หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๑ ความตาย

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:17

ตอนที่ ๑

 

ความตาย

 

 

สีหน้าของหัวหน้าขบวนนักเวทและสัตว์เปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที แต่ยังคงพูดอย่างมีมรรยาทว่า

“พวกเราปฏิบัติภารกิจล้มเหลว จึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรคุณถึงจะยอมรับได้คะ ?”

ครุโฬเองก็สะดุ้งกับคำตอบของเฉินเฟิง เงื่อนไขที่คมพิรุณเสนอมากล่าวได้ว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว เขากังวลก็แต่เรื่องที่อาจต้องแบ่งไอเท็มที่ได้จากพวกซากสัตว์ให้ขบวนนักเวทและสัตว์ด้วยเท่านั้น แต่ในเมื่อขบวนนักเวทและสัตว์รับปากว่าจะชดใช้ค่าไอเท็มให้ ดังนั้นจะแบ่งให้ทุกคนหรือไม่ ก็ต้องดูแล้วว่าเฉินเฟิงจะตัดสินใจอย่างไร ด้วยเหตุนี้เขาถึงไม่ได้พูดอะไร ใครจะไปคิดว่าเฉินเฟิงดันไม่ยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายนักเวทและสัตว์เสียได้

ครั้นเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นปั้นยากของคมพิรุณ เฉินเฟิงก็ทราบทันทีว่าเธอเข้าใจเขาผิด จึงรีบพูดว่า

“หัวหน้าคมพิรุณ คุณเข้าใจผมผิดแล้วล่ะครับ ! ภารกิจของพวกคุณคือคุ้มครองพวกผมสองคนข้ามทางหนวดมังกร ตอนนี้พวกผมสองคนก็ข้ามมาได้อย่างปลอดภัยแล้วไงครับ ดังนั้นไม่เห็นจำเป็นต้องคืนเงินค่าจ้างให้พวกผมเลยนี่ ? แค่เรื่องแบ่งไอเท็มที่ได้มาทั้งหมดเป็น ๙ ส่วนเท่าๆ กันก็ไม่ยุติธรรมกับพวกคุณอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีเหตุผลเลยที่พวกคุณจะต้องมาชดใช้ค่าไอเท็มที่ผมใช้ !

“ผมมีเงื่อนไขแค่อย่างเดียว คือเขี้ยวดาบ ๖ อันนั้น อย่างน้อยต้องให้ผม ๑ อัน เพราะผมชอบมันมาก ไม่ทราบว่าได้หรือเปล่าครับ ?” พูดจบก็เอาสัญญาจ้างวานออกมาเซ็นชื่อรับรองว่าภารกิจลุล่วงต่อหน้าทุกคนทันที หลังเซ็นชื่อ สัญญาจ้างวานก็เปล่งแสงวาบแล้วสลายไป

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำเอาอีก ๘ คนต่างตกตะลึงพูดไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ครุโฬก็หัวเราะลั่น

“พี่เฟิง ฉันยอมแพ้พี่เลยจริงๆ ! ในเมื่อพี่ตัดสินใจไม่ถือสา ผู้น้องย่อมจะสนับสนุนการตัดสินใจของพี่อยู่แล้ว หัวหน้าคมพิรุณ พวกคุณก็ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอกครับ วันนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นขบวนทหารรับจ้างขบวนอื่น เราสองคนอาจข้ามทางหนวดมังกรนี่มาไม่พ้นก็ได้ พวกเราทุกคนต่างก็คาดไม่ถึงกันทั้งนั้นว่าจะมาเจอศึกใหญ่ขนาดนี้ วันนี้ถือว่าให้ทุกคนได้คบหาเป็นเพื่อนกันก็แล้วกันครับ ผมได้ประจักษ์กับตาตัวเองแล้วถึงความแข็งแกร่งของขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ หรือทุกท่านจะรังเกียจไม่อยากคบหาเราสองพี่น้องกันครับ ?”

หนังสือจ้างวานก็เซ็นรับรองไปแล้ว ทุกคนต่างก็ได้รับทราบความจริงใจของเฉินเฟิงแล้ว สามนักดาบที่ตอนแรกไม่พอใจอย่างมากเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเฉินเฟิงในทันที ต่างจัดแจงนับพี่นับน้องกับเฉินเฟิงไปเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่รอปฏิกิริยาจากคมพิรุณ

เมื่อมีผู้เปิดทางให้แล้ว คนอื่นที่เหลือจึงพากันแลกเปลี่ยนชื่อของพวกตนกับเฉินเฟิงในช่องเพื่อน

ดวงของทั้ง ๙ ดูท่าจะไม่ค่อยดีนัก ไอเท็มที่ได้มาในครั้งนี้ค่อนข้างน้อยจนเห็นได้ชัด เหรียญเงิน ๑๖,๐๐๐ เหรียญ ม้วนคาถา ๑๐ กว่าม้วน ส่วนเครื่องป้องกัน นอกจากเกราะหนังลายเสือ ๒ ชิ้นแล้ว ก็มีแต่เข็มขัดลายเสือ ๑ เส้น

ความจริงเฉินเฟิงไม่ได้ชอบเขี้ยวดาบอย่างที่บอก เพียงแต่พอคิดถึงว่าถ้าไม่เสนอเงื่อนไขอะไรไปสักอย่าง ทุกคนคงกระอักกระอ่วนกันแย่ ผลกลายเป็นว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ายกเขี้ยวดาบทั้ง ๖ อันให้เฉินเฟิงทั้งหมด ทำเอาเฉินเฟิงไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แถมยังต้องแกล้งทำเป็นดีอกดีใจอีกต่างหากเพื่อไม่ให้ใครๆ รู้ว่าเขาโกหก เรียกว่าเมื่อโกหกไปแล้วก็ต้องโกหกต่อไปให้ถึงที่สุด นอกจากนี้เขายังได้รับแบ่งเงินไป ๒,๐๐๐ กว่าเหรียญเงิน ม้วนคาถา ๓ ม้วน รวมทั้งกระดูกและดีเสือทั้งหมด

