โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:40
ตอนที่ ๗
โอกาสค้าขาย
พอไต่ลงมาจากโพรงเหนือถ้ำ เฉินเฟิงก็ถูกภาพตรงหน้าสะกดจนอ้าปากค้าง
ปรากฏว่านอกจากเสียงกึกก้องกัมปนาทนานเกือบสองนาทีนั้นจะฆ่าสไลม์ไป ๗๕๔ ตัวแล้ว ยังทำให้ถ้ำสามคูหาสุดบูรพาขยายกว้างกว่าเดิมกว่าเท่าตัว
ถ้ำสามคูหาสุดบูรพาคงต้องเปลี่ยนชื่อเสียแล้ว เพราะเส้นทางในถ้ำที่เพิ่มขึ้นมามีอย่างน้อยสิบกว่าเส้น แต่ก็ยังมีแค่สามเส้นที่สามารถทะลุผ่านไปถึงหุบเขามรณะได้เช่นเคย
ถ้ำทั้งถ้ำเหมือนถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเขาวงกตยังไงยังงั้น ก่อนหน้านี้ไอเท็มทั้งหลายที่ได้จากสไลม์ทำเอาสามสาวตามเก็บจนหมดแรง นอกจากเงิน ม้วนคาถา ก้อนอัญมณี และก้อนแร่แล้ว ยังได้แหวนมาอีก ๓ วง เนื่องจากสามสาวไม่มีม้วนคาถาปลดผนึกมากพอ จึงแค่ปลดผนึกแหวนสามวงไปก่อน ปรากฏว่าแหวนทั้งสามวงต่างก็เป็นแหวนป้องกันการโจมตีของธาตุพิษเหมือนกันหมด
เฉินเฟิงมีแหวนป้องกันธาตุพิษอยู่ก่อนแล้วสองวง จึงแบ่งแหวนสามวงนี้ให้สามสาวไป สามสาวก็รับเอาไว้โดยไม่เกรงใจ และแน่นอนว่าได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งให้เฉินเฟิงเป็นการชดเชย
หลังพ้นจากวิกฤติการณ์สไลม์ ทั้งสี่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะรั้งอยู่ที่นี่อีก จึงพากันเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับหมู่บ้านอิวะ ส่วนเฉินเฟิง ถึงจะไม่ค่อยพอใจโคบุกับเคย์มะ แต่ยังไงๆ ทั้งสี่ก็รอดมาได้เพราะสองคนนั้นช่วยต้านฝูงลิงค้างคาวเอาไว้ เมื่อลองคำนวณเวลาดู ฝูงลิงค้างคาวน่าจะสลายตัวไปแล้ว พวกเขาก็ควรจะทำหน้าที่ของเพื่อนร่วมกลุ่มให้ดีที่สุดโดยการไปช่วยเก็บเครื่องป้องกันกลับมาให้พวกโคบุ
หลังออกจากอดีตถ้ำสามคูหาสุดบูรพา ทั้งสี่ก็เดินทางอยู่ในหุบเขามรณะอย่างระวังตัวแจโดยมีระลอกน้ำแห่งสารทม่วงทำหน้าที่นำทาง
หลังจากหยั่งเส้นทางกันไปได้หนึ่งชั่วโมงเศษ ในที่สุดก็พบเครื่องป้องกันที่พวกโคบุเหลือทิ้งไว้ สำหรับพวกโคบุ เครื่องป้องกันพวกนี้ถือว่าสำคัญมากทีเดียว
เดิมทีเฉินเฟิงยังคิดจะแวะไปช่วยเก็บเครื่องป้องกันให้พวกหมาป่าโลหิตด้วย แต่ระลอกน้ำฯบอกว่าด้วยระดับของพวกเขาทั้งสี่ในตอนนี้ ขืนเข้าไปที่บึงกักมังกร ก็มีแต่ทางตายสถานเดียว เฉินเฟิงเลยจำต้องเลิกล้มความคิด
พอพูดถึงบึงกักมังกร เฉินเฟิงค่อยนึกขึ้นได้ว่า ขนาดคนเก่งๆ อย่างพวกหมาป่าโลหิตยังดับอนาถทั้งกองทัพ พวกเขาสี่คนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่เฉินเฟิงก็สนอกสนใจเรื่องบุกตะลุยบึงกักมังกรเป็นอย่างมาก แน่นอนแหละว่าไอ้ที่เขาสนใจน่ะคือยาสมุนไพร ก็มันเกี่ยวข้องกับแผนหาเงินของเขานี่ ดังนั้นถึงครั้งนี้จะไม่ได้ไป เฉินเฟิงก็ยังอุตส่าห์ตั้งใจจำทางเอาไว้
กลับมาถึงหมู่บ้านอิวะ ทั้งสี่ก็รีบไปเปิดห้องที่โรงแรมหลายห้อง จากนั้นสามสาวก็สั่งให้เฉินเฟิงปลดผนึกไอเท็มที่ได้มาทั้งหมด ส่วนพวกเธอจะไปอาบน้ำแต่งตัวซะหน่อย
เฉินเฟิงที่น่าสงสารได้แต่ไปที่ร้านปลดผนึกคนเดียว กว่าจะปลดผนึกม้วนคาถาทั้ง ๓๐๐ กว่าม้วนเสร็จ ก็ปาเข้าไปหนึ่งชั่วโมง
ที่น่าประหลาดคือ นอกจากม้วนคาถากลับบ้านและม้วนคาถาป้องกันพิษที่ได้มาอยู่บ่อยๆ แล้ว ยังมีม้วนคาถาเปล่าๆ อีก ๑๐๐ กว่าม้วน ซึ่งต่างก็แบ่งเป็นระดับต่างๆ กัน ถึงจะไม่ทราบว่าม้วนคาถาเปล่าๆ พวกนี้ใช้ทำอะไรได้ แต่เนื่องจากมันไม่มีขายในร้านขายไอเท็ม ดังนั้นจึงน่าจะเป็นของวิเศษอะไรสักอย่างล่ะมั้ง
