หัวข้อ : เล่มที่ ๔ รวมพลก่อตั้งสมาพันธ์ ตอนที่ ๙ แบ่งพรรคแบ่งพวก

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:49

ตอนที่ ๙

 

แบ่งพรรคแบ่งพวก

 

 

ความจริงที่เปิดให้เลือกตัวรองหัวหน้าสมาพันธ์ เป็นเพราะเฉินเฟิงยุ่งกับการรับสมาชิกจนหัวปั่นแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ส่วนเรื่องที่รองหัวหน้าสมาพันธ์มีสิทธิ์ในการถอดถอนตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ เฉินเฟิงไม่ได้คิดถึงเลยแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่เขาออกตีสัตว์อสูรเพื่อฝึกวิชาและหาเงิน เพิ่งจะไปถึงที่หมาย ก็ดันมีคนมาขอเข้าสมาพันธ์ ทำเอาเขาต้องเสียค่าม้วนคาถากลับบ้านไปฟรีๆ ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะตำแหน่งรองหัวหน้าสมาพันธ์มีได้มากที่สุดแค่ ๔ คนละก็ เขายังคิดจะแต่งตั้งเพิ่มอีกหลายคนด้วยซ้ำ

ครุโฬยังมีพรรคพวกอีกหลายคนกำลังทยอยกันมา ความจริงตามที่วางแผนกันไว้ล่วงหน้า การประชุมครั้งนี้ต้องรออีกระยะหนึ่งถึงจะจัดขึ้น ถึงแม้เฉินเฟิงสามารถเลือกครุโฬเป็นรองหัวหน้าสมาพันธ์ได้โดยตรง แต่เขาไม่ต้องการให้สมาพันธ์เฟิงกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของคนกลุ่มน้อยแค่ไม่กี่คน ครุโฬเองก็คิดว่าพรรคพวกที่แต่ละฝ่ายพามาไม่ควรจะมีอัตราส่วนมากเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำเฉินเฟิงว่า พอจำนวนคนครบ ๕๐ คนปุ๊บ จะต้องมาจัดระบบของสมาพันธ์กันก่อน เพียงแต่ครุโฬเองก็นึกไม่ถึงว่า แค่ ๓ วันจำนวนคนก็เกิน ๕๐ คนไปแล้ว

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศค่อนข้างจะหงุดหงิด เพราะพรรคพวกของเขามากันแค่ไม่ถึงครึ่ง พวกที่ปกติดีแต่ปากพากันใช้วิธีรอดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ กันหมด

ถึงแม้เฉินเฟิงจะมีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก แต่เพราะความที่ทำอะไรตามสบายจนชิน อีกทั้งระดับของสมาชิกสมาพันธ์ยังต่ำเกินไป ทำให้พรรคพวกของเขาค่อนข้างจะดูถูกพวกพ้องที่เฉินเฟิงพามา นอกจากนี้เลเอทท์ยังไม่ได้เข้าสมาพันธ์เฟิงอย่างที่เขาบอกไว้อีกต่างหาก ทำให้ยอดฝีมือจำนวนมากพากันชะงักเท้า และค่อนข้างดูแคลนศักยภาพในการพัฒนาตัวเองของสมาพันธ์เฟิง ถึงขนาดเชียร์ให้ตัวเขาลาออกไปตั้งกลุ่มเองก็ยังมี

แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้ให้เฉินเฟิงรู้ แต่ก็ให้นึกลังเลเป็นครั้งแรกว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่า ครุโฬกับเลเอทท์ต่างก็เลี่ยงไม่ยอมพูดถึงข้อตกลงในครั้งนั้นเสียด้วย

การเลือกตั้งในวันนี้ยิ่งทำให้เรื่องมันหนักข้อยิ่งกว่าเดิมจนเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศแทบไม่กล้าสบตาพวกพ้องที่ตัวเองพามา เพราะพวกเขาที่มีระดับเฉลี่ยสูงตั้ง ๕๐ กว่าดันต้องมาแข่งกับพวกที่กระทั่งอาชีพก็ยังไม่มี !

คมพิรุณเห็นด้วยกับวิธีเลือกตั้งรองหัวหน้าสมาพันธ์อย่างมาก เพราะการที่เฉินเฟิงทำแบบนี้ตรงกับความคาดหวังของขบวนนักเวทและสัตว์พอดี แต่การใช้ลูกไม้บางอย่างของพรรคพวกเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศกับครุโฬ ทำให้เธออดกังวลแทนเฉินเฟิงไม่ได้

สมาชิกสมาพันธ์ที่มีศักยภาพแตกต่างกันอย่างมากกลับต้องมาทำการเลือกตั้งร่วมกันอย่างเสมอภาค ถือว่ายุติธรรมหรือไม่ ? เฉินเฟิงมองเห็นปัญหานี้หรือเปล่า ? อำนาจของรองหัวหน้าสมาพันธ์ในอนาคตคงต้องถูกท้าทายไม่ใช่น้อยแน่ คมพิรุณฉวยโอกาสที่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาแอบเรียกอะไรก็ได้กับหนานอี๋มาหาเพื่อปรึกษาว่าจะเตือนเฉินเฟิงเรื่องนี้ดีไหม

เสียงที่สนับสนุนสองแสงกล้ามีสูงมาก ในจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสมาพันธ์เฟิงตอนนี้ กว่าครึ่งเป็นผู้เล่นจากภูเขาแร่เหล็ก ซึ่งคนกลุ่มนี้จะสนิทกับขบวนนักเวทและสัตว์ สองแสงกล้า และเฮยโถวเป็นพิเศษ พวกเขาเองก็ทราบดีว่าระดับของพวกตนไม่ค่อยสูง และไม่ได้เก่งกาจรอบด้านเหมือนอย่างเฉินเฟิง จึงต่างถกกันอย่างออกรสมากว่าควรจะเลือกใครเป็นรองหัวหน้าสมาพันธ์ดี

