โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:56
ตอนที่ 2
ตัดสินใจ
เฉินเฟิงขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน แล้วย้อนคิดถึงทุกคำพูดที่อวี๋เลี่ยงอี้พูดมา ใจนึกอยากจะเถียง แต่ก็หาเหตุผลมาเถียงไม่ได้
สิ่งที่อวี๋เลี่ยงอี้พูดเป็นทั้งความจริงในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเป็นในอนาคตอันใกล้โดยไม่อาจปฏิเสธได้ หากเฉินเฟิงไม่อยากจะปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกระแสนี้ ก็มีแต่ต้องละทิ้งความคิดที่จะใช้เกมหาเงินเท่านั้น แต่รายรับจำนวนนี้ก็จำเป็นสำหรับเขาอีกเช่นกัน !
ลองคิดดูดีๆ แล้ว ช่วงเวลาที่เขาได้เข้ามาเล่นเกมราชาแห่งราชันนี้ เขาได้คบเพื่อนฝูงมากมาย และได้รู้เห็นอะไรๆ เพิ่มเติมมากกว่าที่เคยมีหลายเท่าตัว เทียบกับโลกภายนอกแล้ว ที่นี่มีสีสันกว่ากันเยอะ ถึงจะยังพูดไม่ได้ว่าคลั่งไคล้ แต่เขาก็เกิดความรู้สึกผูกพันกับโลกแห่งนี้เข้าให้จริงๆ เสียแล้ว หากพอจะมีเวลาว่างล่ะก็ ลองมาสัมผัสกับชีวิตแบบนี้ดูบ้างก็ไม่เลวเลยทีเดียว
เฉินเฟิงเอาแต่ย้อนถามตัวเองว่า “ทำไมถึงมีผู้เล่นมากมายยอมเสียเงินซื้อของที่เป็นแค่สิ่งสมมุติพวกนี้กันนะ ? ถ้าหากไม่มีคนซื้อ ก็จะไม่มีนักเล่นเกมอาชีพหรือเปล่า ?”
การที่เขานึกอยากจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพในตอนแรกนั้นได้ทำให้เขากลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำให้โลกนี้กลายเป็นโลกที่เห็นแก่ตัวยิ่งกว่าเดิมโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวไปแล้วหรือเปล่า ? และคนประเภทที่เขารังเกียจก็คือคนแบบตัวเขานี่เองไม่ใช่หรือไง ?
สุภาพชนหมายปองทรัพย์ ต้องรับด้วยคุณธรรม หลังจากคิดตก เฉินเฟิงก็ตัดสินใจที่จะยุติการเป็นนักเล่นเกมอาชีพในที่สุด
ตอนนี้ก็เหลือแต่ปัญหาเรื่องหัวหน้าสมาพันธ์เฟิง ถึงเขาไม่ได้จะเลิกเล่นเกมราชาฯมันเดี๋ยวนี้ แต่เขาก็ต้องคิดถึงความเป็นอยู่ในโลกความจริงด้วย เพราะหลังจากนี้เขาคงไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาเล่นเกมราชาฯอีกแล้ว ทำให้ยังไงก็คงจะเป็นหัวหน้าสมาพันธ์ต่อไปไม่ได้อีก
ความคิดที่จะยุบสมาพันธ์เฟิงค่อยๆ ผุดขึ้นในสมองของเฉินเฟิง
แต่การที่มีเพื่อนฝูงมากมายขนาดนี้ให้การสนับสนุน ทำให้เฉินเฟิงชักจะลังเลขึ้นมาเหมือนกัน ทว่าไม่กี่วันก่อน ปัญหาเรื่องแบ่งพรรคแบ่งพวกภายในสมาพันธ์ได้ตอกย้ำให้เห็นแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกรองหัวหน้าสมาพันธ์จะยอมรับสมาพันธ์เฟิงกันทุกคน ส่วนจะปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้รึ เขาก็อดรู้สึกผิดต่อพวกเพื่อนๆ ที่อุตส่าห์เข้ามาเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็มีเพื่อนๆ ตั้งหลายคนที่ไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกเพราะคิดหากำไรเป็นหลัก
เฉินเฟิงปัดปัญหาหนักอกเรื่องจะยุบหรือไม่ยุบสมาพันธ์ออกไปก่อน เพราะถึงยังไงก็คงยังคลี่คลายไม่ได้ในเร็วๆ นี้อยู่แล้ว น่าเสียดายที่หลายวันมานี้ความกลัดกลุ้มได้เข้าแทนที่ความรู้สึกอื่นๆ จนหมด และเข้าครอบครองโลกแห่งความคิดของเฉินเฟิงได้สำเร็จไปเสียแล้ว...