เนื่องจากสมาชิกในขบวนนักเวทและสัตว์ทุกคนต่างไม่เคยสะสมซากสัตว์มาก่อน เมื่อได้รับการบอกกล่าวอย่างใจกว้างจากเฉินเฟิงในครั้งนี้ ทำให้ทั้ง ๗ ต่างก็ได้รับข่าวสารในการได้ทักษะใหม่เพิ่มขึ้นมาฟรีๆ ๑ ทักษะ ในวันหน้าทั้ง ๗ ย่อมจะได้รับผลกำไรจากบรรดาสัตว์อสูรที่ปราบได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะคะยั้นคะยออย่างไร ทั้ง ๗ ต่างก็ไม่ยอมรับส่วนแบ่งที่เฉินเฟิงกับครุโฬปันให้ สุดท้ายเมื่อเฉินเฟิงยืนกรานเสียงแข็งเข้า ทั้ง ๗ ค่อยรับเนื้อเสือมากันคนละนิดละหน่อยพอเป็นพิธี

ครุโฬเองหนนี้พลอยได้อาศัยบารมีของเฉินเฟิงทำให้ได้รับเครื่องป้องกันที่ดีที่สุดใน ๓ ชิ้น นั่นคือพวกนักเวทและสัตว์พร้อมใจกันมอบเข็มขัดลายเสือให้เขาอย่างใจกว้าง

แม้เข็มขัดเส้นนี้จะมีพลังป้องกันแค่ ๑๕๐ จุด แต่แถมช่องใส่ไอเท็มให้ถึง ๓๐๐ ช่อง จึงถือเป็นเครื่องป้องกันที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ในที่สุดเฉินเฟิงก็ได้เลื่อนเป็นระดับ ๓๑ ทำให้ได้ทักษะของผู้เลื่อนขั้นเพิ่มมา ๑ ทักษะ นั่นคือ “ทักษะในการใช้ทักษะพิเศษของอาชีพ” และเฉินเฟิงก็รอคอยทักษะนี้มานานมากแล้ว เขาได้ทราบจากตราสัญลักษณ์นินตันก่อนหน้านี้ว่า จะใช้ทักษะพิเศษของอาชีพได้ก็ต่อเมื่อระดับเลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๓๑ ซึ่งจะได้รับทักษะในการใช้ทักษะพิเศษของอาชีพมา นับแต่นี้ไปเฉินเฟิงจะสามารถใช้ทักษะพิเศษได้ชั่วโมงละ ๑ ครั้ง

นอกจากนี้ หลังจากการต่อสู้จบลง ทักษะวิชาดาบ ทักษะช่วยชีวิต และทักษะใช้ยันต์ต่างก็เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ แถมยังมีทักษะเสียสละของนักบวชโผล่มาอีกด้วย ทำเอาเฉินเฟิงอดงงไม่ได้ เพราะโง่ละอายเคยบอกเขาว่า ทักษะนี้มีความเกี่ยวพันกับความตาย แต่เมื่อกี้ไม่เห็นมีใครตายสักคนเลยนี่ ?

หลังจากจัดการกับซากของพวกสัตว์อสูรเสร็จเรียบร้อย ทักษะแยกชนิด ทักษะเตรียมเครื่องปรุง และทักษะเลือกวัตถุดิบต่างก็เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ สุดท้ายหลังจากทุกคนต่างแลกกันใส่ชื่ออีกฝ่ายในช่องเพื่อนเสร็จเรียบร้อย ทักษะตั้งกลุ่มก็เลื่อนขึ้นอีก ๑ ระดับ

กว่าจะเสร็จสิ้นขั้นตอนเหล่านี้ก็เสียเวลาไปถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ หลังจากผ่านทางหนวดมังกรมาแล้ว ตำแหน่งที่ทั้ง ๙ ยืนอยู่เรียกว่า ผาเก้าคด เป็นบริเวณซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างทางหนวดมังกรกับเนินจมูกสิงห์

ครุโฬทำหน้าที่มัคคุเทศก์เอ่ยแนะนำขึ้นว่า

“ทางหนวดมังกรทุกเส้นจะพามาที่ผาเก้าคด หลังจากนั้นจะมีทางผ่าน ๙ สายให้เดินลึกเข้าไปข้างใน ทางแต่ละสายจะมีชีพจรมังกร ๙ แห่ง น้ำพุเศียรมังกรจะปรากฏขึ้นในชีพจรมังกรแห่งใดแห่งหนึ่งเพียงแห่งเดียวของชีพจรมังกรทั้ง ๘๑ แห่งเท่านั้น จุดพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ สุดทางของทางผ่านแต่ละสายจะมีหินสะบั้นมังกรซึ่งหนักเกือบหมื่นจิน[1]อยู่ ดาบกระบี่ไม่สามารถระคายผิวมันได้ และเป็นเหมือนกับน้ำพุเศียรมังกร นั่นคือในแต่ละวันจะมีก้อนเดียวเท่านั้นที่เปิดทางให้ ดังนั้นในแต่ละวันจะมีทางผ่านเพียงสายเดียวเท่านั้นในทางผ่านทั้ง ๙ สายที่สามารถผ่านไปยังเนินจมูกสิงห์ได้”

ฟังถึงตรงนี้ เฉินเฟิงค่อยตระหนักถึงความยากลำบากในการได้น้ำพุเศียรมังกรมา นอกจากต้องมีฝีมือในระดับหนึ่งแล้ว ยังต้องอาศัยดวงด้วย