หลังกลับมาถึงโรงแรม เฉินเฟิงต้องรออีกถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม สามสาวค่อยนวยนาดกันมาที่ห้องของเขา ทำเอาเฉินเฟิงเซ็งแทบบ้า
พอเห็นม้วนคาถาเปล่าๆ วิหารจันทราเทพที่ปักใจรักแต่อาชีพนักบวชก็บอกว่า ม้วนคาถาพวกนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับอาชีพนักอาคม ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริง ม้วนคาถาพวกนี้ต้องแพงมากแน่ๆ แล้วทั้งสี่ก็แบ่งม้วนคาถากัน ต่างก็ได้ไปคนละ ๒๐ กว่าม้วน
ถึงแม้ตอนที่อยู่ในหุบเขามรณะ เครื่องป้องกันทั้งหลายแหล่ของระลอกน้ำแห่งสารทม่วงจะพังจนแทบไม่เหลือซาก แต่ตัวเธอเองกลับรวยไม่ใช่เล่น หลังจากคืนโล่เหล็กกับดาบวงเดือนที่ยืมมาให้เฉินเฟิงแล้ว ยังจ่ายค่าดาบสั้นที่เสียหายไปแบบเต็มราคาอีกด้วย
เดิมทีเฉินเฟิงคิดจะเอาแค่ราคาขายให้ร้านขายไอเท็มเท่านั้น แต่พอเห็นว่าระลอกน้ำฯแค่แวะไปคลังเก็บไอเท็มแป๊บเดียว เครื่องป้องกันก็กลับมาเพียบแปล้เหมือนเดิม จึงรับเงินค่าดาบสั้นมาอย่างไม่เกรงใจ ซึ่งไม่ใช่ว่าเฉินเฟิงขี้งกหรอก แต่เป็นเพราะตอนนี้รายจ่ายในแต่ละวันของเขามันสูงมาก เพราะอู้คงกับซวงเว่ยต่างก็กินอาหารสัตว์เลี้ยงถึงมื้อละ ๒ ห่อ บวกกับหลายฝูและค่าข้าวของตัวเอง แค่ค่าอาหารพวกนี้เขาก็ต้องจ่ายถึงวันละตั้ง ๕๐๐ เหรียญเงิน ถ้าไม่เพราะสไลม์พวกนั้นทำให้เขาได้ส่วนแบ่งเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ เหรียญเงินล่ะก็ รายจ่ายในหลายวันมานี้คงทำเอาเขากระเป๋าฉีกไปแล้ว
เขาไม่เข้าใจเลยว่าระลอกน้ำแห่งสารทม่วงเก็บเงินได้ยังไง ?
แน่นอนว่าวิหารจันทราเทพเองก็คืนหนี้ให้เฉินเฟิงได้หมดเพราะเงินส่วนแบ่งที่เธอได้ไปเช่นกัน และคืนหน้าไม้เหล็กกล้าที่ยืมมานานให้เฉินเฟิงได้เสียที นอกจากนี้ยังมีเครื่องป้องกันและไอเท็มอื่นๆ ที่เฉินเฟิงเหมารวมขายให้ถูกๆ ๒,๐๐๐ เหรียญเงิน
ความจริงถ้าจะคำนวณกันอย่างจริงจัง แค่เกราะอกชิ้นนั้น ราคาก็สูงกว่า ๒,๐๐๐ เหรียญเงินแล้ว แต่เนื่องจากวิหารจันทราเทพยังต้องคืนเงินให้เซียวหยาวซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อีกราย เฉินเฟิงจึงคิดเธอแค่ราคานี้
เฉินเฟิงลองสรุปรวบยอดดู หลังจากมาที่ทวีปกู่ย่าได้ ๕ วัน เมื่อหักค่ายาฟื้นพลัง ยาถอนพิษ และค่าอาหารแล้ว เขาเหลือเงินแค่ ๓๐,๐๐๐ เหรียญเงิน ทำเอาเฉินเฟิงเริ่มจะกังวล
ลองคิดดูดีๆ ถ้าไม่บังเอิญได้เงินจากฝูงสไลม์พวกนั้น เขาคงต้องออกสู้กับสัตว์อสูรเพื่อให้พอเลี้ยงปากท้องทุกวันแน่ๆ แถมหลังจากทะลวงผ่านขีดจำกัดระดับ ๓๐ แล้ว พอฆ่าสัตว์อสูรประเภทเดียวกับที่เคยฆ่าก่อนหน้านี้ ไม่แค่ค่าประสบการณ์ที่ได้จะน้อยลงเท่านั้น ได้ยินมาว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะได้เงินมากๆ และไอเท็มดีๆ ยังจะลดลงไปโข
หลังจากเคลียร์เรื่องแบ่งไอเท็มและใช้หนี้กันเป็นที่เรียบร้อย สามสาวก็นั่งเหม่อมองไข่สัตว์เลี้ยงระดับสูงที่เฉินเฟิงผลักมาตรงหน้า ถึงทั้งสามจะไปซื้อถุงนอนมาแล้ว แต่ขนนกมันไม่มีขายนี่นา
ทันใดนั้นระลอกน้ำแห่งสารทม่วงก็ปิ๊งไอเดียพิสดารขึ้นมากะทันหัน โดยเล็งเป้าหมายไปยังฝูงเป็ดไก่ที่เห็นเดินป้วนเปี้ยนกันเต็มไปหมดที่นอกหมู่บ้าน สุดท้ายปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ได้ดีเยี่ยมกว่าใช้ขนของพญาครุฑเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ในวันนั้นเหล่าผู้เล่นในหมู่บ้านอิวะจึงพากันประหลาดใจสุดๆ เมื่อพบว่าขนบนตัวของพวกเป็ดไก่ที่ชอบมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ หมู่บ้านโดยไม่มีใครสนใจได้หายวับไปจนหมดราวปาฏิหาริย์...