ส้มโอและเจี๋ยเต๋อต่างก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในสมาพันธ์เช่นกัน แม้ว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้ของเฉินเฟิงจะทำลงไปด้วยเจตนาดี แต่ก็นำมาซึ่งภัยแอบแฝงเช่นกัน ส้มโอกับเจี๋ยเต๋อรีบไปหาเฮยโถวกับสองแสงกล้าทันทีเพื่อปรึกษาหาวิธีสลายภัยแอบแฝงนี้

ตัวเฉินเฟิงเองไม่รู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่กำลังโหมซัดแม้แต่น้อย ถึงแม้ปมที่ติดขัดอยู่ในใจจะได้รับการคลี่คลายไปแล้ว แต่เรื่องที่จะทำอย่างไรถึงจะให้สมาชิกสมาพันธ์ได้รับประโยชน์สูงสุด ยังเป็นปัญหาที่ทำให้เขากลุ้มใจที่สุดในตอนนี้อยู่ดี ในเวลาสั้นๆ แค่ ๓ วัน จำนวนเงินที่สมาชิกสมาพันธ์สะสมได้ก็มีมากถึง ๕,๐๐๐ กว่าเหรียญเงินแล้ว ความเร็วนี้ทำเอาเฉินเฟิงสะดุ้งโหยง และรับรู้ได้ถึงความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง

น่าเสียดายที่ในสมาพันธ์ไม่มีผู้เล่นที่ได้อาชีพพ่อค้า จากประสบการณ์ในการรับซื้อแร่เหล็กและก้อนโลหะ ทำให้เฉินเฟิงทราบดีถึงผลลัพธ์ของการใช้เงินหาเงิน แต่เป็นเพราะเขาเคยพลาดขาดทุนเล็กน้อยมาก่อน ทำให้ถึงจะมีความคิดนี้ แต่ก็ไม่กล้านำมาใช้จริงๆ จังๆ

อีกอย่าง เมื่อลองสรุปรวมอาชีพทั้งหมดที่มีในสมาพันธ์ตอนนี้ นักดาบ นินจา นายพราน นักรบคลั่ง จอมเวท นักบวช บวกกับข้อมูลของอาชีพนักฝึกสัตว์ที่เขาทราบมา นอกจากนี้ในจำนวนพรรคพวกที่หลี่อวิ๋นพามามีนักรบเทพและจอมยุทธ์พเนจรอยู่ ทั้งสิ้น ๙ อาชีพ ถือเป็นกลุ่มที่มีผู้เล่นหลากหลายอาชีพมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์กลุ่มสมาคมของเกมราชาฯแล้ว

แต่ก็เพราะมีอาชีพหลากหลายมาก แถมเฉินเฟิงเองก็ไม่ได้เข้าใจไปเสียทั้งหมด ดังนั้นวิธีการให้รางวัลด้วยการบอกวิธีฝึกทักษะที่สมาคมอื่นๆ ใช้กัน จึงกลับไม่สามารถใช้การได้ในสมาพันธ์เฟิง

“พี่เฟิงคะ ถึงเวลาแล้วนะ ! พี่เลือกใครหรือคะ ? จนตอนนี้พวกเรายังรู้จักแค่ไม่กี่คนเอง ขอรายชื่อให้พวกเราดูประกอบการพิจารณาหน่อยได้หรือเปล่าคะ ?” เยี่ยหลานเตือนเฉินเฟิงว่าได้เวลาแล้ว

หลังจากได้รับข้อความว่าเฉินเฟิงจะก่อตั้งสมาพันธ์ เยี่ยหลานก็แทบต้องขายเครื่องป้องกันทิ้งจนหมดเกลี้ยงกว่าจะได้ค่าตั๋วเรือมาครบ แน่นอนว่าตัวเธอเองไม่ได้จนถึงขนาดนั้นหรอก เหตุผลสำคัญเป็นเพราะเธอต้องพาผู้เล่นมือใหม่ ๒ คน คือ “คาราเมล” (Caramel) กับ “มัคคิอาโต” (Macchiato) มาด้วย

หลังแยกจากกันที่เกาะเริ่มต้น เยี่ยหลานก็ยืนกรานไม่ยอมเข้าสมาคมไหนทั้งนั้น เมื่อเร็วๆ นี้เธอเพิ่งจะได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๓๐ แต่เนื่องจากเพื่อนสมัยเรียนสองคนนี้เพิ่งจะเข้ามาเล่นเกมราชาฯด้วยกัน ดังนั้นเธอจึงยังรั้งอยู่ที่เกาะเริ่มต้น นึกไม่ถึงว่าเฉินเฟิงจะคิดก่อตั้งกลุ่มเร็วขนาดนี้ พอทราบข่าวเธอก็รับคำเชิญจากเฉินเฟิงทันที ตอนนี้ทั้ง ๓ จึงรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเฉินเฟิงไป

เฉินเฟิงส่งรายชื่อที่เขาเลือกให้เยี่ยหลาน นึกไม่ถึงว่าสามสาวจะลอกตามยิกๆ ทันที รายชื่อบนกระดาษคือ “เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ ครุโฬ คมพิรุณ สองแสงกล้า”

เยี่ยหลานส่งกระดาษรายชื่อคืนให้เฉินเฟิงแล้วถามว่า

“ทำไมพี่ไม่เลือกคนที่ระดับสูงที่สุดทั้งหมดล่ะคะ ?”

เฉินเฟิงงงไปชั่วครู่ แล้วตอบว่า

“ผมบอกแล้วนี่ครับว่าระดับไม่ได้หมายถึงศักยภาพ ! สี่คนนี้มีความสามารถในการเป็นผู้นำกันทั้งนั้น เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศกับครุโฬต่างก็เป็นนักเล่นเกมอาชีพมือเก่า แถมในสมาคมยังมีพรรคพวกที่พวกเขาพามาคนละตั้ง ๑๐ กว่าคน คมพิรุณเป็นหัวหน้าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ ส่วนสองแสงกล้า ความสามารถในการเป็นผู้นำที่เขาแสดงออกที่ภูเขาแร่เหล็กทำให้ผมนับถือมาก ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนยืนกรานให้ผมเป็นหัวหน้าสมาพันธ์ ผมยังคิดจะให้เขาสี่คนรับตำแหน่งนี้ซะด้วยซ้ำ”

เยี่ยหลานหัวเราะ “พี่ใหญ่ เรื่องแบบนี้พูดพล่อยๆ ไม่ได้หรอกนะคะ พวกเขาสี่คนอาจมีศักยภาพพอตัวก็จริงอยู่ แต่ทุกคนน่ะมาเพราะพี่เป็นคนเรียกระดมนะคะ ฉันเชื่อว่าพี่ต้องทำได้ดีกว่าพวกเขาแน่ๆ ค่ะ ที่ทุกคนมาเข้าสมาพันธ์นี้ไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในตัวพี่หรอกหรือ ?”

