หัวข้อ : เล่มที่ ๔ รวมพลก่อตั้งสมาพันธ์ ตอนที่ ๗ แย่งชิงดุเดือด

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:47

ตอนที่ ๗

 

แย่งชิงดุเดือด

 

 

เฉินเฟิงยิ่งงงเข้าไปใหญ่

“เดี๋ยวก่อน...ฉันแกล้งทำเป็นซื่อบื้อที่ไหนกันหา การข่าวของฉันมันอืดเกินไปอยู่เรื่อย เลยตามสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไม่เคยทันซักครั้ง นายตั้งกลุ่มอะไรหรือ ? ฉันไม่รู้จริงๆ นะ ! อีกอย่าง นายเองก็น่าจะรู้นี่ว่าตอนนี้ฉันไม่เหมาะจะเข้ากลุ่มสมาคมที่มีอาชีพแค่อาชีพเดียวกลุ่มไหนทั้งนั้นจริงๆ หรือข่าวสารของนายจะห่วยพอๆ กับฉันกันวะ ?”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศหัวเราะออกมาทันควัน

“มิน่าล่ะใครๆ ถึงเรียกนายว่ายอดฝีมือซื่อบื้อ นายนี่ยังซื่อบื้อเหมือนเดิมจริงๆ พูดตามตรงนะ ถ้าไม่เพราะคบกับนายมานานหลายปี รับรองว่าคำพูดของนายเมื่อกี้ต้องทำให้ฉันสะบัดแขนเสื้อจากไปชัวร์ๆ ปัญหาของนายน่ะ ฉันรู้ดีแน่ๆ ล่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้คิดจะลากนายไปเข้ากลุ่มของฉัน แต่ฉันคิดจะเข้ากลุ่มของนายต่างหาก ! นายกำลังคิดจะตั้งกลุ่มอยู่ไม่ใช่เหรอ ? หรือนายไม่มีปัญหาเรื่องสมาชิกที่จะมาเข้ากลุ่มเลย ?”

เฉินเฟิงตะลึง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เริ่มทำเลยด้วยซ้ำ นายรู้ได้ยังไงกันน่ะ ?”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศทำท่ามีลับลมคมใน “ฮ่าๆ...ฉันน่ะนักเล่นเกมอาชีพมือเก่านะเฟ้ย ก็ต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ในเกมราชาฯนี่คนที่รู้ว่านายจะตั้งกลุ่ม มือข้างเดียวคงนับออกมาได้ก็เท่านั้นเอง ครุโฬเป็นใครกันแน่ เขากำลังใช้ชื่อของนายรับสมัครคนอยู่นะ ?”

“ในเมื่อคนที่รู้เรื่องนี้ในเกมราชาฯยังมีน้อยมาก แล้วนายรู้ได้ยังไงกัน ? ครุโฬเป็นเพื่อนใหม่ที่ฉันเพิ่งจะมารู้จักในเกมราชาฯนี้ เรื่องกลุ่มเขาน่ะแหละเป็นคนคิดวางแผน เขาน่าจะไม่มีปัญหานะ” เฉินเฟิงว่า

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศส่ายหน้า “นับถือนายเลยจริงๆ...นี่นายไม่รู้จริงๆ หรือว่าเขาเป็นยอดคนจากสารทิศใดน่ะ !”

“ยอดคนจากสารทิศใด ? เขาดังมากเหรอ ? ฉันรู้แค่ว่าเขาเองก็เป็นนักเล่นเกมอาชีพเหมือนกัน อายุเท่าฉันแต่อ่อนเดือนกว่าหน่อย และนับพี่นับน้องกับฉันในเกมราชาฯนี้ เขาเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว นายก็รู้จักเขาเหมือนกันหรือ ?”

“รู้จัก ฉันรู้จักเขาแน่ แต่เขาน่าจะไม่รู้จักฉันก็เท่านั้น นักเล่นเกมอาชีพมือเก่าแทบทุกคนรู้จักเขากันทั้งนั้นแหละ” เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศพูด แล้วถอนใจ สองตาทอประกายประหลาด พูดต่อว่า “พูดได้ว่าเขาเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นที่หนึ่งของนักเล่นเกมอาชีพ เป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยตำนาน ปาฏิหาริย์ที่เขาสร้างขึ้นมา พูดสามวันสามคืนก็ไม่จบ และเป็นเพราะเขากำลังเรียกระดมคนนี่แหละที่ทำให้ฉันรู้ว่านายบุกบั่นจนดังระเบิดขนาดนี้ ก็เลยเผ่นมาหานายนี่ไง !”

เฉินเฟิงงงไปหมด ครุโฬเป็นบุคคลที่เป็นตำนาน ? อย่างนั้นทำไมคนในเกมราชาฯที่รู้จักครุโฬถึงมีไม่มากกันล่ะ ? อีกอย่างถ้าครุโฬเก่งมากถึงขนาดนี้ แล้วจะมาช่วยเขาตั้งกลุ่มไปทำไมกัน ? ไปตั้งกลุ่มเอาเองไม่ดีกว่าหรือ ? มาช่วยลูกวัวเพิ่งคลอดอย่างเขาตั้งสมาพันธ์จะมีประโยชน์ต่อตัวครุโฬมากกว่างั้นหรือ ? หรือครุโฬมีเหตุผลหรือจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษกันแน่ ?

พอหันไปมองก็รู้สึกว่าแววตาของเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศดูคุ้นตาเอามากๆ เหมือนกับเขาเองก็เคยมีแววตาแบบนั้นมาก่อน แต่มันออกจะผ่านมานานมากแล้ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นึกออกว่าความรู้สึกแบบนั้นหมายถึงอะไร นั่นเป็นแววตาที่จะมีเวลาพูดถึงฮีโร่ของตัวเองนั่นเอง !