มาถึงหน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะ ก็พบว่าสารพัดสัตว์ทั้งโขยงก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดเกลี้ยง หลังจากส่งมอบผลลัพธ์ที่ได้จากการไปคลี่คลายภารกิจให้แก่หัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ทั้งสี่ต่างก็ได้รับสิทธิ์ให้ซื้อดาวกระจายกากบาทได้ แถมยังสามารถซื้อระเบิดแสงและระเบิดควันอันล้ำค่าจากหัวหน้าหมู่บ้านได้ด้วย
ปรากฏว่าเป็นเพราะพวกเขาสามารถคลี่คลายภารกิจลับได้สำเร็จ ดังนั้นภารกิจจึงถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ พวกสัตว์เลี้ยงทั้งโขยงก่อนหน้านี้จึงถูกส่งกลับไปที่เดิมจนหมด
หัวหน้าหมู่บ้านมีทีท่าดีอกดีใจอย่างมาก ดูท่าสัตว์เลี้ยงพวกนั้นคงทำให้เขาปวดศีรษะมานาน ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านได้แต่หวังว่าครั้งหน้าจะมีคนคลี่คลายภารกิจได้อีก ไม่ใช่ว่าต้องรอตั้งหนึ่งปีกว่าจะมีคนคลี่คลายได้สำเร็จอย่างครั้งนี้
สำหรับระเบิดแสง ตอนที่ไปเทือกเขาไทแทน เซียวหยาวเคยเอาออกมาให้ดูแล้ว เฉินเฟิงจำได้ว่าตอนนั้นเซียวหยาวบอกว่าราคาในตลาดมืดคือลูกละ ๕๐๐ เหรียญ พอรู้ว่าซื้อจากหัวหน้าหมู่บ้านได้ในราคาลูกละแค่ ๑๐๐ เหรียญเงิน หมายความว่าขอแค่เอาไปขายในตลาดมืด ก็จะได้กำไรหลายเท่าตัวทันที ทั้งสี่จึงซื้อกันคนละหลายลูก
หลังจากบอกลาระลอกน้ำแห่งสารทม่วงแล้ว สองสาวต่างแสดงความจำนงว่าจะไปช้อปปิ้งกันเสียหน่อย เฉินเฟิงที่ต้องรอคืนเครื่องป้องกันให้โคบุกับเคย์มะจึงกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมเพียงลำพัง
ระหว่างที่เฉินเฟิงผู้น่าสงสารรอให้โคบุกับเคย์มะฟื้นคืนชีพ ก็เกิดปิ๊งไอเดียสุดวิเศษขึ้นมา แล้วดำเนินแผนหากำไรก้อนใหญ่ทันที
เฉินเฟิงชวนเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพไปดำเนินแผนนี้ด้วยกัน แต่พอสองสาวได้ฟังแผนหาเงินของเขา ก็พากันปฏิเสธเสียงแข็งทันที
ปรากฏว่าแผนการของเฉินเฟิงคือ เอาเงินทั้งหมดที่มีไปซื้อระเบิดแสงกับระเบิดควัน แล้วนำมาวางแผงขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมืด ๒๐๐ เหรียญเงิน แน่นอนว่าส่งผลให้บรรดาผู้เล่นต่างแห่กันมาขอซื้อยังกับแร้งลง จนทำให้เงิน ๓๐,๐๐๐ เหรียญทวีจำนวนขึ้นหลายเท่าในเวลาสั้นๆ แค่ ๘ ชั่วโมง
จำนวนเงินในบัญชีเงินฝากของเฉินเฟิงเพิ่มขึ้นเป็น ๒๐๐,๐๐๐ กว่าเหรียญอย่างรวดเร็ว ส่วนทักษะตั้งแผงลอยเลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๗ สุดท้ายเซียวหยาวต้องมาสะกิดเตือนว่าอย่างกให้มันมากเกินไปนัก เฉินเฟิงค่อยยอมหยุดขายอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อมีระเบิดแสงและระเบิดควันจำนวนมากออกสู่ท้องตลาด บวกกับเหตุการณ์ขนบนตัวของเป็ดไก่ในละแวกหมู่บ้านหายไปราวปาฏิหาริย์ บรรดาผู้เล่นที่เป็นพ่อค้าหัวใสจึงจัดแจงโยงสองเรื่องนี้เข้าหากันทันที โดยคิดว่าขนของเป็ดไก่อาจจะเป็นวัตถุดิบในการผลิตระเบิดแสง จึงเปิดรับซื้อขนเป็ดขนไก่เป็นจำนวนมาก ผลสุดท้ายไม่แค่ขาดทุนย่อยยับเท่านั้น ยังก่อให้เกิดภัยพิบัติแก่หมู่บ้านอิวะในภายภาคหน้าอีกด้วย
สองเดือนให้หลัง หมู่บ้านอิวะจะถูกกองทัพหนอนบุกเล่นงาน เมื่อสืบย้อนไปถึงสาเหตุ ก็พบว่าเป็นเพราะเป็ดไก่ที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของพวกมันถูกพวกผู้เล่นที่คิดแต่จะหากำไรจนเป็นบ้าไปแล้วจับถอนขนเสียเกลี้ยง ถึงแม้เป็ดไก่ที่ไม่มีขนจะยังไม่ถึงกับตาย แต่ก็ต้องสูญเสียความสามารถในการออกหาอาหารไป สุดท้ายจึงก่อให้เกิดภัยจากกองทัพหนอนขึ้น
