หัวข้อ : เล่มที่ ๔ รวมพลก่อตั้งสมาพันธ์ ตอนที่ ๒ ยังซื่อบื้อเหมือนเดิม

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:38

ตอนที่ ๒

 

ยังซื่อบื้อเหมือนเดิม

 

 

หลังผ่านความโดดเดี่ยวมานานถึง ๑๕ ชั่วโมง ในที่สุดก็มีคนโผล่มาจนได้ ครั้นเฉินเฟิงที่เพิ่งจะปรับใจได้อย่างยากเย็นได้ยินที่เอ็ทนาพูด ก็อึ้งไปชั่วครู่ แล้วพูดว่า

“ระดับ ๕ ดาว ? ภารกิจนี้มีการแบ่งระดับด้วยหรือ ! แล้วมันต่างกันยังไงเหรอครับ ?”

เอ็ทนาหัวเราะพลางอธิบายว่า “ถูกแล้วค่ะ ภารกิจแบ่งเป็น ๕ ระดับ ระดับ ๕ คือระดับสูงสุด ยิ่งสามารถคลี่คลายภารกิจระดับสูงมากเท่าไหร่ เมื่อมาถึงที่นี่ก็จะได้รับพลังจิตระดับสูงมากเท่านั้น แต่ระยะเวลาในการทดสอบก็จะยาวนานขึ้นเช่นกัน ระยะเวลาในการทดสอบของแต่ละระดับจะเพิ่มขึ้นระดับละ ๓ ชั่วโมง เมื่อกี้คุณใช้เวลาเดินนาน ๑๕ ชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่หรือคะ ?”

พอฟังคำอธิบายจบเฉินเฟิงได้แต่แลบลิ้น แต่ก็พบข้อสงสัยเช่นกัน จึงถามว่า

“ออกแบบอย่างนี้นี่มันโรคจิตจริงๆ แล้วถ้าผมทนเดินไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ใช้ม้วนคาถากลับบ้านกลางคันล่ะครับ ?”

“คำถามนี้นอกเหนือขอบเขตแล้วล่ะค่ะ แต่ในเมื่อคุณอยากจะทราบ ก็พอจะบอกคุณได้ ระหว่างที่ผู้เล่นกำลังเดินอยู่ในเส้นทางแห่งการทดสอบ หากเกิดยอมแพ้กลางคันและใช้ม้วนคาถากลับบ้าน ก็จะถูกส่งมาที่นี่โดยอัตโนมัติ แต่ระบบจะคำนวณและมอบพลังจิตให้ตามระยะเวลาที่เดินได้ค่ะ นอกจากนี้ข้อจำกัดในการได้รับสิทธิ์ให้เรียนรู้เวทมนตร์ก็จะลดลงไปเป็นระดับตามจำนวนเวลาที่ผู้เล่นเดินได้ก่อนจะยอมแพ้ด้วยค่ะ”

เฉินเฟิงพยักหน้าเป็นความหมายว่าเข้าใจละ แต่นิสัยเมื่อถามแล้วต้องถามให้หมดเปลือกดันกำเริบอีกแล้ว จึงถามต่อว่า

“งั้นถ้าผมเดินได้แค่ครึ่งทางก็หยุด แต่ไม่ใช้ม้วนคาถากลับบ้าน แค่พักผ่อนเอาแถวนั้น หรือกางกระโจมออฟไลน์ล่ะครับ ?”

เอ็ทนาอธิบายต่ออย่างอดทน “ที่นี่ไม่สามารถใช้กระโจมได้ค่ะ นอกจากนี้หากหยุดพักที่ใดที่หนึ่งนานเกินกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็จะถูกส่งมาที่นี่โดยอัตโนมัติทันที ว่าแต่ทำไมคุณถึงไม่ถามล่ะคะว่าคุณจะได้เรียนเวทมนตร์อะไรบ้าง ? เห็นถามถึงแต่เรื่องระยะทางในการทดสอบ ระยะทางในการทดสอบนี้คนอื่นอาจยังต้องเดินกันอีกหลายรอบ แต่คุณน่ะไม่ต้องแล้วล่ะค่ะ เพราะระดับที่คุณทำสำเร็จคือระดับ ๕ ดาวซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดแล้ว ต่อไปหากคุณจะมาที่นี่อีก ก็จะถูกส่งมาที่วิหารนี้โดยตรงแล้วล่ะค่ะ”

เฉินเฟิงแลบลิ้นแล้วพูดว่า “ช่วยไม่ได้นี่ครับ ใครใช้ให้ ๑๕ ชั่วโมงนี้มันสุดทนขนาดนั้นล่ะฮะ ในที่สุดก็รู้แล้วว่าผู้บวงสรวงที่เมืองชิงจ้างไม่ได้พูดเล่น ต่อไปผมจะมาที่นี่อีกได้ทันทีเลยหรือครับ ? แต่ถ้าปฏิบัติภารกิจลุล่วงในระดับอื่นนี่ มาที่นี่ทันทีไม่ได้หรือ ?”

ครั้นเห็นอยู่ๆ สีหน้าของเอ็ทนาก็ออกอาการสุดทน เฉินเฟิงก็รีบพูดว่า

“แหะๆ นี่เป็นคำถามสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะครับ ก็มันอยากรู้นี่ !”