“ความจริงที่ผมใช้วิธีเลือกตั้งเลือกรองหัวหน้าสมาพันธ์ เพราะผมรู้ตัวดีว่าความสามารถของผมมีจำกัด ไม่มีทางปกรองคนตั้งมากขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียวได้แน่ และได้แต่พยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ทุกคนมีให้เท่านั้น เอาล่ะ ! ไว้ค่อยคุยกันต่อก็แล้วกัน เดี๋ยวรบกวนพวกเธอช่วยผมเก็บและตรวจบัตรลงคะแนนหน่อยนะ !”

ขณะที่เตรียมจะหย่อนบัตร เฮยโถวก็เป็นตัวแทนทุกคนขอยืดเวลาออกไปอีกครึ่งชั่วโมงด้วยข้ออ้างว่ามีตัวเลือกมากเกินไปและตำแหน่งนี้สำคัญมาก ถึงแม้จะมีสมาชิกที่มีระดับสูงบางคนเริ่มทำท่ารำคาญ แต่เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศก็ช่วยปลอบแกมปรามให้ จากนั้นทุกคนก็ลงมติให้ยืดเวลาออกไปอีกครึ่งชั่วโมง

ครุโฬบอกเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเป็นนัยๆ อย่างเป็นมิตรให้ช่วยกันลงคะแนนเสียงให้กัน รวมทั้งให้พวกพ้องของตัวเองไปพูดคุยสังสรรค์กับทุกคน ทำให้เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าพรรคพวกที่ตัวเองพามาแสดงอารมณ์ในเชิงลบออกมามากเกินไป จึงรีบเปิดประชุมด่วนทันที

เสียงพูดคุยในห้องเงียบสงัดลงอย่างทันทีทันใด สมาชิกทั้ง ๕๗ คนได้แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม แล้วต่างฝ่ายต่างรวมกลุ่มกันใช้ช่องกลุ่มพูดคุยกันไปมา

ในที่สุดสภาพการณ์นี้ก็สะกิดให้เฉินเฟิงสังเกตเห็นเข้าจนได้ ถึงแม้คมพิรุณกับสองแสงกล้าจะส่งข้อความมาบอกให้เขาช่วยเข้าไปปลอบใจคนของเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศหน่อย แต่ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้จะไม่เอื้อให้เขาเข้าไปหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งสิ้น จึงได้แต่รอดูว่าเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไงถ่ายเดียว

 

เวลาครึ่งชั่วโมงเหมือนกัน แต่ความรู้สึกก่อนและหลังเวลาครึ่งชั่วโมงนี้กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ขณะที่ผองเพื่อนบางคนกำลังพยายามวิ่งเต้น เฉินเฟิงกลับพบว่าตัวเขาเองไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย หรือการรวมคนพวกนี้เข้าด้วยกันอาจจะเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว ?

ไม่ต้องพูดถึงคนทั้ง ๔ ที่เขาเลือก ในสมาพันธ์เวลานี้คนที่มีศักยภาพมากพอจะสามารถแยกออกไปตั้งกลุ่มเองได้ก็ปาเข้าไป ๗ - ๘ คนแล้ว แล้วเขาล่ะอาศัยอะไรให้คนมากมายพวกนี้มาสนับสนุน !

หลังจากการปรึกษาและตกลงกันของคนทั้ง ๔ ฝ่าย การเลือกตั้งรองหัวหน้าสมาพันธ์ครั้งนี้มีผู้ได้รับเลือกเพียง ๓ คน ได้แก่ ครุโฬ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ และอีกคนคือสองแสงกล้า

หลังผ่านการเกลี้ยกล่อมจากอะไรก็ได้และเจี๋ยเต๋อ พวกเฉินเฟิงก็ลบชื่อของคมพิรุณออกไป ทุกคนลงมติว่า กำหนดตัวรองหัวหน้าสมาพันธ์แค่นี้ไปก่อนก็แล้วกัน ตำแหน่งที่ว่างอยู่เอาไว้รอให้มีคนทำความดีความชอบให้สมาพันธ์มากพอ หรือรอจนเลือกตั้งครั้งหน้าค่อยกำหนดกันใหม่

หลังเรื่องนี้ผ่านไป คมพิรุณได้บอกกับเฉินเฟิงว่า

“ถึงยังไงนักเวทและสัตว์ก็สนับสนุนคุณแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งความจริงจะมีตำแหน่งรองหัวหน้าสมาพันธ์หรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน เพราะก็สามารถทำงานให้สมาพันธ์ได้หมือนกัน สิ่งสำคัญคือความสุขและผลประโยชน์ของทุกคน ไม่ใช่ความสุขของฉันคนเดียวหรืออำนาจของคนแค่ไม่กี่คน คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ อย่าว่าแต่ฉันเองก็ไม่ใช่นักเล่นเกมอาชีพ ถ้างานส่วนตัวเกิดยุ่งมาก ก็คงไม่สามารถเข้าร่วมในกิจกรรมของสมาพันธ์ได้เหมือนกัน ผลลัพธ์แบบนี้แหละดีแล้ว เพราะจะได้ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการวางนโบยบายของสมาพันธ์มากนักไงคะ !”