ทั้ง ๙ ต่างปรึกษากันว่าจะแยกย้ายกันสำรวจทางผ่านยังไงดีถึงจะมีโอกาสได้พบน้ำพุเศียรมังกรโดยที่มีความสามารถมากพอจะรับมือกับเหล่าสัตว์อสูรข้างในได้ด้วย

พวกผู้เล่นที่เคยมาเยือนต่างทราบดีว่าจะอยู่ที่นี่ได้เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น แถมเวลาดันพอแค่ให้เดินสำรวจทางผ่านได้แค่เส้นเดียว หากทั้ง ๙ ไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า ก็จำเป็นต้องแยกย้ายกันไปสำรวจหลายเส้นทาง

แม้เฉินเฟิงกับครุโฬจะมีระดับถึง ๓๐ แล้ว เครื่องป้องกันก็ไม่ได้เลวเกวอะไรนัก แต่หากคิดจะจับคู่กันไปสู้สัตว์อสูรระดับ ๓๕ - ๔๐ ก็ยังฝืนเกินไปอยู่ดี

แต่ครั้งนี้เฉินเฟิงไม่ได้คิดจะมาเอาน้ำพุเศียรมังกร ดังนั้นเมื่อเห็นพวกขบวนนักเวทและสัตว์ต่างปวดศีรษะกับการแบ่งกลุ่ม จึงอดรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้ แต่เนื่องจากหุบเขาลับที่ว่ามีแต่ครุโฬที่รู้จัก แถมครุโฬก็ดันไม่ออกความเห็นอะไรเสียด้วย จึงได้แต่รอดูว่าพวกขบวนนักเวทและสัตว์จะแบ่งกลุ่มกันอย่างไร

สุดท้าย ขบวนนักเวทและสัตว์ส่งหนานอี๋มาสนับสนุนทั้งสอง แล้วที่เหลือ ๖ คนค่อยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม โดยจวงหย่วนจื้อ จวงหมิ่นเจิ้ง กับเฟิงฉิงเป็น ๑ กลุ่ม จวงอานเฟิง อะไรก็ได้ คมพิรุณเป็น ๑ กลุ่ม และตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยว่าจะทำตามธรรมเนียมที่ทำกันมา นั่นคือไม่ว่ากลุ่มไหนหาน้ำพุเศียรมังกรพบ จะต้องแบ่งให้คนในอีก ๒ กลุ่มที่เหลือคนละ ๑ ลิตร

เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการหาน้ำพุ หลังจากนัดกันเรียบร้อยถึงสถานที่นัดพบหลังกลับเข้าไปในเมือง กลุ่มขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๒ กลุ่มก็ออกเดินทางไป

เมื่อเห็นพวกเฉินเฟิงยังไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มออกเดินทาง หนานอี๋ก็ยิ้มพลางถามว่า

“พี่ๆ ทั้งสอง พวกเราจะเลือกทางผ่านเส้นไหนดีคะ ?”

เฉินเฟิงยักไหล่ แล้วชี้ไปที่ครุโฬ

“ต้องถามเขาโน่น ! เขาคือรู้สารพัดนี่ครับ บางทีอาจจะรู้เบาะแสลับอะไรก็ได้ !”

เมื่ออยู่ดีๆ รอบข้างก็เปลี่ยนเป็นสงบเงียบกะทันหัน ครุโฬค่อยรู้สึกตัวว่าเฉินเฟิงกับหนานอี๋กำลังมองเขาอยู่ จึงมองตอบไปอย่างประหลาดใจ หนานอี๋ได้แต่ถามซ้ำอีกครั้งว่าจะเลือกทางผ่านเส้นไหนดี

ครุโฬเช็ดเข็มขัดลายเสือพลางพูดอย่างไม่สนใจ

“ทางไหนก็ได้ทั้งนั้น ผมไม่มีความเห็น !”

เฉินเฟิงจะเป็นลม ดูท่าเจ้าหมอนี่จะลืมจุดประสงค์ในการมาที่นี่ไปเรียบร้อยแล้วแหงๆ จึงส่งข้อความไปหาว่า

“น้องครุฑ ! นายลืมแล้วเหรอว่าพวกเราจะไปที่ไหนกันน่ะหา ?”

ครุโฬทำหน้างงๆ เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัว

“จะไปที่ไหน...ไม่ใช่ว่าจะไปหาน้ำพุกันหรอกเหรอ ? โอ๊ะ ! จริงด้วย ! หวาย...ฉันลืมได้ไงเนี่ย !”

หนานอี๋มองสองหนุ่มพลางถามอย่างงุนงง “พี่ครุฑ พี่ลืมอะไรหรือคะ ?”

ครุโฬเกาศีรษะอย่างกระอักกระอ่วน

“พี่เฟิง ทำไมเมื่อกี้ถึงไม่เตือนฉันล่ะ ? ฉันเลยลืมบอกทุกคนไปเลยว่าพวกเรามาที่นี่กันทำไม”

เฉินเฟิงค้อนขวับ “นายเองไม่ยอมพูด ไอ้ฉันก็นึกว่านายไม่อยากบอกน่ะสิ แล้วฉันจะไปกล้าบอกได้ยังไงไม่ทราบ ? นายดันทำเป็นอมพะนำเองนี่ เชิญแก้ปัญหาเอาเองแล้วกัน”

หนานอี๋ถามอย่างกระวนกระวาย “พี่สองคนมีเป้าหมายอื่นหรอกหรือคะ ? ฉันอยู่ด้วยแบบนี้ทำให้ไม่สะดวกจะพูดหรือเปล่า ? งั้นฉันตามคนอื่นๆ ไปด้วยดีกว่า พี่สองคนจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”

ครุโฬรีบบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นครับน้องหนานอี๋ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ความจริงก็ไม่ใช่ความลับสำคัญอะไรหรอก เรื่องของเรื่องคือพี่เฟิงเขาอยากจะจับหมาป่า ดังนั้นผมถึงได้พาพี่เขามาที่นี่ เมื่อกี้ผมดีใจเกินไปเลยลืมบอกเสียสนิท...มีแต่สวรรค์ที่ทราบว่าผมอยากได้เครื่องป้องกันที่มีช่องใส่ไอเท็มเยอะๆ มานานแค่ไหนแล้ว เข็มขัดลายเสือเส้นนี้เป็นเครื่องป้องกันที่ผมอยากได้มานานมากอย่างนึงเลยแหละ ก็เลย...ก็เลย...”