เอ็ทนาหัวเราะ “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ได้ไม่พอใจคำถามของคุณหรอก แต่เป็นเพราะกลุ่มผู้ออกแบบเกมเร่งให้ฉันรีบกลับไปอีกแล้ว โปรดอย่าเข้าใจผิดนะคะ”

พอได้ยินคำว่า “กลุ่มผู้ออกแบบเกม” ประสาทเฉินเฟิงก็ตึงเขม็งทันที ดูท่าเอ็ทนาเองก็เป็นผู้ออกแบบเกมเหมือนกันแน่ๆ ! คนพวกนี้เขาจะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด จึงรีบพูดว่า

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ขออภัยด้วยครับที่รบกวนเวลาคุณมากเกินไป คำถามเมื่อครู่หากมันยุ่งยากมากไปก็ไม่ต้องอธิบายหรอกครับ ยังไงผมก็แค่อยากรู้เฉยๆ เท่านั้น ช่วยบอกผมก็แล้วกันครับว่าผมจะได้เรียนเวทมนตร์อะไรบ้าง”

เอ็ทนานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาเฉินเฟิงใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ

เคราะห์ดีที่ไม่ต้องรอนานมาก เอ็ทนาก็กล่าวขออภัยเฉินเฟิงอีกครั้ง แล้วอธิบายว่า

“ขอบคุณมากค่ะที่เข้าใจ คำถามของคุณเมื่อครู่เป็นอย่างนี้ค่ะ ผู้เล่นที่คลี่คลายภารกิจได้ในระดับต่ำกว่า ๕ ดาว แหวนของพวกเขาจะใช้ได้เพียง ๑ ครั้งเท่านั้น หากต้องการจะมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่ ๒ ก็ต้องไปรับภารกิจอีกครั้ง และระดับของภารกิจที่จะได้รับก็จะสูงกว่าภารกิจที่คลี่คลายไปก่อนหน้านั้นด้วย

“ความจริงการช่วยตอบคำถามให้แก่ผู้เล่นเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว แต่คงต้องกล่าวขออภัยคุณอีกครั้งค่ะ เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุเร่งด่วน ฉันจึงต้องขอกลับไปดูก่อน ได้แต่เชิญคุณขึ้นไปเรียนเวทมนตร์เอาเองที่บนแท่นบวงสรวง บนแท่นบวงสรวงมีความรู้ที่คุณต้องการเรียนอยู่มากพอแน่นอนค่ะ ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ บายๆ !”

เฉินเฟิงยังไม่ทันพูดขอบคุณ เอ็ทนาก็กลายเป็นแสงสีขาวหายวับไปซะแล้ว เขาจึงต้องไปที่แท่นบวงสรวงดูๆ เอาเองอย่างช่วยไม่ได้

บนแท่นบวงสรวงมีหนังสือขนาดยักษ์ที่ไม่ทราบทำจากอะไรอยู่ ตอนแรกเฉินเฟิงยังนึกกังวลว่าจะพลิกเปิดหนังสือได้ยังไงกันล่ะเนี่ย แต่เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปัญหาก็หมดไป

ด้านบนของหนังสือมีตัวอักษรเขียนอยู่ ด้านข้างมีคำอธิบายวิธีใช้อีกเพียบ แค่เอามือแตะเลือกที่ตัวอักษรเบาๆ ก็จะเห็นภาพและข้อมูลของเวทมนตร์แต่ละชนิด แม้จะทำออกมาเป็นทรงหนังสือ แต่ประสิทธิภาพเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์อัตโนมัติที่เคานเตอร์ประชาสัมพันธ์และติดต่อสอบถามไม่มีผิด

ชนิดของเวทมนตร์นี่มีมากมายมหาศาลจนละลานตาจริงๆ เฉินเฟิงดูจนตาลายไปหมดแล้ว

โดยพื้นฐานแล้ว เวทมนตร์แบ่งออกเป็น ๘ ธาตุ ๙ ระดับ

ระดับ ๓ ลงไปสามารถเรียนรู้ได้โดยตรงจากแท่นบวงสรวง ส่วนระดับ ๔ ขึ้นไปจำเป็นต้องมีตำราเวทมนตร์จึงจะสามารถเรียนรู้ได้

ตำราเวทมนตร์นี้ บ้างก็ได้จากสัตว์อสูร บ้างก็ต้องคลี่คลายภารกิจ บ้างก็เป็นไอเท็มพิเศษ เพราะมันมีหลายชนิดหลายประเภทมาก เฉินเฟิงเสียเวลาไปไม่ใช่น้อยกว่าจะลอกข้อมูลพวกนี้ลงในสมุดบันทึกเสร็จ

ครั้นอ่านคำอธิบายจบก็พลิกดูหน้าต่อไป พอได้เห็นตารางราคาของเวทมนตร์แต่ละชนิด เฉินเฟิงก็แทบประสาทกิน

ราคาของเวทมนตร์ระดับ ๑ คือ ๒,๐๐๐ เหรียญเงิน ราคาของเวทมนตร์ระดับ ๒ คือ ๕,๐๐๐ เหรียญเงิน ราคาของเวทมนตร์ระดับ ๓ ยิ่งสูงถึง ๑๐,๐๐๐ เหรียญเงิน แถมยังมีการแยกแต่ละธาตุอีกต่างหาก

หลังจากคำนวณดูแล้ว ถ้าเรียนเวทมนตร์หมดทั้ง ๓ ระดับ ๘ ธาตุ ก็ต้องจ่ายเงินทั้งหมด ๑๓๖,๐๐๐ เหรียญเงิน สูบเลือดสูบเนื้อกันสุดๆ !

โชคดีที่สำหรับเฉินเฟิงในตอนนี้ เงิน ๑๓๐,๐๐๐ กว่าเหรียญยังเป็นจำนวนที่สามารถจะจ่ายได้อยู่ เพียงแต่จำนวนเงินทำเอาเขาเจ็บปวดใจไปครู่ใหญ่อยู่ดี

หลังจากกดคำสั่งยืนยันขอซื้อแล้ว ตรงหน้าก็มีตำราเวทมนตร์ ๒๔ เล่มวางซ้อนกันเป็นตั้ง และแน่นอนว่าทรัพย์สินของเขาถูกหักหายไป ๑๓๖,๐๐๐ เหรียญเงินเช่นกัน เขาคิดในใจว่า นี่ถ้าเป็นมือใหม่ที่คิดอยากจะเป็นจอมเวทล่ะก็ อย่าว่าแต่ระดับความยากของภารกิจเลย ถึงจะปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ คิดจะเรียนเวทมนตร์ระดับ ๓ ทั้งหมดก็ไม่ใช่จะได้เรียนกันง่ายๆ !