จากนั้นก็มอบวิธีได้อาชีพของพวกตนแต่ละคน ทำให้เฉินเฟิงได้ข้อมูลการได้อาชีพของนักดาบ จอมเวท และนักบวช รวม ๓ อาชีพเพิ่มมา นอกจากนี้ยังมีวิธีการรวมกลุ่มกันเป็นทหารรับจ้างและวิธีคลี่คลายภารกิจอย่างละเอียด

ณ เวลานี้กล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่ามากจนไม่อาจประเมินได้ ต่อให้มีเงินและมีเวลายังไม่แน่เลยว่าจะได้ครอบครอง นอกจากกล่าวขอบคุณจากใจจริง เฉินเฟิงพูดอย่างอื่นไม่ออกจริงๆ ซึ่งครุโฬ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ และสองแสงกล้าเองต่างก็ทราบถึงการเสียสละในครั้งนี้ของพวกคมพิรุณดี

การมอบหมายตำแหน่งครั้งที่ ๑ ของสมาพันธ์เฟิงถูกดำเนินไปในเวลาที่สั้นที่สุด โดยทำการแบ่งสมาพันธ์เป็นส่วนๆ เพื่อพัฒนาสมาพันธ์ดังนี้ ตึกเฟิงหลิงรับผิดชอบศึกษาวิจัยทักษะอาชีพ ตึกเฟิงอู่รับผิดชอบด้านการต่อสู้และเก็บไอเท็มมีค่า ตึกเฟิงโซวรับผิดชอบด้านการทำการค้าหารายได้เข้าสมาพันธ์ และสุดท้าย ตึกเฟิงโฮ่วรับผิดชอบดูแลและจัดสรรเครื่องป้องกันที่มีไว้ให้สมาชิกในสมาพันธ์ยืมใช้

หัวหน้าสมาพันธ์จะเป็นผู้กุมอำนาจรวมทั้งหมด แต่ละตึกจะให้รองหัวหน้าสมาพันธ์แต่ละคนดูแล เนื่องจากตอนนี้มีรองหัวหน้าสมาพันธ์แค่ ๓ คน ดังนั้นเฉินเฟิงจึงรับหน้าที่ดูแลตึกเฟิงหลิงเป็นการชั่วคราว เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศรับผิดชอบตึกเฟิงอู่ สองแสงกล้ารับผิดชอบตึกเฟิงโซว ส่วนครุโฬรับผิดชอบตึกเฟิงโฮ่ว

นอกจากนี้แต่ละตึกจะแต่งตั้งหัวหน้าและรองหัวหน้าตึกตำแหน่งละ ๑ คน โดยให้รองหัวหน้าสมาพันธ์ผู้ดูแลแต่ละตึกเป็นคนเลือก ซึ่งตำแหน่งหัวหน้าและรองหัวหน้าตึกนี้จะประกาศในอีก ๓ วันให้หลังตามเวลาในเกม ส่วนสมาชิกสมาพันธ์จะยังไม่ทำการแบ่งใดๆ ทั้งสิ้นเป็นการชั่วคราว

หลังการประชุมสมาพันธ์ เฉินเฟิงก็มาคิดถึงผลได้ผลเสีย นึกไม่ถึงเลยว่าการเปิดประชุมจะส่งผลให้ปัญหาใหญ่ของสมาพันธ์เผยตัวออกมาเสียได้ ถึงแม้ด้วยความพยายามจากทุกฝ่ายทำให้ช่วยปลอบและเกลี้ยกล่อมคนของแต่ละฝ่ายเอาไว้ได้สำเร็จเป็นการชั่วคราว แต่เฉินเฟิงก็ยังกลุ้มแทบบ้าอยู่ทุกวันไม่ได้ขาด แล้วงานก็ดันยุ่งมากเสียจนไม่มีเวลามาคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้เสียด้วย ขนาดกลุ่มที่มีคนแค่ ๕๐ กว่าคนยังมีเรื่องโน้นเรื่องนี้ทั้งใหญ่เล็กรอให้เขาตัดสินใจเป็นกองพะเนินทุกวัน

ถึงแม้เฉินเฟิงคิดจะใช้วิธีแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบลดหลั่นกันไป น่าเสียดายที่สถานการณ์ในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรเลยกับตอนก่อนจะเปิดประชุม ตึกทั้งสี่เหมือนตั้งขึ้นมาเปล่าๆ ยังไงยังงั้น เพราะเรื่องทั้งหมดยังคงถูกส่งมาให้เขาเป็นคนตัดสินใจอยู่ดี

เวลาผ่านไปอีกแค่ ๓ วัน เฉินเฟิงก็พบว่าเขาจำชื่อสมาชิกในสมาพันธ์ได้ไม่หมดเสียแล้ว นอกจากพรรคพวกของครุโฬที่ทยอยข้ามตามกันมาจากเกมฝันที่เป็นจริง ก็จะมีสมาชิกสมาพันธ์แนะนำเพื่อนมาเข้าสมาพันธ์อยู่ทุกวัน มาแนะนำตัวปุ๊บก็ไปปั๊บ พวกหัวหน้าตึกบางคนยังคอยสะกิดเตือนอยู่ตลอดอีกต่างหากว่าให้ระวังความสมดุล ระวังคุณสมบัติ ระวังโน่น ระวังนี่ จนเขารำคาญแทบบ้า

การก่อตั้งของสมาพันธ์เฟิงได้ดึงความสนใจจากทุกฝ่ายรอบข้างอย่างรวดเร็ว นอกจากประเด็นที่ตัวของเฉินเฟิงเองเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดในระยะนี้แล้ว การฉีกแนวโดยมีอาชีพถึง ๙ อาชีพ ทำให้กลุ่มอื่นๆ ต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยไปตามๆ กัน

โชคดีที่เฉินเฟิงไม่ได้ประกาศรับสมัครคนอย่างเปิดเผย แต่เพราะเหตุนี้ทำให้พวกผู้เล่นจำนวนไม่น้อยพากันเป็นฝ่ายถามไถ่ สุดท้ายเมื่อทราบว่าสมาพันธ์เฟิงมีจำนวนสมาชิกเต็มอัตราแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นร้องขออย่างกระตือรือร้นให้สมาพันธ์เฟิงรีบเลื่อนระดับเร็วๆ หน่อย มีผู้เล่นบางส่วนถึงขนาดบริจาคเงินให้เพราะหวังว่าหลังจากที่สมาพันธ์เฟิงเลื่อนระดับแล้ว จะให้สิทธิ์พวกเขาได้เข้าเป็นสมาชิกก่อนคนอื่น

ถึงแม้กลุ่มสมาคมจะมีระบบรับเงินบริจาคอยู่ด้วย แต่นับตั้งแต่เริ่มมีเกมมาก็ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน เพราะจะไปมีคนยอมบริจาคเงินให้กลุ่มที่ตัวเองไม่ได้มีผลประโยชน์ร่วมได้ยังไงกันเล่า ?