แล้วเฉินเฟิงก็เจอปัญหาหนักอกยิ่งกว่าเดิมเรื่องใหม่ในทันที ตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะไม่เป็นนักเล่นเกมอาชีพแล้ว แต่ในสมาพันธ์ยังมีพวกครุโฬกับเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศที่ยึดอาชีพนักเล่นเกมอาชีพมานาน แถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าสมาพันธ์เฟิงด้วยกันทั้งคู่อยู่
ถึงแม้คนทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนซี้ที่สุดของเขา แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปขอให้สองคนนี้เปลี่ยนแปลงตัวเองตามเขาได้อยู่ดี สิ่งที่ตัวเขาซึ่งไม่คิดจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพอีกแล้วจะทำในกาลข้างหน้าต้องขัดแย้งกับสองคนนี้อย่างแน่นอน ดูท่าตราบใดที่ในสมาพันธ์เฟิงยังคงมีนักเล่นเกมอาชีพ ปัญหานี้ก็จะคงอยู่ไปตลอดกาล สรุปว่าตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ได้กลายเป็นเผือกร้อนลวกมือ[1]ไปเสียแล้ว...
ด้วยเหตุนี้ เฉินเฟิงที่อุตส่าห์รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อยก็มีอันจิตตกจมดิ่งกับปัญหาใหม่อีกครั้ง และเอาแต่นั่งตาลอยเหม่อมองฝ้าเพดานค้างอยู่อย่างนั้น
หลายฝูเป็นสัตว์เลี้ยงเพียงตัวเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวภายในตัวบ้านได้อย่างอิสระ มันเห็นเจ้านายนั่งนิ่งไม่ขยับมาหลายชั่วโมง ก็นอนหมอบพักผ่อนอยู่ข้างเตียงอย่างแสนเชื่อง แต่อู้คงกับอเล็กซ์ไม่คิดจะเอาใจนายแบบหลายฝู จึงพากันเคาะโน่นเคาะนี่ดังโขมงโฉงเฉงไปหมด
สุดท้ายหลายฝูจำต้องงับกระตุกมุมเสื้อเจ้านาย เฉินเฟิงที่ถูกสะกิดจนรู้สึกตัวกำลังนึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของหลายฝู แล้วจึงถูกเสียงดังเอะอะโครมครามดึงความสนใจอย่างรวดเร็ว หลังจากสอบถามหลายฝูกับซวงเว่ยดู ถึงค่อยรู้ว่าพวกมันหิวแล้วนั่นเอง ส่วนอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงซึ่งใส่เตรียมไว้ให้ที่ลานหลังบ้านนั้นเกลี้ยงฉาดไปนานแล้ว
เฉินเฟิงเติมอาหารให้พวกสัตว์เลี้ยงพลางด่าไปพลางว่า
“ดีแต่โวยวายนะวะ สักวันฉันต้องโดนพวกแกสูบจนล่มจมแหงๆ ถ้าตอนนี้จะเลิกเป็นนักเล่นเกมอาชีพล่ะก็ ดูท่าคงต้องโละขายทิ้งไปบ้างซะแล้วล่ะมั้ง”
ทันใดนั้นคำพูดของอวี๋เลี่ยงอี้ได้ผุดขึ้นในห้วงความคิดอีกครั้ง หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่พักใหญ่ เฉินเฟิงก็เขียนจดหมาย 2 ฉบับให้ครุโฬกับเมฆถาโถมฯ นัดให้หาเวลามาคุยกันแบบยาวๆ สักครั้ง
ระหว่างที่ยังไม่ได้คลี่คลายอะไร เฉินเฟิงได้แต่ลองทำความเข้าใจกับความเคลื่อนไหวของสมาพันธ์ดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ หลายวันที่เขาเอาแต่นั่งหดหู่ ไม่ทราบว่าสถานการณ์ของสมาพันธ์เฟิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
หลังจากเปิดช่องสื่อสารทุกช่อง ข้อความจากเมฆถาโถมฯที่ถูกส่งมาก็โชว์พรวดติดๆ กันหลายหน้าทันที ไอ้เพื่อนตายที่โคตรจะใจร้อนคนนี้ เวลามีเรื่องอะไรแล้วตามหาตัวคู่กรณีไม่พบล่ะก็ พ่อจะกลายร่างเป็นสิงโตคลุ้มคลั่งไปในพริบตา แถมอาจมีการซี้ซั้วไล่งับชาวบ้านอีกต่างหาก !