หนึ่งในต้นเหตุของภัยกองทัพหนอนบุกในภายภาคหน้ากำลังนั่งนับเงินอยู่ในโรงแรมอย่างแสนสำราญโดยไม่ได้นึกเอะใจใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนสาวๆ ที่เหลือก็ไม่ทราบไปช้อปปิ้งกันถึงไหนแล้ว
นอกจากเป็ดไก่ที่น่าสงสารแล้ว ยังมีผู้รับเคราะห์ที่คาดไม่ถึงอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
ถึงเฉินเฟิงจะวางแผงขายของแค่ ๘ ชั่วโมง แต่ก็ทำเอาคนกลุ่มหนึ่งแทบจะเป็นบ้าไปเลย แถมคนกลุ่มนี้เป็นพวกที่ไม่สมควรไปล่วงเกินเป็นอย่างยิ่งเสียด้วย คนกลุ่มนี้คือพวกนินจาที่ได้อาชีพเป็นคนแรกๆ และเฉินเฟิงก็ไปทำลายหนทางทำมาหากินของคนกลุ่มนี้เข้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เนื่องจากธรรมเนียมที่แตกต่างจากเกมอื่นของเกมราชาแห่งราชัน ทำให้คนกลุ่มนี้ผูกขาดวิธีผลิตระเบิดแสงมาเป็นเวลานานมาก ไอเท็มช่วยชีวิตที่อานุภาพเจ๋งไม่ใช่เล่นชนิดนี้เป็นแหล่งรายได้ของพวกเขามาเนิ่นนาน แม้ต้นทุนในการผลิตจะสูงเอาการอยู่ โดยต้นทุนการผลิตแต่ละลูกสูงเกือบ ๑๕๐ เหรียญเงิน แต่เนื่องจากจงใจจำกัดจำนวนที่ผลิต ทำให้สามารถคงราคาไว้ที่ลูกละ ๕๐๐ เหรียญเงิน ซึ่งทำให้ได้กำไรสูงมากมาได้ตลอด
ใน ๘ ชั่วโมงนี้เฉินเฟิงขายระเบิดไปทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ กว่าลูก ปกติผู้เล่นทั่วไปจะไม่ค่อยพกไอเท็มพวกนี้กันมากนัก อย่างมากก็เหมือนเซียวหยาว คือพกติดตัวไว้แค่ ๒ ลูกเอาไว้ใช้ในยามคับขัน ครั้นเห็นเฉินเฟิงขายในราคาลูกละ ๓๐๐ เหรียญเงิน พวกผู้เล่นที่เคยแต่ซื้อในราคา ๕๐๐ เหรียญเงินย่อมจะรีบซื้อเอาไว้คนละหลายลูกในทันที จนส่งผลให้หลายเดือนให้หลังพวกนินจาอาวุโสทั้งหลายไม่แค่ขายระเบิดไม่ค่อยออกไปตามๆ กันเท่านั้น ขนาดลดราคาลงเหลือแค่ลูกละ ๓๐๐ เหรียญ ก็ยังขายออกแค่ไม่กี่ลูก แถมยังถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อค้าหน้าเลือดค้ากำไรเกินควรอีกต่างหาก
ในที่สุดเฉินเฟิงก็รอจนโคบุกับเคย์มะฟื้นคืนชีพจนได้ แต่นินจาทั้งสองต่างไม่มีทีท่าดีใจเลยที่เห็นเฉินเฟิงมารอรับ แม้แต่ตอนที่เฉินเฟิงคืนเครื่องป้องกันให้ ทั้งสองก็ไม่พูดขอบคุณสักคำ ยิ่งโคบุนี่โกรธจัดจนตาแทบจะลุกเป็นไฟ ไม่แม้แต่จะมองหน้าเฉินเฟิงตรงๆ
เฉินเฟิงรู้สึกเหมือนเป็นชาวนาที่ดันไปช่วยชีวิตงูเห่า เลยถูกงูเนรคุณมันแว้งกัดเข้าให้ยังไงยังงั้น ความจริงเครื่องป้องกันพวกนี้เขาจะยึดเอาไว้เองก็ได้ และความจริงตามธรรมเนียมซึ่งรู้กันโดยไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างน้อยทั้งสองก็ควรจะตอบแทนอะไรเขาบ้าง
เดิมทีเฉินเฟิงยังรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยที่ปล่อยให้ทั้งสองต้องตายไป แต่พอเห็นท่าทีแบบนี้ของสองพี่น้อง ความรู้สึกผิดของเขาก็บินหายวับไม่มีเหลือ แถมตัวเขาเองก็ไม่คิดจะทำดีกับคนที่ไม่เห็นคุณค่าเสียด้วย
แต่เดิมเฉินเฟิงว่าจะทักทายสองสาวก่อนกลับไปที่โรงแรม แต่พอเห็นทั้งสี่เอาแต่พูดคุยกันไม่รู้จักจบจักสิ้น เขาจึงขอตัวกลับโรงแรมไปคนเดียวอย่างสุดเซ็ง
ที่โรงแรม เขาได้พบกับหมาป่าโลหิตที่ตามมาขอบคุณถึงห้อง หลังจากบอกหมาป่าโลหิตว่าระลอกน้ำแห่งสารทม่วงอยู่ที่ไหนแล้ว หมาป่าโลหิตก็รีบลาไปหาระลอกน้ำฯทันที
เฉินเฟิงที่กำลังเบื่อได้ที่อยู่ในห้องหวนคิดถึงความสามารถของแส้เทพสีหราช ถึงยังไงก็ต้องรอสองสาวอีกหลายชั่วโมงแหงๆ จึงตัดสินใจเอาอาวุธออกมาศึกษาดูอีกครั้ง
สารพัดอาวุธวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าเฉินเฟิงอย่างกับร้านขายอาวุธขนาดย่อม มีทั้งดาบวงเดือน ธนู ดาบสั้น ดาบสองมือ แส้ และดาวกระจายกากบาท พอลองดูดีๆ แล้ว นอกจากดาวกระจาย ก็ไม่มีชิ้นไหนที่เขาเสียเงินซื้อมาเลยสักชิ้น ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดอย่างมาก
คิดๆ แล้วก็น่าขำดี ตอนแรกที่เขาพกอาวุธติดตัวมากขนาดนี้ จุดประสงค์หลักคือหวังว่าจะฟลุคได้อาชีพใดสักอาชีพมา คิดไม่ถึงว่าเขาจะขยันใช้อาวุธพวกนี้จนฟลุคได้อาชีพมาจริงๆ แล้วต่อไปเขาควรจะจัดอาวุธที่จะใช้ใหม่ดีหรือเปล่านะ ? เพราะทักษะแต่ละอย่างต่างก็มีระดับด้วยกันทั้งนั้น คิดจะใช้ให้คล่องไปเสียทุกอย่างก็ออกจะลำบากเอาการอยู่
ในร้านขายอาวุธของแต่ละเมืองต่างก็มีอาวุธสารพัดชนิดวางขาย แต่แต่ละร้านจะมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่นร้านขายอาวุธในหมู่บ้านอิวะแห่งนี้ นอกจากดาบแล้ว อาวุธชนิดอื่นจะมีขายถึงแค่ชั้นกลาง ระดับที่ ๔ เท่านั้น
เมื่อมีดาบซามูไรแล้ว ก็ขายดาบวงเดือนทิ้งไปได้ อยู่ที่นี่ดาบจะขายดีเป็นพิเศษ เฉินเฟิงจึงตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะไปตั้งแผงลอยขายของ
พอเห็นดาบสั้น เฉินเฟิงก็นึกถึงเลเอทท์ขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่พ้นจากภาวะวิกฤติ เขายังไม่ได้ติดต่อหาเลเอทท์เลย เนื่องจากเขาถือว่าดาบสั้นเล่มนี้เป็นของเลเอทท์มาแต่แรกแล้ว จึงยัดมันไว้ในเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้มาโดยตลอด เพราะหลายวันมานี้เขามัวแต่ยุ่งๆ เลยลืมเสียสนิท
เฉินเฟิงรีบติดต่อหาเลเอทท์ผ่านช่องเพื่อนทันที ก็ทราบว่าตอนนี้เลเอทท์กำลังสู้กับแมงมุมสามตาอยู่ในป่าละเมาะ ถึงยังไงเฉินเฟิงกับสองสาวก็ต้องกลับไปที่เมืองชิงจ้างเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ของการคลี่คลายภารกิจอยู่แล้ว จึงนัดกับเลเอทท์ว่าค่อยพบกันพรุ่งนี้ที่เมืองชิงจ้าง
ความจริงเลเอทท์ได้ใช้เงินไปจนแทบหมดเกลี้ยงเพื่อที่จะมาพบเฉินเฟิงตามนัดที่ทวีปกู่ย่า แถมระดับแค่ ๒๕ อย่างนั้น การจะอาศัยอยู่ในทวีปกู่ย่าตามลำพังถือเป็นเรื่องยากมาก พอเฉินเฟิงได้ยินว่าเขากำลังต่อสู้อยู่ในป่าละเมาะ ถึงค่อยนึกได้ว่าระดับของเลเอทท์ไม่ได้สูงมาก เครื่องป้องกันก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ตัวเขาที่ไม่ทันคิดก็ดันไปนัดเจอกับเลเอทท์ที่ทวีปกู่ย่านี่จนทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากโดยไม่รู้ตัว หากมีโอกาสเขาจะต้องหาทางชดใช้ให้เลเอทท์ให้ได้
เฉินเฟิงนั่งเหม่อมองกองอาวุธตรงหน้า อู้คงที่อยู่ข้างๆ ก็เลียนแบบโดยเอากระบองห่วงทองสมปรารถนา อาวุธหนึ่งเดียวที่มีออกมาวางตรงหน้าแล้วนั่งมองบ้าง พอเห็นกระบองห่วงทอง เฉินเฟิงค่อยนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่พวกเขาสามคนรวมพลังกันจับอู้คงได้นั้น ต่างก็ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยถึงวิธีแบ่งกระบองห่วงทอง ต่อมาตอนที่กำราบอู้คงได้ในถ้ำสามคูหาสุดบูรพา เขาต้องรับปากเงื่อนไขสองสาวคนละอย่าง ค่อยได้กระบองห่วงทองกลับมาให้อู้คงใช้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาทุ่มเงินที่มีอยู่ในตอนนี้ออกมาจนหมดตัว ยังไม่มีปัญญาซื้อกระบองห่วงทองเล่มนี้เลย !