ข่าวใหญ่สำคัญอีกข่าวหนึ่งคือ บรรดาอดีตหัวหน้าของแต่ละสมาคมพากันประกาศแสดงความยินดีต่อการถือกำเนิดของสมาพันธ์เฟิง ซึ่งเท่ากับว่ายอมรับฐานะของสมาพันธ์เฟิง

อยู่ๆ สมาชิกของสมาพันธ์เฟิงทั้ง ๑๐๐ คนก็พบว่าพวกตัวเองต่างเนื้อหอมขึ้นมาอย่างกะทันหัน เพราะมีคนแปลกหน้าเป็นจำนวนมากมาขอคบพวกเขาเป็นเพื่อนอยู่ทุกวัน ผลลัพธ์จากการได้รับของกำนัลจากคนโน้นคนนี้ไม่ขาดสายทำให้สมาชิกจำนวนมากพยายามที่จะสร้างผลงานให้สมาพันธ์เฟิงยิ่งกว่าเดิม

ในภายหลังเฉินเฟิงมีอันต้องตกใจเมื่อพบว่าทรัพย์สินของสมาพันธ์ได้เพิ่มพรวดพราด แล้วจึงค่อยทราบว่าสมาชิกสมาพันธ์จำนวนไม่น้อยจงใจปรับอัตราการมอบค่าตอบแทนให้แก่สมาพันธ์ขึ้นสูงสุด การที่สมาชิกจำนวนครึ่งหนึ่งปรับอัตราการมอบค่าตอบแทนให้แก่สมาพันธ์เป็น ๓๐% ได้สร้างสถิติใหม่ให้แก่กลุ่มสมาคมของเกมราชาฯอีกครั้ง

ตอนนี้ระดับทักษะบัญชาการของเฉินเฟิงคือระดับ ๑๐ ชื่อตำแหน่งหัวหน้าหมู่ สามารถตั้งกลุ่มได้เป็นจำนวน ๒๐ คน ตามข้อกำหนดล่าสุดของเกมราชาฯ จำกัดจำนวนสมาชิกสูงสุดคือ ๕ เท่า นั่นคือสมาพันธ์เฟิงสามารถมีจำนวนสมาชิกได้สูงสุด ๑๐๐ คน การที่บอกว่าจำนวนสมาชิกเต็มอัตราแล้วจึงไม่ใช่ข้ออ้างแต่อย่างใด หลังการประชุมของสมาพันธ์เฟิงแค่ไม่ถึง ๓ วัน จำนวนสมาชิกก็เต็มอัตราไปเป็นที่เรียบร้อย จึงไม่สามารถรับสมาชิกเพิ่มได้อีก

 

สถานที่ยังคงเป็นเป็นภัตตาคารของเมืองท่าเซียงห่ายอยู่เหมือนเดิม วันที่ ๔ หลังการประชุมของสมาพันธ์ ละครองก์หนึ่งได้เปิดฉากแสดงขึ้นอย่างคึกคัก ผู้นำระดับสูงของสมาพันธ์เฟิงสองคนต่างกำลังเดือดดาลสุดขีดจนเต้นเหยงๆ หนึ่งคือเฉินเฟิง หัวหน้าแห่งสมาพันธ์เฟิง อีกหนึ่งคือเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ เพื่อนซี้ของเขาเอง

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศโยนสมุดรายชื่อเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าเฉินเฟิงพลางพูดอย่างโมโหว่า

“เสี่ยวเฟิง นายอนุมัติไปได้ยังไงกันน่ะหา ? แบบนี้มันจงใจหักหน้าฉันนี่หว่า ! หรือนายดูไม่ออกจริงๆ ว่าพวกนั้นแค่ขู่เท่านั้น ไม่ได้คิดจะลาออกจริงๆ ซักหน่อย !”

เฉินเฟิงตอบคำถามของเพื่อนรักด้วยท่าทีรำคาญเล็กน้อยว่า

“เพราะรู้เจตนาของพวกเขาน่ะสิฉันถึงได้อนุมัติ แล้วก็ไม่ได้จงใจจะหักหน้านายอย่างแน่นอน แต่ถ้านายจะคิดแบบนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ !”

พอได้ยินคำตอบแบบไม่มีการอ้อมค้อมประนีประนอมของเฉินเฟิง เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศก็เดือดจัดจนพูดไม่ออก ใบหน้าคมคายมีเส้นเอ็นสีเขียวๆ ผุดขึ้นรำไร

สองแสงกล้าที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบหันไปดูรอบๆ พวกผู้เล่นรอบด้านต่างพากันซุบซิบเป็นการใหญ่

ผ่านไปครู่ใหญ่ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเห็นเฉินเฟิงไม่ได้ให้คำอธิบายมากไปกว่านี้ ก็โพล่งขึ้นว่า

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นฉันขอยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการเหมือนกัน ไม่ทราบนายจะอนุมัติมั้ย ?”

เฉินเฟิงชักเดือดขึ้นมาบ้างแล้ว ร้องว่า “นาย...นายขู่ฉันงั้นเรอะ ?”

บรรยากาศในที่นั้นผนึกตัวแข็งทื่ออย่างกะทันหัน พวกผู้เล่นที่กำลังส่งเสียงซุบซิบรีบหุบปากฉับ ส่วนสองแสงกล้าได้แต่นั่งตาค้างทำอะไรไม่ถูก

โชคดีที่ขณะเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศจะพูดตอบ ผู้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่รอคอยมานานทั้งหลายก็ได้มาถึงในที่สุด

“สองท่านอย่าเพิ่งเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้นสิขอรับ หรือว่านี่คือวิธีต้อนรับการมาถึงของกระผม ? อย่างนั้นกระผมขอไสหัวไปให้พ้นดีกว่า สองท่านจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าให้รกหูรกตา”

เสียงพูดดังมาจากชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งสวมชุดแบบนักศึกษายุคโบราณ แถมมือยังถือพัดขงเบ้งอีกต่างหาก

เครื่องป้องกันแบบนี้สองแสงกล้าเคยเห็นมาก่อน ดูคล้ายๆ กับเครื่องแบบของพวกสมาคมนักเขียน ไม่กี่วันมานี้สมาพันธ์มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมากก็จริง แต่มีผู้เล่นที่ได้อาชีพนักเขียนเพิ่มมาด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่กันหว่า ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย ?