ครั้นเฉินเฟิงตอบข้อความกลับไป ก็ถูกบัญชาให้ไปที่ภัตตาคารเมืองท่าเซียงห่ายทันที เฉินเฟิงที่รู้ตัวดีว่าเป็นฝ่ายผิดได้แต่ขยี้จมูกแล้วไปตามนัดอย่างว่าง่าย
พอเจอหน้ากันปุ๊บ เมฆถาโถมฯก็แหกปากว่า
“พี่เฉิน ! พี่เฟิง ! ท่านหัวหน้าสมาพันธ์ขอรับ ! ในที่สุดนายก็ยอมโผล่หัวออกมาจนได้ !!”
ภัตตาคารเมืองท่าเซียงห่ายได้กลายมาเป็นจุดติดต่อกับโลกภายนอกของสมาพันธ์เฟิงไปแล้ว คนที่คิดจะมาหาคนของสมาพันธ์เฟิงจะพากันมารวมตัวที่นี่โดยอัตโนมัติ ครั้นเมฆถาโถมฯแหกปากออกมาปุ๊บ ก็ดึงดูดผู้คนในภัตตาคารให้มายืนมุงดูทันที
ถึงแม้ตอนนี้เฉินเฟิงออกจะชินกับการโดนชาวบ้านล้อมวงมุงดูไปแล้วก็ตาม แต่เขาคิดจะพูดกับเมฆถาโถมฯให้รู้เรื่อง จึงได้แต่ขอเปิดห้องพิเศษกับเถ้าแก่ แล้วลากเมฆถาโถมฯเข้าไปคุยกันข้างใน
เฉินเฟิงเปิดฉากว่า “เกิดอะไรขึ้นเรอะ เห็นว่าบอกในข้อความไม่ได้ ต้องให้ฉันมาเอง อยากจะเห็นหน้าฉันขนาดนี้เชียว ?”
“ไม่ต้องมาพูดให้คลื่นไส้หน่อยเลยวะ ! เพื่อนๆ บางคนเขาบ่นว่าไม่ได้เจอหน้าท่านหัวหน้าสมาพันธ์มาตั้งนานแล้วต่างหากล่ะโว้ย ! ถ้านายยังไม่โผล่หัวออกมาอีก ฉันก็ไม่รู้จะบอกคนอื่นยังไงดีน่ะสิ ที่จงใจเรียกนายมา ก็แค่กะจะให้พวกสมาชิกสบายใจขึ้นก็เท่านั้น ตอนนี้สมาชิกหลายคนอยากให้นายรีบๆ เลื่อนระดับทักษะบัญชาการเร็วๆ จะได้รับสมาชิกเพิ่มได้ซะที แล้วบางคนก็เสนอให้เพิ่มค่าสมาชิก จะได้เลื่อนระดับขึ้นเป็นสมาคมไปเลย นายตัดสินใจเอาเองแล้วกัน !”
