูงสุดคือ ระดับ ๖๐

“ส่วนฉายาของอาชีพนินจาจะมี ๗ ขั้น ฉายาจะเปลี่ยนไปตามทักษะอาชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ฉายาในขั้นต่างๆ ของอาชีพนินจาได้แก่ นินตัน (นักเรียนนินจา) , นินอิ (นินจาฝึกหัด) , โชนิน (นินจาชั้นต้น) , ชูนิน (นินจาชั้นกลาง) , โจนิน (นินจาชั้นสูง) , นินชิ (อาจารย์นินจา) , นินโอ (เจ้านินจา) ตอนนี้ทักษะพิเศษที่จะได้รับมี ๓ อย่าง คือ วายุมังกรหมุน วิชาตรวจสอบ และวิชาพรางกาย วิธีใช้จะอยู่ที่ตราสัญลักษณ์ของเจ้า”

พอได้ยินคำว่าตราสัญลักษณ์ เฉินเฟิงก็ทำท่าจะถามว่าตราสัญลักษณ์อยู่ที่ไหน แล้วต้องขมวดคิ้วฉับเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบตรงต้นแขนขวา แล้วตราประหลาดหน้าตาเหมือนสัญลักษณ์อะไรสักอย่างก็ปรากฏขึ้นบนต้นแขนข้างนั้น นาฬิกาข้อมือที่ระบบมอบให้ก็มีช่องอธิบายทักษะพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งช่องพร้อมกัน

PM01 พูดกลั้วหัวเราะ “ฮึฮึ ลืมบอกไปว่าจะเจ็บนิดหน่อย ตรานี้มีแต่ผู้เล่นที่มีอาชีพเดียวกันเท่านั้นที่จะมองเห็นได้ ผู้เล่นคนอื่นจะไม่มีทางมองเห็น เจ้ายังมีคำถามอะไรจะถามอีกไหม ? ถ้าไม่มีเราก็จะให้เจ้าเลือกทักษะพิเศษที่เจ้าต้องการจะเสริมขั้นเดี๋ยวนี้ !”

เฉินเฟิงคิดในใจว่ามีคู่มือแล้วแบบนี้ เรื่องทักษะพิเศษค่อยๆ ไปศึกษาเอาเองทีหลังก็ได้ ที่เขาอยากจะรู้ก็คือ ความลับของอาชีพนินจาคืออะไรกันแน่ ? ถึงจะทำใจอยู่ก่อนว่ายังไงๆ ก็คงไม่ได้รับคำตอบ แต่ในเมื่อ PM01 บอกมาเองว่าถามได้ ก็เลยลองถามดูว่า

“ผมขอรบกวนถามหน่อยครับว่า ต้องมีทักษะอะไรครบบ้างถึงจะได้รับอาชีพนินจา ? แล้วก็หลังจากที่ได้รับอาชีพแล้ว ต้องเล่นแต่อาชีพนี้ไปตลอดหรือเปล่าครับ ? หรือว่ามีทางเลือกอื่นด้วย ?”

PM01 เงียบไปพักใหญ่ ค่อยพูดว่า

“ทักษะที่จำเป็นในการได้อาชีพนินจาได้แก่ ทักษะสืบเสาะ ระดับ ๕ , ทักษะพรางกาย ระดับ ๕ , ทักษะอาวุธลับ ระดับ ๓ , ทักษะปีนไต่ ระดับ ๓ , ทักษะดาบ ระดับ ๓ , ทักษะหลบหลีก ระดับ ๒ และทักษะกับดัก ระดับ ๒ ทั้งสิ้น ๗ ทักษะ

“ส่วนคำถามข้อที่สอง เจ้าเป็นผู้เล่นคนแรกเลยนะที่ถามคำถามนี้ เมื่อครู่ได้ลองค้นระเบียบการดูแล้ว โชคดีที่อยู่ในขอบเขตที่สามารถบอกได้ หลังจากได้รับอาชีพที่ ๑ แล้ว ขอเพียงระดับทักษะของผู้เล่นบรรลุเงื่อนไขการได้อาชีพของอาชีพอื่น ก็สามารถที่จะได้รับทักษะพิเศษและของรางวัลของอาชีพนั้นด้วยเช่นกัน

“แต่เนื่องจากได้เลื่อนขั้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีค่าประสบการณ์สะสมเหลือสำหรับใช้เพิ่มขั้นของทักษะพิเศษของอาชีพใหม่ นอกจากว่าผู้เล่นจะบรรลุระดับ ๖๐ และสะสมค่าประสบการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นขั้นของทักษะพิเศษก็จะได้แค่ขั้น ๑ เท่านั้น”