เฉินเฟิงมองกองหนังสือแล้วอดกลุ้มใจไม่ได้ ถึงเขาจะไม่รังเกียจการอ่านหนังสือก็เถอะ แต่ตำราเวทมนตร์แต่ละเล่มหนาเล่มละ ๑๐๐ กว่าหน้าทั้งนั้น คิดจะอ่านหนังสือมากขนาดนี้ให้เข้าใจต้องใช้เวลาน้อยๆ เสียเมื่อไหร่ !

โชคดีที่เกม “ราชาแห่งราชัน” ไม่ได้ออกแบบมาอย่างไร้มนุษยธรรมมากนักในจุดนี้ ทุกครั้งที่หยิบตำราเวทมนตร์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ตำราเวทมนตร์ก็จะเปลี่ยนเป็นแสงไหลวาบเข้ามาในร่างของเฉินเฟิงทันที แล้วในสมองก็จะปรากฏถ้อยคำร่ายเวทขึ้นโดยอัตโนมัติ

เหมือนสมองมีช่องเก็บความจำเพิ่มมาอีกช่องที่ข้างในเก็บแต่ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ล้วนๆ ยังไงยังงั้น หากอยากจะใช้เวทมนตร์ก็แค่คิด แล้วจะสามารถอ่านข้อมูลในนั้นได้ในทันที การออกแบบอย่างนี้สะดวกมากๆ แต่ก็ทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้เช่นกัน

หลังจากใส่ตำราเวทมนตร์ทั้ง ๒๔ เล่มเข้าไปในร่างเสร็จสิ้น เฉินเฟิงก็เริ่มทำการศึกษาต่อไป หลังจากเทียบกันดูถึงค่อยพบว่า แค่แยกประเภทเวทมนตร์ทั้งหมด ศีรษะก็แทบระเบิดแล้ว เพราะไม่แค่แบ่งเป็นสายโจมตี สายเพิ่มพลังป้องกัน สายหนุนเสริม ยังมีการแบ่งเป็นโจมตีแบบกลุ่ม โจมตีแบบทิ้งช่วง นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องพลังธาตุข่มและหนุนเสริมกันเองอีกต่างหาก เรียนรู้รวดเดียวมากมายมหาศาลขนาดนี้ ทำเอาย่อยไม่ค่อยไหวจริงๆ

เวทมนตร์ที่เฉินเฟิงได้เรียนในครั้งนี้ได้แก่ เวทมนตร์ระดับ ๑ คาถาศรแสง , คาถาดับมืด , คาถาโล่ทองคำ , คาถาคมวายุ , คาถาหยดน้ำ , คาถาศรเพลิง , คาถาเพิ่มพลังชุดเกราะ , คาถาภวังคจิต

เวทมนตร์ระดับ ๒ คาถากระบี่เที่ยงธรรม , คาถาเงามืด , คาถาเพิ่มพลังเกราะทองคำ , คาถาท่องลม , คาถาลูกแก้ววารี , คาถาลูกแก้วอัคคี , คาถากำแพงดิน , คาถารวมเทพ

เวทมนตร์ระดับ ๓ คาถารัศมี , คาถาเรียกโครงกระดูก , คาถาคมดาบ , คาถาเคลื่อนไม้ , คาถาแช่แข็ง , คาถากำแพงไฟ , คาถาแยกแผ่นดิน , คาถาเคลื่อนที่ในพริบตา

เฉินเฟิงสะกดความอยากจะทดสอบเวทมนตร์เอาไว้ก่อน แล้วดูคำอธิบายต่อไป

เวทมนตร์ระดับ ๑ จะใช้พลังจิตประมาณ ๓๐ จุด เวทมนตร์ระดับ ๒ ใช้ ๕๐ จุด ส่วนเวทมนตร์ระดับ ๓ ใช้ ๑๐๐ จุด แต่ใช่ว่าจะเป็นดังนี้เสมอไป เวทมนตร์บางอย่างจะสูญเสียพลังจิตมากเป็น ๓ - ๔ เท่า นั่นคือแม้จะรู้วิธีใช้เวทมนตร์ได้หลายชนิด แต่พลังจิตที่จำกัดทำให้ไม่สามารถใช้ได้มากขนาดนั้น

ที่แย่กว่านั้นคือ ไม่มีของแบบยาฟื้นพลังที่จะใช้ฟื้นพลังจิตได้

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เฉินเฟิงก็อดนึกเสียใจไม่ได้ที่เขาดันซื้อเวทมนตร์ทั้งหมดมาโดยที่ยังไม่ทันได้อ่านคำอธิบายอย่างละเอียด เขานี่วู่วามเกินไปจริงๆ

โชคดีที่ด้านหลังมีบอกไว้ว่า พลังจิตสามารถฟื้นตัวเองได้โดยธรรมชาติ และหากใช้บ่อยๆ ยังสามารถเลื่อนระดับได้ด้วย นอกจากนี้เมื่อทักษะเวทมนตร์ธาตุของจอมเวทได้เลื่อนระดับ อัตราการสูญเสียของพลังจิตก็จะลดน้อยลง

ส่วนสุดท้ายของข้อมูลบนแท่นบวงสรวง คือแนะนำผลึกเวทมนตร์ ทำให้เฉินเฟิงเพิ่งจะได้ทราบก็ในตอนนี้เองว่า อัญมณีสารพัดสีที่เคยได้มาก่อนหน้านี้เป็นไอเท็มช่วยเสริมของจอมเวทนี่เอง ผลึกเวทมนตร์สามารถช่วยประหยัดจำนวนพลังจิตที่ต้องใช้ไปจนถึงช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพและผลลัพธ์ เพียงแต่ผลึกเวทมนตร์ต้องผ่านการปลดผนึกเสียก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้

ที่นี่มีขายหนังสือ “รวมชนิดผลึกเวทมนตร์” ที่ใช้สำหรับปลดผนึกผลึกเวทมนตร์ด้วยเช่นกัน แล้วระบบก็ได้กำไรค่าหนังสือรวมชนิดผลึกเวทมนตร์จากเฉินเฟิงไปอีก ๑๐,๐๐๐ เหรียญเงิน อาชีพจอมเวทเป็นอาชีพที่ผลาญเงินสุดๆ สมคำร่ำลือจริงๆ !