ติดต่อเมฆถาโถมฯ มีค่าเท่ากับติดต่อกับทุกคน เมฆถาโถมฯเห็นเฉินเฟิงยังทำเป็นพูดอ้อมแอ้มหลบตา แถมเอาแต่ถามเขาว่าได้รับจดหมายหรือยัง ก็ตัดสินใจเลิกสนไอ้เพื่อนรักที่ยังอยู่ในภาวะจิตตกคนนี้ทันที เปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปแจ้งให้พวกสมาชิกที่กำลังตามหาตัวเฉินเฟิงเหมือนกันทราบ จากนั้นเผ่นไปคลี่คลายภารกิจกับฆ่าสัตว์อสูรต่อ
เมฆถาโถมฯเพิ่งลับหายจากประตู คมพิรุณก็ก้าวเข้ามาในห้องทันควัน
เฉินเฟิงคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่สองที่มาหาเขาจะเป็นคมพิรุณไปได้ เพราะว่ากันตามเหตุผลแล้ว ขบวนนักเวทและสัตว์เป็นกลุ่มที่ยืนอยู่ฝ่ายผู้เล่นที่ไม่ใช่นักเล่นเกมอาชีพเช่นเดียวกันกับเขานี่นา และถึงเฉินเฟิงจะไม่ได้บอกกับทุกคนก็ตาม แต่เรื่องที่เขากลุ้มใจจนจิตตกเพราะเรื่องเส้นทางที่สมาพันธ์เฟิงจะก้าวไปในอนาคตก็แพร่ไปทั่วสมาพันธ์อยู่นานแล้ว
ในความคิดของเฉินเฟิง ขบวนนักเวทและสัตว์น่าจะอยู่ฝ่ายที่คิดจะชะลอความเร็วในการขยายสมาพันธ์เหมือนกันกับเขาสิ แล้วไหงพอเขาโผล่มาปุ๊บ คมพิรุณก็รีบมาพบเขาปั๊บเลยล่ะนี่ ?
คมพิรุณเห็นสีหน้าตกใจของเฉินเฟิง ก็ไม่อธิบายมากความ เพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า
“วางใจเถอะ ฉันแค่มาช่วยให้กำลังใจคุณเท่านั้น และจะมาบอกข่าวดีด้วย ทำใจให้สบายเถอะค่ะ เท่าที่คุณทำมาจนถึงตอนนี้เรียกว่าทำได้ดีมากเลยล่ะ พวกเรายังสนับสนุนคุณอยู่เหมือนเดิมนะ”
เมื่อได้ฟังคำรายงานจากคมพิรุณเรื่องที่เหล่าผู้เล่นนอกสมาพันธ์พากันบริจาคเงินให้สมาพันธ์ เฉินเฟิงก็ถึงกับนั่งอ้าปากค้างไปอึดใจใหญ่ และมีอันต้องตกใจหนักยิ่งกว่าเมื่อพบว่าเขาหาคำสั่งหรือระบบที่ใช้ปฏิเสธการรับเงินบริจาคไม่เจอ ทำให้ชักจะคิดว่าการออกแบบของเกมราชาฯนี่มันน่างงสิ้นดี
เขาลองติดต่อกับพวกผู้เล่นที่บริจาคเงินดู ก็พบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ออนไลน์ และส่วนมากก็ไม่ใช่นักเล่นเกมอาชีพเสียด้วย จึงได้แต่รีบบอกให้คมพิรุณไปแปะประกาศว่าจะไม่รับเงินบริจาคอีกแล้ว
“ปฏิเสธไปตั้งนานแล้วค่ะ” คมพิรุณตอบยิ้มๆ “แต่เมื่อกี้คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเราไม่มีทางปฏิเสธที่จะรับเงินบริจาคได้ ถึงแม้ทั้งฝ่ายเอาเปรียบและฝ่ายเสียเปรียบต่างก็ยินยอมพร้อมใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายก็เถอะ กลุ่มพลังนอกสมาพันธ์ที่ต่างก็รอคอยให้สมาพันธ์เฟิงเติบใหญ่พวกนี้ไม่ได้บ่งบอกว่าพวกผู้เล่นต่างก็รอคอยให้โลกของเกมราชาฯสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมหรอกหรือคะ ?”