ตอนนี้เขาพอจะหาเงินมาได้นิดหน่อยแล้ว จึงถึงเวลาที่ควรจะสะสางหนี้รายนี้เสียที เพราะคนไม่ชอบเอาเปรียบใครอย่างเขาไม่คิดจะติดหนี้ใครนานเกินไปจนลืมชดใช้
เขาจำได้ว่าเซียวหยาวบอกว่าอยากได้สุนัขป่าสีเงินหนึ่งตัวเป็นสัตว์เลี้ยง ส่วนวิหารจันทราเทพอยากได้ไม้เท้าเวทมนตร์ระดับสูงหนึ่งอัน
ไม้เท้าเวทมนตร์นั้นจัดการไม่ยาก เพราะในเมืองชิงจ้างก็มีขาย เขาจำได้ว่าระดับสูงที่สุดคือระดับ ๕ ราคาประมาณ ๑๐,๐๐๐ เหรียญเงิน
คิดถึงตรงนี้เฉินเฟิงอดดีใจไม่ได้ที่ฉวยโอกาสระหว่างกำลังว่างๆ เบื่อๆ ไปตั้งแผงขายระเบิดจนได้เงินมาก้อนใหญ่ ไม่อย่างนั้นเขามีหวังน้ำตาร่วงแน่ที่ต้องจ่ายเงินรวดเดียวตั้งหนึ่งหมื่นเหรียญแบบนี้
ส่วนสุนัขป่าสีเงินนี่น่ากลุ้มไม่ใช่เล่น
เฉินเฟิงรู้แต่ว่าในทุ่งหญ้าหม่างที่เกาะเริ่มต้นมีสุนัขป่าอยู่ ส่วนที่อื่นเขาไม่รู้เหมือนกันว่ายังมีที่ไหนอีกบ้างที่มีสุนัขป่า แถมในคู่มือสัตว์อสูรบอกไว้ว่า ในทุ่งหญ้าหม่างมีสุนัขป่าอยู่สองชนิด ชนิดแรกคือสุนัขป่าทั่วไปที่ถูกเฉินเฟิงไล่ฆ่าล้างบาง สีขนสุนัขป่าพวกนี้ออกเทาๆ เหลืองๆ ดูยังไงก็ไม่สวยเลยสักนิด ขืนเอามันมาให้เซียวหยาวแบบขอไปที เธอมีหวังไม่ยอมแน่
ส่วนสุนัขป่าอีกชนิดคือราชาสุนัขป่าที่เฉินเฟิงเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน พอดูรูปในคู่มือสัตว์อสูรแล้ว สีขนของมันเป็นสีเดียวเกือบจะล้วนอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีขนสีเทาแซมนิดหน่อย ไม่รู้ว่าสุนัขป่าแบบนี้เซียวหยาวจะชอบหรือเปล่า ?
พอคิดถึงเซียวหยาว ก็นึกถึงค้อนยักษ์ของเธอขึ้นมาได้ ก่อนนี้ตอนไปที่เทือกเขาไทแทน ทั้งสามช่วยกันจัดการปิศาจหินได้หนึ่งตัว ตอนนั้นเซียวหยาวบอกว่ามีค้อนยักษ์หนึ่งอันจะขายให้เขา ราคาคือ ๒,๕๒๐ เหรียญเงิน ถ้าไม่เพราะวันนี้เขาเอาอาวุธออกมาจัด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชาติไหนถึงจะนึกเรื่องนี้ออก !