พอได้ฟังคำตอบ เฉินเฟิงถึงกับตะลึง เพราะคิดไม่ถึงว่าจะไม่เคยมีผู้เล่นคนไหนถามคำถามนี้มาก่อน ที่น่าแปลกใจคือ ถ้าได้อาชีพที่ตัวเองไม่ชอบ มิเท่ากับว่าไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่เลยหรอกหรือ ? อีกอย่าง ในเมื่อมีการจำกัดระดับสูงสุดที่ระดับ ๖๐ ก็แปลว่ายังมีขั้นที่สูงกว่านั้นอีกน่ะสิ ?

หลังจากตกตะลึงไปพักหนึ่ง เฉินเฟิงก็ค่อยๆ หายจากอาการตะลึงแล้วถามต่อว่า

“อย่างนั้นรบกวนถามอีกอย่างนะครับว่า การเพิ่มขั้นทักษะพิเศษคืออะไร ? แล้วบอกได้หรือเปล่าครับว่า หลังจากระดับถึงระดับที่ ๖๐ แล้ว ยังจะเลื่อนขั้นสูงขึ้นไปอีกได้หรือเปล่า ?”

PM01 เงียบไปอีกพักใหญ่ ค่อยตอบว่า

“ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน คำถามที่เจ้าถามนี่ แทบจะเป็นคำถามที่เพิ่งจะเคยมีคนถามทั้งนั้น เราจึงต้องไปเปิดดูระเบียบการก่อน

“การเพิ่มขั้นทักษะพิเศษคือการเพิ่มขั้นให้กับทักษะพิเศษที่ได้รับมา ซึ่งทักษะพิเศษแต่ละประเภทจะมีด้วยกันทั้งสิ้น ๙ ขั้น แต่ละขั้นที่สูงขึ้นจะมีพลังสูงกว่าขั้นก่อนหน้า ๒๐%

“จากขั้น ๑ เลื่อนขึ้นเป็นขั้น ๒ ต้องใช้ค่าประสบการณ์หนึ่งแสนจุด หลังจากนั้นในการเลื่อนขั้นแต่ละครั้งต้องบวกค่าประสบการณ์สองแสนจุดทบทวีขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นคือจะเลื่อนจากขั้น ๒ เป็นขั้น ๓ ต้องใช้ค่าประสบการณ์สามแสนจุด , จากขั้น ๓ เลื่อนเป็นขั้น ๔ ต้องใช้ค่าประสบการณ์ห้าแสนจุด แบบนี้แหละ

“หลังจากระดับของผู้เล่นถึงระดับที่ ๖๐ แล้ว ค่าประสบการณ์ที่เกินมาจะกลายเป็นค่าประสบการณ์สะสม ซึ่งจะสามารถเลือกทักษะพิเศษที่ต้องการเพิ่มขั้นได้จากช่องเพิ่มขั้นทักษะพิเศษ ค่าประสบการณ์สูงสุดจะมีได้ถึงสิบล้านจุด

“สำหรับคำถามที่ว่าหลังจากระดับถึงระดับที่ ๖๐ แล้ว ยังจะเลื่อนขั้นสูงขึ้นไปอีกได้หรือเปล่า ? คำตอบคือได้ แต่ในตอนนี้ขั้นที่สูงกว่านั้นยังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถประกาศให้ทราบได้ เจ้าไปดูที่ประกาศบนกระดานประกาศข่าวของทางระบบที่จุดติดต่อสอบถามได้ทุกเวลา หรือจะทำการสอบถามด้วยตัวเองก็ได้”

หลังจากนิ่งคิดอยู่นาน ในที่สุดเฉินเฟิงก็ตัดสินใจเพิ่มขั้นของทักษะวิชาตรวจสอบเป็นขั้นที่ ๔ ส่วนค่าประสบการณ์ที่เหลือหนึ่งแสนจุดเอาไปเพิ่มให้ท่าวายุมังกรหมุน ขั้น ๑ ที่มีไว้สำหรับโจมตี