“ก็เลยใจลอยละลิ่วไปถึงไหนต่อไหนโน่น ใช่มะ ?” เฉินเฟิงต่อคำพูดของครุโฬ แล้วเหวี่ยงเท้าเตะก้นอีกฝ่ายเข้าให้หนึ่งป้าบ ยอมแพ้เจ้านี่เลยจริงๆ ทำเอาเขาหลงกังวลอยู่ตั้งพักใหญ่ !

หนานอี๋ยิ้ม “พี่สองคนอยากจะไปหุบเขามนุษย์หมาป่านี่เอง ! เมื่อกี้ตอนแบ่งเส้นทางกันพวกพี่ไม่ได้บอกกันก่อน แต่โชคดีที่หุบเขามนุษย์หมาป่าอยู่ในทางผ่านที่พวกเราได้แบ่งมาพอดี สมาชิกในขบวนนักเวทและสัตว์ทุกคนรู้จักหุบเขานี่กันทั้งนั้นค่ะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกเราจะได้ไม่ต้องเลือกว่าจะไปทางไหนดี พี่เฟิง ฉันจะเป็นคนนำทางเองค่ะ พี่ก็อย่าไปว่าพี่ครุฑแล้วเลยนะ”

เฉินเฟิงส่งข้อความไปหาครุโฬอีกครั้งว่า

“พี่ครุฑขา พี่บอกไว้ไม่ใช่หรือคะว่าคนที่รู้จักหุบเขานั่นมีแค่ไม่เกิน ๑๐ คน ไหงอยู่ดีๆ ก็โผล่มารวดเดียวตั้ง ๗ คนแน่ะ แล้วอีก ๓ คนที่เหลือเป็นยอดคนจากสารทิศใดกันหรือคะพี่ขา ?”

ครุโฬลูบก้นที่โดนเตะพลางยิ้มแห้งๆ พูดว่า

“อย่างนั้นเชิญน้องหนานอี๋นำทางเถอะครับ” จากนั้นตอบข้อความของเฉินเฟิงว่า “พี่เฟิง ไว้หน้าฉันหน่อยน่าพี่ ! น้องเขาก็อยู่ด้วยนา ผู้น้องยอมรับว่าพูดเวอร์ไปหน่อย รับรองว่าต่อไปไม่กล้าแล้วล่ะ”

เข้าสู่ทางผ่านสายที่ ๓ ทางด้านขวา เฉินเฟิงก็รู้สึกว่าสภาพภูมิประเทศของที่นี่คล้ายกับในหุบเขามรณะมาก เนื่องจากประสบการณ์ในหุบเขามรณะเพิ่งจะผ่านมาสดๆ ร้อนๆ เขาจึงออกปากถามถึงสภาพภายในหุบเขาอย่างละเอียดยิบ

ยังดีที่ที่นี่สามารถใช้ม้วนคาถากลับบ้านได้ และนอกจากเหล่าสัตว์อสูรที่เฝ้าทางหนวดมังกรแล้ว จะไม่พบสัตว์อสูรที่รุมเล่นงานเป็นฝูงอีก ทำให้ค่อยวางใจได้บ้าง

ชีพจรมังกรมีขนาดแตกต่างกันไป บ้างกว้างแค่ครึ่งฟุต บ้างกว้างถึง ๒๐ กว่าฟุต หน้าตาเหมือนปากปล่องภูเขาไฟ มีไอบางๆ ลอยออกมาเป็นระยะๆ

๖ ชั่วโมงของการหยั่งทาง ทั้งสามเดินผ่านชีพจรมังกรมาแล้วทั้งสิ้น ๕ แห่ง น่าเสียดายที่ไม่มีน้ำพุเศียรมังกรเลยสักแห่ง ชีพจรมังกรแต่ละแห่งห่างกันไกลมาก ขนาดทั้งสามต่างก็เร่งจ้ำไม่หยุดเท้า ยังได้เจอแค่ชั่วโมงละแห่งเท่านั้น

ตลอดทางยังพอจะเรียกได้ว่าราบรื่นดี จนเมื่อไปถึงชีพจรมังกรแห่งที่ ๕ ก็เห็นว่าห่างออกไปไม่ถึง ๓๐ เมตรมีชีพจรมังกรแห่งที่ ๖ อยู่ ขณะที่เฉินเฟิงกำลังนึกประหลาดใจ ครุโฬกับหนานอี๋ต่างก็ชะลอฝีเท้าลง

หนานอี๋พูดว่า “พี่เฟิง หุบเขามนุษย์หมาป่าที่พี่จะมาก็คือที่นี่ค่ะ เพราะมันอยู่ตรงกลางระหว่างชีพจรมังกรสองแห่งที่อยู่ใกล้กันมาก จึงถูกพวกผู้เล่นมองข้ามไปได้ง่าย แต่ทหารรับจ้างที่รับจ้างพาผ่านทางหนวดมังกรทุกคนจะรู้จักที่นี่กันแทบทั้งนั้น ไม่ทราบว่าพี่จะจับหมาป่าไปทำอะไรหรือคะ ? ถึงพวกมันจะเคลื่อนไหวได้เร็วเอาการ แต่พลังโจมตีไม่ได้มากมายอะไรเท่าไหร่ แถมสัตว์อสูรที่ถูกจับมาเป็นสัตว์เลี้ยงจะกินจุสุดๆ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่ดีอะไรนักหนาหรอกนะคะ”

เฉินเฟิงถามอย่างสงสัย “น้องหนานอี๋รู้ละเอียดขนาดนี้ หรือน้องจะเคยเลี้ยงหมาป่ามาก่อนครับ ?”

