หัวข้อ : เล่มที่ ๒ แรกเผยประกายกล้า ตอนที่ ๙ ทหารรับจ้าง

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:42

ตอนที่ ๙

 

ทหารรับจ้าง

 

 

เฉินเฟิงขยับแส้เทพสีหราชไปมา แค่สะบัดฟาดเบาๆ ก็เกิดเป็นเสียงแหวกอากาศดังแหลมคมน่าเกรงขามทันที ทำเอาอู้คงสะดุ้ง หนีไปซุกขดตัวกลมอยู่ข้างๆ ดูยังไงก็ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงระดับ ๔๕ เลยสักนิด

เฉินเฟิงเก็บแส้กลับอย่างพออกพอใจ แล้วบอกว่า

“แส้เส้นนี้ชื่อแส้เทพสีหราช ทางระบบให้ผมมาน่ะ ดังนั้นเลยหาซื้อไม่ได้ พี่น้องครุโฬนี่เก่งจริงๆ ที่มองแค่แวบเดียวก็ดูออกแล้วว่ามันเจ๋ง ความจริงแส้เทพสีหราชนี่น่ะ นอกจากใช้กำราบสัตว์เลี้ยงแล้ว ผมยังหาประโยชน์อื่นของมันไม่เจอเลย พี่น้องครุโฬเชื่อหรือเปล่าว่าพลังโจมตีของแส้เส้นนี้น่ะแค่ ๑ เท่านั้น !” พูดจบก็ยื่นแส้เทพสีหราชไปให้ครุโฬดู

ครุโฬรับแส้เทพสีหราชมาพลางนึกตกใจว่าไหงเฉินเฟิงถึงไม่กลัวว่าเขาจะไม่ยอมคืนแส้เส้นนี้ให้ล่ะเนี่ย ? เพราะทั้งสองเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานเท่านั้น แบบนี้ไม่เชื่อคนง่ายเกินไปหน่อยหรือ ?

ครุโฬนึกกังขาอยู่ในใจขณะที่พินิจแส้เทพสีหราชอย่างละเอียด เมื่อสังเกตเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่บนด้ามแส้ ก็คิดในใจว่าเป็นไอเท็มที่ขายโอนไม่ได้นี่เอง มิน่าเล่าเฉินเฟิงถึงไม่กลัวว่าจะเขาจะไม่ยอมคืนให้

ครุโฬลองสะบัดแส้เบาๆ แบบที่เฉินเฟิงทำเมื่อครู่ น่าเสียดายที่อย่าว่าแต่จะแหวกอากาศเสียงดังเลย แส้ไม่แม้แต่จะเหยียดออกจนสุดเสียด้วยซ้ำ ซึ่งช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของเขา เพราะหมายความว่าหากใครอื่นนอกจากเฉินเฟิงใช้แส้เส้นนี้ มันจะไม่ต่างอะไรกับเศษขยะ

ในเมื่อตัวเขาเอามันมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ จึงได้แต่คืนให้เฉินเฟิง มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่า หากเปลี่ยนเป็นอาวุธอื่นที่ไม่จำกัดผู้ใช้ เฉินเฟิงจะยอมให้คนอื่นยืมไปดูง่ายๆ แบบนี้หรือเปล่า ?

หลังจากรับแส้เทพสีหราชกลับไปแล้ว เฉินเฟิงค่อยพูดว่า

“แหะๆ ! ขอโทษทีนะพี่น้องครุโฬ ! ผมลืมซะสนิทว่าแส้นี้มันจำกัดคนใช้”

พอได้ยินเฉินเฟิงพูดแบบนี้ ครุโฬก็อ้าปากค้าง แสดงว่าที่เขาสันนิษฐานมาเมื่อครู่นี้ผิดหมดเลยน่ะสิ ! นี่เขาคิดระแวงมากเกินไป หรือเส้นประสาทของเฉินเฟิงมีปัญหากันแน่เนี่ย ? หรือเฉินเฟิงมองว่าเขาเป็นเพื่อนมาแต่แรกแล้ว ?

ปฏิกิริยาของครุโฬทำเอาเฉินเฟิงตกใจ รีบถามว่า

“พี่ครุโฬเป็นอะไรไป ? หรือผมพูดอะไรผิด ?”

ครุโฬรีบโบกมือปฏิเสธทันควัน

“เปล่าครับเปล่า ! ที่แท้ก็จำกัดคนใช้นี่เอง มิน่าล่ะเมื่อกี้ผมถึงสะบัดมันไม่ได้”

เมื่อเห็นครุโฬกลับเป็นปกติแล้ว เฉินเฟิงก็อดประหลาดใจไม่ได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก เขาก็คร้านจะถาม จึงพูดต่อว่า

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ แส้เทพสีหราชนี่ทางระบบให้ผมมาเป็นรางวัลตอนที่ผมกำราบอู้คงได้ แต่คุณก็คงรู้ดีว่าระบบของเกมนี้น่ะชอบอมพะนำอยู่เรื่อย เพราะบอกผมแค่ว่าเป็นรางวัลที่กำราบสัตว์เลี้ยงข้ามระดับได้ แต่ไม่ยอมบอกว่าต้องกำราบสัตว์เลี้ยงที่สูงกว่าตัวเองกี่ระดับถึงจะได้แส้นี้มา ตอนนั้นระดับของผมคือ ๓๐ ส่วนอู้คงระดับ ๔๕ ดังนั้นผมเลยคิดว่าน่าจะต้องห่างกัน ๑๕ ระดับมั้ง”

พอครุโฬได้ยินก็รู้สึกว่ามันทะแม่งๆ ยังไงชอบกลทันที ถึงแม้เขาจะไม่เคยจับสัตว์อสูรมาเลี้ยงมาก่อน แต่จากข่าวที่เขารวบรวมมาได้มันบอกว่า ระดับของสัตว์เลี้ยงต้องต่ำกว่าผู้เล่น แถมยังต้องมีไอเท็มเฉพาะถึงจะจับได้ เรื่องกำราบสัตว์เลี้ยงข้ามระดับนี่เขาก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเนี่ยแหละ ดังนั้นจึงถามเฉินเฟิงว่า

“พี่ใหญ่ ! กำราบสัตว์เลี้ยงข้ามระดับนี่ทำได้ด้วยหรือ ? เรื่องนี้ผู้น้องเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยนะ !”

