โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:48
ตอนที่ ๘
นักเวทและสัตว์เข้าสู่สมาพันธ์
เป็นครั้งแรกที่เฉินเฟิงได้เห็นสัตว์เลี้ยงของขบวนนักเวทและสัตว์ครบทุกตัว หัวหน้าคมพิรุณนั้นนอกจากเสือดาวหิมะ “มือสังหาร” แล้ว ยังมีจิ้งจอกสองหางที่ตลอดทั้งตัวเป็นสีแดงเพลิง รวมกับม้าสีขาวที่ขี่อยู่ เป็นสัตว์เลี้ยงทั้งสิ้น ๓ ตัว
หนานอี๋กับเฟิงฉิงมีเหยี่ยวกับม้าสีน้ำตาลกันคนละตัว
ส่วนสามนักดาบต่างก็ไม่เหมือนกัน นอกจากม้าสีดำเหมือนกันหมดสามตัวแล้ว หย่วนจื้อมีลิงค้างคาวหนึ่งตัว ของหมิ่นเจิ้งคือแมงมุมยักษ์ และของอานเฟิงคือมนุษย์กิ้งก่า
อะไรก็ได้นั้น นอกจากม้าขาวที่ขี่อยู่แล้ว สัตว์เลี้ยงอีกตัวทำเอาเฉินเฟิงหัวเราะจนกรามแทบค้าง นั่นคือกระต่ายสีเทา คิดไม่ถึงเลยว่าสัตว์เลี้ยงที่ปกติมีแต่ผู้หญิงที่จะกำราบมาเลี้ยงจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเสนาธิการแห่งขบวนนักเวทและสัตว์ได้
แต่หนานอี๋พูดเตือนว่า “อย่าไปดูถูกเพราะเห็นมันตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดูเชียวนะ กระต่ายของเสนาธิการน่ะไม่กระจอกหรอกนะพี่ ถึงกระต่ายจะเป็นสัตว์อสูรที่พวกมือใหม่เอี่ยมอ่องใช้ฝึกวิชาก็เถอะ แต่ตัวนี้น่ะไม่เหมือนกันนะคะ” แล้วลูบกระต่ายเบาๆ พลางพูดต่อว่า “ระดับของ ‘เที่ยวเที่ยว’ (กระโดด) น่ะสูงกว่าพี่เฟิงซะอีกนะ ตอนนี้ระดับของมันน่ะ ๓๒ แล้วค่ะ !”
เฉินเฟิงที่พยายามกลั้นหัวเราะเสียแทบแย่ถามถึงระดับของสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอย่างสนใจใคร่รู้ คำตอบทำเอาเฉินเฟิงตกตะลึงจนอ้าปากค้างหุบไม่ลง นอกจากเที่ยวเที่ยวกระต่ายของอะไรก็ได้ กระทั่งเหยี่ยวที่ระดับต่ำที่สุดก็ตั้งระดับ ๓๔ เข้าไปแล้ว ระดับของเฉินเฟิงในตอนนี้เอาชนะได้แค่ม้า ๗ ตัวที่พวกขบวนนักเวทและสัตว์เพิ่งจะซื้อมาได้ไม่นานเท่านั้น เขาจึงทอดถอนใจว่าตัวเองสู้สัตว์เลี้ยงยังไม่ได้เลย ทำเอาพวกนักเวทและสัตว์ต้องพากันปลอบใจเขาเป็นการใหญ่ว่ามันก็แค่อยู่ที่เวลาเท่านั้น อีกไม่นานระดับของเขาก็สูงขึ้นเองนั่นแหละ
๘ คน ๘ ม้า ๑๑ สัตว์อสูรข้ามผ่านทะเลทรายมรณะไปอย่างสบายๆ ตลอดทางเหยี่ยวทั้ง ๒ ตัวได้ทำหน้าที่ลาดตระเวนดูลาดเลาแทนหลายฝูและอู้คง แค่สัตว์เลี้ยงสุดพิลึกของนักดาบทั้งสาม ทุกคนก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะลงมือเสียแล้ว
ดูเหมือนมือสังหารกับอเล็กซ์จะไม่กินเส้นกันโดยธรรมชาติ เพราะสัตว์เลี้ยงทุกตัวต่างสามารถเข้าใกล้กันได้อย่างสนิทสนม มีแต่สองตัวนี้ที่ให้ตายก็ไม่ยอมมาอยู่ใกล้ๆ กัน อเล็กซ์ถึงกับปฏิเสธคำสั่งโจมตีของเฉินเฟิง เหมือนไม่อยากลดตัวลงไปแย่งสัตว์อสูรกับสัตว์เลี้ยงสามตัวนั้น แต่พอมือสังหารลงมือปุ๊บ มันจะโถมเข้าไปอวดความสามารถอย่างไม่มีการเกรงใจทันที
เฉินเฟิงได้แต่นึกโมโหระคนประหลาดใจว่าสัตว์เลี้ยงก็ชิงดีชิงเด่นกันได้ด้วย และนึกนับถือการออกแบบระบบสติปัญญาของบริษัทเลจจ์อยู่เงียบๆ
เฉินเฟิงชินกับนิสัยค่อนข้างดื้อของอเล็กซ์มานานแล้ว แต่คมพิรุณนั้นคนละเรื่อง เพราะเธอเพิ่งจะเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กำราบมือสังหารได้เป็นต้นมา ต้องทราบว่าการที่สัตว์เลี้ยงหนีนั้นอันตรายมาก โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงระดับสูงยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ และเธอยังไม่ลืมว่าตอนที่จับมือสังหารนั้นพวกเธอต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากแค่ไหน
แต่เหตุการณ์นี้ได้ทำให้เฉินเฟิงค้นพบอะไรบางอย่าง เพียงแต่ยังจับใจความสำคัญไม่ได้ จึงคุยกับซวงเว่ยด้วยความเคยชิน โดยหัวข้อสนทนาวนเวียนไปมาที่เรื่องทักษะซึ่งเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่จับได้จนถึงกำราบ ข่มขวัญ สื่อสาร ถึงแม้เขาจะทราบข้อมูลพวกนี้อยู่แล้ว แต่การคุยกันไปคุยกันมาแบบนี้เป็นวิธีคิดที่เฉินเฟิงเคยชิน
ทั้งขบวนไม่ได้หยุดแวะที่ป้อมข้ามทะเลทราย ต่างผ่านตรงเข้าสู่ที่ราบสูงดินเหลือง แล้วแพะเขาแฉกเป็นฝูงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที
เฉินเฟิงคิดถึงตอนที่มาเมื่อครั้งก่อน เพราะมีกันแค่ ๓ คนซึ่งไม่แข็งแกร่งพอ จึงได้แต่ปล่อยเหยื่อฝึกวิชาชั้นดีพวกนี้ไป หนนี้มากันมากขนาดนี้ น่าจะลองสู้ดูสักตั้งได้แล้วล่ะนะ !