ครุโฬหัวเราะ “พี่เฟิงไม่แปลกใจหรอกเหรอว่าทำไมพวกเขา ๗ คนถึงตั้งชื่อขบวนทหารรับจ้างของตัวเองว่า นักเวทและสัตว์ ?” ครั้นเห็นเฉินเฟิงยังทำหน้างงๆ ครุโฬก็เฉลยให้ทันทีโดยไม่ทำยักท่าว่า “คำว่า สัตว์ คือจุดเด่นอีกอย่างของพวกเขา เพราะสมาชิกแต่ละคนต่างก็มีสัตว์เลี้ยงกันคนละอย่างน้อยหนึ่งตัวทั้งนั้น”

หนานอี๋เสริมว่า “ถ้าไม่เพราะพายุเฮอร์ริเคนบนทางหนวดมังกร พี่เฟิงก็จะได้เห็นฝูงสัตว์เลี้ยงของนักเวทและสัตว์แล้วล่ะค่ะ ฉันน่ะชอบ ‘มือสังหาร’ เสือดาวหิมะของพี่ฝนที่สุด น่าเสียดายที่จับยากเกินไป แล้วระดับของฉันก็ยังไม่สูงพอ ครั้งก่อนพวกเราลำบากกันแทบแย่เชียวค่ะกว่าจะจับ ‘มือสังหาร’ ได้ !”

ครุโฬตกใจ “เสือดาวหิมะ ! หมายถึงเสือดาวหิมะระดับ ๕๐ น่ะหรือ ? แปลว่าระดับของหัวหน้าคมพิรุณอย่างน้อยก็ ๕๐ แล้วน่ะสิ ? เร็วจริงๆ ผมจำได้ว่าตอนที่ได้ข่าวของเธอครั้งก่อน เธอเพิ่งจะเลื่อนขึ้นระดับ ๔๗ ได้แค่ไม่นานเอง...”

เฉินเฟิงสอดขึ้นว่า “ไม่แน่มั้ง ? ก็มีทักษะข่มขวัญไง ! ถึงระดับจะไม่ถึง ก็กำราบสัตว์เลี้ยงที่ระดับสูงกว่าเราได้เหมือนกัน น้องครุฑลืมอู้คงของฉันแล้วหรือ ?”

หนานอี๋ถามอย่างแปลกใจ “ข่มขวัญ ? มันทักษะอะไรหรือคะ ? แล้วมันใช้กำราบสัตว์เลี้ยงที่ระดับสูงกว่าเราได้จริงๆ หรือ ? โอ๊ะ ! ขอโทษทีค่ะ ฉันใจร้อนจนลืมนึกไป แต่ฉันอยากได้เสือดาวหิมะมากจริงๆ นะ ! ตอนนี้ระดับของฉันยังแค่ ๔๒ เอง กว่าจะถึงระดับ ๕๐ ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน”

เฉินเฟิงบอกอย่างใจกว้าง “ทักษะข่มขวัญเป็นทักษะพื้นฐานของผู้เลื่อนขั้นหรือของผู้เริ่มต้น ผมค้นพบทักษะนี้โดยบังเอิญน่ะ ขอแค่จับสัตว์เลี้ยงที่ระดับสูงกว่าตัวเองได้ แล้วเฆี่ยนมันวันละสามเวลาหลังอาหาร จากนั้นขู่ว่าจะฆ่ามันทิ้งทุกวัน มันก็จะยอมสยบอย่างรวดเร็ว”

หนานอี๋ตะลึงไปชั่วอึดใจ แล้วรุกถามต่อว่า “เฆี่ยนวันละสามเวลาหลังอาหารแล้วยังขู่มันอีก ! แบบนั้นไม่กลายเป็นทารุณกรรมสัตว์หรอกหรือคะ ? แล้วต้องทำกี่วันหรือ ? ใช้ได้กับสัตว์ที่ระดับสูงกว่าตัวเองมากที่สุดกี่ระดับคะ ?” ตอนแรกเธอยังตะขิดตะขวงใจที่เผลอหลุดปากถามออกไป แต่พอเห็นเฉินเฟิงตอบคำถามให้อย่างไม่ถือสา ความอยากได้เสือดาวหิมะก็เป็นฝ่ายชนะเหตุผลอย่างราบคาบทันที จึงระดมถามคำถามที่ถือสากันว่าห้ามถามติดๆ กันเป็นกองพะเนินในรวดเดียว

เฉินเฟิงหัวเราะ “ทารุณกรรมสัตว์ ? ก็เหมือนอยู่ล่ะนะ ! ผมใช้เวลา ๓ วันข่มขวัญวานรขนทองที่ระดับสูงกว่าผม ๑๕ ระดับสำเร็จ ส่วนเรื่องที่ว่าจำเป็นต้องมีเงื่อนไขอื่นด้วยหรือเปล่า ตอนนี้ผมเองก็กำลังศึกษาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเธอได้แต่ไปลองดูเอาเองแล้วล่ะนะ !”