หลังจากนี้ก็ไม่มีข้อมูลอะไรแล้ว แต่สุดท้ายยังมีอีกปัญหาที่ยังไม่ได้รับคำตอบ นั่นคือไม่เห็นมีบอกเอาไว้เลยว่าจะไปจากที่นี่ได้ยังไง !

เฉินเฟิงลงจากแท่นบวงสรวง หันมองไปรอบด้าน ทันใดนั้นก็พบว่าลวดลายตัวอักษรที่อยู่บนเสานั่นเหมือนเขาจะเคยรู้จักมาก่อน จึงเดินเข้าไปพินิจดู แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า ตัวอักษรบนเสาที่เดิมดูแปลกๆ ไม่คุ้นตากลายเป็นตัวอักษรที่เขาอ่านออกไปแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เท่านั้น

ยิ่งดูก็ยิ่งหลงใหล แล้วไหวพริบก็วาบขึ้น เฉินเฟิงหยิบม้วนคาถาเปล่าๆ ที่ได้มาตอนปราบพวกสไลม์กับชุดอุปกรณ์เขียนพู่กันที่ยังไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้งออกมา แล้วลอกลวดลายตัวอักษรบนเสาลงไป ครู่ใหญ่ให้หลังค่อยลอกเสร็จในที่สุด ม้วนคาถาเปล่าได้ปล่อยพลังดูดขุมหนึ่งออกมา พลังในร่างของเฉินเฟิงถูกดูดรั่วไหลออกตามแรงดูดนั้น

ขณะที่เฉินเฟิงกำลังนึกดีใจว่ามั่วถูกจนได้ ก็มีเสียง “เปรี๊ยะ !” ดังขึ้น แล้วม้วนคาถาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงจากระบบได้แจ้งขึ้นว่า

“ผู้เล่นเฉินเฟิงเขียนยันต์ล้มเหลว แสดงทักษะพื้นฐานของนักอาคมลุล่วง ได้รับทักษะ ‘เขียนยันต์’ ของนักอาคม ระดับที่ ๑ , ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไขลุล่วง ได้เลื่อนระดับทักษะอ่านอักขระโบราณของนักอาคม เลื่อนเป็นระดับที่ ๒”

ความจริงตอนที่เขียนยันต์เสร็จ เฉินเฟิงก็ทราบแล้วว่านี่คือคาถาลูกแก้วอัคคี หลังจากที่ระบบประกาศแจ้งจบ เขาก็ตรวจสอบสาเหตุ และพบว่าเป็นเพราะเขาใช้ม้วนคาถาเปล่าระดับ ๑ คาถาลูกแก้วอัคคีเป็นคาถาระดับ ๒ ม้วนคาถาระดับ ๑ ย่อมจะทนรับพลังจิตสูงขนาดระดับ ๒ ไม่ไหวเป็นธรรมดา เลยต้องสูญม้วนคาถาเปล่าไป ๑ ม้วนอย่างน่าเสียดาย ต้องทราบว่าเฉินเฟิงมีม้วนคาถาเปล่าอยู่แค่ ๒๕ ม้วนเท่านั้น

เมื่อได้ทราบว่าภาพอักขระพวกนี้คืออักขระโบราณจารึกเวทมนตร์ เฉินเฟิงก็ดีอกดีใจเป็นการใหญ่ แต่ต้องลอกภาพอักขระจนครบทั้งภาพถึงจะรู้ได้ว่าเป็นเวทมนตร์ชนิดไหน อย่างเช่นตอนนี้ หลังจากลอกเสร็จไปอีก ๑ ม้วนอย่างลำบากยากเย็นโดยใช้ม้วนคาถาเปล่าระดับ ๓ ผลกลายเป็นว่าที่ลอกมาดันเป็นคาถาศรเพลิงที่เป็นเวทมนตร์ระดับ ๑ ทำเอากลุ้มไม่ใช่เล่น

แค่ดูภาพอักขระไม่กี่ภาพ เขาก็หัวหมุนตาลายไปหมดแล้ว นิสัยดันทุรังของเฉินเฟิงกำเริบอีกหน ถึงยังไงก็มีเวลาอีกเยอะ เขาจึงนั่งแหมะลงกับพื้นแล้วดูภาพอักขระภาพเดียวนั้นซ้ำไปซ้ำมาพร้อมเทียบกับข้อมูลของเวทมนตร์ที่อยู่ในสมอง ดูมันจนกว่าจะดูออกว่าภาพอักขระนั่นเป็นเวทมนตร์ชนิดไหนโน่นแหละถึงจะยอมเลิกรา จากภาพหนึ่งไปสู่อีกภาพหนึ่ง เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า...

 

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร เฉินเฟิงแค่เห็นภาพอักษร ก็สามารถเทียบออกได้ทันทีว่าเป็นเวทมนตร์ชนิดไหน และเชื่อมโยงความคิดสามารถร่ายเวทมนตร์ออกมาได้โดยอัตโนมัติ

เวทมนตร์สายโจมตีพุ่งเข้าใส่ความว่างเปล่า พอไม่มีเป้าหมายแล้วออกจะดูทะแม่งๆ อยู่บ้าง นอกจากดูสวยเจิดจ้าดีแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าประสิทธิภาพเป็นอย่างไร