ความคิดเพิ่งผุดขึ้น หลายฝู อู้คง และอเล็กซ์ ต่างก็พุ่งเข้าหาฝูงแพะเขาแฉกทันที ทำเอาเฉินเฟิงสะดุ้งโหยง รีบส่งข้อความไปร้องสั่งให้หยุดทันที
ระหว่างที่เฉินเฟิงยังทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง ทางด้านขบวนนักเวทและสัตว์ก็เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน มือสังหารที่ชิงดีชิงเด่นกับอเล็กซ์มาตลอดทางได้โถมเข้าร่วมวงไพบูลย์กับสัตว์เลี้ยงของเฉินเฟิงโดยไม่มีคำสั่งจากเจ้านาย ตามด้วยเหยี่ยวทั้งสองตัว ลิงค้างคาว แมงมุมยักษ์ มนุษย์กิ้งก่า กระทั่งเที่ยวเที่ยวที่อยู่ในอ้อมแขนของหนานอี๋ก็พุ่งออกไปโดยไม่มีคำสั่งกันหมดทุกตัว ทำเอาทั้ง ๗ ต่างลนลานออกคำสั่งสัตว์เลี้ยงของตัวเองเป็นการใหญ่
เมื่อหมดทางเลือก เฉินเฟิงก็ได้แต่งัดแส้เทพสีหราชออกมาโชว์ ครั้นสัตว์เลี้ยงทั้งสามเห็นเทพศาตราสำหรับฝึกสัตว์ “แส้เทพสีหราช” ก็พากันกลับมาหาเฉินเฟิงแต่โดยดี แต่ครั้งนี้อเล็กซ์กลับเป็นฝ่ายพูดกับเฉินเฟิงก่อนเป็นครั้งแรกว่า
“เจ้านาย อเล็กซ์ยืนยันขอทำศึก เมื่อกี้พวกเราพนันกับมือสังหารไปแล้วว่าใครจะฆ่าแพะได้มากกว่ากัน เจ้านายจะยอมทนเห็นอเล็กซ์แพ้พวกนั้นหรือ ?”
เฉินเฟิงงงไป แล้วหันไปดูสัตว์เลี้ยงของพวกขบวนนักเวทและสัตว์ ปรากฏว่าต่างก็กำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนใจคำสั่งของเจ้านายจริงๆ เสียด้วย
ถึงยังไงการต่อสู้ก็เริ่มไปแล้ว มาห้ามเอาตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ แต่ยากนักที่อเล็กซ์อุตส่าห์ออกปาก หมอนี่ไม่ค่อยจะยอมเชื่อฟังคำสั่งจนทำเอาเขาต้องหน้าแตกต่อหน้าเพื่อนฝูงบ่อยๆ เสียด้วย จะไม่สั่งสอนมันซะหน่อยก็กระไรอยู่จริงไหม ?
เฉินเฟิงส่งข้อความไปให้อเล็กซ์แค่ตัวเดียวว่า
“ที่แท้นายไม่ได้ฟังคำสั่งของฉันไม่เข้าใจนี่หว่า ! จะสู้น่ะได้ แต่นายต้องรับปากฉันว่าครั้งหน้าเรียกให้นายหยุดนายก็ต้องหยุด ห้ามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะขังนายไว้ในแส้เทพสีหราชไปตลอดชีวิต” พร้อมกันนั้นก็ส่งข้อความไปบอกอู้คงกับหลายฝูว่าอนุญาตให้สู้ได้
อเล็กซ์เห็นมือสังหารฆ่าแพะไปได้สองตัวแล้ว จึงได้แต่ยอมรับปากเงื่อนไขของเฉินเฟิง เฉินเฟิงถึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ
อเล็กซ์โถมเข้าหาฝูงแพะเขาแฉกทันทีอย่างไม่มีการรั้งรอ ค้อนดาวตกอานุภาพสะท้านขวัญ หวดแค่ ๒ - ๓ ครั้งก็ปลิดชีวิตแพะไป ๒ ตัว ส่วนเฉินเฟิงได้รับการแจ้งจากระบบทันทีว่า ทักษะข่มขวัญกับทักษะสื่อสารได้เลื่อนอย่างละ ๑ ระดับ ซวงเว่ยที่ไม่ได้ร่วมต่อสู้เองก็เลื่อนกลับมาเป็นระดับ ๓๐ เหมือนเดิม
เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์สัตว์เลี้ยงแห่กันหนี ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ย้อนโจมตีใส่อันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ก็ทำเอาขบวนนักเวทและสัตว์ที่เลื่องชื่อด้านการฝึกสัตว์ทั้ง ๗ คนต่างร้อนใจจนพากันเต้นเหยงๆ มือขวาของคมพิรุณที่มีนิสัยอ่อนโยนมีน้ำแข็งเกาะเป็นรูปศรน้ำแข็งไปเรียบร้อยแล้ว ดูจากสีหน้าที่โกรธจัดจนซีดขาวของเธอ ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าเธอไม่คิดจะช่วยพวกสัตว์เลี้ยงแน่
ในที่สุดเฉินเฟิงก็ทราบว่าเมื่อกี้เขาค้นพบอะไรแล้ว ตอนได้เลื่อนระดับทักษะสื่อสารเป็นระดับ ๓ เงื่อนไขที่ต้องการคือ “สื่อสารเรื่องใดเรื่องหนึ่งกับสัตว์เลี้ยง และบรรลุความเข้าใจร่วมกัน” เหตุที่ไม่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีโอกาสมีเรื่องขัดแย้งกับสัตว์เลี้ยงหรอกหรือ ?