เฉินเฟิงหัวเราะ “พี่ครุโฬ ผมว่าเราเลิกเรียกกันว่าพี่ใหญ่งู้นผู้น้องงี้ดีกว่า อายุคุณน่าจะมากกว่าผมนิดหน่อยนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน นายยอมเสียเปรียบหน่อย ต่อไปฉันจะเรียกนายว่าครุโฬเฉยๆ นายก็เรียกฉันว่าเฉินเฟิงเถอะ ไม่งั้นมันฟังทะแม่งๆ ชอบกล”

ความจริงครุโฬเองก็รู้สึกลักลั่นอยู่เหมือนกัน พอได้ยินเฉินเฟิงเสนอมาแบบนี้ ก็พยักหน้าเห็นพ้องทันที

เฉินเฟิงพูดต่อว่า “ความจริงน่ะง่ายจะตาย แค่เอาเชือกมัดสัตว์อสูรที่จับได้ เสร็จแล้วขยันขู่มันหน่อยก็แค่นั้น”

คำตอบนี้ทำเอาครุโฬตะลึงพูดไม่ออกไปพักใหญ่ กว่าจะหลุดปากถามออกมาได้ว่า

“ขู่ ? ปัญหาคือสัตว์อสูรมันฟังคำขู่ของนายรู้เรื่องด้วยเหรอ ? หรือต้องเฆี่ยนมันวันละสามเวลาหลังอาหาร ?”

ครั้นเฉินเฟิงที่พูดกับซวงเว่ยและหลายฝูมาจนชินถูกครุโฬถามกลับมาแบบนี้ก็งงไป ค่อยนึกออกว่าทักษะข่มขวัญไม่ใช่ทักษะของนักฝึกสัตว์ แต่เป็นทักษะของผู้เริ่มต้น

ก่อนหน้านี้เขาสันนิษฐานว่าทักษะพื้นฐานของแต่ละอาชีพจะมี ๓ อย่าง ตอนนี้เขาได้อาชีพนินจามาแล้ว ก็แปลว่าทักษะอย่างที่ ๓ ของผู้เริ่มต้นหมดโอกาสโผล่แล้วน่ะสิ ?

เฉินเฟิงก้มลงดูตารางข้อมูลของตัวเอง แล้วพบว่าทักษะที่เดิมเป็นของผู้เริ่มต้นไม่ทราบกลายมาเป็นทักษะของผู้เลื่อนขั้นไปตั้งแต่เมื่อไร แบบนี้เฉินเฟิงก็ยิ่งงงหนักกว่าเดิม แล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เขาได้อาชีพ PM01 พูดว่าจะได้เลื่อนขั้น หรือว่าอาชีพต่างๆ นอกเหนือจากอาชีพผู้เลื่อนขั้นจะเป็นแค่คุณสมบัติเสริมทั้งนั้น ? น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบคำถามนี้ของเขาได้

ครุโฬเห็นเฉินเฟิงนิ่งตะลึงอยู่นานโดยทำหน้าเหมือนกำลังคิดถึงปัญหาน่ากลุ้มอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็กำลังเป็นฝ่ายขอคำชี้แนะจากเฉินเฟิง ทำให้ไม่สะดวกจะพูดเร่งให้เฉินเฟิงรีบตอบ จึงได้แต่อดทนยืนรอต่อไป

ยิ่งคิดก็ยิ่งมึน เฉินเฟิงรู้สึกเหมือนศีรษะจะระเบิด จนกระทั่งหันไปเห็นครุโฬตัดสินใจนั่งแหมะลงกับพื้น ค่อยนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้ตอบคำถามของครุโฬเลย จึงรีบขอโทษทันทีอย่างรู้สึกผิด จากนั้นบอกถึงสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับทักษะที่อาชีพผู้ฝึกสัตว์จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดแก่ครุโฬในรวดเดียว

ส่วนคำถามที่ครุโฬถามมา เขามีแต่ต้องรวบรวมข้อมูลให้ได้มากกว่านี้ถึงจะสามารถตอบได้แหละนะ !

มีแต่ทักษะสื่อสารเท่านั้นที่สามารถทำได้ในทันที จากนั้นครุโฬก็ต้องเผชิญกับปัญหาเก่าที่เซียวหยาวและวิหารจันทราเทพเจอมาแล้ว นั่นคือทักษะสื่อสารไม่สามารถข้ามไปถึงระดับที่ ๒ ได้ สองหนุ่มผู้คลั่งไคล้การวิจัยจึงถกกันถึงเรื่องนี้อยู่ครู่ใหญ่ น่าเสียดายที่ไม่มีผลลัพธ์อะไรอยู่ดี เลยได้แต่เลื่อนไปวิจัยกันต่อในวันหลัง

แล้วครุโฬก็นึกเรื่องที่เฉินเฟิงจะไปเกาะเริ่มต้นขึ้นได้ เมื่อครู่เฉินเฟิงบอกข้อมูลที่มีประโยชน์ให้เขาไม่ใช่น้อย ครุโฬจึงตอบแทนด้วยการบอกเบาะแสให้ว่า

“ความจริงจะจับหมาป่าน่ะ ไม่จำเป็นต้องกลับไปที่เกาะเริ่มต้นหรอก ที่เทือกเขาเศียรมังกรด้านทิศตะวันตกของทวีปกู่ย่าก็มีร่องรอยของสัตว์อสูรตระกูลหมาป่าเหมือนกัน ถ้าไม่รังเกียจ ฉันจะไปเป็นเพื่อนนายเอง”