เวทมนตร์สายหนุนเสริมทดสอบได้ง่ายดายกว่ากันมาก เฉินเฟิงใช้คาถาโล่ทองคำ , คาถาเพิ่มพลังชุดเกราะ , คาถาภวังคจิต , คาถากระบี่เที่ยงธรรม , คาถาเพิ่มพลังเกราะทองคำ , คาถาท่องลม , คาถารวมเทพ , คาถาคมดาบ และคาถาเคลื่อนที่ในพริบตากับตัวเองสลับไปมาไม่ได้หยุด เห็นเดี๋ยวโล่เหล็กกลมก็เรืองแสงสีทอง เดี๋ยวชุดเกราะก็เรืองแสง เดี๋ยวอาวุธก็เรืองแสง เดี๋ยวสองเท้าก็เรืองแสงสีเทา หรือมีแสงสว่างวาบจนร่างทั้งร่างเลือนหายไป แล้วไปโผล่ในอีกที่ใกล้ๆ

เมื่อใช้พลังจิตจนหมดแล้ว เฉินเฟิงก็มาศึกษาภาพอักขระต่อ ไม่ก็หลับตาเข้าสู่ห้วงภวังคจิตชั่วครู่ จนกระทั่งทักษะหลายอย่างค่อยๆ เลื่อนระดับขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ได้แก่ ทักษะพื้นฐานของจอมเวท ทักษะเวทมนตร์ธาตุเลื่อนเป็นระดับ ๓ , ทักษะของนักอาคม ทักษะอ่านอักขระโบราณเลื่อนเป็นระดับ ๓ , ทักษะภวังคจิตของนักเขียนเองก็เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๓

“โครก...คราก....” ท้องส่งเสียงร้องประท้วงดังมา เฉินเฟิงลืมตาตื่นจากห้วงภวังคจิต แล้วตรวจดูสถานะร่างกายของตัวเอง สถานะความอิ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว ส่วนพลังชีวิตกับพลังจิตกลายเป็นสีเทาไปเรียบร้อย อันแสดงว่าขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพหิวสุดขีด พลังทั้งหมดที่มีจึงจะลดลงครึ่งหนึ่ง

เฉินเฟิงที่ปกติพอหิวปุ๊บเป็นต้องกินปั๊บเพิ่งจะเคยเจอะกับสภาพแบบนี้เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ เมื่อลองดูนาฬิกาข้อมือของระบบ ถึงค่อยพบว่าเขาอยู่ที่นี่มาตั้ง ๒ วัน ๑ คืนแล้ว เมื่อบวกกับเวลา ๑๕ ชั่วโมงของการทดสอบ เท่ากับว่าเขาไม่มีอะไรตกถึงท้องมามากกว่า ๒ วันเต็มแล้ว มิน่าเล่าท้องถึงได้ร้องประท้วงเสียดังลั่น

เขาเอาเสบียงกับน้ำออกมารับประทาน ท่าทางทักษะภวังคจิตนี่นอกจากจะช่วยฟื้นฟูพลังจิตแล้ว น่าจะมีผลคล้ายๆ กับการนอนหลับด้วย เพราะเขายังรู้สึกว่าสติแจ่มใสดีอยู่เลย

เฉินเฟิงจัดการกับท้องแค่พออิ่มอย่างลวกๆ จากนั้นงัดชุดอุปกรณ์เขียนพู่กันและม้วนคาถาเปล่าออกมาอีกครั้ง และลอกเสร็จโดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงต่อ ๑ ภาพ แต่มีบางภาพต้องใช้เวลาถึง ๑ ชั่วโมงกว่าจะลอกเสร็จ เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกครั้งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แน่นอนว่าพร้อมกับที่ม้วนคาถาแต่ละม้วนถูกเขียนเสร็จ ทักษะเขียนยันต์ของเฉินเฟิงก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับที่ ๓ อย่างเงียบเชียบ

เมื่อลองนับผลงานของตัวเองดู ระดับ ๑ มีม้วนคาถาโล่ทองคำ ๓ ม้วน , ม้วนคาถาเพิ่มพลังชุดเกราะ ๓ ม้วน ; ระดับ ๒ มีม้วนคาถากระบี่เที่ยงธรรม ๓ ม้วน , ม้วนคาถาเพิ่มพลังเกราะทองคำ ๓ ม้วน ; ระดับ ๓ มีม้วนคาถาเรียกโครงกระดูก ๓ ม้วน , ม้วนคาถาเคลื่อนที่ในพริบตา ๓ ม้วน

ม้วนคาถาระดับ ๑,๒ เอาไว้ใช้เพิ่มพลังป้องกัน หากเผชิญกับการต่อสู้ แล้วต้องมาสิ้นเปลืองพลังจิตไปกับเรื่องนี้ มันอดน่าเสียดายไม่ได้ ดังนั้นฉวยโอกาสในตอนที่ยังไม่ต้องใช้พลังจิตทำมันขึ้นมาก่อนเป็นดี

คาถาเรียกโครงกระดูกสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้ในพริบตา หรือใช้สกัดข้างหลังให้ได้ในตอนที่จะหนีเอาชีวิตรอด คาถาเคลื่อนที่ในพริบตาเป็นของวิเศษสำหรับใช้หนีเอาชีวิตรอดอยู่แล้ว ส่วนม้วนคาถาระดับ ๔ ที่เหลืออีก ๒ ม้วน เนื่องจากยังไม่มีเวทมนตร์ระดับ ๔ งั้นก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อนล่ะนะ !

ขณะที่เฉินเฟิงกำลังนั่งดูผลงานของตัวเองพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็ถูกตบไหล่จากด้านหลังอย่างกะทันหันจนสะดุ้งสุดตัว ขวัญแทบบินหายไปซะครึ่ง พอหันกลับมาดู ปรากฏว่าเอ็ทนากลับมาแล้ว

เอ็ทน่าพูดหน้าตาตื่นเกินจริง “สวรรค์ นี่เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ? ทำไมคุณถึงยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ !”