ยังไม่ทันได้อธิบายอย่างละเอียด คมวายุในรูปสายลมคมกริบรูปจันทร์เสี้ยวก็พุ่งเข้ากระแทกศรน้ำแข็งที่คมพิรุณส่งไปโจมตีมือสังหารเบี่ยงออกไป เสียงปะทะกันดังสนั่นของพลังงานเวทมนตร์ดึงสายตาของพวกขบวนนักเวทและสัตว์มาได้เป็นผลสำเร็จ แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในสายตาทั้ง ๗ คู่ต่างลุกโรจน์ด้วยไฟโทสะและมีความงุนงงเจืออยู่เล็กน้อย
คมพิรุณพูดอย่างโมโหว่า “เฟิงซฺยง ทำอย่างนี้ทำไมกันคะ ? สัตว์เลี้ยงที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายจะเอามาทำอะไรได้ ? วันนี้ถ้าไม่สั่งสอนมันซะบ้าง ครั้งหน้ามันมิกลายเป็นตัวถ่วงของพวกเราไปหรอกหรือคะ ?”
หลังจากปลอบให้ทุกคนหายโมโหแล้ว เฉินเฟิงก็รีบบอกเรื่องที่อเล็กซ์พนันกับมือสังหารให้คนทั้ง ๗ ทราบ และบอกให้ทั้ง ๗ ฉวยโอกาสนี้บรรลุความเข้าใจร่วมกับสัตว์เลี้ยง
อะไรก็ได้ถามว่า “อย่างนั้นคุณคิดว่าตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไงดี ?”
“ในเมื่อพวกมันอยากจะแข่งกัน ก็ให้พวกมันได้แข่งกันอย่างยุติธรรมเถอะครับ ! ครั้งนี้พวกมันไม่ได้บอกเจ้านายของตัวเองล่วงหน้า ทุกคนก็เอาแต่วุ่นวายห้ามไม่ให้มันหนีไป คงจะส่งผลกระทบต่อคะแนนอยู่บ้างแน่ๆ ผมขอแนะนำว่า ให้แต่ละคนพูดกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองว่าแข่งครั้งนี้ไม่นับ ค่อยพนันกันที่แพะเขาแฉกฝูงหน้าโดยที่พวกเราจะเป็นกรรมการให้เอง เป็นยังไงครับ ? แน่นอนว่าอย่าลืมใส่เงื่อนไขเข้าไปด้วยล่ะ พวกมันจะได้ไม่ติดเป็นนิสัยจนไม่ฟังคำสั่งยิ่งกว่าเดิม”
หลังจากเข้าใจที่มาที่ไป ทั้ง ๗ ต่างก็ยินดีทำตามแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นคมพิรุณจึงใช้ทักษะพิเศษคาถาพิรุณกระหน่ำตามคำแนะนำของอะไรก็ได้ทันที เพียงครั้งเดียวก็จัดการแพะเขาแฉกเสียเรียบวุธ
เมื่อเหล่าสัตว์เลี้ยงไม่มีเหยื่อเหลือให้ล่า ก็พากันหยุดความเคลื่อนไหวแต่โดยดี อเล็กซ์จำใจกลับมาที่ข้างๆ เฉินเฟิง เฉินเฟิงบอกเรื่องที่ปรึกษากันเมื่อครู่ออกไป และบอกให้พวกมันพยายามท้าทายสัตว์เลี้ยงของพวกขบวนนักเวทและสัตว์ให้ได้ แถมยังให้เนื้อแพะพวกมันไปหลายชิ้นเพื่อเป็นการชดเชย
พอได้ยินว่าจะได้แข่งอีกครั้ง แถมยังมีเนื้อแพะเป็นของชดเชย ทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยเสียงร้องด้วยความฮึกเหิมของสัตว์เลี้ยงดังลั่นไปหมด โดยเฉพาะท่าทางอวดศักดาของอู้คงที่ทำตามคำสั่งให้ท้าทายของเฉินเฟิงอย่างเต็มที่เลยทีเดียว
ในที่สุดพวกขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คนต่างก็สามารถบรรลุความเข้าใจร่วมกันกับสัตว์เลี้ยงโดยมีเฉินเฟิงช่วยเป็นล่ามให้ และสามารถผ่านด่านทักษะสื่อสารระดับ ๓ ที่รอคอยมานานสำเร็จจนได้ น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวคือเสียเวลามากเกินไป ทำให้ซากของแพะเขาแฉกต่างก็หายไปจนหมด
หลังจากแบ่งของที่ได้จากแพะเขาแฉกกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อ
ไม่นานต่อมาก็เจอแพะเขาแฉกเข้าอีกฝูง ทั้ง ๘ จึงนั่งพักอยู่ด้านข้างพลางชมการแข่งขันอันพิศดารของเหล่าสัตว์เลี้ยง
เฉินเฟิงเอาแต่ร้องตะโกนเชียร์เหมือนเด็กไม่มีผิด ส่วนพวกขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คนต่างพากันมองเขาอย่างงุนงง
นอกจากมือสังหารกับอเล็กซ์แล้ว ตอนนี้ตัวที่มีคะแนนดีที่สุดกลับเป็นหลายฝู แต่ไม่ได้เป็นเพราะพลังโจมตีของมันสูงกว่าสัตว์เลี้ยงตัวอื่นแต่อย่างใด ที่หลายฝูมีคะแนนดี เป็นเพราะมีเฉินเฟิงคอยสั่งการอยู่ข้างๆ นั่นเอง
ที่ทั้ง ๗ ไม่ได้ฉวยโอกาสช่วยเชียร์สัตว์เลี้ยงของตัวเอง ซึ่งเป็นการปล่อยให้โอกาสในการเลื่อนทักษะสื่อสารครั้งนี้ผ่านไปโดยสูญเปล่า ก็เป็นเพราะเฉินเฟิงเช่นกัน
แม้จะบอกกล่าวกันไว้ก่อนแล้วว่าห้ามช่วยใช้ยาฟื้นพลังและช่วยเพิ่มพลังป้องกันให้สัตว์เลี้ยงของตัวเอง แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้สั่งสัตว์เลี้ยงว่าต้องทำอะไรบ้าง ด้วยเหตุนี้เฉินเฟิงจึงจัดแจงสั่งให้หลายฝูใช้คาถาคมวายุโจมตีเหยื่อที่แมงมุมยักษ์อุตส่าห์ลำบากตีไปแล้ว ๗ - ๘ ที แล้วย้อนกลับไปใช้ท่าบุกทะลวงแย่งแพะเขาแฉกที่ถูกอู้คงฟาดปลิวจนเหลือลมหายใจร่อแร่ จนหลายฝูแย่งชิงเหยื่อที่ใกล้จะตายอยู่รอมร่อของสัตว์เลี้ยงตัวอื่นไปได้หลายตัว
ตอนแรกทั้ง ๗ ก็ทำเหมือนเฉินเฟิงเหมือนกัน คือช่วยกันตะโกนเชียร์สัตว์เลี้ยงของตัวเอง จนกระทั่งหลายฝูแย่งเหยื่อของสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปหลายต่อหลายครั้ง จึงค่อยหันมาให้ความสนใจการบัญชาการของเฉินเฟิง
หนานอี๋เป็นตัวแทนของทุกคนออกปากถามตามเคยว่า “พี่เฟิง ! ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ ?”