เฉินเฟิงถูกอู้คงสะกิดจนทำให้นึกเรื่องที่ติดหนี้ออกถึงสองรายการ จึงเรียกหลายฝูมาข้างๆ เทียบกับอู้คงแล้ว หลายฝูไม่เคยนำโชคร้ายมาให้เขาเลยสักครั้ง ขณะที่เรื่องไหนที่เกี่ยวข้องกับอู้คง เขาจะมีอันต้องสูญเสียอะไรไปสักอย่างอยู่เรื่อย
เนื่องจากทักษะสื่อสารของเฉินเฟิงผ่านระดับ ๓ ไปนานแล้ว ทำให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองต่างก็สามารถรับรู้ความคิดของเขาได้ หลายฝูเอนซบกับขาของเฉินเฟิงอย่างแสนเชื่อง ส่วนอู้คงเอาแต่ร้องโวยวายประท้วงอย่างไม่พอใจ ทำเอาเฉินเฟิงหัวเราะลั่นอยู่คนเดียวในห้อง
“อารมณ์ดีเรื่องอะไรหรือถึงหัวเราะเสียดังเชียว !” วิหารจันทราเทพพูดยิ้มๆ ขณะโผล่เข้ามาในห้องของเฉินเฟิง ส่วนเซียวหยาวตามเธอมาที่ด้านหลัง
พอเห็นอาวุธวางเรียงรายเต็มพื้น เซียวหยาวก็อุทานว่า
“ต๊าย ! นี่นายซื้อของเพลินจนเริ่มคิดจะตั้งร้านขายอาวุธแล้วรึ ?”
เฉินเฟิงระงับเสียงหัวเราะอย่างยากเย็นแล้วตอบว่า
“ไม่มีอะไรซะหน่อย พวกเธอมาได้จังหวะพอดี ผมมีบางเรื่องจะปรึกษาพวกเธออยู่เชียว”
วิหารจันทราเทพถามอย่างประหลาดใจ
“ปรึกษา ? คงไม่ใช่หุ้นกันเปิดร้านขายอาวุธหรอกนะ !”
“ถ้าเปิดร้านขายอาวุธได้ ผมต้องชวนเธอสองคนมาร่วมหุ้นแน่ๆ น่า แต่ตอนนี้เรื่องที่จะพูดไม่ใช่เรื่องนี้หรอก ผมกำลังคิดว่าพวกเธอคืนหนี้ที่ติดค้างให้ผมจนครบหมดแล้ว ก็ถึงตาผมเป็นฝ่ายจ่ายหนี้คืนให้พวกเธอบ้างล่ะนะ”
หลังจากจัดไอเท็มที่ด้านข้างคลังเก็บไอเท็มเสร็จเรียบร้อย ในบรรดาสารพัดอาวุธของเฉินเฟิงก็มีค้อนยักษ์เพิ่มมา ๑ อัน เป็นอาวุธประเภทอาวุธหนัก ไอเท็มชั้นกลาง ระดับที่ ๔ พลังโจมตี ๔๕๐ จุด คุณสมบัติเสริมคือวิชาแยกแผ่นดินอย่างเบา
ส่วนดาบวงเดือนกับดาบสองมือ เฉินเฟิงขายทิ้งในราคาถูก คนซื้อคือวิหารจันทราเทพนั่นเอง ดูท่าชื่อเสียงของนักบวชหญิงแมงมุมใกล้จะได้เวลาเริ่มต้นในอีกไม่นานนี้แล้ว
เซียวหยาวเองก็ซื้อม้าด้วยหนึ่งตัว แต่เธอเลือกม้าสีดำปลอด แล้วตั้งชื่อว่า กาฬราตรี (อ้านเยี่ย) นอกจากนี้เธอยังเลือกอาวุธยาวด้วยหนึ่งอย่าง ถึงในหมู่บ้านอิวะจะไม่มีทวนระดับสูงขาย แต่เป็นแหล่งขายดาบสารพัดชนิดโดยเฉพาะ เซียวหยาวเลือกซื้อดาบพิฆาตม้าที่เหมาะจะใช้บนหลังม้า เป็นอาวุธประเภทดาบกึ่งทวนชั้นสูง ระดับที่ ๕ พลังโจมตี ๓๘๐ จุด ใช้เงินไป ๒๐,๐๐๐ เหรียญเงิน
จุดเด่นของดาบพิฆาตม้าเล่มนี้คือสามารถฝึกทักษะสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เฉินเฟิงเห็นแล้วชักน้ำลายไหล แต่จะให้เขายอมเสียเงินซื้ออาวุธราคาอันละตั้ง ๒๐,๐๐๐ เหรียญเงิน เขาก็ตัดใจซื้อไม่ลง อย่าว่าแต่เขาเองยังมีอาวุธอีกตั้งกองพะเนิน ดังนั้นถึงจะชอบมากแค่ไหน ก็ได้แต่มองอย่างเดียว
เฉินเฟิงสอนทักษะต่างๆ ของนักฝึกสัตว์และอัศวินให้เซียวหยาวอย่างไม่มีการปิดบัง น่าเสียดายที่เซียวหยาวเองก็เจอปัญหาเดียวกับวิหารจันทราเทพ คือไม่สามารถข้ามไปสู่ทักษะสื่อสารระดับที่ ๒ ได้
ระหว่างที่ผ่านทะเลทรายมรณะ สองสาวเอาแต่ใช้ท่าบุกทะลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว ส่วนเฉินเฟิงก็กลัวว่าหน้าไม้จะยิงพลาดไปโดนสองสาวเข้า เลยได้แต่มองอยู่ข้างๆ เฉยๆ