แววตาที่เคยมีตอนคลั่งไคล้ดาราเมื่อสมัยยังวัยรุ่น กลับมาปรากฏอยู่ในตัวเมฆจอมพลังที่มักจะมั่นใจในตัวเองสูงจนเวอร์คนนี้ได้ ทำให้เฉินเฟิงยิ่งประหลาดใจมากขึ้นทุกทีว่าครุโฬมีเสน่ห์อะไรกันแน่

ทั้งสองต่างก็จมอยู่กับภวังค์ความคิด ทำให้บรรยากาศเงียบงันไปครู่ใหญ่ เฉินเฟิงกำลังคิดจะถามถึงเรื่องของครุโฬต่อ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศก็ชิงโพล่งขึ้นก่อนว่า

“ที่ฉันรู้ว่านายกำลังคิดจะตั้งกลุ่ม นอกจากเขาแล้ว...ยังเป็นเพราะมีเทพ[1]อีกคนหนึ่งกำลังอาละวาดใหญ่โตเพราะเรื่องตั้งกลุ่มของนาย นายรู้หรือเปล่าว่าเขาคือใคร ?”

เฉินเฟิงตะลึง “ยังมีคนอื่นอีกหรือ ?”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศถอนหายใจอีกครั้ง “นายไม่รู้จริงๆ ด้วยแฮะ ! เคยได้ยินชื่อเกมออนไลน์ ‘ฝันที่เป็นจริง’ มั้ย ?”

“นายความจำเสื่อมแล้วเรอะ ! สองปีก่อนนายยังลากฉันเข้าไปเล่นอยู่เลย แต่หลังจากนั้นงานมันยุ่งมากก็เลยไม่ค่อยได้เข้าไปเล่น นายลืมไปแล้วเรอะ ? เกม ‘ฝันที่เป็นจริง’ คนที่เคยเล่นเกมออนไลน์คนไหนบ้างที่ไม่รู้จัก แต่เพราะเกมนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องผู้เล่นย้ายไปเล่นเกมอื่นเป็นจำนวนมหาศาลได้ ตอนนี้ก็เลยค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงแล้ว อยู่ๆ มาพูดถึงเรื่องนี้ มันเกี่ยวอะไรกับฉันหรือไง ? ชื่อตัวละครที่นั่นของฉันคือสายลม จนตอนนี้ระดับยังค้างเติ่งอยู่แค่ระดับ ๑๐ อยู่เลย !”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเกาศีรษะเขินๆ “แหะๆ ฉันเป็นคนพานายเข้าไปเล่นเกมฝันฯหรอกเหรอ...ถ้านายไม่บอก ฉันก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย ขอโทษทีนะ ! แต่ที่เรื่องตั้งกลุ่มของนายกลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตน่ะ สนามรบอยู่ในเกม ‘ฝันที่เป็นจริง’ โน่น ! เทพของสายต่อสู้กับเทพของสายผลิตกำลังแย่งตัวนายกันอยู่ แต่กลายเป็นว่านายที่เป็นตัวต้นเหตุดันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ? ตอนนี้มีคนตั้งเกือบพันคนกำลังสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อจะได้เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มนายเชียวนะ”

“เดี๋ยวๆๆ ! นายยิ่งพูดฉันยิ่งสับสนไปหมดแล้ว เทพสองคน ? นี่ฉันไปเกี่ยวข้องกับเทพสองคนของเกม ‘ฝันที่เป็นจริง’ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย ?”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศกระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วถอนใจ

“ช่างเถอะ ไม่พูดอ้อมค้อมกับนายแล้วดีกว่า เทพสองคนนั้น ก็คือประมุขของตำหนักหงสาและตำหนักเทพสงคราม พวกเขาสองคนคนหนึ่งก็คือพี่น้อง ‘ครุโฬ’ ของนาย ส่วนอีกคนคือหัวหน้าหลังม่านของสมาพันธ์ดาบกระบี่ ‘เลเอทท์’ แบบนี้นายคงพอจะเข้าใจแล้วล่ะนะ ?”

เฉินเฟิงตะลึง “สมาพันธ์ดาบกระบี่ ? ทำไมถึงเป็นเขาได้ล่ะเนี่ย ? พูดตามตรง แบบนี้ฉันยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ถึงฉันจะรู้จักเลเอทท์เหมือนกันก็เถอะ แต่จนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาเป็นประมุขของตำหนักเทพสงครามในเกมฝันที่เป็นจริง ? มิน่าล่ะถึงมีคนอยากจะเข้าสมาพันธ์ดาบกระบี่มากขนาดนั้น แต่ว่า...แต่ว่าฉันก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขามากนี่นา ?”

“เรื่องนี้ก็ต้องไปถามเจ้าตัวเขาแหละนะ ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แต่เขาสองคนกำลังสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในเกม ‘ฝันที่เป็นจริง’ ชัวร์ๆ เหมือนมีข้อตกลงอะไรกันอยู่งั้นล่ะ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปพูดถึงพวกเขาเลย เพราะถึงยังไงฉันก็มาหานายเองตรงๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านพวกนั้นอยู่แล้ว พูดมาก็ตั้งนานแล้ว ตกลงพี่น้องจะรับฉันหรือเปล่าหา ? ฉันมีพี่น้องร่วมก๊วนที่เชื่อใจได้มาด้วยสิบกว่าคน ทุกคนต่างก็อยากจะติดตามนายกันทั้งนั้น แถมยังกำลังรอคำตอบของนายอยู่นะ !”