เฉินเฟิงมองผู้มาอย่างงุนงง ส่วนครุโฬที่เดินเคียงเข้าประตูมายิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วแสดงอาการบอกใบ้ให้สองแสงกล้ารอดูฉากสนุกๆ ก็พอ

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเองก็มองผู้มาอย่างงุนงงเช่นกัน แต่เขาดูจะไว้หน้าผู้มาไม่ใช่น้อย เพราะจากที่เมื่อครู่โกรธจัดจนลุกพรวดขึ้นยืน ก็ค่อยๆ นั่งลงตามเดิม จากนั้นทักทายว่า

“เลี่ยงอี้ นายมาได้จังหวะพอดี ช่วยตัดสินให้ฉันหน่อยสิว่าเสี่ยวเฟิงทำแบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า ?”

เฉินเฟิงตะลึง “เลี่ยงอี้ ? อวี๋เลี่ยงอี้ ? จื้อสฺยง...นายเองหรือ (แม่ของนาย) ?[1]

ชายหนุ่มผู้มาโบกพัดขนนกเบาๆ แล้วพูดยิ้มๆ

“แม่ฉันแม่นายอะไรก๊านน แม่งเอ๊ย ! นัดกันไว้ไม่ใช่เรอะว่าจะมาเจอกันวันนี้ ? สุดท้ายไม่เห็นมีใครโผล่หัวไปรับซักคน ! โชคยังดีนะที่เจอเพื่อนของนายเข้าน่ะ ไม่งั้นฉันมิต้องยืนเซ่อรอเงกอยู่ที่ท่าเรือหรอกเรอะ ?!”

“นายจริงๆ ด้วย !” เฉินเฟิงดีอกดีใจ “ขอโทษที ! ต้องโทษหลี่อวิ๋นมันแหละ ทำฉันโมโหจนลืมเวลาไปเลย”

พอเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศได้ยินเฉินเฟิงโยนความผิดมาให้เขาหน้าตาเฉย ก็โวยวายประท้วงทันที

“เรื่องอะไรมาโทษฉันวะ ! นายน่ะแหละเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผลก่อน...”

“พอแล้ว ! หุบปากทั้งคู่นั่นแหละ ! พวกนายอาจไม่ขายขี้หน้าชาวบ้านชาวช่อง แต่ฉันอายโว้ย ! แล้วไม่รู้จักแนะนำเพื่อนฝูงให้ฉันรู้จักซะมั่งเลย เอาแต่ทะเลาะกันอยู่ได้ !” พอเห็นทั้งสองทำท่าจะทะเลาะกันอีกแล้ว อวี๋เลี่ยงอี้ก็แกล้งทำเป็นโมโหเบรกคนทั้งสองเอาไว้ทันควัน ทำเอาทุกคนที่ดูอยู่พากันอมยิ้ม

อวี๋เลี่ยงอี้ร่อนไปมาระหว่างเฉินเฟิงกับเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ ไม่มีใครทราบว่าเขาใช้วิธีไหน ทราบแต่ว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างยอมถอยกันไปคนละก้าว แต่หลังจากนั้นคู่กรณีทั้งสองต่างก็มีอาการเซื่องซึม พอเจอหน้ากันก็ไม่พูดกัน เหมือนยังคงมีปมในใจอันหนักอึ้ง

ถึงอย่างนั้นชื่อ “อวี๋เลี่ยงอี้” ก็ยังคงแพร่สะพัดไปทั่วสมาพันธ์เฟิง จากคำอธิบายของเจ้าตัว เหตุผลที่ตั้งชื่อแบบนี้ เป็นเพราะหวังจะเป็นให้ได้อย่างฮีโร่ที่เขาชื่นชมบูชา และสามพยางค์นี้มาจากโจวอวี๋ (จิวยี่) จูเก๋อเลี่ยง (จูกัดเหลียง - ขงเบ้ง) และซือหม่าอี้ (สุมาอี้) สามบุคคลผู้ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์ใหญ่โดยรวมในยุคสามก๊ก

แน่นอนว่าชื่ออวี๋เลี่ยงอี้ไม่ได้โด่งดังไปทั้งสมาพันธ์เพราะชื่อแต่อย่างใด ต้องทราบว่านับตั้งแต่เปิดประชุมสมาพันธ์เป็นต้นมา เฉินเฟิงกับเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศก็ทะเลาะกันรุนแรงขึ้นทุกที ทุกคนห้ามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จึงพากันกังวลใจอยู่นานแล้ว

ถึงอวี๋เลี่ยงอี้จะมีระดับแค่ ๒๘ และยังไม่ได้อาชีพใดทั้งสิ้น แต่ในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งวันเขาก็สามารถคลี่คลายปัญหาสถานการณ์ที่ตึงเครียดจนใกล้จะขาดผึงลงได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้นพอมีเรื่องที่ต้องให้เจรจาปรับความเข้าใจ หัวหน้าตึกทุกคนจะพากันมาขอให้เขาช่วยกันหมด จนกลายเป็นตัวแทนช่วยพูดของเฉินเฟิงกับเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศไปแล้ว

วันถัดมา สมาพันธ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงอีกครั้ง ชื่อของหัวหน้าตึกคนแรกที่ถูกประกาศได้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและการคาดเดาไปต่างๆ นานา แถมผลกระทบยังกระจายออกไปถึงนอกสมาพันธ์เฟิงอีกต่างหาก นั่นคือ...ตำแหน่งหัวหน้าตึกเฟิงอู่ไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่ให้คน ๗ คนรับตำแหน่งเดียวกันนี้ และพวกเขาก็คือขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์นั่นเอง