หนานอี๋สุดจะตื่นเต้นและตื้นตัน เอาแต่ขอบคุณข้อมูลที่เฉินเฟิงบอกให้ทราบไม่ขาดปาก ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งสามรู้สึกสนิทใจกันเพิ่มขึ้นมาก

ทางเข้าหุบเขามนุษย์หมาป่ากว้างประมาณครึ่งเมตร แถมยังซ่อนอยู่ด้านหลังหัวเลี้ยวแห่งหนึ่ง ทำให้ถ้าไม่สังเกตจะมองข้ามไปได้ง่ายมากจริงๆ

ทันใดนั้นครุโฬกับหนานอี๋ได้กระชับอาวุธเตรียมพร้อมในมือ ทำให้เฉินเฟิงรู้สึกว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น

ในที่สุดก็มาถึงหุบเขาลับในตำนานแล้ว ทั้งสามจะได้เจออะไรต่อไปกันล่ะนี่ ? อาการระวังตัวแจของอีกสองคนทำให้เฉินเฟิงพลอยเครียดเขม็งไปด้วย ดาบซามูไรในมือกำกระชับมั่นขึ้นกว่าเดิม

หลังก้าวเขยิบเข้าไปในหุบเขาแบบเอนข้าง ภาพตรงหน้ากลายเป็นอีกหนึ่งทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยแมกไม้เขียวชอุ่มร่มครึ้ม แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสภาพแห้งแล้งมีแต่สีเทาของทางผ่านผาเก้าคด ในหุบเขานี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีขุนเขาลำธารร่มรื่น ทำให้จิตใจผ่อนคลายลงโดยอัตโนมัติ

บนเนินเขาด้านหน้า กระต่ายขาวและแพะ ๒ - ๓ ตัวกำลังก้มหน้าก้มตากินหญ้าสีเขียวสด ไกลออกไปอีกหน่อย กวางดาวกับยีราฟกำลังแบ่งกันกินยอดอ่อนบนต้นไม้อย่างสงบสุข

เฉินเฟิงระบายลมหายใจ นึกถึงท่าทางเครียดเขม็งของอีกสองคนแล้วไม่เข้าใจเอาเลย เมื่อหันไปมองสองคนนั้นอีกครั้ง ก็พบว่าไม่เพียงแต่ไม่ได้คลายความระมัดระวังลงเท่านั้น กลับดูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ขณะจะออกปากถาม ทันใดนั้นตรงหน้าได้ปรากฏเงาดำหลายสายวาบขึ้นอย่างฉับพลันทันใด

“เช้ง ! เช้ง !”

เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นกะทันหัน ทำเอาเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่เมื่อครู่ยังกินอาหารกันอย่างสงบสุขตกใจวิ่งหนีไปทันที

ขณะที่ไม่มีโอกาสจะออกปากถามเสียแล้วนั่นเอง ครุโฬก็ส่งข้อความมาว่า

“พี่ใหญ่ ม้วนคาถาธาตุความมืด !”

ไม่มีการลังเล แสงสว่างจางๆ แผ่กระจายออกรอบด้านในรัศมี ๒๐ เมตรโดยมีเฉินเฟิงเป็นศูนย์กลางทันที

หลังจากใช้ม้วนคาถานี้ไปที่ทางหนวดมังกร ครุโฬก็ได้บอกคุณค่าของม้วนคาถานี้อย่างละเอียด เมื่อเฉินเฟิงได้ทราบว่าราคาในตลาดมืดของม้วนคาถานี้สูงถึง ๒,๐๐๐ เหรียญเงิน ก็ถึงกับแอบแลบลิ้นอย่างตกใจ ความรอบรู้ของครุโฬที่ได้ประจักษ์ในระหว่างที่เดินทางมาด้วยกันประทับใจเฉินเฟิงอย่างมาก ถึงออกจะขี้โม้ไปบ้าง แต่น้อยครั้งมากที่จะประเมินอะไรผิดพลาด

“เป๊าะ !”

“โอ๊ย !”

หนานอี๋ถอยมาถึงข้างตัวเฉินเฟิง มือถือที่จับทำจากเหล็กอยู่หนึ่งอัน นั่นคือที่จับของโล่เหล็ก เสียงที่ดังขึ้นก่อนหน้าเสียงร้องอุทานคือเสียงโล่เหล็กแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

เงาร่างที่หากใช้คำบรรยายว่า “สูงใหญ่บึกบึน” ยังน้อยกว่าความเป็นจริงไปมากได้ปรากฏขึ้น สูงตระหง่านถึงสองเมตรครึ่งเป็นอย่างน้อย มือควงและเหวี่ยงค้อนดาวตกพร้อมด้าม มนุษย์หมาป่าที่จะเห็นได้ก็แต่ในภาพยนตร์กำลังแสยะเขี้ยวอยู่ตรงหน้าทั้งสามแล้ว...

หนานอี๋เหวี่ยงที่จับของโล่และดาบสั้นในมือทิ้งไป ชักดาบสั้นสำรองอีกเล่มจากข้างเอว แล้วตวาดก้อง โถมเข้าโรมรันอีกครั้ง

แน่ละว่าเฉินเฟิงรีบพุ่งตามไปติดๆ ทันที ตาเหลือบมองไปที่ดาบสั้นซึ่งถูกทิ้งอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง นั่นไม่สมควรจะถูกเรียกว่าดาบอีกต่อไป น่าจะเรียกว่าเลื่อยยังจะใกล้เคียงเสียกว่า

ถึงจะใช้ม้วนคาถาธาตุความมืดไปแล้ว มนุษย์หมาป่าก็ยังเร็วจนเหลือเชื่อ ประกายแสงจากการใช้ยาฟื้นพลังกะพริบวาบไม่ขาดสาย ตอนนี้อย่าว่าแต่จะโจมตีเลย กระทั่งป้องกันยังยากสุดๆ

ครุโฬเองก็ขว้างดาบวงเดือนที่ถืออยู่ในมือทิ้งไป และเปลี่ยนมาใช้ดาบสั้นสำรองนานแล้วเช่นกัน ขนาดสามรุมหนึ่ง และได้ยินแต่เสียง “เช้ง ! เช้ง !” แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายมนุษย์หมาป่าได้แม้แต่ปลายเส้นขน

ครุโฬอาศัยช่องว่างชั่ววูบตะโกนว่า

“พี่ใหญ่ ! ลองใช้แส้เทพสีหราชดู ฉันกับหนานอี๋จะคุ้มครองพี่เอง !”