 

ขณะที่เฉินเฟิงกับเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศกำลังเรียกพี่เรียกน้องกันอยู่ในโลกของเกม “ราชาแห่งราชัน” เวลาเดียวกันนี้แต่เป็นในเกม “ฝันที่เป็นจริง” อันเป็นโลกสมมติคนละแห่ง มือของ หงสาเพลิงกัลป์ (เลี่ยหั่วเฟิ่งหวง) กำลังถือสารประกาศสงครามที่ มาร์ส (Mars) ประมุขแห่งตำหนักเทพสงครามส่งมา ผู้เล่นที่รายล้อม ๗ - ๘ คนต่างเงียบงันไม่เอ่ยคำ รอแต่เพียงคำตัดสินใจของหงสาเพลิงกัลป์ประมุขแห่งตำหนักหงสาผู้นี้

หงสาเพลิงกัลป์กระแอมเล็กน้อยแล้วพูดว่า

“เผิงเฉิง ติดต่อบอกพี่น้องที่คิดจะรั้งอยู่ให้จากไปเรียบร้อยหรือยัง ?”

ผู้เล่นคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วพูดว่า

“ลูกพี่ พี่น้องไปกันแล้ว ๑๗๐ คน ได้ให้เงินช่วยเหลือไปคนละห้าล้านเหรียญฝัน พี่น้องที่เหลือ ๙๖๐ คนไม่ยอมไป และตัดสินใจจะสู้ร่วมกับลูกพี่”

หงสาเพลิงกัลป์ขมวดคิ้ว พูดเบาๆ “มากอย่างนี้เชียว...แน่ใจหรือเปล่าว่าติดต่อแจ้งครบทุกคน ? หลังจากสงครามครั้งนี้ จะไม่มีตำหนักหงสาอยู่อีกแล้ว พวกนายไม่นึกเสียใจแน่หรือ ?”

ผู้เล่นหญิงอีกคนพูดขึ้นว่า “เพลิงกัลป์ นายจะไปจากเกมฝันฯจริงๆ หรือ ? ความจริงไม่ใช่ว่าพี่น้องทั้ง ๙๖๐ คนไม่อยากจากไปหรอก เพียงแต่ตั้งแต่ยังเป็นแค่มือใหม่ พวกเขาก็ช่วยกันประคับประคองตำหนักหงสาให้ยืนหยัดมาจนถึงบัดนี้โดยไม่เคยให้กลุ่มอื่นดูถูกได้มาก่อน...ตำหนักหงสาอาจไม่ได้โด่งดังด้านการต่อสู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าหงสาสู้ไม่เป็น ทุกคนต่างบอกว่าไม่ว่าจะจากไปหรือไม่ อย่างน้อยก็ต้องเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ให้ได้ !”

หงสาเพลิงกัลป์ถามว่า “อย่างนั้นพวกนาย ๘ คนล่ะ ? ฉันบอกแล้วว่าจะไม่มีการบังคับ เพราะเรื่องครั้งนี้เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวของฉัน ที่ทำให้ทุกคนต้องมาพลอยติดร่างแหไปด้วยนี่ฉันก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว”

เผิงเฉิงพูดว่า “ความจริงทุกคนคิดจะจากไปกันตั้งนานแล้ว เพียงแต่ลูกพี่ยังไม่ตัดสินใจเสียทีว่าจะไปที่ไหนดี ทุกคนต่างก็ลองมาแล้วหลายเกม สุดท้ายก็สู้ติดตามลูกพี่ไม่ได้ ในเกม ‘ฝันที่เป็นจริง’ นี่เราผ่านมาหมดแล้วทุกอย่าง ขาดก็แต่สงครามใหญ่ระหว่างกลุ่มเท่านั้น ครั้งนี้เท่ากับเปิดโอกาสให้ทุกคนได้วาดฉากจบอันสวยงามพอดีเชียว !”

หงสาเพลิงกัลป์หันไปมองทุกคน แล้วยิ้ม “ที่แท้พวกนายก็อยากจะทำอะไรให้มันระบือลือลั่นอยู่แล้วนี่เอง ! ฉันขอย้ำอีกหนเป็นครั้งสุดท้าย ตามฉันไปเกม ‘ราชาแห่งราชัน’ น่ะ ฉันไม่ได้เป็นหัวหน้าหรอกนะ ครั้งนี้ฉันเองก็เป็นลูกน้องเขาเหมือนกัน ดังนั้นจึงรับประกันไม่ได้หรอกว่าจะช่วยให้ทุกคนมีเงินใช้ได้ !”

ผู้เล่นหญิงพูดว่า “จะหาเงินได้หรือเปล่า เดิมทีต่างคนต่างก็ต้องพยายามกันเอาเองอยู่แล้ว ที่ผ่านๆ มาลูกพี่เสียสละมามากพอแล้ว ลองดูสงครามครั้งนี้สิ รู้ทั้งรู้ว่าต้องขาดทุน ทุกคนก็ยังคิดจะเข้าร่วมอยู่ดี ที่พวกเราทุกคนสนใจอยากจะรู้ก็คือ ใครกันที่ทำให้ลูกพี่เปลี่ยนความคิดได้นี่แหละ !”

หงสาเพลิงกัลป์หัวเราะก้อง “ไปถึงก็รู้เองนั่นล่ะ เขาเป็นคนที่น่าสนใจเอามากๆ ถึงจะรับประกันไม่ได้ว่าจะหาเงินได้ แต่พอได้อยู่ใกล้ๆ เขาแล้วจะมีเรื่องให้ได้ตื้นตันใจอยู่ตลอด ถ้าสนใจก็ตามมาได้เลย ! ตอนนี้มาทำให้คนของตำหนักเทพสงครามได้รู้กันเถอะว่า ตำหนักหงสาไม่แค่เป็นอันดับหนึ่งด้านการผลิตและทำกำไรเท่านั้น ด้านการต่อสู้พวกเราก็เป็นที่หนึ่งเหมือนกัน !”