ข้างหลายฝูกับอู้คงเหมือนกำลังแข่งขันกันก็ไม่ปาน ไม่แค่คอยลาดตระเวนตรวจตราเส้นทางข้างหน้าและส่งสัญญาณเตือนภัยเท่านั้น ยังจงใจไปล่อสัตว์อสูรจากที่ไกลๆ มาให้อีกต่างหาก ถ้าไม่เพราะเฉินเฟิงเตือนสองสาวว่าเขายังมีนัดที่เมืองชิงจ้าง สองสาวมีหวังเอาแต่ใช้ท่าบุกทะลวงเพลินจนหยุดไม่อยู่ไปแล้ว
จากหมู่บ้านอิวะไปถึงเมืองชิงจ้าง ทั้งสามใช้เวลาเดินทางแค่ ๓ ชั่วโมงเท่านั้น น้อยกว่าเวลาที่ผู้เล่นทั่วไปใช้ในการเดินทางกว่าครึ่ง แล้วเซียวหยาวก็หลงรักความเร็วในการขี่ม้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นับแต่นี้กาฬราตรีจะอยู่กับเธอไม่ห่างเหมือนเงาตามตัวเลยทีเดียว
ระหว่างทางทั้งสามฆ่าสัตว์อสูรไปเกือบ ๑๐๐ ตัว แต่ของที่ได้มาไม่ได้ดีมากเท่าที่หวัง มีแค่เงิน ๕,๐๐๐ กว่าเหรียญกับม้วนคาถาไม่กี่ม้วนเท่านั้น
เนื่องจากเฉินเฟิงไม่มีโอกาสลงมือเลย จึงมีแต่ทักษะหลบหลีกของจอมยุทธ์พเนจรเท่านั้นที่เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ ทำเอาเขาแอบสงสัยว่าที่มันได้เลื่อนระดับเป็นเพราะเขาพยายามเลี่ยงอย่างสุดชีวิตไม่ให้ยิงหน้าไม้ไปโดนสองสาวหรือเปล่าหว่า ? นอกจากนี้ก็ได้ทักษะใหม่ของผู้ฝึกสัตว์มา คือทักษะใช้แส้ ส่วนทักษะบัญชาการได้เลื่อนเป็นระดับ ๗
เนื่องจากยังห่างจากเวลาที่นัดเลเอทท์ไว้อีกนาน ทั้งสามจึงตัดสินใจว่าจะไปส่งมอบผลลัพธ์ของการคลี่คลายภารกิจที่วิหารในเมืองชิงจ้างกันก่อน แล้วค่อยไปพบกับเลเอทท์ตามนัด
ด้านนอกวิหารมีคนเข้าๆ ออกๆ แน่นขนัดเหมือนเคย เพิ่งผ่านเข้าไปในประตู ก็มีผู้เล่นจำเฉินเฟิงได้ทันที พอดูดีๆ ปรากฏว่าคือผู้เล่นที่ชื่อว่ารู้สารพัดนั่นเอง
พอรู้สารพัดเห็นเฉินเฟิง ก็รี่เข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น
“พี่น้องเฉินเฟิง ได้เจอคุณอีกแล้ว ! คลี่คลายภารกิจราบรื่นดีอยู่หรือครับ ? ผมก็บอกแล้วว่าให้เปลี่ยนไปรับภารกิจแบบอื่น...”
ทันใดนั้นรู้สารพัดก็เห็นอู้คงโผล่ขึ้นที่ด้านข้างของเฉินเฟิง จึงทำหน้าตกตะลึงพรึงเพริดชนิดเห็นได้ชัดเหมือนมีตัวอักษร “ตกตะลึงพรึงเพริด” เขียนอยู่บนหน้า แล้วตะกุกตะกักว่า
“เป็นไปไม่ได้น่า...ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน คุณก็กลับมาส่งมอบภารกิจแล้วเรอะ ?”
เฉินเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า ปลดเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ลงมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วหยิบกล่องคงความสดที่ใช้ใส่ดอกไม้เจ็ดสีออกมา พร้อมกับหยิบขนนกอันหนึ่งออกมาจากกองขนนก
รู้สารพัดส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ รุกถามว่า
“ถ้าผมจำไม่ผิด อย่างน้อยวานรขนทองน่าจะมีระดับ ๔๐ ขึ้นไป คุณกำราบมันได้ยังไงกันครับนี่ ?”
พออู้คงได้ยินว่ามีคนกำลังพูดถึงมัน ก็ทำท่ากร่างทันที แต่พอได้ยินคำว่าระดับ ๔๐ ก็ร้องเจี๊ยกๆ ประท้วงทันควัน
เฉินเฟิงปลอบอู้คง แล้วพูดยิ้มๆ
“อู้คงอยู่ระดับ ๔๕ ต่างหากครับ ! พลังโจมตีสูงกว่าผมเสียอีก พี่ชายอยากจะจับสัตว์มาเลี้ยงเหมือนกันหรือ ? งั้นเดี๋ยวรอผมจัดการธุระเสร็จแล้ว ผมค่อยมาสอนให้นะ ผมยังไม่ได้ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้คุณช่วยบอกข่าวสารให้ผมเลย !”
คิดไม่ถึงว่าแค่ออกปากถามไปตามมรรยาท เฉินเฟิงกลับยอมสอนเขาจริงๆ รู้สารพัดได้แต่ตกตะลึงพูดไม่ออก