แน่นอนว่าเฉินเฟิงโคตรจะดีใจที่ประหยัดค่าตั๋วเรือไปได้โข หลังจากถามถึงรายละเอียดของตำแหน่งที่ตั้งแล้ว เขาก็ตัดสินใจจะไปสะสางเรื่องนี้ก่อน

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงรวมกลุ่มกันเดินทางอย่างเป็นทางการ หลังจากเติมยาฟื้นพลังพร้อมสรรพแล้ว ครุโฬก็จงใจซื้อทวนกับโล่เพิ่ม

พอออกจากประตูเมืองด้านตะวันตก เฉินเฟิงก็ถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า

“แปลกจัง ทำไมฉันถึงหาที่ที่นายบอกมาเมื่อกี้ในแผนที่ไม่พบล่ะ ?”

ครุโฬหัวเราะ “หึหึ แผนที่ที่ซื้อในเมืองน่ะจะบอกแค่สถานที่ใหญ่ๆ เท่านั้นแหละ สถานที่อื่นนอกเหนือจากนี้ต้องอาศัยรับฟังข่าวสารเอาเองขอรับ ฉายารู้สารพัดของฉันน่ะไม่ใช่ของเก๊หรอกนะ !”

เฉินเฟิงนึกถึงสถานที่หลายแห่งอย่างป้อมข้ามทะเลทรายเอย ถ้ำสามคูหาสุดบูรพาเอย ว่าก็ไม่มีระบุอยู่ในแผนที่ทั้งนั้น ถึงค่อยเข้าใจ

แต่ชื่อสถานที่มันคนละเรื่องกับเบาะแสร่องรอยของสัตว์อสูรตระกูลสุนัขป่า ที่เฉินเฟิงไม่เข้าใจคือ เขาพลิกดูหนังสือคู่มือสัตว์อสูรจนหมดเล่มแล้ว ไม่เห็นจะมีข้อมูลเกี่ยวกับสุนัขป่าในทวีปกู่ย่าเลยสักนิด แถมดูจากระดับของครุโฬในตอนนี้ น่าจะไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนถึงจะถูก ?

เฉินเฟิงที่ไม่คิดจะเก็บคำถามไว้ในใจให้ตัวเองต้องอึดอัดหยิบคู่มือสัตว์อสูรออกมาถามทันทีว่า

“ฉันพลิกหาในหนังสือเล่มนี้อยู่ตั้งนาน ไม่เห็นจะเจอเลยว่าที่เทือกเขาเศียรมังกรมีหมาป่าอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าฉันสงสัยหรอกนะ แต่นายเคยไปที่นั่นมาแล้วจริงๆ หรือ ?”

ครุโฬตอบว่า “หึหึ นายนี่รอบคอบจริงๆ ! ความจริงฉันแค่พบเข้าโดยบังเอิญเท่านั้น มีอยู่หนหนึ่งตอนฉันไปเอาน้ำพุเศียรมังกร แล้วเผลอหลงทาง ถึงได้ไปพบเข้าโดยบังเอิญ ฉันรับประกันได้เลยว่าตอนนี้คนที่รู้จักสถานที่นั้นมีแค่ไม่เกินสิบคนเท่านั้น !”

พอได้ยินคำว่าน้ำพุเศียรมังกร เฉินเฟิงก็นึกออกว่าทำไมตอนที่ครุโฬพูดถึงเทือกเขาเศียรมังกร เขาถึงได้ตงิดๆ เหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก มาตอนนี้เขานึกออกแล้วว่ามันคือไอเท็ม ๑ ใน ๔ อย่างที่ใช้ผลิตน้ำยาสีเขียว จึงถามอย่างดีใจว่า

“นายเคยทำน้ำยาสีเขียวมาก่อนหรือเปล่าน่ะ ? คิดไม่ถึงเลยว่านายก็สนใจเรื่องสร้างไอเท็มเหมือนกัน !”

พอได้ยินคำว่าทำน้ำยาสีเขียว ครุโฬก็เงียบไปพักหนึ่ง แล้วตอบว่า

“ยังทำไม่สำเร็จเลย เพราะฉันไม่กล้าเข้าไปในหุบเขามรณะ เลยยังขาดวัตถุดิบบางอย่างอยู่ นึกไม่ถึงว่านายจะสนใจเรื่องสร้างไอเท็มเหมือนกัน ฉันน่ะอยากจะเป็นช่างฝีมือ ถึงได้ยังไม่ยอมเข้าสมาคมไหนทั้งนั้น จริงสิ ได้ยินว่านายเองก็ปฏิเสธไม่ยอมเข้าสมาคมไหนเหมือนกัน บอกได้ไหมว่านายอยากจะเล่นอาชีพอะไร ?”

เฉินเฟิงงงไปชั่วครู่ แล้วพูดว่า

“ความจริงตอนแรกฉันเองก็คิดว่าเลือกอาชีพได้แค่อาชีพเดียวเหมือนกัน เลยเคยคิดอยู่นานว่าจะเล่นอาชีพไหนดี ต่อมาพอรู้ว่าเล่นได้หลายอาชีพ ก็ไม่ได้สนใจปัญหานี้อีกเลยน่ะ”

ครุโฬโพล่งเสียงหลง

“นายว่าอะไรนะ ?!”