 

อีกด้านหนึ่ง ณ ตำหนักเทพสงคราม สหพันธ์สายต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกม “ฝันที่เป็นจริง” มาร์สกำลังนั่งอึ้งอยู่บนบัลลังก์เพียงลำพัง คนในกลุ่มทั้ง ๕,๐๐๐ กว่าคน คนที่ยอมร่วมสู้กับเขาในสงครามครั้งนี้กลับมีแค่ไม่ถึง ๑,๐๐๐ คน...ไอ้พวกที่ปกติเอาแต่อาศัยบารมีของเขา พอเห็นว่าเป็นสงครามที่ไม่มีผลประโยชน์ให้ ก็พากันเผ่นหนีไปจนหมดเกลี้ยง เขาปกครองพลาดไปตรงไหนกันแน่ ? ปัญหานี้เขาต้องขบให้แตกให้ได้

เสียงประกาศแจ้งจากระบบได้ดังขึ้นกลางอากาศว่า

“ตำหนักหงสาเพลิงกัลป์รับคำท้าสารประกาศสงครามที่ตำหนักเทพสงครามส่งออกไปอย่างเป็นทางการ ผู้เล่นของทั้งสองฝ่ายโปรดระวัง สงครามจะเริ่มต้นขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง”

ผู้เล่นคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องโถงใหญ่ แล้วร้องว่า

“ลูกพี่ ! ลูกพี่ส่งสารประกาศสงครามไปแล้วจริงๆ หรือ ? ตำหนักหงสามันขนสมบัติไปจนหมดเกลี้ยงมาตั้งนานแล้ว ต่อให้สู้ชนะก็ไม่ได้เงินสักแดง แล้วอย่างนี้จะไปแก้ต่างกับพวกพี่น้องว่ายังไงกันล่ะพี่ !”

มาร์สพูดอย่างรำคาญ “การตัดสินใจของฉันจำเป็นต้องไปแก้ต่างอะไรกับใครตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ใครที่ไม่อยากสู้ก็ไสหัวไปให้หมด ตำหนักเทพสงครามไม่ต้องการพรรคพวกที่ไม่ฟังคำสั่ง !”

ผู้เล่นคนนี้ส่ายหน้าพลางถอนใจ “ลูกพี่ การตัดสินใจครั้งนี้ของพี่จะทำให้พวกพ้องเอาใจออกห่างเอานะ...”

“หมัดนี่แหละเหตุผลที่แข็งแกร่งที่สุด ! พอสู้ชนะเดี๋ยวมันก็หงอเองนั่นล่ะ แค่องครักษ์พิทักษ์ตำหนัก ก็ไม่มีกลุ่มไหนสู้ตำหนักเทพสงครามได้แล้ว ดีเหมือนกันที่หนนี้ฉันจะได้รู้ซึ้งถึงสันดานของไอ้พวกเศษขยะที่รู้จักแต่แบ่งเงิน ! กะอีแค่ตำหนักหงสาเล็กๆ นั่นก็กลัวกันลานถึงขนาดนี้ แล้วจะตามฉันไปบุกบั่นเกมใหม่ได้ยังไงกันวะ ? ดาบสวรรค์ (เทียนเตา) ทำไมนายก็พลอยงี่เง่าตามคนอื่นไปด้วยล่ะหา ? เงินหลายร้อยล้านในตำหนักไม่ต่างอะไรเลยกับเศษขยะ ตอนนี้แหละเป็นเวลาสำหรับเลือกคนแล้ว !”

“ลูกพี่ ปัญหาคือพวกรองประมุขไม่ยอมทิ้งที่นี่น่ะสิ ! พวกเขาบอกว่าถ้าลูกพี่คิดจะไป ก็ต้องแยกบ้านแบ่งสมบัติกันละ และบอกว่าตำหนักเทพสงครามไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของลูกพี่ จะสู้หรือไม่ต้องให้ทุกคนเห็นด้วยถึงจะได้”

มาร์สโพล่งอย่างโกรธจัด “แบ่ง ! แบ่ง ! ไอ้พวกนี้รู้จักแต่ขอแบ่ง ไม่เคยคิดซะบ้างว่าพวกมันเคยทำความดีความชอบอะไรให้ที่ไหน ถ้าจะแบ่งก็ให้พวกมันมาพูดกับฉันเอง ฉันจะได้ไล่พวกมันออกไปให้หมด ไม่รู้จักดูสถานการณ์ซะบ้างเลย !”

“ลูกพี่ พวกเขาถือดีที่ลูกพี่ยังต้องรับสมัครคนอยู่น่ะสิ ก็เลยไม่กลัวว่าจะถูกพี่ไล่ออก ! ถ้าลูกพี่ไล่พวกเขาออกตอนนี้ แล้วจะเหลือคนที่กล้าติดตามลูกพี่สักกี่คนกัน ? พวกเขาเป็นถึงรองประมุขเชียวนะ ! ขนาดตำแหน่งรองประมุขยังง่อนแง่นขนาดนั้น แบบนี้ตอนไปบุกเบิกเกมใหม่ ใครจะไปแน่ใจว่าลูกพี่จะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน[2] ?”

มาร์สเอามือตบที่เท้าแขนบัลลังก์โดยแรง

“พอฉันป่วยก็ฉวยโอกาสฆ่า ดี ! ดี ! ไอ้พวกนี้มันเรียนรู้วิชาไปจากฉันจนหมดไส้หมดพุงจริงๆ ! ในที่สุดฉันก็ได้ลิ้มรสแผนนี้เข้าจนได้ ถ่ายทอดคำสั่งไป ถ้าชนะสงครามครั้งนี้ จะแบ่งสมบัติของกลุ่มทั้งหมด แต่ถ้าแพ้ ก็ไม่มีอะไรเหลือทั้งนั้น ! เปลี่ยนไปเป็นเงื่อนไขสูงสุด ฝ่ายที่แพ้สงครามต้องสลายกลุ่ม ไม่พังไม่เลิก !”