ในที่สุดเฉินเฟิงก็รู้ตัวถึงปฏิกิริยาของขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คนจนได้ จึงร้องตอบว่า
“เป็นอะไรไป ? มีอะไรจะถามก็ถามมาสิ !” สองตายังคงมองสนามรบเขม็ง
หนานอี๋ทำท่าจะพูดต่อ เฉินเฟิงก็ตะโกนขึ้นทันควันว่า
“หลายฝู ใช้ท่าบุกทะลวงแย่งเหยื่อของมือสังหาร ทางซ้ายของนาย เร็วเข้า ! ทะลวงเลย !”
หลายฝูเชื่อฟังคำสั่งของเฉินเฟิง ยอมทิ้งเป้าหมายของตัวเอง แล้วใช้ท่าบุกทะลวงแย่งเหยื่อที่ถูกมือสังหารกัดจนเหลือลมหายใจร่อแร่ไปได้สำเร็จ แต่พฤติกรรมกระตุกหนวดเสือแบบนี้ทำให้มือสังหารชักไม่พอใจขึ้นมาทันที มันโมโหจนเป็นฝ่ายร้องประท้วงกับคมพิรุณเป็นครั้งแรก
คมพิรุณตื่นเต้นสุดขีด ร้องห้ามไม่ให้เฉินเฟิงสั่งการหลายฝูต่อพลางถามว่า
“เฟิงซฺยง คุณรู้ทักษะพิเศษของสัตว์เลี้ยงได้ยังไงหรือคะ ? พวกเราสั่งให้สัตว์เลี้ยงของตัวเองโจมตีเป้าหมายได้ก็จริง แต่ทำยังไงถึงจะรู้ชื่อทักษะที่พวกมันใช้หรือคะ ? คุณคงไม่ได้ตั้งชื่อขึ้นมาเองหรอกนะ ?”
เฉินเฟิงพูดงงๆ “ในแถบสถานะมีบอกนี่นา...แต่สัตว์เลี้ยงที่ระดับสูงกว่าผมจะไม่มี อย่างอู้คงกับอเล็กซ์ ผมก็ได้แต่สั่งด้วยวิธีเดียวกับพวกคุณเหมือนกัน”
หนานอี๋แย้งว่า “ไม่มีนะคะ ! ในข้อมูลมีแค่ระดับกับสังกัดธาตุเท่านั้น มีทักษะซะเมื่อไหร่กันล่ะ ?”
คนที่เหลือทั้ง ๖ พากันตรวจดูข้อมูลสัตว์เลี้ยงของตัวเองอีกรอบทันที แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับทักษะอย่างที่เฉินเฟิงว่าสักคน จึงได้แต่มองเฉินเฟิงอย่างงุนงง
เฉินเฟิงที่ก็งงพอกันได้แต่งัดสมุดบันทึกของตัวเองออกมาเปิดดู ค่อยพบทักษะสองอย่างคือเบิกเนตรและปลดผนึกที่ถูกลืมไปนานแล้ว โชคดีที่เขาฝึกตัวเองให้พอพบอะไรใหม่ๆ ปุ๊บก็จดลงสมุดปั๊บจนชิน ไม่อย่างนั้นทักษะตั้งเยอะแยะขนาดนี้ คิดให้ตายก็คิดไม่ออกว่าตรงไหนกันแน่ที่มีปัญหา
หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้นคว้ากับอีก ๗ คน ข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเฉินเฟิงก็ได้รับการยืนยัน นั่นคือสัตว์เลี้ยงที่มีระดับสูงกว่าเจ้านาย จะไม่สามารถปลดผนึกและเบิกเนตรได้ พอนึกถึงระดับของอเล็กซ์และอู้คง เฉินเฟิงก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ
ผลการแข่งขัน มือสังหารได้ที่ ๑ ไป อเล็กซ์ลดลงมาเป็นที่ ๒ ส่วนอู้คงได้ที่ ๓ ไป ด้านหลายฝูพอตอนท้ายไม่มีเฉินเฟิงช่วยสั่งการ จึงได้มาแค่ที่ ๕
ขณะที่พวกสัตว์เลี้ยงบางตัวดีอกดีใจที่ชนะ บางตัวเศร้าซึมที่แพ้ ขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คนต่างก็ชื่นมื่นดีอกดีใจกันถ้วนหน้าเพราะเก็บเกี่ยวได้ประโยชน์กันไปไม่ใช่น้อย หลังจากนี้ทั้ง ๗ ต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากอย่างแน่นอน
เนื่องจากเสียเวลากันไปพอสมควร ทำให้เมื่อทั้ง ๘ ขึ้นไปถึงกลางเขา ก็ใกล้ถึงเวลาโพล้เพล้เข้าไปแล้ว ทุกคนต่างทราบดีว่าอาจจะมีสัตว์อสูรระดับ ๕๐ - ๖๐ ปรากฏตัวออกมาได้ทุกเมื่อ จึงพากันทอดฝีเท้าให้ช้าลง และลดขอบเขตลาดตระเวนของสัตว์เลี้ยง ไม่อย่างนั้นเกิดเผลอไปล่อสัตว์อสูรมาเป็นฝูงละสนุกแน่
อาทิตย์อัศดงย้อมเมฆจนแดงฉาน ความงดงามของเมฆสนธยาทำเอาทั้ง ๘ อดชะงักเท้าลงชมไม่ได้ แต่ก็ทำให้ทั้ง ๘ นึกกังวลเช่นกัน กลางคืนคืออาณาจักรของสัตว์อสูรธาตุความมืด พอเข้าสู่กลางคืน สัตว์อสูรจะรับมือยากยิ่งกว่าเดิม
หลังจากเข้าสู่เขตป่า เนื่องจากต้นไม้ขวางสายตาของเหยี่ยวเอาไว้ หลายฝูกับอู้คงจึงกลับไปทำหน้าที่ลาดตระเวนดูลาดเลาที่แนวหน้าแทนทันที
ที่นี่เป็นที่ที่ได้เจออู้คงเป็นครั้งแรกพอดี ซึ่งก็สามารถมองเห็นท่าทีตื่นเต้นดีใจของอู้คงได้อย่างชัดเจน ท่าทีคึกคักของเจ้าแห่งขุนเขาเพิ่มเสียงหัวเราะให้บรรยากาศได้ไม่น้อย
หลังจากพวกขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ ได้ทักษะสื่อสารกันทางจิตแล้ว ก็เอาแต่พูดคุยกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปตลอดทางไม่ได้หยุด จนทอดทิ้งเฉินเฟิงให้เงียบเหงาอยู่คนเดียว แต่เฉินเฟิงเองก็กำลังไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครอยู่พอดี ในศีรษะของเขายังคงสลัดเรื่องของกลุ่มไปไม่พ้น
หลังจากที่คนทั้ง ๘ ขึ้นเข้าไปได้ไม่นาน ครุโฬก็ส่งข้อความมาบอกว่าได้จัดการกับกลุ่มคนที่ตัวเองพามาเสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นการชั่วคราว และมาถึงเมืองท่าเซียงห่ายแล้วด้วย
ตอนแรกเฉินเฟิงกะว่าจะย้อนกลับไปหา แต่พอครุโฬทราบว่าเฉินเฟิงกำลังขึ้นเขาอยู่กับพวกขบวนนักเวทและสัตว์ ก็ทัดทานไม่ให้เฉินเฟิงย้อนกลับมาหาเขา และบอกว่าตัวเขาเองก็ยังมีเรื่องอีกเล็กน้อยที่ต้องสะสาง สุดท้ายแนะกลายๆ หลายต่อหลายครั้งให้เฉินเฟิงชวนพวกขบวนนักเวทและสัตว์เข้าสมาพันธ์
เฉินเฟิงเองก็รู้ดีว่า ถ้าได้ขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์มาเข้าสมาพันธ์ ฐานอำนาจของกลุ่มที่จะตั้งขึ้นในอนาคตต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน แต่ก็รีรอไม่กล้าออกปากชวนทั้ง ๗ เข้าสมาคมอยู่นั่นแล้ว
ขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คนได้บอกกล่าวมาแต่แรกแล้วว่าไม่คิดจะเข้ากลุ่มสมาคมใดทั้งสิ้น แตกต่างจากเพื่อนๆ คนอื่นที่เฉินเฟิงรู้จัก นอกจากนี้ทั้ง ๗ ต่างก็ไม่ใช่นักเล่นเกมอาชีพเสียด้วย แถมยังออนและออฟไลน์พร้อมกันทั้ง ๗ คนตลอด
ก่อนหน้านี้ครุโฬเองก็เคยบอกมาก่อนแล้วว่า ผู้เล่นที่จะรวมตัวกันเป็นทหารรับจ้าง ส่วนใหญ่มักเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก แต่มีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างคือไม่ชอบกลุ่มสมาคม
กระทั่งตัวเฉินเฟิงเองยังไม่ค่อยมั่นใจกับกลุ่มในอนาคตของตัวเองเลย แล้วจะให้เขาเกลี้ยกล่อมเพื่อนๆ ที่ไม่คิดจะเข้ากลุ่มไหนมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วยังไงดี ?
ข่าวสารที่เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศบอกมาทำให้เฉินเฟิงมีคำถามมากมายอยากจะถามครุโฬ น่าเสียดายที่อีกฝ่ายเอาแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเสเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นทุกครั้ง สงสัยจริงๆ ว่าครุโฬคิดอะไรอยู่กันแน่
เรื่องที่ทำให้เฉินเฟิงตกใจยิ่งกว่าคือ สองแสงกล้าก็รู้จักครุโฬด้วย แถมตอนนี้กำลังคุยรายละเอียดอยู่กับครุโฬที่เมืองท่าเซียงห่าย นอกจากนี้พวกเพื่อนๆ ที่ได้รู้จักที่ภูเขาแร่เหล็กยังมารวมกันผ่านการแจ้งข่าวของสองแสงกล้า และปรากฏตัวอยู่ในข้อความที่ครุโฬตอบกลับมา
“พี่เฟิง พี่เฟิง กำลังคิดอะไรอยู่คะ ? ใจลอยไปไกลเชียว” หนานอี๋ขัดความคิดของเฉินเฟิง และช่วยให้เฉินเฟิงรอดพ้นจากการเดินชนต้นไม้ข้างหน้าไปได้อย่างฉิวเฉียด
“เปล่าหรอก ผมแค่กำลังคิดว่าตอนเธอกำราบเสือดาวหิมะนี่คงตลกน่าดู” เฉินเฟิงที่ได้สติแล้วรีบเบนความสนใจของทุกคนพลางยิ้มแห้งๆ
อะไรก็ได้สาธยายว่า “เฟิงซฺยงอย่าดูถูกฤทธิ์ของหนานอี๋เชียว ! ผมว่าเสือดาวหิมะคงทนได้แค่ไม่ถึงวันก็ต้องยอมแพ้แน่ๆ แม่เสือน่ะแกร่งกว่าเสือดาวแหงๆ อยู่แล้ว !”
หนานอี๋แล่นไปฟ้องให้คมพิรุณจัดการอะไรก็ได้ทันที คมพิรุณพูดว่า
“นายว่าใครเป็นแม่เสือกันยะ ? ดูท่ามีคนอยากโดนหยิกซะแล้ว !”
อะไรก็ได้เพิ่งนึกขึ้นได้เดี๋ยวนั้นว่าคมพิรุณก็มีเสือดาวหิมะเหมือนกัน จึงลนลานปฏิเสธเป็นการใหญ่ว่าไม่มี้ไม่มี
เฉินเฟิงหันไปสบตากับสามนักดาบ ต่างก็อ่านสายตาแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจนว่า “เกิดเป็นผู้ชายนี่ซวยจริงๆ !”