เฉินเฟิงถึงกับสะดุ้ง แต่ก็บอกซ้ำไปอีกครั้งว่า

“ฉันบอกว่าสามารถจะมีอาชีพได้หลายอาชีพ ก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเน้นอาชีพไหนดี”

ครุโฬมองเฉินเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วรัวคำถามเกี่ยวกับการได้อาชีพติดๆ กันทันที ส่วนเฉินเฟิงก็บอกเหตุการณ์ตอนที่เขาได้อาชีพให้อีกฝ่ายรู้จนหมดเปลือกอย่างไม่มีการปิดบัง

ครุโฬเอาแต่ขอบคุณที่เฉินเฟิงบอกข่าวนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะพอรู้แบบนี้แล้ว เขาก็สามารถจะสุ่มเลือกอาชีพไหนสักอาชีพไปก่อนได้

เขาเองค้างเติ่งอยู่ที่ระดับ ๓๐ นี้มานาน และมีสถานที่หลายแห่งที่ไม่ยังกล้าเข้าไปลองสำรวจเพราะระดับยังต่ำเกินไป แต่จะให้ได้อาชีพที่ตัวเองไม่ชอบ เขาก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน ทำให้ต้องกลุ้มกับปัญหานี้มาพักใหญ่ เขายังเคยคิดจะเลิกเล่นเกมราชาแห่งราชันเพราะหาเบาะแสของอาชีพช่างฝีมือไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่ของเขาคลี่คลายแล้วในที่สุด

หลังจากนั้นทั้งสองก็แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับทักษะของอาชีพที่ต่างฝ่ายต่างได้มาไปตลอดทาง จนมาถึงทางเข้าเทือกเขาเศียรมังกรโดยไม่รู้ตัว

ส่วนสัตว์อสูรที่ได้พบในระหว่างทาง ทั้งสองต่างไม่มีโอกาสได้ลงมือ เพราะเดินทางโดยใช้ทางหลวงซึ่งมีสัตว์อสูรน้อยมากอยู่แล้ว บวกกับอู้คงไม่รู้ไปกินยาผิดแต่ใดมา สัตว์อสูรตัวไหนก็ตามที่ขวัญกล้าบังอาจโผล่มาขวางทางเป็นโดนมันทุบดับอนาถไปหมดทุกตัว ทำเอาสองหนุ่มที่คิดจะลองจับสัตว์เล็กสัตว์น้อยมาทดสอบทักษะเสียหน่อยหมดโอกาสไปเลย แต่พอพูดถึงเรื่องทักษะอาชีพ ทั้งสองก็มีเรื่องจะคุยกันไม่จบไม่สิ้นอยู่พอดี จึงปล่อยให้อู้คงทำไปตามใจชอบ

 

เทือกเขาเศียรมังกรเป็นสาขาหนึ่งของเทือกเขามังกรขนดเช่นกัน แต่ทางเข้าไม่ได้อันตรายอย่างทางเข้าเทือกเขาหางมังกร ตำแหน่งของเทือกเขาเศียรมังกรอยู่ทางตะวันตกสุดของทวีปกู่ย่า บริเวณเทือกเขามีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ชื่อว่า “เมืองเขี้ยวมังกร” (หลงหยาเฉิง) ทางเข้าเทือกเขาอยู่ทางตะวันออกของเมือง ห่างจากตัวเมือง ๑๐ กิโลเมตร

หลังจากทั้งสองมาถึงสถานที่เป้าหมายในสภาพมอมแมมฝุ่นจับไปทั้งตัว เฉินเฟิงก็ถูกทิวทัศน์ตรงหน้าดึงดูดเข้าให้ทันที

ตรงหน้าคือหุบเขาที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น มีเสียงมังกรร้องคำรามดังกึกก้องมาเป็นระยะๆ บวกกับพายุเฮอร์ริเคนในหุบเขาที่โหมพัดแรงอยู่ตลอดเวลา ทำเอาเฉินเฟิงอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วจะข้ามไปยังไงกันล่ะนี่ ?

ครุโฬยกมือขวาขึ้นดูเวลา แล้วพูดว่า

“พี่เฟิง ที่นี่คือหุบเหวซ่อนมังกร (เฉียนหลงเยวียน) ที่ฉันเคยบอกไว้ ถ้าลงไปข้างล่างจะเป็นเหมือนหุบเขามรณะ คือไม่สามารถใช้ม้วนคาถากลับบ้านได้ แต่ไม่มีใครเข้าไปในเทือกเขาเศียรมังกรจากทางนี้กันหรอก นอกจากว่าจะมีปีกบินไปได้ หรือไม่ก็เก่งพอจะสู้กับมังกรพิภพที่ก้นเหว ไม่อย่างนั้นถึงเนินจมูกสิงห์ที่เป็นทางเข้าเทือกเขาเศียรมังกรของจริงจะมองเห็นรำไรแค่ไม่ถึงสามกิโลเมตรข้างหน้า ก็เหมือนห่างกันสุดขอบฟ้าโน่นแหละ คือได้แต่มองอย่างเดียว หมดปัญญาจะไปให้ถึง”

“แล้วเราจะผ่านไปยังไงล่ะ ? นายบอกว่าหมาป่าอยู่ในหุบเขาไม่ใช่เหรอ ?” เฉินเฟิงถาม

“ผู้น้องก็ต้องรู้เส้นทางอื่นน่ะสิ !” ครุโฬตอบ แล้วชี้ไปยังตำแหน่งเหนือหุบเหวซ่อนมังกร ห่างจากจุดที่ยืนกันอยู่ไกลออกไปทางซ้ายและขวา “ที่ที่พวกเรายืนอยู่ในตอนนี้มีชื่อเรียกว่า ปากลา พี่มองเห็นเส้นสีดำๆ เหมือนเถาวัลย์พาดผ่านหุบเหวพวกนั้นหรือเปล่า ? เจ้านั่นจะมีอยู่ทางซ้ายกับทางขวาด้านละสามเส้นสมมาตรกันพอดี ในแผนที่ไม่มีบอกไว้อีกเหมือนกัน แต่ทุกคนต่างก็เรียกมันว่า ทางหนวดมังกร

“ในแต่ละวันจะมีอยู่สามช่วงเวลาที่ลมพายุจะมารวมตัวกันอยู่ที่ปากลานี่ โดยแต่ละครั้งจะกินเวลานานประมาณหนึ่งชั่วโมง มีแต่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะฉวยโอกาสข้ามผ่านทางหนวดมังกรไปได้”