 

หลังจากรับปากเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศว่าจะให้ตำแหน่งหัวหน้าตึกเป็นอย่างน้อยแล้ว เฉินเฟิงค่อยถูกปล่อยตัวออกมาจากภัตตาคาร กลับมาถึงบ้านของตัวเอง เขาก็เอาแต่คิดอย่างข้องใจว่า “เทพสองคนดันมาสนใจเราพร้อมๆ กัน ?” สองคนนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าไม่ได้คำตอบเรื่องนี้จนกระจ่างล่ะก็ เขามีหวังกินไม่ได้นอนไม่หลับแหงๆ

หลังจากคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฉินเฟิงก็เขียนจดหมายให้สองคนนั้นคนละฉบับ และคิดต่อไปว่าถ้าตั้งกลุ่มขึ้นมาจริงๆ ต้องทำยังไงถึงจะเป็นผู้นำที่ดีได้

ทันใดนั้นความคิดของเฉินเฟิงก็ถูกขัดกลางคันด้วยเสียงเรียกของเพื่อนที่ติดต่อมาทางช่องลับ

ปรากฏว่าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คนเชิญเฉินเฟิงไปทานข้าวด้วยกัน เพิ่งจะทานไปหมาดๆ ก็มีคนมาเชิญอีกแล้ว หรือวันนี้จะเป็นวันดีในการทานข้าวกันเนี่ย ? เนื่องจากหัวหน้าคมพิรุณบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา ดังนั้นถึงเฉินเฟิงจะไม่หิว ก็ต้องรับคำเชิญอยู่ดี

เพิ่งจะก้าวเข้าไปในภัตตาคาร เถ้าแก่ร้านเห็นเฉินเฟิงเข้าก็ทำหน้าตกใจ พูดว่า

“คุณลูกค้ามาเยือนร้านเราอีกแล้ว หรือลืมของอะไรไว้ครับ ?”

“ไม่ใช่ครับ ผมแค่นัดคนคุยธุระอีกแล้วน่ะ ทำไมหรือครับ หรือมีกฎว่าห้ามใช้ภัตตาคารติดต่อกัน ?”

เถ้าแก่โค้งให้แล้วพูดว่า “ไม่มีกฎนี้แน่นอนอยู่แล้วครับ ! เมื่อครู่ผมลองเช็คบันทึกค่าใช้จ่ายของคุณลูกค้าดู ปรากฏว่าจำนวนครั้งที่คุณลูกค้าใช้บริการภัตตาคารเกินกว่า ๑๐ ครั้งแล้ว พอจะนับได้ว่าเป็นลูกค้าประจำแล้วล่ะครับ ในเมื่อคุณลูกค้าต้องการจะคุยธุระ อย่างนั้นทางร้านของเรามีห้องพิเศษให้บริการครับ ราคาอาหารโต๊ะละ ๑,๕๐๐ เหรียญเงิน แน่นอนว่าอาหารที่เสิร์ฟจะเป็นอาหารชั้นเลิศกว่าอาหารปกติทั่วไป นอกจากนี้ยังแถมสุราให้ ๒ ขวด ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจหรือเปล่าครับ ?”

เฉินเฟิงตะลึง ๑,๕๐๐ เหรียญเงินกินได้ตั้ง ๓ โต๊ะเชียวนะ ! ตอนแรกเขากะจะปฏิเสธ แต่เมื่อกี้ตอนที่คุยกับหลี่อวิ๋น ข้างๆ จะมีผู้เล่นแปลกๆ บางคนคอยถ่างหูเหมือนกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังแอบฟังอยู่งั้นล่ะ ในเมื่อพวกขบวนนักเวทและสัตว์บอกว่ามีธุระจะคุยด้วย อย่างนั้นลองใช้ดูก็ดีเหมือนกัน

เถ้าแก่ร้านเอากุญแจออกมาหนึ่งพวง แล้วเลือกออกมาหนึ่งดอกยื่นให้เฉินเฟิงพร้อมกับพูดว่า

“ขอขอบคุณคุณลูกค้าที่มาใช้บริการครับ นี่คือหมายเลขห้องของคุณ อีกสักครู่กรุณานำไปที่เคานเตอร์ แล้วเสี่ยวเอ้อร์จะพาคุณไปที่ห้องพิเศษเองครับ จริงสิ รบกวนคุณลูกค้าช่วยลงทะเบียนชื่อของแขกที่คุณเชิญเอาไว้ก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นแขกของคุณจะไม่สามารถเข้าไปหาคุณได้น่ะครับ”

การออกแบบอย่างนี้ดีไม่ใช่น้อย แต่ราคาออกจะแพงไปหน่อย เฉินเฟิงจึงแซวเล่นว่า

“เถ้าแก่ครับ ลูกค้าประจำน่าจะได้รับส่วนลดไม่ใช่หรือ ? แต่นี่ทำไมนอกจากจะไม่ได้รับส่วนลดแล้ว แค่ใช้ห้องเพิ่มขึ้นมาหน่อยก็เก็บเพิ่มขึ้นตั้งขนาดนี้ล่ะ ?”

เถ้าแก่หัวเราะ “คุณลูกค้านี่ขี้เล่นจังครับ มีส่วนลดแน่นอนอยู่แล้ว เทียบกับที่อื่น ร้านของเราถูกกว่ามากแล้วล่ะครับ ที่จุดติดต่อสอบถามเองก็มีห้องพิเศษสำหรับให้คุยธุระกันเป็นการส่วนตัว ที่นั่นน่ะคิดราคาเป็นชั่วโมงเชียวนะครับ โดยคิดชั่วโมงละ ๕๐๐ เหรียญเงิน แถมไม่มีน้ำชาให้อีกต่างหาก ! อีกอย่าง สุราที่ร้านของเราแถมให้ คือสุราเร้นดรุณที่ราคาขวดละ ๒๐๐ เหรียญเงินเชียวนะครับ ที่สำคัญที่สุดคือไม่จำกัดเวลาในการใช้ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คุ้มสุดคุ้ม !”

เฉินเฟิงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “อย่างนั้นเกิดพวกเราใช้แค่ชั่วโมงเดียว ก็ขาดทุนน่ะสิครับ ?”

“คุณลูกค้านี่ฉลาดจริงๆ ! เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากคุณลูกค้าสนใจ ก็สามารถซื้อคูปองซื้อล่วงหน้าได้ เล่มละ ๑๐ ใบ คิดคุณแค่ ๑๒,๐๐๐ เหรียญก็พอ แต่ละใบสามารถใช้รับประทานอาหารที่ห้องพิเศษได้ ๑ ครั้ง สุราจะยังคงแถมให้เหมือนเดิม แถมยังไม่จำกัดผู้ใช้ว่าต้องเป็นตัวคุณเองอีกด้วย นอกจากนี้ยังแถมให้ใช้บริการได้ฟรีอีก ๑ ครั้ง แน่นอนว่าบันทึกค่าใช้จ่ายยังคงบันทึกในชื่อของคุณอยู่เหมือนเดิม ได้ห้องใช้ส่วนตัวแถมได้ของแถมอีกต่างหาก มีข้อดีถึง ๒ อย่างควบ เป็นยังไงครับ คุณลูกค้าสนใจหรือเปล่า ?”

หลังผ่านการคลำทางมาได้พักหนึ่ง เฉินเฟิงก็ไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนอย่างตอนที่เพิ่งเริ่มเล่นเกมอีกแล้ว ตอนได้ยินราคาที่เถ้าแก่บอกมา ก็ไม่ได้แตกตื่นตกใจเหมือนอย่างเมื่อก่อน แถมประเด็นสำคัญคือเถ้าแก่ร้านพูดถึงบันทึกค่าใช้จ่ายถึง ๒ ครั้ง ๒ หน ถึงเขาจะยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่ามันต้องมีประโยชน์แน่

หวนคิดถึงหลายๆ ครั้งที่ได้พูดคุยติดต่อกับ NPC ของระบบ มักจะมีเรื่องจำพวกบันทึกอะไรสักอย่างบรรลุเงื่อนไขที่กำหนด ทำให้ได้รับภารกิจหรือมีคุณสมบัติอะไรใหม่ๆ โผล่มาอยู่เรื่อย ไม่ว่าจะเป็นหุ่นหญ้าแทนตัวที่แฟนนี่ให้มา หรือภารกิจของหูจื่อหลิงเถ้าแก่ร้านตีเหล็ก ก็ได้มาเนื่องจากจำนวนที่บันทึกไว้บรรลุเงื่อนไขที่กำหนดทั้งนั้น เพียงแต่เงื่อนไขในการบันทึกของแต่ละประเภทจะไม่เหมือนกันนัก แต่เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับจำนวนตัวเลข

ถึงแม้ดูเหมือนว่าตอนนี้โอกาสที่จะใช้บริการเรื่องพวกนี้จะมีไม่มากนัก แต่บ่อยครั้งที่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อทักษะหรือภารกิจมาได้

ยังไงตัวเขาก็ยังมีเงินอยู่อีกตั้งหนึ่งล้านกว่าเหรียญเงิน จ่ายครั้งละ ๑๒,๐๐๐ เหรียญเงินนี่ยังถือว่าเรื่องเล็ก หลังจากคิดตกแล้ว เฉินเฟิงก็ซื้อคูปองซื้อล่วงหน้ามา ๑๐ ใบทันที

เพิ่งจะซื้อขายกันเสร็จ สมาชิกขบวนนักเวทและสัตว์ก็มาถึงพอดี ทั้ง ๘ จึงให้เสี่ยวเอ้อร์นำตรงไปที่ห้องโดยไม่ต้องเสียเวลาลงทะเบียน

สามสาวแห่งขบวนนักเวทและสัตว์ต่างรับประทานอาหารกันเงียบๆ สามนักดาบกับอะไรก็ได้รับเหล้าไปอย่างไม่เกรงใจ ส่วนเฉินเฟิงดื่มน้ำชาอย่างเบื่อๆ อยู่คนเดียว

หัวหน้าคมพิรุณทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดอยู่หลายครั้ง แต่เฉินเฟิงเหมือนมองไม่เห็นยังไงยังงั้น สองตาเอาแต่จ้องถ้วยชาในมืออย่างเหม่อลอย ทำเอาบรรยากาศออกจะอึดอัดอยู่เล็กน้อย

ต่อให้กินช้ายังไง มันก็ต้องอิ่มเข้าจนได้ ในขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คน หนานอี๋สนิทกับเฉินเฟิงมากที่สุด หลังจากอีก ๖ คนที่เหลือพากันหยิบตาบอกใบ้ไม่ได้หยุด ในที่สุดหนานอี๋ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นว่า

“พี่เฟิง ! พี่เฟิง คิดอะไรอยู่หรือคะ ใจลอยไปไกลลิบเชียว ? ต้องขอโทษด้วยนะคะ พวกเราไม่รู้ว่าพี่ทานข้าวแล้ว ดันนัดพี่มาที่ภัตตาคาร...”