เหตุผลสำคัญที่ทำให้เฉินเฟิงตัดสินใจแบบนี้ เพราะหลังจากวิชาตรวจสอบสูงกว่าขั้น ๓ จะเริ่มตรวจสอบข้อมูลของสัตว์อสูรได้ และขอบเขตจำกัดของการตรวจสอบจะสูงขึ้น ๒๐% ในทุกขั้นของทักษะนี้ นั่นคือขอแค่เป็นสัตว์อสูรระดับไม่เกิน ๔๘ เฉินเฟิงจะสามารถตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของสัตว์อสูรตัวนั้นได้ ซึ่งข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ประกอบด้วย ระดับ สังกัดธาตุ พลังโจมตี พลังป้องกัน พลังชีวิต แถมยังมีโอกาสมองเห็นไปถึงจุดอ่อนของสัตว์อสูรอีกต่างหาก

PM01 บอกว่าเฉินเฟิงเป็นคนแรกที่เอาค่าประสบการณ์มาเพิ่มให้วิชาตรวจสอบ จนถึงตอนนี้ บรรดาผู้เล่นที่ได้อาชีพนินจาทุกคนต่างก็เอาค่าประสบการณ์ไปเพิ่มให้ท่าวายุมังกรหมุนที่เป็นท่าโจมตี หรือไม่ก็วิชาพรางกายที่ใช้ในการหลบหลีกกันทั้งนั้น บวกกับถึงแม้วิชาตรวจสอบจะสามารถมองเห็นข้อมูลของสัตว์อสูรได้ หรืออาจถึงขนาดช่วยให้มองเห็นจุดอ่อนของสัตว์อสูร แต่โอกาสเห็นไปถึงจุดอ่อนก็มีไม่มากนัก เรียกได้ว่าเฉินเฟิงเป็นผู้เล่นที่คิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาจริงๆ

หลังจากเก็บไอเท็มเครื่องป้องกันที่เพิ่งได้รับมาเรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงก็บอกลา PM01 แล้วถูกลำแสงสีขาวเจิดจ้าบาดตาสาดใส่จนตาพร่ามองอะไรไม่เห็นอีกรอบ จากนั้นตัวเขาก็พลิกตลบตีลังกาอีกครั้ง

เมื่อสายตากลับมามองเห็นได้อีก จึงพบว่าสามสาวต่างเก็บไอเท็มที่ได้จากพวกสไลม์กันเสร็จเรียบร้อย และนั่งรอจนเริ่มจะเซ็งแล้ว ก็ใครใช้ให้เฉินเฟิงหายศีรษะไปตั้งหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ กันเล่า

ยังไม่ทันได้ร้องทักทายสามสาว ในศีรษะของเฉินเฟิงก็มีเสียงจากระบบดังขึ้นเป็นชุดอย่างรวดเร็ว ท่าจะเป็นร่ายยาวค่าประสบการณ์ที่ได้รับต่อเนื่องจากก่อนที่เขาจะถูกพาตัวไปกับเทพมังกรสัตตรงค์ และอาจเป็นเพราะสมาชิกในกลุ่มของเขาต่างก็ได้เลื่อนระดับ ทำให้ทักษะบัญชาการของเฉินเฟิงได้เลื่อนรวดเดียว ๒ ระดับ ชื่อตำแหน่งจึงกลับมาเป็นหัวหน้ากลุ่มตามเดิม

พอเซียวหยาวเห็นตราสัญลักษณ์นินตันที่เพิ่มมาใหม่บนต้นแขนขวาของเฉินเฟิง ก็นิ่งตะลึง นึกถึงนิสัยชอบแบ่งปันความรู้ของเฉินเฟิงแล้ว ดูท่าในอนาคตของเกมราชาฯ ความลับในการได้มาซึ่งทักษะของอาชีพนินจาคงไม่เป็นความลับอีกต่อไป

แม้จะเพิ่งทำใจได้ก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่เมื่อเห็นข้อได้เปรียบเล็กน้อยที่ตัวเองเหลืออยู่กลายเป็นหมดความหมายไปในพริบตา เซียวหยาวก็อดใจหายไม่ได้

ครั้นเห็นท่าทางผิดปกติของเซียวหยาว ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงก็ทราบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย จึงเข้าไปปลอบโยนเพื่อน

ความจริงตอนเฉินเฟิงโผล่มา ระลอกน้ำฯเองก็จ้องต้นแขนขวาของเฉินเฟิงเขม็งอยู่เหมือนกัน เพราะจากความเชี่ยวชาญในทักษะผู้ฝึกสัตว์ของเฉินเฟิง ทำให้มีความเป็นไปได้เช่นกันว่าอาชีพที่เขาได้จะเป็นอาชีพนักฝึกสัตว์ และเธอก็เคยได้ยินมาว่านอกจากวิธีคลี่คลายภารกิจแล้ว มีคนได้ทักษะทำอาหารด้วยวิธีการอื่นด้วย บวกกับนิสัยทดลองโน่นนี่โคตรจะเก่งของเฉินเฟิง ทำให้ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าพี่แกจะทดลองขุดคุ้ยจนได้อาชีพหรือไอเท็มอะไรมาบ้าง