หลังจากพยายามเพ่งมองจนสุดสายตาก็ยังมองไม่เห็น เฉินเฟิงได้แต่หยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องดู ค่อยมองเห็นถนนที่ชื่อว่าทางหนวดมังกร พอนึกถึงว่าตัวเองต้องเดินไปบนทางนั้น ขาก็พาลจะสั่นขึ้นมาทันที

ครุโฬทำหน้าที่มัคคุเทศก์อธิบายต่อไปว่า

“ทางหนวดมังกรหกสายนี้ ผู้น้องเคยไปมาแค่สามสาย เส้นทางด้านขวาเส้นที่หนึ่งกับสองข้ามไปได้ง่ายที่สุด ผู้เล่นส่วนใหญ่จะไปรวมกันอยู่ที่นั่น แต่ถ้าจะไปหุบเขาที่ผู้น้องค้นพบ พวกเราก็ต้องใช้เส้นทางด้านซ้ายเส้นที่สาม แต่ลำพังเราสองคนคงผ่านสัตว์อสูรเฝ้าทางไปไม่ได้ง่ายๆ แน่ วันนี้ท่าจะไม่มีโอกาสข้ามไปซะแล้ว เดี๋ยวเราไปที่เมืองเขี้ยวมังกรจ้างพวกทหารรับจ้างกันก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยข้ามไปกันดีไหม ? ขอแค่ผ่านสัตว์อสูรเฝ้าทางไปได้ จะเข้าไปลึกกว่านี้ก็ไม่ยากแล้วล่ะ”

เดิมทีทั้งสองตกลงกันแล้วว่าจะเลิกเรียกกันว่าพี่ท่านกับผู้น้อง แต่ทั้งคู่ต่างถูกชะตากันแต่แรกพบ แถมยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ จึงเกิดความคิดอยากสาบานเป็นพี่น้องกัน หลังจากต่างฝ่ายต่างถามอายุกันแล้ว ค่อยรู้ว่าเกิดปีเดียวกันเสียด้วย ถึงครุโฬจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ความจริงอ่อนกว่าเฉินเฟิงอยู่หลายเดือน

พอเฉินเฟิงที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับบรรยากาศของหุบเหวซ่อนมังกรได้ยินครุโฬบอกว่าจะจ้างทหารรับจ้าง ก็ถามงงๆ

“น้องครุฑ มีอาชีพทหารรับจ้างด้วยเหรอ ? แล้วสัตว์อสูรที่เฝ้าทางเก่งมากเลยหรือ ? ทำไมต้องจ้างทหารรับจ้างมาช่วยด้วยล่ะ ?”

ครั้นเห็นเฉินเฟิงจมดิ่งกับทิวทัศน์ข้างหน้าอีกแล้ว ครุโฬที่ชักจะชินก็หัวเราะเบาๆ เพราะถึงเส้นทางช่วงนี้จะไม่ยาวมากเท่าไร แต่เฉินเฟิงที่เพิ่งจะได้เห็นสภาพภูมิประเทศแบบนี้เป็นครั้งแรกก็มีอาการเคลิบเคลิ้มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้มาตลอดทาง

“พี่เฟิงเอ๋ย ใจลอยอีกแล้วหรือ ? ผู้น้องเพิ่งจะบอกไปหยกๆ ว่าถึงระดับของสัตว์อสูรที่เฝ้าทางหนวดมังกรแต่ละสายจะไม่สูงมาก แต่ปริมาณมันเยอะ อย่างน้อยก็ ๔๐ - ๕๐ ตัวขึ้นไปโน่นแหละ ! กำลังของเราสองคนในตอนนี้น่ะ คิดจะผ่านพวกมันไปให้ได้ภายในหนึ่งชั่วโมงคงไม่ง่ายแน่ แล้วถ้าเกินหนึ่งชั่วโมง พายุเฮอร์ริเคนในหุบเหวจะเริ่มพัดอีกครั้ง ถึงตอนนั้นต่อให้ระดับสูงแค่ไหน ก็มีแต่ต้องถูกพัดร่วงตกลงไปข้างล่างสถานเดียว”

เฉินเฟิงแลบลิ้นอย่างตกใจ แล้วพูดเจื่อนๆ

“แหะๆ...ขอโทษที ตอนอยู่ในโลกภายนอกฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่เหมือนตอนอยู่ในนี้เท่าไหร่น่ะ ดังนั้นทุกที่ก็เลยดูน่าสนใจไปหมด ! ทหารรับจ้างใช้อาวุธอะไรหรือ ? พวกนั้นเก่งหรือเปล่า ? แล้วต้องจ่ายค่าจ้างเท่าไหร่ ?”

ครุโฬส่ายหน้าช้าๆ นำทางเฉินเฟิงมุ่งหน้าไปยังเมืองเขี้ยวมังกรพลางตอบว่า

“ถ้าพี่อยากเที่ยว มีหรือจะไม่มีโอกาสได้เที่ยว ? เพราะหลังจากนี้เราคงได้มาที่นี่กันบ่อยๆ อยู่แล้ว พี่อย่าลืมสิว่ามีแต่ที่นี่เท่านั้นที่มีน้ำพุเศียรมังกรน่ะ ! ทหารรับจ้างไม่ใช่อาชีพใดอาชีพหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มที่เกิดจากผู้เล่นหลากหลายอาชีพมารวมตัวกัน จำนวนคนมีตั้งแต่กลุ่มเล็กๆ ที่มีสมาชิกแค่ ๔ - ๕ คนไปจนกระทั่งกลุ่มใหญ่ที่มีสมาชิกกว่า ๑๐๐ คน