เฉินเฟิงลูบอก เก็บไอเท็มกับม้วนคาถาเสร็จแล้วพูดอย่างมีโมโหว่า

“ตกใจหมด ! โผล่มากะทันหันแบบนี้กะให้ช็อคตายกันหรือไง ? โชคยังดีนะที่หัวใจผมแข็งแรงพอ นี่ถ้าเป็นคนอื่นนะอาจช็อคตายไปแล้วก็ได้”

พอเอ็ทนาได้ยินว่าทำเฉินเฟิงตกใจแทบตาย ก็หน้าแดงอย่างรู้สึกผิด

เฉินเฟิงระบายลมหายใจช้าๆ แถมค้อนเอ็ทนาให้อีกขวับ แต่พอโวยวายจบ ก็นึกถึงฐานะของอีกฝ่ายขึ้นมาได้ จึงพูดต่อว่า

“มีกฎว่าห้ามรออยู่ที่นี่ด้วยหรือครับ ? อีกอย่าง ไม่เห็นมีคำอธิบายบอกไว้เลยนี่ครับว่าจะไปจากที่นี่ได้ยังไง ดังนั้นที่ผมยังอยู่ที่นี่อยู่อีกมันน่าจะเป็นเรื่องปกตินะ !”

เมื่อได้ยินเฉินเฟิงบอกว่าไม่รู้วิธีไปจากที่นี่ เอ็ทนาก็ตาค้าง พูดอย่างตกใจว่า

“คุณไม่ได้อ่านคำอธิบายหรอกหรือ ? บนนั้นบอกเอาไว้ออกชัดนี่นา ! แค่ใช้ม้วนคาถากลับบ้านก็จะกลับไปได้โดยอัตโนมัติแล้วนี่ ?”

“ในหมวดอธิบายมีเขียนไว้ด้วยหรือ ? งั้นสงสัยเราอ่านข้ามไปแหงๆ...” เฉินเฟิงคิดในใจว่าซวยล่ะสิ แล้วเกาศีรษะแกรกอย่างนึกเขิน ไม่ทราบจะอธิบายยังไงดี

เอ็ทนาใช้วิชาตรวจสอบกับเฉินเฟิง แล้วอุทานอย่างตกตะลึง

“เป็นไปไม่ได้น่า ! นี่คุณไม่ได้อ่านคำอธิบายจริงๆ น่ะหรือ ? เล่นเรียนมันหมดทั้ง ๘ ธาตุเลย ! โอ๊ะ...เลื่อนถึงระดับ ๓ แล้วด้วย ?”

ช่วยไม่ได้ที่เฉินเฟิงจะดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเอ็ทนาอย่างสนุกสนาน เอ็ทนาเหมือนกำลังตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีก แถมปากก็เอาแต่พึมพำไม่ยอมหยุด

“แปลกจริง...ทุกอย่างก็ปกติดีนี่ !” แล้วเอ็ทนาก็หันมามองเฉินเฟิงเหมือนมองสัตว์ประหลาด จ้องเขม็งจนเฉินเฟิงอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า

ผ่านไปครู่ใหญ่ เอ็ทนาค่อยพูดว่า

“คุณไม่เห็นหรอกหรือคะว่าใต้ตารางแสดงทักษะของจอมเวทมีตัวเลือก ค. อยู่ด้วย ?”

เฉินเฟิงเปิดดูตารางทักษะของตัวเอง ใต้ตารางแสดงทักษะของจอมเวทมีตัวเลือก ค. อยู่จริงๆ ด้วย พอเปิดตัวเลือก ค. ก็พบว่าธาตุของเวทมนตร์มีระดับความชำนาญในการใช้ด้วย แถมแต่ละธาตุยังแยกกันอีกต่างหาก โดยแบ่งเป็นธาตุแสง , ธาตุความมืด , ธาตุทอง , ธาตุไม้ , ธาตุน้ำ , ธาตุไฟ , ธาตุดิน , ธาตุพิเศษ “อากาศ” ทั้งหมด ๘ ชนิด ตอนนี้ระดับความชำนาญในการใช้ส่วนใหญ่จะมีแค่ ๑๐ กว่า

เอ็ทนาพูดว่า “ระดับความชำนาญในการใช้พวกนั้นต้องเต็ม ๑๐๐ ทั้งหมด ทักษะ “เวทมนตร์ธาตุ” ของคุณถึงจะเลื่อนขึ้นไปอีก ๑ ระดับได้ ในคำอธิบายมีบอกเอาไว้ชัดเจนแล้วแท้ๆ ถึงจะไม่มีการจำกัดว่าเรียนเวทมนตร์ได้กี่ชนิดก็เถอะ แต่แบบนี้คุณคงได้เลื่อนระดับทักษะนี้ยากมากแล้วล่ะค่ะ”

ครั้นเห็นเฉินเฟิงยังคงทำหน้าไม่เดือดร้อน เอ็ทนาก็พูดต่อว่า

“จนถึงตอนนี้ ผู้เล่นที่มาเรียนเวทมนตร์มีทั้งสิ้น ๓ หมื่นกว่าราย นอกจากคุณแล้ว คนอื่นเขาเลือกเวทมนตร์แค่ ๓ ชนิดเป็นอย่างมากเท่านั้น ผู้เล่นยิ่งเลือกประเภทของเวทมนตร์หลายชนิด ก็ยิ่งได้อาชีพนี้ยาก คิดว่าคุณคงเป็นได้แค่จอมเวทฝึกหัดไปตลอดเสียแล้วล่ะค่ะ”

คราวนี้สีหน้าของเฉินเฟิงเริ่มจะกลายเป็นสีเทาคล้ำหน่อยๆ แล้ว แต่เอ็ทนาก็ยังซ้ำเติมต่อว่า

“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ในคำอธิบายไม่ได้บอกไว้ นั่นคือยิ่งเป็นเวทมนตร์ระดับสูง ก็ยิ่งต้องใช้พลังจิตในการใช้สูง ถ้าทักษะเวทมนตร์ธาตุไม่ได้เลื่อนระดับตามขึ้นไปล่ะก็ นอกจากว่าทักษะพลังจิตจะเลื่อนระดับขึ้นสูงมากๆ ไม่อย่างนั้นแค่จะใช้เวทมนตร์ระดับสูงสักครั้งยังทำไม่ได้เลยนะคะ !”