ในโลกของเกม “ราชาแห่งราชัน” ปกติขบวนทหารรับจ้างจะไม่ค่อยแยแสพวกกลุ่มสมาคมนัก พวกนี้มักเกิดจากการรวมตัวกันของเพื่อนสนิท ๓ - ๕ คน และเคยชินกับการออนไลน์เคลื่อนไหวพร้อมกัน เพราะเหตุนี้ทำให้พวกนี้ไม่ค่อยสนใจที่จะเข้ากลุ่มหรือสมาคมใดๆ

การแต่งตั้งหัวหน้าตึกเฟิงอู่ของสมาพันธ์เฟิงได้ทำลายธรรมเนียมของขบวนทหารรับจ้างลงในทันที ทุกคนพากันตกตะลึงเมื่อพบว่า ถึงแม้ในวันที่ ๔ นับจากวันที่สมาพันธ์เฟิงก่อตั้ง จะมียอดฝีมือลาออกไปรวดเดียวหลายคน แต่กลับมีทหารรับจ้างมาสมัครเข้าสมาคมกันเพียบ

มีข่าวลือแพร่ออกไปว่าเฉินเฟิงบีบให้ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งลาออกจากสมาคมไปเพื่ออ้าแขนต้อนรับเหล่าทหารรับจ้าง ซึ่งความจริงการที่เกิดผลลัพธ์เช่นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเข้าสู่สมาพันธ์ของขบวนนักเวทและสัตว์ คมพิรุณรับตำแหน่งหัวหน้าตึกเฟิงอู่แห่งสมาพันธ์เฟิงโดยที่ขบวนนักเวทและสัตว์ไม่ได้ถูกทำลายรูปแบบขบวนเพราะการเข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์แต่อย่างใด เพราะยังคงไปไหนมาไหนพร้อมกัน ๗ คนเหมือนเดิม

นอกจากนี้เรื่องที่เฉินเฟิงช่วยคลี่คลายกรณีพิพาทระหว่างขบวนนักเวทและสัตว์กับสมาพันธ์ดาบกระบี่ ยังเล่าลือกันไปทั่วในกลุ่มทหารรับจ้าง ทำให้เฉินเฟิงมีหน้ามีตาพอตัวในกลุ่มทหารรับจ้าง

ระยะนี้พวกกลุ่มสมาคมทยอยกันก่อตั้งขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ทำให้พื้นที่หากินของพวกทหารรับจ้างเริ่มถูกคุกคามเบียดบังมากขึ้นทุกขณะ พวกเขาจึงถูกบีบกลายๆ ให้จำต้องเลือกกลุ่มใดสักกลุ่มมาช่วยหนุนหลัง สมาพันธ์เฟิงมีผู้เชี่ยวชาญในกิจการทหารรับจ้างอย่างคมพิรุณอยู่ แถมยังมีเฉินเฟิงที่มนุษยสัมพันธ์ดีเป็นที่นับหน้าถือตาไปทั่ว จึงกลายเป็นตัวเลือกแรกที่พวกเขาเลือกไปโดยปริยาย

แต่ไม่มีใครมีเวลาไปตามสืบดูว่าใครกันแน่ที่เป็นคนปล่อยข่าวลือ เพราะสภาพการณ์ถัดมาของสมาพันธ์เฟิง ยิ่งก่อให้เกิดข่าวลือหนาหูเข้าไปใหญ่

 

หลังจากผ่านบรรยากาศคุกรุ่นแทบระเบิดมา ๒ วัน เฉินเฟิงก็ถูกครุโฬ สองแสงกล้า อวี๋เลี่ยงอี้ และคมพิรุณไล่ออกไปจากฐานหลักชั่วคราวของสมาพันธ์เฟิง “ภัตตาคารเมืองท่าเซียงห่าย” โดยบอกให้เขาไปช่วยฝึกวิชาเลื่อนระดับให้เยี่ยหลาน คาราเมล และมัคคิอาโต สามสาวสมาชิกใหม่ที่เขาเองเป็นคนรับเข้ามา เฉินเฟิงเองก็ทราบดีว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น จุดประสงค์หลักของทุกคนคือต้องการให้เขาได้ผ่อนคลายจิตใจให้หายตึงเครียดเสียบ้าง

ความจริงตัวเฉินเฟิงไม่เต็มใจอย่างมาก แต่เขาก็เป็นคนรับสามสาวเข้ามาเองจริงๆ แถมตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสมาพันธ์เฟิงเป็นต้นมา สามสาวก็คอยวิ่งทำงานจิปาถะนู่นนี่อยู่ข้างๆ เขาตลอด ซึ่งความจริงไม่ใช่เพราะเรื่องในสมาพันธ์ยุ่งมากจนต้องมีพวกเธอคอยช่วย แต่เป็นเพราะสามสาวถูกสถานการณ์บังคับ เนื่องจากระดับของพวกเธอต่ำเกินไป โดยเฉพาะคาราเมลกับมัคคิอาโตสองคนต่างก็มีระดับแค่ ๑๕ เท่านั้น หากไม่เลื่อนระดับให้สูงกว่านี้ ก็จะไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ในทวีปกู่ย่านี้ได้

ถึงแม้สามสาวจะเซ็งสุดๆ แต่หลายวันมานี้พวกเธอต่างไม่บ่นให้ได้ยินแม้แต่คำเดียว เฉินเฟิงเองคิดจะพาพวกเธอออกไปเก็บเลเวลอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกงานในสมาคมขัดแผนการนี้ไปเสียทุกครั้ง ในสมาพันธ์มีการแต่งตั้งตึกที่รับผิดชอบพามือใหม่ไปฝึกวิชาเลื่อนระดับโดยเฉพาะก็จริงอยู่ แต่ทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง

เวลานี้เนื่องจากสมาชิกสมาพันธ์ที่ออนไลน์มีค่อนข้างน้อย ด้วยการยุยงของอวี๋เลี่ยงอี้ ทำให้ทุกคนตกลงใจรวมหัวกันบีบให้เฉินเฟิงได้หยุดพัก ๑ วัน เฉินเฟิงก็ยอมตามน้ำพาสามสาวเยี่ยหลาน คาราเมล และมัคคิอาโตออกไปข้างนอก

แต่ไม่มีใครคาดถึงเลยว่า วันนี้ทั้งวันจะกลายเป็นวันมหาวิบากของสาวน้อยที่แสนจะอ่อนหวานน่ารักทั้งสาม...