“ส่วนใหญ่แล้วอย่างน้อยในแต่ละกลุ่มจะมีจอมเวทหนึ่งคน มือธนูหลายคน และนักดาบที่ถือโล่ ปกติพวกนี้จะรับจ้างเป็นการเฉพาะกิจเท่านั้น เพราะมีอยู่แค่ไม่กี่ที่ที่จำเป็นต้องใช้พวกเขา แต่หัวหน้าขบวนทหารรับจ้างแต่ละขบวนจะมีระดับของชื่อเสียงอยู่ ได้ยินว่าต่อไปอาณาจักรของระบบอาจจะเชิญพวกนี้ไปทำหน้าที่โจมตีหรือคุ้มครอง ถึงตอนนั้นระดับของขบวนทหารรับจ้างจะเป็นตัวกำหนดมาตรฐานของราคาค่าจ้าง แต่ตอนนี้เรื่องนั้นก็ยังเป็นแค่ข่าวลือเฉยๆ

“หัวหน้าขบวนทหารรับจ้างสามารถสะสมคะแนนผ่านการรับจ้างคุ้มครองผู้เล่นได้ หลังจากปฏิบัติภารกิจสำเร็จ คะแนนก็จะเพิ่มขึ้น ยิ่งระดับของชื่อเสียงสูงมากเท่าไหร่ ราคาค่าจ้างก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น ถ้าเราจะจ้างทหารรับจ้างกรุยทางให้ ราคาค่าจ้างในตอนนี้ก็ประมาณ ๓,๐๐๐ เหรียญเงิน ถ้าผ่านทางหนวดมังกรไปแล้วหาน้ำพุไม่เจอ ก็ขาดทุนสถานเดียว”

“สามพันเหรียญเงิน อืมม์ ก็ไม่ถูกเท่าไหร่นะ แล้วในเมื่อพวกเขามีกำลังจะผ่านพวกสัตว์อสูรเฝ้าทางไปได้ อย่างนั้นทำไมถึงไม่ข้ามไปหาน้ำพุเอาเองล่ะ แถมยังจะพาคนอื่นข้ามไปให้ต้องเพิ่มตัวหารส่วนแบ่งอีกต่างหาก ?” เฉินเฟิงสงสัย

ครุโฬตอบว่า “ทหารรับจ้างจะไม่คุ้มครองพวกเราไปจนกระทั่งหาน้ำพุพบหรอกนะพี่ เงิน ๓,๐๐๐ เหรียญน่ะแค่จ้างพวกเขาคุ้มครองเราผ่านพวกสัตว์อสูรที่เฝ้าทางหนวดมังกรเท่านั้น พอผ่านทางหนวดมังกรไป ต่างคนต่างก็ต้องอาศัยกำลังของตัวเองแล้วล่ะ พวกเขาเองก็จะร่วมหาน้ำพุด้วยเหมือนกัน

“ก่อนที่ฟ้าจะมืด ถ้าผู้เล่นทุกคนที่ข้ามไปฟากโน้นยังหาน้ำพุไม่เจอ หรือมาที่เนินจมูกสิงห์ไม่ทัน ก็จะพากันใช้ม้วนคาถากลับบ้านถอยกลับก่อนที่หมอกจะลง ถ้ายืนกรานไม่ยอมถอยกลับละก็ ฟังว่าการถูกพวกสัตว์อสูรที่ออกมาตอนกลางคืนฆ่าตายในพริบตาถือเป็นเรื่องปกติ ถึงตอนนั้นคิดจะถอยกลับก็ไม่ทันแล้ว”

เฉินเฟิงเกาศีรษะ ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ผู้เล่นที่ข้ามไปฝั่งนั้นมีน้อยมากหรือ ? ทหารรับจ้างพวกนั้นก็เป็นแค่ผู้เล่นธรรมดาเหมือนกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องเสียเงินไปจ้างเลยนี่ !”

“ผู้เล่นที่ไม่อยากเสียค่าจ้างให้ทหารรับจ้างก็ไปรวมกันอยู่ที่ทางหนวดมังกรด้านขวาเส้นที่หนึ่งกับสองไงพี่ ! มันเป็นธรรมเนียมที่รู้กันโดยไม่มีลายลักษณ์อักษรของทางหนวดมังกรนี้ แน่นอนว่าหากเพื่อนในกลุ่มมีมากพอ ก็สามารถจะลองไปบุกทางเส้นอื่นได้ แต่ต้องข้ามผ่านไปในช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงแรกที่พายุลดกำลังลงเท่านั้น และถ้าคิดจะข้ามตามหลังพวกทหารรับจ้างไปล่ะก็ จะถูกทหารรับจ้างทั้งหมดไล่ฆ่าทันที เพราะการทำแบบนั้นเท่ากับว่าไปขวางทางทำมาหากินของพวกเขาเห็นๆ” ครุโฬตอบ

เฉินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“ยังไงๆ ก็อดรู้สึกไม่ได้อยู่ดีว่าทหารรับจ้างพวกนี้ขี้โกงเกินไป เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ดินส่วนตัวของพวกเขาสักหน่อย !”

ครุโฬหัวเราะ “พวกเขาน่ะถือว่าดีมากแล้วนะ เพราะยังให้โอกาสผู้เล่นคนอื่นๆ ได้ทดลองก่อนครึ่งชั่วโมง พวกธุรกิจผูกขาดทั้งหลายมันก็ขี้โกงสุดๆ แบบนี้กันทั้งนั้นแหละ จริงสิ เรายังต้องเข้าเมืองไปเตรียมเครื่องป้องกันพิเศษบางอย่างอีก แล้วก็ครั้งนี้สัตว์เลี้ยงสามตัวของพี่จะตามไปด้วยไม่ได้นา เพราะพวกมันข้ามทางหนวดมังกรไปไม่ได้แน่”

“อะไรกัน ! ก็ไหนนายบอกว่าพายุจะลดกำลังลงไง แล้วทำไมถึงจะข้ามไปไม่ได้ล่ะ ?”