ตอนนี้สีหน้าของเฉินเฟิงไม่ได้เป็นแค่สีเทาอีกแล้ว แต่กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมีอันต้องซวยเพราะไม่ยอมดูคำอธิบายอีกแล้ว ดันไม่รู้จักเข็ดเองก็ได้แต่โทษตัวเองสถานเดียว !

ครั้นเห็นสีหน้าซึมจ๋อยของเฉินเฟิง เอ็ทนาก็ชักรู้สึกว่าตัวเองออกจะใจร้ายไปหน่อย เพราะสาวไปถึงสาเหตุแล้วก็เป็นเพราะคำอธิบายบนแท่นบวงสรวงนั่นไม่ชัดเจนพอ แต่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เสียแล้ว

เอ็ทนาได้แต่ปลอบใจเฉินเฟิงไปพลางแก้ไขคำอธิบายบนแท่นบวงสรวงไปพลาง ให้คนที่มาถึงในภายหลังรับทราบคุณสมบัติพิเศษนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น จะได้ไม่ต้องมาซ้ำรอยเฉินเฟิง

เฉินเฟิงเป็นคนมองโลกในแง่ดีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว มานั่งนึกเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่าว่าแต่ตำราเวทมนตร์ระดับสูงใช่ว่าจะได้มากันง่ายๆ แถมตัวเขาก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลื่อนระดับได้สักหน่อย เพียงแต่ต้องพยายามใช้เวทมนตร์ให้มากขึ้นเท่านั้น พอคิดเรื่องนี้ตก ก็มาคิดว่าเป็นเวทมนตร์ตั้ง ๘ แขนงนี่เท่ออกจะตาย ! ดังนั้นรอยยิ้มจึงฟื้นกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

เอ็ทนายังทำงานง่วนอยู่บนแท่นบวงสรวง แล้วเฉินเฟิงก็นึกถึงปัญหาก่อนหน้านี้ขึ้นได้ ถึงโพล่งถามขึ้นว่า

“ถ้าผมพกม้วนคาถากลับบ้านมาแค่ ๒ ม้วน ตอนมาใช้ไปแล้ว ๑ ม้วน ตอนกำลังเดินอยู่บนเส้นทางทดสอบเกิดยอมแพ้ใช้ไปอีก ๑ ม้วน อย่างนั้นพอเรียนเวทมนตร์เสร็จแล้ว จะกลับไปไม่ได้หรือเปล่าครับ ?”

เอ็ทนานิ่งงันไปชั่วครู่ แล้วพึมพำว่า “จริงด้วย ! ทำไมฉันไม่นึกเอะใจมาก่อนล่ะนี่ ? สถานการณ์แบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงๆ ด้วย เป็นจุดบกพร่องจริงๆ นั่นแหละ !” แล้วก้มลงส่งข้อความผ่านนาฬิกาข้อมือของตัวเองทันที

ตัวเฉินเฟิงเองไม่เคยคิดมาก่อนหรอกว่าอาจจะกลับไปไม่ได้ ตอนแรกเขาเตรียมจะกลับไปอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้บอกลาเอ็ทนา จึงได้แต่ยืนดูเธอทำงานง่วนอยู่ แต่รอจนนึกเบื่อถึงได้นึกออกว่าคิดจะถามเรื่องนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมั่วเดาตรงเป้าเข้าให้จนได้

ครู่ใหญ่ต่อมา เอ็ทนาค่อยพูดว่า

“ขอบคุณคุณที่ช่วยพูดเตือนอย่างมากค่ะ เมื่อครู่ฉันได้แจ้งปัญหานี้ต่อทางระบบแล้ว ทางบริษัทจะรีบแก้ไขปัญหานี้ในทันที ทางบริษัทจะมอบรางวัลให้คุณเพื่อเป็นการขอบคุณ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินกันว่าจะให้อะไร รอจนมีมติลงมาแล้วจะแจ้งให้คุณทราบอีกครั้งนะคะ ฉันขอเป็นตัวแทนบริษัทเลจจ์แสดงความขอบคุณคุณไปก่อน นอกจากนี้ยังต้องขออภัยคุณอย่างมากต่อการไร้มรรยาทของฉันเมื่อสักครู่”

คิดไม่ถึงว่าหาปัญหาพบก็ได้รับรางวัลด้วย เฉินเฟิงยิ้มพลางพูดว่า

“แหม...เปล่าหรอกครับ ! ผมน่ะแหละที่ดันไม่ยอมอ่านคำอธิบายให้ละเอียดเอง ความจริงผมต้องขอบคุณคุณซะด้วยซ้ำไป ! ถ้าไม่เพราะคุณช่วยบอก กว่าผมจะรู้ว่ามีตัวเลือก ค. นี่ด้วยก็ไม่รู้อีกนานแค่ไหน แหะๆ !”

เฉินเฟิงดูเวลาก็เห็นว่าสมควรจากไปได้แล้ว เพราะอีก ๑ ชั่วโมงเขายังมีนัดต้องไปเจอกับพวกขบวนนักเวทและสัตว์และพวกเฮยโถวที่เมืองท่าเซียงห่าย หลังจากบอกลาเอ็ทนาและใช้ม้วนคาถากลับบ้าน แสงสว่างจ้าก็พาเฉินเฟิงไปจากวิหารเวทมนตร์

เอ็ทนามองวิหารเวทมนตร์ที่ว่างเปล่า แล้วพึมพำว่า

“ยอดฝีมือซื่อบื้อสมดังคำร่ำลือจริง !” จากนั้นเงยหน้าขึ้นดูเสาขนาดใหญ่ทั้ง ๘ ต้น แล้วส่ายหน้า “คนที่มาที่นี่กว่า ๓ หมื่นคน อย่าว่าแต่เรียนเลย กระทั่งคนที่สะดุดตามันยังมีแค่ไม่กี่คน กระทั่งทักษะของนักอาคมที่แทบจะเป็นความลับอยู่รอมร่อยังหาเจอได้อีก...น่าเสียดายที่ซื่อบื้อไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคำ ‘ยอดฝีมือ’ ก็สมจริงโดยแท้ !”