เสียงท้องร้องประท้วงช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทุลักทุเลของอะไรก็ได้ไปได้ แต่เสนาธิการที่น่าสงสารของขบวนนักเวทและสัตว์ก็มีอันต้องโดนใช้ให้เป็นคนเก็บฟืนเพราะเหตุที่ดันเผลอปากพล่อย ส่วนเฉินเฟิงกับสามนักดาบรับหน้าที่ก่อไฟและย่างเนื้อ วัตถุดิบทำอาหารนั้นไม่ต้องพูดถึง เนื้อของแพะเขาแฉกที่เป็นเป้าหมายในการแข่งขันของเหล่าสัตว์เลี้ยงเมื่อตะกี้นี้ย่อมต้องกลายมาเป็นเครื่องปรุงชั้นเลิศอย่างไม่เป็นที่กังขา
ทุกคนแบ่งหน้าที่กันเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว แต่ราตรีกาลก็ได้มาเยือนอย่างเต็มตัว แสงสว่างที่ลดลงครึ่งหนึ่งกระตุ้นให้ทุกคนต่างระวังตัว ทั้ง ๘ คนนั่งล้อมวงเสพสุขกับเนื้อแพะย่างมื้อใหญ่อยู่รอบกองไฟ อะไรก็ได้ไม่ยักนั่งอยู่ข้างคมพิรุณเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่มานั่งเติมฟืนอยู่ข้างๆ เฉินเฟิงแทน
เมื่อมีสัตว์เลี้ยง ๑๑ ตัวรับหน้าที่องครักษ์และหน่วยลาดตระเวน ทั้ง ๘ ต่างก็รับประทานเนื้อแพะย่างได้อย่างไร้กังวล หลังจากที่ได้ร่วมรับประทานอาหารกันที่เมืองท่าเซียงห่าย เฉินเฟิงก็จงใจซื้อเหล้าเร้นดรุณติดตัวมาด้วยหลายขวดและเอาออกมาเซ่นในตอนนี้ทันที
คมพิรุณส่งค้อนมาให้วงใหญ่ ขณะที่สามนักดาบกับอะไรก็ได้ชมเชยไม่ขาดปากว่าเฉินเฟิงช่างรู้ใจดีแท้ แต่น่าแปลกแท้ๆ ที่เฉินเฟิงซึ่งเข้าใจนิสัยของผู้ชายดีขนาดนี้กลับแทบไม่แตะเหล้าเลยสักหยด
พวกผู้ชายเล่นเป่ายิ้งฉุบแพ้ปรับดื่มกันเพื่อเพิ่มความครึกครื้น ส่วนสาวๆ เองก็ไม่ได้อยู่ว่าง ต่างก็ฉวยโอกาสนี้แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับทักษะของนักฝึกสัตว์กับเฉินเฟิง บรรยากาศเหมือนจะกลมกลืนกันดี เพียงแต่ทุกคนต่างก็สามารถรู้สึกได้ว่า เฉินเฟิงดูจะใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก
หลังจากดื่มเหล้าไปพอครึ้มๆ อยู่ๆ อะไรก็ได้ที่นั่งอยู่ข้างเฉินเฟิงก็พลิกท่อนฟืนพลางพูดขึ้นกะทันหันว่า
“เฟิงซฺยง คุณเตรียมจะตั้งกลุ่มแบบไหนหรือ ?”
เฉินเฟิงตกใจไปชั่วครู่ แล้วพูดว่า “เรื่องนี้...คุณก็รู้เหมือนกันหรือว่าผมคิดจะตั้งกลุ่มน่ะ ?”
หนานอี๋พูดอย่างร่าเริง “ใช่ค่ะ ! ความจริงพวกเรารอให้พี่ชวนมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ พวกเราปรึกษากันแล้ว ต่างตกลงใจกันว่าจะเข้าสมาพันธ์ของพี่ค่ะ แค่รอให้พี่ออกปากชวนเท่านั้น”
สามนักดาบเองก็พยักหน้ายืนยัน ทำเอาเฉินเฟิงไม่ทราบจะตอบยังไงดีไปเป็นครู่
คมพิรุณถามว่า “หรือเฟิงซฺยงไม่ยินดีต้อนรับพวกเราเข้าสมาคมคะ ?”
เฉินเฟิงรีบพูดว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว ! ฐานกำลังของนักเวทและสัตว์มีสมาพันธ์ไหนบ้างที่กล้าดูถูก ผู้น้องแค่กลัวว่ากำลังของตัวเองมีไม่มากพอจะให้ผลประโยชน์ที่สมน้ำสมเนื้อกับทุกคนได้เท่านั้น พูดตามตรงจนตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้าออกปากด้วยซ้ำ เพราะผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะบริหารสมาพันธ์ยังไงดี กระทั่งตัวผมเองยังรับประกันไม่ได้เลยว่าจะหาเงินได้มากพอเลี้ยงตัวเอง อย่าว่าแต่ผลประโยชน์ของทั้งสมาพันธ์”
“เฟิงซฺยงถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ ผมเชื่อว่าแค่เอาผลการวิจัยเกี่ยวกับทักษะอาชีพของคุณมาเรียกระดม ก็มีคนตั้งเยอะแยะแย่งกันมาเข้าสมาพันธ์แล้วล่ะครับ อย่าว่าแต่เรื่องจะหาเงินได้หรือเปล่าไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของกลุ่มสักหน่อย วิธีที่ดีที่สุดคือผู้เล่นแต่ละคนต้องไปพยายามกันเอาเอง ไม่ใช่เรื่องที่หัวหน้าสมาพันธ์ต้องรับผิดชอบเพียงคนเดียวหรอกนะครับ” อะไรก็ได้ว่า
“นั่นสิคะ !” คมพิรุณสนับสนุน “อย่างขบวนนักเวทและสัตว์นี่ ฉันที่เป็นหัวหน้ากลุ่มต้องเป็นคนหาเงินมาให้พวกเขา ๖ คนใช้เสียเมื่อไหร่กันล่ะ คนที่เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มสมาพันธ์ทุกคนต่างก็ต้องพยายามเพื่อกลุ่มของตัวเองกันทั้งนั้น ถ้าเอาแต่พึ่งหัวหน้าไปซะหมดทุกอย่าง อย่างนั้นคงไม่มีกลุ่มไหนก่อตั้งขึ้นมาได้แล้วล่ะค่ะ สิ่งที่คุณต้องทำมีแค่บอกแนวทางออกมา แล้วคนที่ยินดีเข้าร่วมก็จะมาเข้าร่วมเองล่ะค่ะ ส่วนจะหาเงินได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละคนแล้วล่ะ ถึงคุณจะยังกำหนดแนวทางของกลุ่มของตัวเองไม่เสร็จดี แต่จากที่สังเกตมาได้พักหนึ่ง พวกเราต่างก็เชื่อว่าคุณไม่ใช่คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง ดังนั้นทุกคนถึงได้ยินดีที่จะพยายามร่วมกันกับคุณ ไม่ทราบว่าคุณยินดีรับพวกเราไว้หรือเปล่าคะ ?”