พอได้ยินคำว่า “แส้เทพสีหราช” เฉินเฟิงก็อดลังเลไม่ได้ เพราะพลังโจมตีของมันมีแค่ ๑ เท่านั้น ! แต่ตอนนี้ต่อให้ใช้ดาบซามูไรก็ทำอะไรมนุษย์หมาป่าไม่ได้เหมือนกันอยู่ดี ถึงจะไม่เข้าใจว่าครุโฬคิดอะไรอยู่ เฉินเฟิงก็ยอมเปลี่ยนไปใช้แส้เทพสีหราชตามคำขอ

“เผียะ !”

แส้เทพสีหราชที่บังคับด้วยจิตใจฝากรอยแส้ไว้บนตัวมนุษย์หมาป่าได้เป็นผลสำเร็จจริงๆ ที่เจ๋งกว่านั้นคือ ในที่สุดก็จับเงาร่างของมนุษย์หมาป่าได้แล้ว ครุโฬกับหนานอี๋ฉวยโอกาสนี้ฝากรอยแผลไว้บนตัวมันอีกหลายแผลทันทีอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

เฉินเฟิงตะลึง มองแส้ในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อ ทอดถอนในใจว่ามันมีประสิทธิภาพแบบนี้ด้วยแฮะ คาดไม่ถึงว่าแค่ชั่วไม่กี่วินาทีที่มัวแต่ตะลึงนี้ มนุษย์หมาป่าที่ได้รับบาดเจ็บได้ระเบิดความดุร้ายออกมาอย่างฉับพลัน มันเลิกใช้วิธีสู้พลางเคลื่อนไหวหลบหนีพลาง เปลี่ยนเป็นยอมรับดาบของครุโฬตรงๆ ไปสองที แล้วเหวี่ยงค้อนดาวตกสวนกลับตบรางวัลครุโฬไปหนึ่งเปรี้ยงแบบเต็มรัก

“อั่ก !” แสงสีขาวจากยาฟื้นพลังระดับสูงกะพริบวาบติดต่อกัน ครุโฬหวิดต้องไปรายงานตัวในนรกแค่เส้นยาแดงผ่าแปด

หนานอี๋ร้องอย่างตกใจ “พี่เฟิงอย่าหยุดสิคะ ! รีบพยายามเข้า อย่าให้มันเรียกพรรคพวกมาช่วยได้เด็ดขาด !”

“โบร๋ววววววววว”

“เผียะ !”

แส้สะบัดฟาดขัดจังหวะการหอนร้องเรียกพรรคพวกมาช่วยเหลือทันเวลาพอดี เฉินเฟิงสะบัดฟาดแส้เทพสีหราชพัวพันมนุษย์หมาป่าเอาไว้ไม่ยอมห่างอย่างไม่กล้าลังเลอีก

ในที่สุดครุโฬก็ค่อยถอนหายใจยาว แล้วพุ่งเข้าระดมแทงดาบสั้นในมือใส่มนุษย์หมาป่าอย่างดุดันเหมือนจะแก้แค้นยังไงยังงั้น

ความเคลื่อนไหวของมนุษย์หมาป่าเชื่องช้าลงทุกทีๆ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงจะสามารถฆ่ามันลงได้ในอีกไม่นานแน่

น่าเสียดายที่โชคดีดันคงอยู่แค่ไม่นาน เพราะเสียงเห่าของฝูงสุนัขป่าได้แว่วผ่านทุ่งหญ้ามาถึงโสต

“โฮ่ง ! โฮ่ง !”

ไกลออกไปมีสุนัขป่าวิ่งตะบึงเข้ามาหาประมาณ ๗ - ๘ ตัว เป็นราชาสุนัขป่าขนาดเล็กสีแดงคล้ำ

อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ ถ้ามีแต่ราชาสุนัขป่าขนาดเล็ก ๗ - ๘ ตัวนี้ล่ะก็ พวกเขาสามคนคงไม่กลัวพวกมันหรอก แต่ตอนนี้ดันยังมีมนุษย์หมาป่าที่แข็งแกร่งโคตรๆ อยู่อีกตัวเสียนี่ สถานการณ์จึงเปลี่ยนเป็นวิกฤติสุดๆ ในพริบตา

หลังจากฝูงราชาสุนัขป่าขนาดเล็กเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วยแล้ว สภาพได้เปรียบที่ทั้งสามพยายามแทบตายกว่าจะชิงมาได้หมาดๆ ก็สลายไปในทันทีดังคาด ฝูงสุนัขป่าแบ่งพรรคพวก ๕ ตัวมารับมือหนานอี๋ ส่วนอีกสามตัวที่เหลือพัวพันครุโฬเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทำให้แรงกดดันของเฉินเฟิงเพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างฉับพลัน เพียงไม่นานแสงกะพริบจากยาฟื้นพลังก็วาบถี่ขึ้นทุกที

ครุโฬตะโกนว่า “พี่ใหญ่ ไม่ไหวแล้ว ! โอกาสหน้ายังมี รีบถอยกันก่อนเถอะ !”