วิหารจันทราเทพไม่รู้เรื่องตราสัญลักษณ์ของอาชีพ จึงเห็นแค่ว่าเฉินเฟิงกลับมาแล้ว และดูจากภายนอกก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงถามอย่างประหลาดใจว่า

“ทำไมถึงไปนานขนาดนั้นล่ะเฉินเฟิง ? คนอื่นเขาไปกันแค่สิบกว่านาทีก็กลับมาแล้ว เธอดันไปตั้งชั่วโมงกว่า แล้วเธอได้อาชีพอะไรมาน่ะ ?”

เฉินเฟิงเห็นท่าทางซึมๆ ของเซียวหยาว ถึงค่อยนึกได้ว่ามีแต่ผู้เล่นที่ได้อาชีพเดียวกันเท่านั้นที่จะมองเห็นตราสัญลักษณ์ของอาชีพ พอลองสังเกตดู ก็พบว่าบนต้นแขนของเซียวหยาวมีตราแบบเดียวกับเขาอยู่จริงๆ ด้วย

วิหารจันทราเทพเห็นเฉินเฟิงเอาแต่มองเซียวหยาวโดยไม่ตอบคำถามของเธอ จึงพลอยหันไปมองเซียวหยาวบ้างอย่างงงๆ แล้วจึงเห็นท่าทางผิดปกติของเซียวหยาว จึงพูดอย่างงุนงงว่า

“หรือเธอได้อาชีพนินจา ?”

เฉินเฟิงพยักหน้า จากนั้นแบมือ

“พอทักษะครบตามเงื่อนไขปุ๊บ ก็ได้อาชีพทันทีโดยอัตโนมัติ ผมเลือกเองไม่ได้น่ะ แต่เทพมังกรผู้มอบอาชีพบอกว่า ยังมีสิทธิ์ที่จะได้อาชีพอื่นๆ ด้วย ดังนั้นจะได้อาชีพอะไรก็ไม่ต่างกันนักหรอก”

เซียวหยาวกับระลอกน้ำแห่งสารทม่วงแทบจะอุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกตะลึง

“นายว่าอะไรนะ ! พอได้อาชีพแล้วยังมีสิทธิ์ได้อาชีพอื่นด้วย ? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ ?” แล้วทำหน้าเหมือนที่เขาพูดออกมาไม่ใช่ภาษาคนยังไงยังงั้น

เฉินเฟิงสะดุ้งโหยงกับปฏิกิริยาของสองสาว ตะกุกตะกักว่า

“ใช่สิ ก็อาชีพตอนนี้ของพวกเธอไม่ใช่ผู้เลื่อนขั้น บวกกับฉายาของอาชีพหรอกเหรอ ?”

จากสีหน้ากังขาของสองสาวทำให้ทราบว่าพวกเธอไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเรื่องที่สามารถได้อาชีพมากกว่าสองอาชีพมาก่อน เฉินเฟิงจึงได้แต่บอกคำสนทนาของตัวเองกับ PM01 ให้สามสาวฟังอย่างละเอียด

ยิ่งฟัง สามสาวก็ยิ่งอ้าปากหวอกว้างขึ้นทุกที เพราะทุกเรื่องที่เฉินเฟิงพูดมา พวกเธอเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกทั้งนั้น

เมื่อฟังที่เฉินเฟิงเล่าจบ เรื่องที่ผูกมัดสามสาวให้ต้องลำบากใจมานานก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา ในเมื่อสามารถมีอาชีพได้หลายอาชีพ ก็หมายความว่าต่างสามารถแลกเปลี่ยนกันโดยบอกผลการค้นคว้าของตัวเองแก่คนอื่น และรับรู้ความลับที่คนอื่นค้นพบได้เช่นกัน