ครั้นได้เห็นแววตาแน่วแน่ของคนทั้ง ๗ เฉินเฟิงก็ตื้นตันใจจนไม่ทราบจะพูดยังไงดี ได้แต่พยักหน้าช้าๆ
“ยินดี ! ยินดีสิครับ ! ขอบคุณทุกคนมากๆ”
เมื่อได้รับคำยืนยันมั่นเหมาะว่าจะเข้าสมาพันธ์จากขบวนนักเวทและสัตว์ เฉินเฟิงก็รู้สึกมั่นคงขึ้นมาก บวกกับคมพิรุณและอะไรก็ได้ช่วยเปิดช่องชี้นำ ทำให้เฉินเฟิงค่อยๆ หยุดเอาแต่คิดเรื่องทำยังไงถึงจะหาผลประโยชน์มาให้คนในกลุ่มได้ และเปลี่ยนไปคิดเรื่องจุดเด่นและทิศทางของนโยบายในการพัฒนากลุ่มแทนที่
ครั้งนี้คนทั้ง ๘ ต่างก็หาเสือดาวหิมะไม่พบ หลังจากรั้งอยู่นาน ๑๐ กว่าชั่วโมง ก็ต้องหยุดการเดินทางในครั้งนี้ลงก่อนเนื่องจากครุโฬพาพรรคพวกมา ๑๐ กว่าคน และต้องการจะพบเฉินเฟิงเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องก่อตั้งกลุ่ม
สองวันให้หลัง ในภัตตาคารเมืองท่าเซียงห่าย เฉินเฟิงใช้คูปองซื้อล่วงหน้า ๓ ใบรวดเช่าห้องพิเศษส่วนตัวขนาดใหญ่ ในห้องนี้มีทั้งขบวนนักเวทและสัตว์ ครุโฬ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ กระทั่งสองแสงกล้า เฮยโถว และพวกผู้เล่นที่เข้ามาร่วมกลุ่มตอนอยู่ที่ภูเขาแร่เหล็กก็อยู่ด้วย เมื่อมีผู้เล่นจำนวนถึง ๕๐ กว่าคนมานั่งอยู่ด้วยกัน ห้องขนาดใหญ่ก็ดูคับแคบไปถนัดใจ
หลังจากรับประทานอาหารที่ทางภัตตาคารบริการให้เป็นที่เรียบร้อย คนทั้งหมดก็จับกลุ่มกันพูดคุยดังจ้อกแจ้ก จนกระทั่งพนักงานร้านเก็บกวาดโต๊ะเสร็จเรียบร้อย เฉินเฟิงก็กระแอมเล็กน้อย แล้วพูดว่า
“สวัสดีครับเพื่อนพ้องทุกท่าน ! วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของ สมาพันธ์เฟิง (เฟิงเหมิง) ผมดีใจเป็นอย่างมากที่ทุกท่านต่างสละเวลามาเข้าร่วม นอกจากจะเชิญให้ทุกท่านรับประทานอาหารแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องอยากจะขอให้ทุกท่านช่วย”
ทุกคนต่างหยุดคุย และรอให้เฉินเฟิงพูดต่อไป
เฉินเฟิงกวาดตามองทุกคนหนึ่งรอบ แล้วพูดต่อว่า
“ที่สมาพันธ์เฟิงก่อตั้งขึ้นมาได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะมีทุกท่านเข้าร่วม ถึงแม้ผู้น้องจะเป็นคนเรียกระดม และได้รับการให้เกียรติจากทุกท่านให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ แต่สมาพันธ์เฟิงเป็นของสมาชิกสมาพันธ์ทุกคน ดังนั้นนโยบายต่างๆ ในอนาคตของสมาพันธ์เฟิง ผมจะไม่เป็นคนตัดสินใจเองเพียงลำพังเด็ดขาด เรื่องนี้ผมขอรับปากทุกท่าน”
คำพูดของเฉินเฟิงได้รับการปรบมือกราวใหญ่
คำพูดนี้ สำหรับสมาชิกสมาพันธ์ในกาลข้างหน้าที่ต้องมอบค่าประสบการณ์และเงินที่ได้จากการฆ่าสัตว์อสูร ๕% ให้สมาพันธ์แล้ว เป็นเหมือนกับการบอกว่า สมาพันธ์นี้ทุกคนมีส่วนร่วมด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นสมบัติส่วนตัวของเฉินเฟิงแต่อย่างใด ขณะที่สมาพันธ์ใหญ่ๆ สมาพันธ์อื่น สมาชิกต่างก็ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ไม่ค่อยมีคนอยากเข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์เหล่านั้น
รอจนเสียงปรบมือเงียบลงแล้ว เฉินเฟิงก็พูดต่อว่า
“แต่ทว่า เพื่อผลประโยชน์ของสมาชิกสมาพันธ์ทุกท่าน พวกเราจำเป็นต้องมีวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ไม่อย่างนั้นคงต้องเรียกประชุมทุกคนมาถกกันทุกครั้งที่จำเป็นต้องใช้เงินทุนและทรัพย์สินของสมาพันธ์ ซึ่งแบบนั้นคุณค่าของเวลาที่เสียไปมีหวังสูงกว่าประสิทธิภาพของนโยบายที่จะได้รับหลายเท่าตัวเป็นแน่”
แม้จะไม่มีใครตอบ แต่คำพูดนี้ก็เป็นความจริง หลายคนพากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เพื่อการปราศรัยในวันนี้ ทำเอาเฉินเฟิงปวดหัวมาได้พักใหญ่ ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คิดไว้ล่วงหน้า เฉินเฟิงจึงเสนอแผนการที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเป็นลำดับถัดไป
“ดังนั้นในการประชุมครั้งแรกหลังการก่อตั้งสมาพันธ์เฟิงครั้งนี้ นอกจากจะเชิญให้ทุกคนมาทำความรู้จักสนิทสนมกันแล้ว ผมยังหวังจะใช้วิธีการที่ทุกคนสามารถยอมรับได้แต่งตั้งกลุ่มผู้นำที่มีอำนาจในการตัดสินใจอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันเลือกรองหัวหน้าสมาพันธ์ของสมาพันธ์เราเป็นจำนวน ๔ คนครับ”