แสงสีขาวกะพริบวาบ ในที่สุดหนานอี๋ก็ใช้ม้วนคาถากลับบ้านหลังจากใช้ยาฟื้นพลังขวดสุดท้ายหมดไป ราชาสุนัขป่าขนาดเล็กอีก ๕ ตัวเบนเป้าหมายมารุมครุโฬในทันที ทำเอาครุโฬไม่สามารถจะแบ่งสมาธิพูดอะไรได้อีก

ครั้นเห็นครุโฬกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เฉินเฟิงก็ร้องตะโกนขึ้นทันทีโดยไม่สนใจค้อนดาวตกของมนุษย์หมาป่าที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัว

“น้องครุฑ ถอย ! สัจจะแห่งราชา โทสะแห่งผู้อหังการ์ เทพมังกรผู้บงการวายุพิรุณเอย ข้าปรารถนาพลังของท่าน วายุมังกรหมุน !

เวลาเดียวกับที่ค้อนดาวตกกระทบถูกร่างของเฉินเฟิง วายุมังกรหมุนอันแกร่งกล้าทรงพลังก็ได้พุ่งเข้าหากลุ่มราชาสุนัขป่าขนาดเล็ก

“โอ้กกกก !”

ร่างเฉินเฟิงพุ่งละลิ่วเป็นเส้นโค้งอันเกิดจากแรงเหวี่ยงวัตถุอย่างงดงาม ติดตามด้วยม่านหมอกสีแดงสด ความเจ็บปวดที่พรากจากไปนานได้มาเยือนอีกวาระ

เฉินเฟิงเห็นแวบๆ ว่าตัวครุโฬปรากฏแสงสว่างจ้าวาบขึ้น ก็ทราบว่าอีกฝ่ายหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว แต่ตัวเขาถูกค้อนดาวตกซัดใส่ ทำให้ไม่มีโอกาสใช้ม้วนคาถากลับบ้าน ที่ซวยกว่านั้นคือ มนุษย์หมาป่าไม่ได้พอใจกับการโจมตีถูกแค่ครั้งเดียว ถัดจากม่านหมอกสีแดงสด การโจมตีที่ร้ายกาจทรงพลังยิ่งกว่าครั้งก่อนได้ไล่ตามร่างเฉินเฟิงไปติดๆ

“ปึ้ก !”

“อ๊ากกกก !”

ยังไม่ทันจะตกถึงพื้น เกราะหนังไพธอนแดงก็แตกสลายเป็นชิ้นๆ เพราะทานอานุภาพการโจมตีระลอกที่สองของค้อนดาวตกไม่ไหว ร่างของเฉินเฟิงถูกกระแทกจนหักเหทิศทางพุ่งตรงดิ่งไปทางขวาหลายเมตรอย่างฉับพลัน ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ถาโถมทำเอาเขาแทบจะหมดสติไปในทันที

ขณะที่เฉินเฟิงผู้สิ้นหวังกำลังเตรียมตัวต้อนรับเทพแห่งความตายที่จะมาเยือน ก็พลันเหลือบไปเห็นท่าทางดุร้ายของของมนุษย์หมาป่าเข้า ความคิดหนึ่งจึงวาบขึ้นในสมองทันทีราวสายฟ้าแลบ

ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องลากมันไปด้วยให้ได้ !

“เผียะ !”

ทันทีที่ความคิดอุบัติ แส้เทพสีหราชก็พลันเหยียดขยายยาวออกไปเป็น ๑๐ กว่าฟุตอย่างฉับพลัน ปลายแส้เปลี่ยนเป็นคมดาบพุ่งสวบเข้าปักใส่หัวใจของมนุษย์หมาป่าอย่างแม่นยำเหมือนมีดวงตางอกออกมาก็ไม่ปาน

มนุษย์หมาป่าส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาอย่างฉับพลัน แล้วเปลี่ยนเป็นจุดแสงถูกดูดวาบหายเข้าไปแส้เทพสีหราชอย่างรวดเร็วจนไม่หลงเหลือแม้แต่เศษเสี้ยว

เสียงจากระบบดังขึ้นในศีรษะของเฉินเฟิงทันที

“ผู้เล่นเฉินเฟิงข่มขวัญสัตว์เลี้ยงสำเร็จอย่างราบรื่น ได้รับมนุษย์หมาป่าระดับ ๕๐ หนึ่งตัว , ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไขลุล่วง ได้เลื่อนระดับทักษะข่มขวัญของผู้เลื่อนขั้น ระดับ ๑๐ , ได้เลื่อนระดับทักษะเลือดฐานของนักรบเทพ ระดับ ๒ , ได้เลื่อนระดับทักษะช่วยชีวิตของจอมยุทธ์พเนจร ระดับ ๔ , ได้เลื่อนระดับทักษะเสียสละของนักบวช ระดับ ๒ , ได้เลื่อนระดับทักษะใช้แส้ของนักฝึกสัตว์ ระดับ ๒...ระดับ ๕ แส้เทพสีหราชอหังการ์ของพญาสีหราชได้เลื่อนขั้น มอบช่องสำหรับใส่สัตว์เลี้ยงให้เรียกออกมาได้ ๓ ช่องย้อนหลัง”

“พลั่ก !”

เอวเฉินเฟิงกระแทกถูกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจนหักสะบั้นเสียงดังสนั่น ความเจ็บปวดแสนสาหัสยิ่งกว่าเดิมพุ่งปราดจู่โจมสมองอย่างฉับพลัน ส่งผลให้เขาสลบไปในทันที



[1] จิน เป็นมาตรชั่งของจีน ๑ จิน = ๕๐๐ กรัม หรือครึ่งกิโลกรัมนั่นเอง


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:30 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:17

0 ความคิดเห็น