ครุโฬตอบว่า “มันลดกำลังลงก็จริง แต่ก็ยังแรงมากอยู่ดี ถ้าไม่มีไอเท็มรองเท้าบู้ทพลังร้อย ก็จะผ่านไปได้ลำบากมาก แล้วมันไม่มีไอเท็มเพิ่มน้ำหนักสำหรับให้สัตว์เลี้ยงใช้ พวกมันก็เลยหมดโอกาสตามไปด้วยไง ! เดี๋ยวพอถึงเวลา พี่ก็จะรู้เองว่าเพราะอะไร”

เมื่อเข้าไปในเมืองเขี้ยวมังกร ครุโฬก็พาเฉินเฟิงมุ่งหน้าไปที่ร้านขายไอเท็มเครื่องป้องกันทันทีอย่างเจนทาง

อ็อตโต เถ้าแก่ร้านขายไอเท็มเครื่องป้องกันดูจะคุ้นเคยกับครุโฬดี พอเห็นครุโฬพาลูกค้ามาหา ก็รีบต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที

เฉินเฟิงลองสวมบู้ทพลังร้อยที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ ราคาคู่ละ ๕๐๐ เหรียญเงิน พลังป้องกันมีแค่ ๒๐ จุด ถ้าไม่เพราะมันมีคุณสมบัติพิเศษ ราคาขนาดนี้คงไม่มีใครยอมซื้อแน่ พอลองออกแรงยกเท้าดู ก็ยกขึ้นได้แค่ไม่เกิน ๒๐ เซนติเมตร ทั้งที่พยายามสุดกำลังอยู่พักใหญ่จนหอบแฮ่ก แต่น่าประหลาดตรงที่ถ้าแค่เดินเฉยๆ จะไม่เป็นอุปสรรคอะไร ทำให้เฉินเฟิงต้องถอนใจด้วยความทึ่ง เพราะถ้าไม่มีครุโฬนำทาง อย่างเขาคิดให้ตายก็ไม่มีทางซื้อรองเท้าบู้ทคู่นี้แน่

เฉินเฟิงค่อยมาทราบในภายหลังว่า ถ้าไม่มีบู้ทคู่นี้ โอกาสข้ามทางหนวดมังกรไปได้อย่างปลอดภัยจะมีแค่ไม่ถึง ๒๐% เท่านั้น !

พายุเฮอร์ริเคนที่อ่อนกำลังลงก็ยังแรงตั้งระดับ ๘[1] ส่วนกำลังแรงของพายุเฮอร์ริเคนปกติได้ยินว่าแรงถึงระดับ ๒๐ นั่นคือถึงจะมีบู้ทพลังร้อยคู่นี้ ก็ต้องถูกพัดปลิวละลิ่วอยู่ดี กว่าจะสืบจนรู้ความลับนี้ได้ ครุโฬต้องทดลองล้มเหลวไปถึง ๗ - ๘ ครั้ง และจ่ายค่าตอบแทนไปมากโข เพราะเรื่องพวกนี้เป็นความลับที่บรรดาทหารรับจ้างใช้หากินทั้งนั้น ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้ได้ง่ายๆ

เมืองเขี้ยวมังกรเป็นฐานหลักของนักฝึกสัตว์ หลังจากได้ฟังประสบการณ์ของเฉินเฟิงในหลายวันมานี้แล้ว ครุโฬก็สนอกสนใจเรื่องเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทีละหลายตัวมาก ยังไงๆ วันนี้ก็ข้ามทางหนวดมังกรไม่ทันแล้ว จึงตัดสินใจพาเฉินเฟิงเดินเล่นในเมืองแทน แถมยังไปที่ร้านขายอาวุธเพื่อซื้อแส้โดยเฉพาะ แล้วเลือกซื้อแส้มาหนึ่งเส้น

สุดท้ายทั้งสองไปที่ร้านอาหาร แล้วจ้างขบวนทหารรับจ้างที่ชื่อว่าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ สมาชิกในขบวนมีแค่ ๗ คน ครุโฬต่อราคาอยู่พักใหญ่ค่อยขอลดราคาจนเหลือ ๒,๕๐๐ เหรียญเงินได้ จากนั้นก็อยู่คุยกันต่อจนฟ้าเกือบสาง ทั้งสองถึงค่อยเอาสัตว์เลี้ยงไปฝากที่โรงรับฝากสัตว์เลี้ยง แล้วเดินไปยังทางหนวดมังกรฝั่งซ้ายเส้นที่สามกัน

เฉินเฟิงไม่ได้เดินด้วยขาของตัวเองมานานมากแล้ว ระยะทางสั้นๆ แค่ ๑๐ กิโลเมตร ทั้งสองเดินมาเกือบหนึ่งชั่วโมง ยังเพิ่งจะมาได้แค่ครึ่งทาง

เฉินเฟิงพูดปนหอบ “แหะๆ ! ขี่ม้ามาจนชิน คิดไม่ถึงว่าทางสั้นๆ แค่ห้ากิโลดันเดินซะหอบขนาดนี้ได้ น้องครุฑนี่เก่งจริงๆ ! ไม่หอบเลยสักนิด ดูท่าต่อไปฉันคงต้องลดๆ การขี่ม้าลงหน่อยซะแล้ว ไม่งั้นเรี่ยวแรงคงหดหายหมด”

ครุโฬหัวเราะ “มีม้าให้ขี่ก็ต้องขี่ เป็นคำขวัญประจำใจของพี่ไม่ใช่หรือไง ? ความจริงที่ฉันเดินสบายน่ะไม่ใช่เพราะเดินจนชินหรอก พี่ลืมแล้วหรือว่ามีไอเท็มชนิดหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการเดินได้ ? ความลับอยู่ที่เท้าของฉันนี่ !”

เฉินเฟิงทำหน้างง แล้วก้มลงดูรองเท้าของครุโฬ จากนั้นโพล่งขึ้นว่า

“แปลกแฮะ ทำไมรองเท้าของน้องครุฑดูคุ้นตาจัง ?”