คมพิรุณเพิ่งจากไป ครุโฬกับเจี๋ยเต๋อก็รี่เข้ามาราวกับพายุ
ช่วงนี้ครุโฬงานยุ่งมากจนหัวหมุนตาลายไปหมด เพราะนอกจากพวกพ้องที่ติดตามเขามาจากเกมฝันที่เป็นจริงแล้ว เขายังต้องรับผิดชอบช่วยพาสมาชิกมือใหม่ของสมาพันธ์ไปฝึกวิชาเลื่อนระดับอีกต่างหาก พอเขาได้ฟังคำรายงานปนฟ้องของเจี๋ยเต๋อ ก็รู้สึกสนใจวิธีจัดการปิศาจหินอย่างมาก และกำลังกลุ้มใจเรื่องที่ตามหาตัวเฉินเฟิงไม่พบอยู่พอดี พอฆ้องปากแตกเมฆถาโถมฯรายงานให้เขาทราบปุ๊บ เขาก็รีบวิ่งรี่มาทันควัน ถึงแม้เมฆถาโถมฯจะอยากให้เขาคุยกับเฉินเฟิงให้รู้เรื่อง แต่พอได้พบหน้าเฉินเฟิง ครุโฬก็ถามถึงผลลัพธ์ของวิธีสู้กับปิศาจหินทันทีโดยไม่สนใจที่เฉินเฟิงถามเขาว่าได้รับจดหมายแล้วหรือยัง
ครั้นได้ยินที่ครุโฬถาม เจี๋ยเต๋อก็จัดการออกหน้าเชียร์อย่างกระตือรือร้นสุดๆ เสียเองโดยไม่รอให้เฉินเฟิงออกปากตอบ แถมยังรับประกันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าวิธีนี้ทั้งรวดเร็วและประหยัด จนเฉินเฟิงไม่มีโอกาสพูดแทรกแม้แต่คำเดียว
ครุโฬดูจะนึกสนใจอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ทำท่าจะพูดแล้วกลับไม่พูดอยู่พักใหญ่ จนเจี๋ยเต๋อที่ซาบซึ้งกับอาการมีเรื่องอยากจะพูดแต่ดันไม่ยอมพูดของเฉินเฟิงในหลายวันมานี้อย่างเต็มพิกัดต้องถอนหายใจ จากนั้นเป็นฝ่ายออกไปจากห้องก่อนด้วยท่าทีผิดหวัง
ภาพตรงหน้าทำให้เฉินเฟิงตระหนักในทันทีว่าการที่ตัวเขาเอาแต่ลังเลไม่ยอมพูดอะไรออกมาอยู่แบบนี้ทำให้คนอื่นกลุ้มใจมากแค่ไหน ดังนั้นจึงตัดสินใจงัดคำพูดของอวี๋เลี่ยงอี้มาใช้โดยบอกว่า
“มีอะไรก็พูดออกมาสิ อย่าเอาแต่คิดไม่ตกอยู่คนเดียว ทุกคนลองคุยกันดีๆ ดู ยังไงก็ต้องมีทางแก้ปัญหาอยู่แล้วล่ะน่า”
ครุโฬออกปากอย่างกระดากว่า “ความจริงก่อนจะมาพบพี่ ฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้วิธีนี้ เพราะอย่างนี้เมื่อกี้เจี๋ยเต๋อถึงได้มีอาการแบบนั้น เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายฉันกลับเป็นฝ่ายลังเลเสียเอง เขาก็เลยผิดหวังเป็นธรรมดา ฉันรู้ดีว่าสมาพันธ์เฟิงเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาหมาดๆ ทุกคนต่างก็คิดหาทางช่วยกันประหยัดรายจ่ายด้วยกันทั้งนั้น เพราะงั้นค่าขนส่งม้าตัวละ 3,000 เหรียญเงินเลยทำให้ฉันอดลังเลไม่ได้ อย่าว่าแต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าค่าตอบแทนที่มือใหม่จะมอบให้สมาพันธ์ได้ทั้งน้อยที่สุดและช้าที่สุด พวกแกนหลักของมือใหม่หลายคนก็บอกเหมือนกันว่าไม่กล้าให้ทางสมาพันธ์ออกเงินให้มากเกินไป...”
เรื่องนี้ตัวเฉินเฟิงเองไม่ได้คิดมากอะไรอยู่แล้ว เมื่อได้ยินสาเหตุที่ทำให้ครุโฬกลุ้มใจ จึงพูดขัดขึ้นทันทีโดยไม่รอให้ครุโฬพูดจบว่าเรื่องนี้ยกให้เขาจัดการเองก็แล้วกัน
แต่ครุโฬกลับไม่ยอมรับง่ายๆ และสวนมาว่า “ฉันรู้อยู่หรอกว่าพี่ใหญ่น่ะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่นั้นแน่ แต่พี่อย่าลืมสิว่าตอนนี้พี่น่ะเป็นหัวหน้าสมาพันธ์เฟิงนะ ! ถึงพวกมือใหม่จะไม่ใช่คนของฉันทั้งหมดก็เถอะ แต่ยังไงส่วนใหญ่มันก็ใช่อยู่ดี...”