ข้อเสนอนี้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เมื่อมีหลงเยี่ยอิ่งเป็นตัวอย่าง บวกกับการผ่อนปรนในเรื่องจำนวนสมาชิก ทำให้สมาพันธ์ใหม่ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในปัจจุบันต่างก็ทำการยกเลิกสิทธิในการออกคำสั่งของรองหัวหน้าสมาพันธ์ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผย สมาพันธ์บางสมาพันธ์ที่มีจำนวนสมาชิกเยอะหน่อย อย่างมากก็มีรองหัวหน้าสมาพันธ์แค่ ๒ - ๓ คนเท่านั้น การเปิดโอกาสให้เลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าสมาพันธ์อันเป็นตำแหน่งที่สามารถคานอำนาจ หรือกระทั่งถอดถอนหัวหน้าสมาพันธ์ได้ จึงถือเป็นการยืนยันถึงความจริงใจของเฉินเฟิง
หลังจากหยุดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนแล้ว เฉินเฟิงพูดต่อว่า
“เพื่อเป็นการประหยัดเวลาของทุกคน อีกสักครู่จะให้ลงคะแนนเสียงโดยไม่ต้องบอกชื่อ แต่ละคนมีสิทธิ์เลือกได้ ๔ คน แต่มีสิทธิ์ให้คะแนนแต่ละคนได้มากที่สุดเพียง ๑ คะแนนเท่านั้น และสามารถลงคะแนนให้ตัวเองได้ บัตรเลือกตั้งจะไม่มีบัตรพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น อีกสักครู่ขอเชิญทุกคนมารับกระดาษและซองจดหมายที่ผม จากนั้นโปรดเขียนชื่อคนที่คุณอยากจะเลือกลงไป หากท่านใดมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับวิธีนี้ โปรดแจ้งออกมาในทันที หากไม่มี จะเริ่มทำการหย่อนบัตรเลือกตั้งกันในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลังนะครับ”
ความจริงครุโฬกลับมาที่เกมราชาฯตั้งนานแล้ว จำนวนคนที่จะก่อตั้งกลุ่มเองก็เรียกระดมได้ครบนานแล้วเช่นกัน แต่เนื่องจากพรรคพวกเก่าจากเกมฝันที่เป็นจริงยังมีระดับในเกมราชาแห่งราชันไม่ค่อยสูงนัก หลายวันมานี้เขาจึงยุ่งอยู่กับการพาพวกนั้นเก็บเลเวล[1]อยู่ที่เกาะเริ่มต้น จนกระทั่งถึงเวลาที่นัดเฉินเฟิงไว้ ถึงได้รีบพาพรรคพวกทั้ง ๑๐ กว่าคนรีบมาที่เมืองท่าเซียงห่าย
หลังจากที่ติดต่อเฉินเฟิงได้แล้ว ครุโฬก็ทำการติดต่อกับพวกเพื่อนๆ ที่ร่วมผจญภัยกับเฉินเฟิงในหลายวันมานี้อย่างกระตือรือร้น ระหว่างดำเนินการก่อตั้งสมาพันธ์ เฉินเฟิงกับครุโฬต่างก็รู้สึกผิดคาดอย่างมาก เพราะเหล่าสมาชิกสมาพันธ์ต่างก็กระตือรือร้นยิ่งเสียกว่าตัวเขาสองคนเสียอีก ถึงขนาดกล่าวได้ว่าทุกขั้นตอนในการก่อตั้งเสร็จสิ้นลงภายใต้การเร่งรัดของสมาชิกทุกคนเสียด้วยซ้ำ เหมือนเหตุการณ์ให้สวมเสื้อคลุมเหลือง[2]อย่างไรอย่างนั้น และแค่เรื่องรับสมาชิกอย่างเดียวก็ทำเอาเฉินเฟิงยุ่งจนหัวปั่นแล้ว
สมาพันธ์รวบรวมสมาชิกได้ ๓๐ กว่าคนอย่างราบรื่น บวกกับสมาชิกหน้าใหม่ซึ่งเป็นพรรคพวกที่ครุโฬพามาจากเกมฝันที่เป็นจริงอีก ๑๐ กว่าคน และพรรคพวกของหลี่อวิ๋น รวมเป็นสมาชิกสมาพันธ์เฟิง ณ เวลานี้ทั้งสิ้น ๕๗ คน
ส่วนเลเอทท์ เนื่องจากได้ทำการเจรจากับครุโฬเอาไว้ จึงยกเลิกความคิดที่จะเชิญเฉินเฟิงเข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ตัวเอง และแน่นอนว่าไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์เฟิงแต่อย่างใด
[1] เก็บเลเวล (เก็บ level) คือ “ฝึกวิชา” ซึ่งก็คือการฆ่าสัตว์อสูรเพื่อสะสมค่าประสบการณ์ที่ต้องนำมาใช้ในการเลื่อนระดับ
[2] ให้สวมเสื้อคลุมเหลือง (หงผาวเจียเซิน) เป็นเหตุการณ์การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าซ่งไท่จู่ ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ ซึ่งเดิมเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาวังหลวงของราชวงศ์โฮ่วโจว โดยพระเจ้าซ่งไท่จู่ได้ถูกเหล่าลูกน้องทหารใต้บังคับบัญชาเอาเสื้อคลุมสีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้มาสวมตัวด้วยความหมายยกให้เขาเป็นฮ่องเต้ แล้วพากันยกทัพไปแย่งบัลลังก์จาก พระเจ้าโจวกงตี้ (อายุ ๖ ชันษา) แห่งราชวงศ์โฮ่วโจวที่ครองบัลลังก์อยู่ในเวลานั้น วลี “ให้สวมเสื้อคลุมเหลือง” จึงมีความหมายทำนอง ถูกพวกลูกน้องช่วยกันผลักดัน (แกมบังคับ) ให้ขึ้นเป็นใหญ่