“พี่ล้อฉันเล่นหรือเปล่า ? รองเท้าบู้ทนี้ฉันว่าพี่เองก็น่าจะเคยได้มานะ มันคือไอเท็มที่หมาป่าสีเทาแห่งทุ่งหญ้าหม่างให้ไงเล่า ถึงพลังป้องกันจะมีแค่ ๑๕๐ จุด แต่มีคุณสมบัติเสริมคือช่วยเพิ่มความเร็วในการเดินได้ ๑๐% พอสวมมันแล้วจะเดินสบายขึ้นมาก เหมือนมีลมช่วยดันอยู่ข้างหลังอีกแรง หรือพี่ไม่เคยสวมมาก่อน ?”

เฉินเฟิงคุ้ยเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้แล้วหยิบรองเท้าบู้ทหนังที่ถูกลืมทิ้งอยู่ก้นเป้มานานนมออกมา เนื่องจากเขายังไม่มีเวลาไปตั้งแผงลอย จึงยังมีรองเท้าบู้ทนี้เหลือทิ้งอยู่ในเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้หลายคู่ เขาสวมรองเท้าบู้ทพลางพูดตอบว่า

“ตั้งแต่ตอนเริ่มเล่นเกม ฉันก็ใส่ชุดเกราะไพธอนแดงนี่มาตลอด ยังไม่เคยเปลี่ยนไปสวมเครื่องป้องกันชนิดอื่นเลย แล้วตั้งแต่ตอนที่เพิ่งจะเริ่มเป็นมือใหม่ได้ไม่นาน ซวงเว่ยก็อยู่กับฉันแล้ว เลยไม่ค่อยได้เดินเท้าเท่าไหร่ แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันต่างกันมากขนาดนั้น

“ชุดเกราะไพธอนแดงนี่มันมีมาเป็นชุด ถ้าเปลี่ยนชิ้นใดชิ้นหนึ่งไป พลังป้องกันจะลดลงอย่างน้อย ๑,๐๐๐ จุด ดังนั้นพอฆ่าสัตว์อสูรได้ไอเท็มเครื่องป้องกันชิ้นไหนมา หลังจากปลดผนึกเสร็จฉันก็โยนลงเป้หมดแหละ ไม่เคยแม้แต่จะลองใช้ดูด้วยซ้ำ”

ครุโฬยิ้มจืดๆ “คงมีแต่คนจนๆ อย่างพวกฉันเท่านั้นมั้งที่เห็นมันเป็นของวิเศษ พี่นี่ต่างกับคนอื่นมาตั้งแต่เริ่มเล่นเลยนะ ผู้น้องเลยแสดงความทุเรศไปซะแล้ว เครื่องป้องกันทั้งหมดที่ผู้น้องสวมอยู่ตอนนี้มีพลังป้องกันรวมแล้วแค่ ๑,๕๐๐ จุดเท่านั้น ถ้าต้องลดลงไปตั้ง ๑,๐๐๐ จุดละก็ มีหวังโดนสัตว์อสูรกัดไม่ถึงสองทีก็ม่องแล้ว ถ้าสวมบู้ทนี้แล้วทำให้พลังป้องกันลดลงไป ๑,๐๐๐ จุด ผู้น้องเองก็ยอมเดินช้าลงหน่อยเหมือนกันแหละ”

ในที่สุดเฉินเฟิงก็เข้าใจว่าทำไมหลังจากที่ได้อาชีพนินจา พวกเซียวหยาวถึงเอาแต่สวมชุดนินจาสีดำตลอด ทั้งที่สวมผ้าพันศีรษะนั่นแล้วอึดอัดจะตาย ที่แท้ก็เพราะพลังป้องกัน ๓,๐๐๐ จุดถือว่าสูงมากแล้วนี่เอง เฉินเฟิงหลงนึกว่าพลังป้องกันของทุกคนต่างก็พอๆ กันเสียอีก เรื่องที่เขาเคยสงสัยก่อนหน้านี้ มาตอนนี้เขากระจ่างแล้ว

ก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นวิหารจันทราเทพขยันใช้ยาฟื้นพลังถี่มาก เขาก็หลงนึกว่าเธอแค่กลัวเจ็บเสียอีก แถมยังนึกเสียดายเงินแทน ดูท่าเขาจะเข้าใจเธอผิดไปซะแล้ว

หลังจากเปลี่ยนมาสวมรองเท้าบู้ทหนัง ทั้งสองก็เดินเร็วขึ้นมาก แต่กลับไม่ได้คุยอะไรกันอีก

ครุโฬมีท่าทางซึมๆ ส่วนเฉินเฟิงกำลังคิดว่าจะช่วยครุโฬหาเครื่องป้องกันที่มีพลังป้องกันสูงกว่า ๓,๐๐๐ จุดยังไงดี

ระยะทาง ๕ กิโลเมตรที่เหลือ ทั้งสองใช้เวลาเดินแค่ไม่ถึง ๑๕ นาทีเท่านั้น เห็นข้างหน้ามีคนยืนอยู่ ๗ คน มีทั้งหญิงและชาย แล้วหญิงสาวที่สวมชุดจอมเวทสีฟ้าก็ก้าวออกจากกลุ่มมาต้อนรับทั้งสอง



[1] ลมระดับ ๘ : ความแรงลมระดับ ๘ คือลมที่มีความเร็ว ๖๓ - ๗๕ กิโลเมตร/ชั่วโมง การแบ่งระดับความแรงของลมโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น ๑๒ ระดับ โดยที่ลมซึ่งมีความเร็วน้อยกว่า ๒ กิโลเมตร/ชั่วโมง จะจัดอยู่ในระดับ ๐ และลมที่มีความเร็ว ๑๑๘ กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งก็คือพายุระดับพายุไต้ฝุ่น จัดอยู่ในระดับ ๑๒


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:29 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:42

0 ความคิดเห็น