วิหารจันทราเทพดีใจกว่าใครเพื่อน เนื่องจากที่เธอยังลังเลไม่ยอมเข้าสมาคมไหนสักที เพราะอยากจะได้อาชีพนักบวช น่าเสียดายที่ถึงจะมีทักษะพื้นฐานของนักบวชโผล่มาให้เห็น แต่อย่าว่าแต่ไม่มีสมาคมนักบวชเลย กระทั่งเรื่องที่มีผู้เล่นได้อาชีพนักบวชบ้างหรือเปล่า เธอเองก็ยังไม่รู้ ข้อจำกัดระดับ ๓๐ ของผู้เริ่มต้นทำให้เธออยากจะเข้าสมาคมไหนสักสมาคมไปเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่พอคิดถึงว่าถ้าได้อาชีพไหนแล้ว ก็ต้องเล่นอาชีพนั้นไปตลอด แบบนั้นเธอก็หมดสิทธิ์ได้อาชีพนักบวชอย่างที่หวังไว้น่ะสิ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอกลุ้มอกกลุ้มใจมานานมากกกกก !

พอได้รู้ข่าวสารนี้ของเฉินเฟิง เธอก็สามารถเลือกที่จะได้อาชีพใดสักอาชีพที่พอจะมีประโยชน์ไปก่อน เพราะถึงยังไงก็สามารถจะได้อาชีพมากกว่าสองอาชีพอยู่แล้ว ส่วนเรื่องลำดับว่าได้อาชีพไหนก่อนอาชีพไหนหลังก็ไม่ได้สำคัญอะไร

ถึงจะตื่นเต้นกับข่าวสารใหม่เอี่ยมที่เฉินเฟิงบอกมามากแค่ไหน แต่สามสาวก็ยังไม่ลืมเสียงระเบิดดังสนั่นสะเทือนก่อนที่เฉินเฟิงจะหายตัวไป แถมยังฆ่าพวกสไลม์ที่ออกันอยู่เต็มถ้ำทั้งหมดได้ในพริบตาอีกต่างหาก ทำให้พวกเธออยากรู้กันมากว่าเฉินเฟิงฆ่าพวกมันด้วยวิธีไหน

เฉินเฟิงแบ่งไอเท็มที่สามสาวเก็บมาให้พลางเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้สามสาวฟังไปด้วย

ปรากฏว่าที่เรียกว่าเครื่องยิง ก็คือคทาที่ปลายด้านหนึ่งยื่นออกมาโดยตรงกลางเว้าลึกเข้าไปเหมือนสองง่ามซึ่งเฉินเฟิงขุดเจอพร้อมกับสมุดบันทึก และที่เรียกว่าระเบิดแสงอัคคี ก็คืออัญมณีหน้าตาประหลาดก้อนนั้นนั่นเอง

จากข้อความที่บันทึกเอาไว้ในสมุดบันทึก ทำให้ทราบว่าเวลาได้รับบาดเจ็บ สไลม์จะปล่อยของเหลวที่มีฤทธิ์คล้ายคลึงกับการระเบิดเป็นลูกโซ่ของหนอนเขียวเขี้ยวเหล็กไหลออกมา เพื่อป้องกันกรณีที่อานุภาพทำลายของเครื่องยิงระเบิดแสงอัคคีไม่รุนแรงพอ ก่อนจะยิง เฉินเฟิงจึงจงใจซัดดาวกระจายกากบาททั้งหมดที่มีอยู่ทำให้พวกสไลม์หลายตัวได้รับบาดเจ็บ แต่ยังไม่ถึงตาย ตามด้วยร่ายคาถายิงเครื่องยิง สุดท้ายเพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ เขาจึงจงใจขี่ซวงเว่ยไปด้วย

ที่หลังจากพวกสไลม์ระเบิดตายไปแล้ว เฉินเฟิงก็ได้อาชีพนินจาทันที ก็เพราะเขาใช้ดาวกระจายกากบาท ทำให้ทักษะอาวุธลับเลื่อนระดับ และคาถาสำหรับใช้เครื่องยิง ก็คืออักขระโบราณที่จารึกอยู่บนด้ามของเครื่องยิงนั่นเอง โดยที่วิธีอ่านถูกบันทึกอยู่ในสมุดบันทึก

หลังจากเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดแล้ว สามสาวก็จำคาถาสำหรับยิงที่เป็นอักขระโบราณด้วย ถึงตอนนี้จะยังไม่ทราบว่ามันจะมีประโยชน์อะไร แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าสามารถมีอาชีพได้หลายอาชีพแล้ว การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ก็เท่ากับช่วยเพิ่มโอกาสที่จะได้อาชีพอื่นๆ ไปในตัว ดังนั้นสามสาวจึงเริ่มขยันเรียนรู้ต่างจากที่ผ่านๆ มา

 


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:27 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:39

0 ความคิดเห็น