ตอนที่เฉินเฟิงเริ่มเล่นเกมนี้ ก็มั่วฟลุคจนระดับเลื่อนพรวดๆ เป็นระดับ ๓๐ ในรวดเดียว จึงไม่เคยทราบมาก่อนว่าอาวุธและชุดเกราะเดียวกัน คนใช้ระดับต่างกัน ประสิทธิภาพที่เปล่งออกมาก็จะต่างกันไปด้วย หลังจากตระเตรียมเครื่องป้องกันและอาวุธที่ดีที่สุดเท่าที่มีขายในร้านค้าของระบบให้สามสาวเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาสามสาวมุ่งหน้าไปยังเขตที่มีสัตว์อสูรระดับสูงทันทีเหมือนคนที่บังเอิญฟลุครวยล้นฟ้าอยางปุบปับไม่เข้าใจความยากลำบากของชาวประชาตาดำๆ ยังไงยังงั้น

สามสาวที่กำลังดีอกดีใจที่ได้ชุดเกราะใหม่ พอมาเจอศึกแรกก็ต้องกรีดร้องเสียงหลงเสียแล้ว

ปรากฏว่าเฉินเฟิงพาพวกเธอไปที่ทะเลทรายมรณะ เนื่องจากเขารังแกแมงป่องพิษกับงูหางกระดิ่งเสียจนชิน แถมเนื่องจากคิดจะให้สามสาวได้รับค่าประสบการณ์มากๆ หน่อย จึงจงใจไม่ให้พวกสัตว์เลี้ยงของเขาช่วยเหมือนปกติ แถมไม่ได้รวมกลุ่ม แล้วปล่อยให้สามสาวไปรับมือกันคนละ ๒ ตัว

เพิ่งเผชิญหน้า คาราเมลก็ถูกพิษเข้าให้เสียแล้ว ดาบสั้นระดับ ๔ ทั้ง ๓ เล่มระดมแทงกันไปหลายสิบครั้ง ประสิทธิภาพยังไม่เท่าดาบซามูไรของเฉินเฟิงฟัน ๓ ทีเสียด้วยซ้ำ หลังจากมือไม้ปั่นป่วนเป็นพัลวันอยู่พักใหญ่ ค่อยหนีรอดจากเงามรณะมาได้ด้วยการช่วยเหลือของคาถาท่องลม

ปรากฏว่าเครื่องป้องกันเปล่งประสิทธิภาพแค่ครึ่งเดียวของยามปกติเท่านั้น แต่เฉินเฟิงก็ยังไม่ตระหนักอยู่เหมือนเดิม แถมดันไปโทษว่าสัตว์ในทะเลทรายตัวเล็กและเคลื่อนไหวเร็วเกินไปโดยไม่สืบหาสาเหตุที่แท้จริง จากนั้นพาสามสาวย้ายไปสู้ที่ป่าละเมาะแมงมุมยักษ์

ปกติโดยธรรมชาติของผู้หญิงมักจะกลัวสัตว์ที่มีขนยุบยับอยู่แล้ว หลังเสียงกรีดร้องโหยหวนของสามสาว เฉินเฟิงก็ค้นพบกะทันหันว่าดูเหมือนพลังโจมตีของแมงมุมสามตาจะสูงขึ้นอย่างปุบปับถึงเท่าตัวยังไงยังงั้น

เงินค่าไอเท็มที่สามสาวผู้จนกรอบใช้ ย่อมต้องเป็นเงินเก็บของเฉินเฟิงอยู่แล้ว คาราเมลกับมัคคิอาโตใช้ยาฟื้นพลังแทบไม่ได้หยุด เฉินเฟิงที่นั่งดูอยู่ข้างๆ เห็นแล้วปวดใจสุดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

แต่ไม่ทราบว่าเฉินเฟิงถูกงานในสมาพันธ์ทำเอาเปลี่ยนเป็นเซ่อไปเสียแล้วหรืออย่างไร เพราะดันลงความเห็นว่าเปลือกเกราะของแมงมุมสามตาแข็งเกินไป จึงพาสามสาวย้ายไปที่ป่าเฟิงแทน โดยคิดว่าคนแคระกับก็อบลินระดับ ๒๕ น่าจะเหมาะสมกับพวกเธอได้เสียที

ตอนเริ่มสู้กันก็ยังราบรื่นดีอยู่หรอก น่าเสียดายที่ผ่านไปแค่ไม่นาน คาราเมลกับมัคคิอาโตก็เริ่มวิ่งหน้าตั้ง ปรากฏว่าพวกเธอใช้ยาฟื้นพลังหมดไปตั้งแต่ตอนสู้กับแมงมุมสามตาในป่าละเมาะโน่นแล้ว ตอนนี้จึงเห็นแต่สองสาวถูกสัตว์อสูรวิ่งไล่กวดจนต้องเผ่นป่าราบโดยมีเยี่ยหลานวิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังสัตว์อสูร ส่วนเฉินเฟิงนั่งพลิกดู “คู่มือสัตว์อสูร” อยู่ที่ด้านข้างพลางใช้ความคิดอย่างหนักว่าต้องทำยังไงถึงจะช่วยสามสาวเก็บเลเวลได้ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสามสาวหมดความเชื่อมั่นในตัวเขาไปเรียบร้อยแล้ว...



[1] จุดนี้เป็นการเล่นคำ โดยที่คำว่า “นายเองหรือ” ภาษาจีนคือ “ซื่อหนี่มา” แต่คำว่า “มา” นั้น หากเขียนด้วยตัวอักษรอีกตัวที่อ่านออกเสียงเหมือนกัน จะแปลว่า “แม่” ดังนั้น “ซื่อหนี่มา” จึงสามารถจะเล่นคำพูดโดยแปลว่า “แม่ของนายหรือ ?” ได้

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:49

0 ความคิดเห็น