ข่าวสารที่เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศบอกมา จนตอนนี้เฉินเฟิงก็ยังไม่สามารถย่อยได้เลยด้วยซ้ำ แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกขบวนนักเวทและสัตว์ ก่อนที่จะตั้งกลุ่มขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ก็ไม่ค่อยสะดวกจะพูดออกไปเสียด้วย เฉินเฟิงจึงอ้างไปว่าตอนออฟไลน์พักผ่อนไม่พอ สมองก็เลยไม่ค่อยปลอดโปร่ง จากนั้นแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เปลี่ยนเรื่องด้วยการย้อนถามว่าคมพิรุณมีเรื่องอะไรจะปรึกษาเขาหรือ

คมพิรุณกระแอมเล็กน้อย แล้วพูดว่า

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ เพียงแต่คิดจะเชิญเฟิงซฺยง (พี่เฟิง)[3]ทานข้าวสักมื้อมานานแล้ว เพื่อเป็นการขอบคุณที่ครั้งก่อนคุณช่วยคลายวงล้อมให้พวกเรา ระยะนี้พวกเพื่อนๆ ที่ไปผจญภัยด้วยกันมีมาก ก็เลยไม่มีโอกาสออกปากสักที...คิดไม่ถึงว่าจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณเข้าให้”

เฉินเฟิงรีบพูดว่า “บอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร ไหงหัวหน้าคมพิรุณถึงยังพูดเรื่องนี้อีกล่ะ ? หรือไม่นับเฉินเฟิงเป็นเพื่อนซะแล้ว ? อย่าว่าแต่ความจริงผมเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อย ! จริงสิ หลังจากนั้นสมาพันธ์ดาบกระบี่คงไม่ได้มาหาเรื่องอีกหรอกนะ ?”

อะไรก็ได้พูดว่า “หาเรื่องน่ะไม่มีหรอก แต่เลเอทท์หัวหน้าสมาพันธ์ดาบกระบี่ได้มาเยือนหนหนึ่ง นอกจากมาขอโทษอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมาชวนพวกเราเข้าสมาคมอีกต่างหาก...หลังจากนั้นยิ่งมีหัวหน้าตึกของสมาพันธ์ดาบกระบี่มาเกลี้ยกล่อมอีกนับครั้งไม่ถ้วน ขอบังอาจถามเฟิงซฺยงสักหน่อยเถอะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสมาพันธ์ดาบกระบี่นี่...?”

“เรื่องนี้พูดไปแล้วเรื่องมันยาว” เฉินเฟิงว่า “ความจริงผมเองไม่ได้สนิทอะไรกับเลเอทท์มาก แต่เคยอยู่ด้วยกันกับอีกฐานะหนึ่งของเขามาระยะหนึ่ง ความจริงพวกคุณน่าจะเคยเห็นเขามาก่อนกันทั้งนั้นล่ะ เพียงแต่อาจจะไม่รู้ว่าเขาก็คือเขาเท่านั้น...”

หนานอี๋หัวเราะคิก “พี่เฟิงทายคำใบ้อะไรกันคะนี่ ! เขาไม่ใช่เขาอะไรกันน่ะ...หรือเขาจะมีร่างแยกด้วย ? ถึงตอนแรกๆ เกมราชาจะให้เล่นเป็นตัวละครหลายตัวได้ แต่นั่นเขาออกแบบมาเพราะกลัวว่าผู้เล่นจะไม่ชอบตัวละครที่เล่นตัวแรกเท่านั้น พอลงทะเบียนอย่างเป็นทางการปุ๊บ หนึ่งคนก็จะเล่นได้แค่หนึ่งตัว เลเอทท์เป็นถึงหัวหน้าสมาพันธ์แล้ว คงไม่ใช่ว่าจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ลงทะเบียนหรอกนะคะ ?”

เฉินเฟิงงงไป แล้วอธิบายว่า “แหะๆ ขอโทษที ! ผมพูดไม่ชัดเจนเองแหละ เลเอทท์ก็คือฮาร์ท ผู้ดูแลคลังเก็บไอเท็มบนเกาะเริ่มต้นไงครับ เมื่อกี้ผมถึงได้พูดว่าทุกคนน่าจะรู้จักเขากันทั้งนั้น ตอนแรกๆ เขายังให้หนังสือ ‘คู่มือสัตว์อสูร’ ผมมาเล่มนึงเลย แถมยังสอนอะไรๆ ให้ผมไม่ใช่น้อย พอจะนับเป็นเพื่อนคนหนึ่งได้ แต่ตัวละครเลเอทท์นี่ ผมเคยพบมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

เหล่าขบวนนักเวทและสัตว์ค่อยเข้าใจกระจ่าง แต่ด้วยความสัมพันธ์แค่นี้ ไม่น่าจะถึงกับพยายามชักจูงให้เข้าสมาพันธ์อย่างเอาเป็นเอาตายถึงจะถูก

ระหว่างที่ทั้ง ๗ กำลังย่อยข่าวสารที่เพิ่งได้รับทราบมา เฉินเฟิงก็พูดต่อโดยบอกข่าวสารที่หลี่อวิ๋นบอกมาออกไป แน่นอนว่ามีแต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับฐานะของเลเอทท์ที่ทำให้คนทั้ง ๗ ยิ่งตกตะลึง...

เทียบกับเลเอทท์แล้ว ถึงแม้เฉินเฟิงจะรู้จักกับขบวนนักเวทและสัตว์ทีหลัง แต่เขาก็สนิทกับ ๗ คนนี้มากกว่าเลเอทท์มาก เพราะเมื่อเทียบความผูกพันที่เกิดจากการได้รับบอกข่าวสารเพียงอย่างเดียวกับความผูกพันที่เกิดจากการร่วมรบแล้ว อย่างหลังเพิ่มความเหนียวแน่นได้ง่ายดายกว่าหลายเท่า

ครู่ใหญ่ต่อมา หนานอี๋เป็นตัวแทนพูดขึ้นอย่างเคยว่า

“คิดไม่ถึงเลยว่าเลเอทท์จะร้ายกาจขนาดนี้ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเกมฝันที่เป็นจริงไม่มีทางเก่งแต่ชื่อแน่ แล้วพี่เฟิงคิดจะเข้าสมาพันธ์ดาบกระบี่หรือเปล่าคะ ?”

เฉินเฟิงตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ไม่ ! ผมก็นับถือความสามารถของเขาอยู่หรอก แต่มันคนละเรื่องกับการเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มเขา ถึงผมเองอยากจะมีสมาพันธ์ที่แข็งแกร่งช่วยหนุนหลังอยู่เหมือนกันก็เถอะ แต่ผมไม่ชอบกลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ ก็จริงอยู่ว่าสมาพันธ์ดาบกระบี่มีสมาชิกเยอะ คนที่คิดจะเข้าสมาพันธ์ยิ่งมีไม่ใช่น้อยๆ แต่แค่คนพวกนั้นที่ได้เจอเมื่อครั้งก่อน ก็ทำให้ความเป็นไปได้ที่ผมจะเข้าสมาพันธ์ลดลงมากแล้วล่ะ”

ขบวนนักเวทและสัตว์ย่อมจะทราบดีว่าเฉินเฟิงหมายถึงคนพวกไหน ความจริงที่วันนี้พวกเขานัดเฉินเฟิงมาพบ เป้าหมายสำคัญคือคิดจะถามเรื่องนี้ให้เคลียร์

สมาพันธ์ดาบกระบี่ได้บอกออกมาอย่างชัดเจนว่า กลุ่มคนที่มีเรื่องบาดหมางกับพวกเขาทั้ง ๗ กลุ่มนั้นได้ถูกเลเอทท์ไล่ออกไปหมดแล้ว ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าเขาทำเพราะเห็นแก่หน้าเฉินเฟิงโดยเฉพาะ แถมดูเหมือนตราบใดที่พวกขบวนนักเวทและสัตว์ยังไม่ยอมเข้าสมาพันธ์ พวกนี้ก็ไม่คิดจะยอมหยุดส่งคนมาเกลี้ยกล่อม เนื่องจากทนรำคาญไม่ไหวทั้ง ๗ จึงได้แต่มาหาเฉินเฟิงเสียเลย

เฉินเฟิงคิดไม่ถึงเลยว่าเลเอทท์ให้ความสำคัญกับเขามากถึงขนาดนี้ ข่าวสารที่หลี่อวิ๋นนำมาบอก เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอเอาท่าทีที่สมาพันธ์ดาบกระบี่มีต่อขบวนนักเวทและสัตว์ที่พลิกกลับชนิด ๑๘๐ องศามาพิจารณาประกอบแล้ว ดูท่าเขาจำเป็นต้องคุยกับเลเอทท์ให้รู้เรื่องสักที

ถึงยังไงตอนนี้เลเอทท์ก็ไม่ได้ออนไลน์ เฉินเฟิงจึงโยนเรื่องกลุ้มใจเกี่ยวกับกลุ่มทิ้งไป แล้วถามถึงพวกผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ไปขุดแร่ด้วยกัน แต่เนื่องจากตอนนั้นพวกขบวนนักเวทและสัตว์ออฟไลน์ไปก่อนเฉินเฟิงเสียอีก จึงไม่มีข่าวของพวกนั้นแต่อย่างใด เฉินเฟิงจึงได้แต่ลองติดต่อสองแสงกล้ากับเฮยโถวดู จากนั้นค่อยถามพวกขบวนนักเวทและสัตว์ว่ามีแผนคิดจะทำอะไรกันหรือเปล่า

ขบวนนักเวทและสัตว์ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่เล่นมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ เช่นกัน ตลอดทั้งทวีปกู่ย่านี้ต่างเคยไปมาหมดทุกที่แล้วยกเว้นเทือกเขามังกรขนดแห่งเดียว ช่วงนี้พวกผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างก็ยุ่งอยู่กับการสร้างศูนย์สมาพันธ์ ทำให้ไม่ว่าจะไปฝึกวิชาตีสัตว์อสูรที่ไหนก็สบายไปหมด เพราะขอแค่ไม่ใช่ที่ที่มีก้อนโลหะ ก็แทบจะไม่มีผู้เล่นคนไหนอยู่เลย

เนื่องจากติดต่อสองแสงกล้ากับเฮยโถวไม่ได้ชั่วคราว พอดีกับที่หนานอี๋นึกถึงเรื่องเสือดาวหิมะขึ้นมาได้ จึงขอให้เฉินเฟิงไปช่วยทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงด้วยกันกับทุกคน

เฉินเฟิงคิดดูแล้ว ถึงยังไงขึ้นเขาไทแทนก็ใช้เวลาแค่วันเดียว สองวันมานี้เขาเอาแต่กลุ้มอยู่กับเรื่องตั้งกลุ่ม ที่ที่ตีได้ก้อนโลหะกับที่ขุดแร่คนก็เยอะอย่างกับหนอน จึงรับปากไปแทบจะทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก

ทุกคนต่างก็ตระเตรียมไอเท็ม สัตว์เลี้ยง แล้วทั้ง ๘ ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เทือกเขาไทแทน



[1] เทพ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เก่งมากๆ ปกติในเกมใช้เรียกผู้เล่นที่เก่งที่สุดของเกมในด้านต่างๆ แต่ในที่นี้จะหมายถึง หัวหน้าของกลุ่มผู้เล่นที่มีจำนวนคนและมีอิทธิพลมากที่สุดของเกม

[2] ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน แปลว่า พอหมดประโยชน์ให้ใช้สอยแล้วก็กำจัดทิ้ง เหมือนพอข้ามแม่น้ำไปได้แล้ว ก็รื้อสะพานที่หมดประโยชน์ทิ้งไป

[3] คำว่า “เฟิงซฺยง” (พี่เฟิง) ที่คมพิรุณกับอะไรก็ได้ใช้เรียกเฉินเฟิง เป็นการเรียกอย่างให้เกียรติตามมรรยาท (ซย ออกเสียงควบกล้ำ เน้นหนักที่เสียง ซ ) ขณะที่คำว่า “พี่เฟิง” ที่หนานอี๋เรียก เป็นการเรียกอย่างสนิทสนม ภาษาจีนคือ “เฟิงต้าเกอ”

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:47

0 ความคิดเห็น