 

เมื่อกลับมาถึงบ้านของตัวเอง เฉินเฟิงรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ยังไงยังงั้น คิดไม่ถึงเลยว่าอาชีพจอมเวทมันจะซับซ้อนขนาดนี้ มิน่าเล่าโง่ละอายถึงได้บอกว่า ผู้เล่นที่ได้อาชีพจอมเวทมีน้อยยิ่งกว่าน้อย

เฉินเฟิงนึกถึงเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพที่ปฏิบัติภารกิจลุล่วงพร้อมกันกับเขา ไม่รู้ว่าพวกเธอสองคนไปเรียนเวทมนตร์กันแล้วหรือยัง ระยะทางแห่งการทดสอบ ๑๕ ชั่วโมงนั่นต้องอึดน่าดูกว่าจะผ่านไปได้ สำหรับผู้หญิงด้วยแล้วคงจะยิ่งน่ากลัวแน่ๆ ! ถ้ายอมแพ้เสียกลางคัน ก็ออกจะน่าเสียดายอยู่

คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดเป็นกังวลแทนสองสาวไม่ได้ แต่ตอนนี้ดันติดต่อสองสาวไม่ได้เสียด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเธอทำงานกันไปถึงไหนแล้ว เพราะไม่ได้ติดต่อกับพวกเธอมาตั้งพักใหญ่

สามารถกล่าวได้ว่าสองสาวเป็นคนแรกสุดที่เฉินเฟิงได้รู้จักในเกมราชาฯนี้ และเป็นเพื่อนกลุ่มแรกสุดที่ได้ไปผจญภัยด้วยกัน ถึงแม้เวลาจะแค่สั้นๆ แต่เพราะการได้ไปผจญภัยร่วมกับพวกเธอที่ทำให้นับแต่นั้นมาเฉินเฟิงก็สามารถเปิดใจเตร็ดเตร่ไปมาในโลกแห่งเกมราชาฯได้อย่างอิสระ

เฉินเฟิงเขียนสิ่งที่ตัวเองได้รู้มาลงในจดหมายส่งไปให้สองสาว พร้อมกับถามว่ามีอะไรให้เขาช่วยได้บ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็ให้บอกมาได้เลยโดยไม่ต้องเกรงใจเพื่อนของพวกเธอคนนี้ และไม่ลืมบอกว่าถ้ามีเวลาว่างก็ให้ติดต่อมาหากันบ้าง เพราะเขาไม่อยากเสียเพื่อนสองคนนี้ไป แบบนั้นโลกของเกมราชาฯมีหวังน่าเบื่อกว่าเดิมเยอะ !

ในภัตตาคารเมืองท่าเซียงห่าย เฉินเฟิงกำลังก้มหน้าก้มตาสวาปามอาหารเต็มโต๊ะอย่างเอาเป็นเอาตาย เรื่องเติมท้องให้เต็มเป็นเรื่องรอง เรื่องเสพความอร่อยของมันสิเรื่องหลัก ตอนนี้เขาถูกพิษของมันลึกล้ำเข้าไปทุกที แม้จะยังเสียดายค่าอาหารตั้ง ๕๐๐ เหรียญเงินอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมากินทุก ๒ - ๓ วันอยู่ดี ทำให้เขายิ่งนึกนับถือสายตาอันยาวไกลของบริษัทเลจจ์มากขึ้นทุกขณะ

การออกแบบอย่างนี้ทำร้ายกันไม่ใช่น้อยๆ เลย มองดูผู้คนที่เนืองแน่นในภัตตาคารแล้วเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ต่อให้รู้ดีว่าไปแล้วไปลับไม่ได้กลับมา ก็ยังแย่งกันพุ่งเข้าไปหาเปลวไฟอยู่ดี วิธีการหาเงินแบบนี้สิเลิศล้ำโดยแท้ !

คนทั้ง ๑๖ ที่นัดไว้มาตามนัดอย่างตรงเวลา เพียงแต่ออกจะเห็นได้ชัดว่ามอมแมมไปด้วยฝุ่นละออง พนักงานต้อนรับรีบต่อโต๊ะสองตัวเข้าหากัน แล้วทั้ง ๑๖ คนก็โดดเข้าร่วมวงปอบเขมือบทันที

หนานอี๋ยิ้มหวานพลางพูดว่า “พี่เฟิงขา พี่นี่ว่างดีนะ เห็นแล้วน่าอิจฉาจังเลย ฉันไม่สนใจแล้ว ยังไงมื้อนี้พี่ต้องเป็นคนเลี้ยงนะ !”

หยกม่วงรีบผสมโรงทันทีว่า

“เห็นด้วยๆ ! ถือว่าพี่เฟิงเชิญร่วมงาน ‘ขึ้นบ้านใหม่’ แล้วกัน แต่ไม่มีซองแดงให้หรอกนะ ก็พวกเราเป็นแค่ลูกคนจนๆ เท่านั้นนี่ !”

เฉินเฟิงพูดอย่างใจกว้างว่าไม่มีปัญหา แถมยังบอกว่าถ้าทุกคนไม่กลัวว่ากินมากเกินไปแล้วจะ “ออกข้าง” ก็สั่งมากินให้เต็มที่ได้เลย

เจี๋ยเต๋อแกล้งพูดด้วยท่าทางซีเรียสว่าเกมราชาฯไม่มีการออกแบบในเรื่องนี้ จากนั้นหยิบเมนูมาจงใจเลือกสั่งแต่อาหารชั้นเลิศราคาแพงลิบ แถมยังลากอะไรก็ได้มาสุมหัวช่วยกันคิดวิธีเลือกสั่งแต่ของราคาแพงๆ แต่ทุกคนต่างกินได้อีกต่างหาก เมื่อมีสองเสนาธิการสุมหัวช่วยกันคิดกันแบบนี้ กระเป๋าเงินของเฉินเฟิงมีหรือจะไม่โดนขูดจนเลือดซิบได้...

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:38

0 ความคิดเห็น