เดิมทีเฉินเฟิงกะจะออกเงินจำนวนนี้ให้เอง แต่ครั้นได้ยินครุโฬพูดแบบนี้ ก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้แคร์ปัญหาเรื่องเงิน แต่แคร์เรื่องจุดยืนของตัวเขาในฐานะหัวหน้าสมาพันธ์ที่ไม่ควรเข้าข้างคนของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากจนเกินไปต่างหาก
สมองของเฉินเฟิงที่หยุดใช้งานมานานหลายวันคิดวิธีการออกมาได้ในทันที
“ในเมื่อทุกคนอยากจะประหยัด ฉันก็คิดวิธีลักไก่ได้วิธีหนึ่ง แส้เทพสีหราชฯใช้ใส่สัตว์เลี้ยงได้ และการพกอาวุธขึ้นเรือก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มด้วย นอกจากนี้ที่ลานหลังบ้านยังเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ 10 ตัว ถึงจะกำหนดให้เดินทางไปมาข้ามทวีปไม่ได้ แต่พอไปถึงเกาะเริ่มต้นแล้ว ก็ยังสามารถกลับบ้านได้อยู่ดี แบบนี้ไปกลับ 1 รอบก็จะสามารถพาม้าไปด้วยได้ 15 ตัว ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าตั๋วเรือไปได้ตั้ง 45,000 เหรียญเงินล่ะนะ”
เมื่อได้ยินวิธีการของเฉินเฟิง ครุโฬก็ดีอกดีใจจนร้องขอให้เฉินเฟิงช่วยไปกลับเกาะเริ่มต้นสักรอบ แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการม้าจำนวนมากขนาดนั้น และคิดว่าม้าแค่ 5 ตัวก็น่าจะพอใช้แล้ว เพราะยังไงก็ยังต้องระวังเรื่องที่สมาชิกในสมาพันธ์อาจจะคัดค้านด้วย
ประเด็นสุดท้ายของครุโฬสะกิดถูกประเด็นที่เฉินเฟิงกำลังกลุ้มใจอยู่พอดี แต่ในเมื่อตัวเขายังคงเป็นหัวหน้าสมาพันธ์อยู่ ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครคัดค้านอะไรมากนักกับเรื่องจัดสรรงบประมาณนี้ อย่าว่าแต่เขาเจรจากับคนของเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศมาเรียบร้อยแล้วด้วย แถมนโยบายทหารรับจ้างของคมพิรุณยังช่วยอุดปากพวกนั้นได้สำเร็จอีกต่างหาก ที่สำคัญเมื่อลองคำนวณอัตราส่วนของสมาชิกดู กลุ่มมือใหม่ก็ยังเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของสมาพันธ์อยู่ดี
แต่สุดท้ายเฉินเฟิงก็ตัดสินใจช่วยออกเงินจำนวนนี้ให้เองอยู่ดี และมัดมือชกส่งม้าไปให้ 15 ตัว แถมยังป่าวประกาศออกไปว่าวิธีนี้เจี๋ยเต๋อเป็นคนเสนอขึ้นมาอีกต่างหาก ซึ่งเหตุที่บอกไปอย่างนี้ก็เพื่อที่จะเพิ่มอิทธิพลภายในสมาพันธ์ของสมาชิกระดับผู้นำบางคนนั่นเอง
ม้าที่บรรทุกไปยังเกาะเริ่มต้นเป็นประโยชน์อย่างมาก เมื่อมีม้าให้ขี่ บวกกับอาวุธสำหรับโจมตีระยะไกลอย่างธนู ทำให้เราสามารถเห็นฉากเหล่านี้บนเนินเขาวายุจันทราได้ทุกวัน : ฉากกลุ่มมือใหม่ของสมาพันธ์เฟิงรังแกปิศาจหินที่ไม่มีใครสนใจไยดี...ค่าประสบการณ์จากการปราบสัตว์อสูรระดับ 30 ทำให้ระดับของมือใหม่เหล่านี้เลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก
เหตุการณ์นี้ยังกระตุ้นให้บริษัทเลจจ์ต้องหันมาพิจารณาเรื่องห้ามไม่ให้มีม้าบนเกาะเริ่มต้นอีกด้วย แต่เมื่อไม่มีกลุ่มสมาคมอื่นเลียนแบบสมาพันธ์เฟิง บริษัทเลจจ์จึงได้ยกเลิกความคิดนี้ และแค่ขึ้นราคาตั๋วโดยสารสำหรับม้าเป็น 10,000 เหรียญเงินเท่านั้น
การกระทำนี้ของบริษัทเลจจ์ก่อให้เกิดเสียงซุบซิบไม่ใช่น้อย ซึ่งความจริงครั้งนี้เรียกได้ว่าบริษัทเลจจ์หน้าเลือดโดยสูญเปล่าแท้ๆ เพราะถึงแม้จะมีสมาชิกของกลุ่มสมาคมหลายแห่งเรียกร้องให้กลุ่มสมาคมของตนเอาอย่างสมาพันธ์เฟิงบ้าง ทว่าเมื่อพิจารณาถึงค่าตอบแทนที่พวกมือใหม่จะมอบให้แก่สมาพันธ์ได้ หักด้วยค่าใช้จ่ายในการซื้อม้าให้มือใหม่ซึ่งได้ตัวเลขคร่าวๆ มาจากสมาพันธ์เฟิงแล้ว ในการฝึกมือใหม่สามคนให้ถึงระดับ 25 จะต้องสิ้นเปลืองม้าประมาณ 1 ตัว และนี่ยังไม่นับค่าม้วนคาถาคืนชีพเลยด้วยซ้ำ
ก่อนบริษัทเลจจ์จะขึ้นราคาค่าตั๋วเรือของม้า ต้นทุนในการซื้อและขนส่งม้าตัวละประมาณ 8,000 เหรียญเงินก็ทำให้กลุ่มสมาคมอื่นไม่กล้าเจริญรอยตามสมาพันธ์เฟิงแล้ว หลังค่าตั๋วเรือของม้าขึ้นราคา ต้นทุนต่อม้า 1 ตัวกลายเป็นสูงถึง 15,000 เหรียญเงินไปในทันที ทำให้พวกสมาชิกระดับผู้นำใช้เรื่องต้นทุนที่สูงเกินไปเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธได้พอดี แถมยังโยนความผิดพร้อมทั้งโอนเสียงโวยวายของเหล่าสมาชิกไปให้บริษัทเลจจ์ได้สบายๆ อีกต่างหาก
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป เจี๋ยเต๋อก็ได้กลายเป็นผู้นำของเหล่ามือใหม่ที่เข้ามาเป็นสมาชิกของสมาพันธ์เฟิงในภายหลังไป และยังกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในการเรียกระดมมือใหม่มากที่สุดนอกเหนือจากเฉินเฟิงอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นผลดีที่ในตอนนั้นทุกคนต่างก็คาดไม่ถึงกันทั้งนั้น
ข่าวเรื่องเฉินเฟิงกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิมทำให้เหล่าสมาชิกสมาพันธ์เฟิงต่างก็คึกคักไปตามๆ กัน และจะเห็นเขาพาสมาชิกสมาพันธ์ 10 กว่าคนห้อตะบึงอยู่บริเวณที่ราบสูงดินเหลืองแถบเทือกเขาไทแทนได้ทุกวัน
คมพิรุณตัดสินใจปักหลักอยู่ที่ภัตตาคารในเมืองเขี้ยวมังกรเสียเลย และให้สมาชิกขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันรับผิดชอบรับการว่าจ้างให้ช่วยเป็นทหารรับจ้างจากพวกผู้เล่น
นี่เป็นครั้งแรกที่มีกลุ่มสมาคมแทรกเข้ามาเป็นทหารรับจ้าง แถมยังเหมาการว่าจ้างของพวกผู้เล่นไปเกือบทั้งหมดอีกต่างหาก แต่ขบวนนักเวทและสัตว์ที่ถือกำเนิดจากกลุ่มทหารรับจ้างย่อมจะไม่ตัดทางหากินของทหารรับจ้างกลุ่มอื่นจนสิ้นซากอยู่แล้ว และยืนกรานว่าใน 1 วันจะรับการว่าจ้างแต่เพียงจำนวนจำกัดเท่านั้น แถมยังแนะนำให้ผู้ว่าจ้างที่กำลังรีบไปว่าจ้างเจ้าอื่นแทนอีกต่างหาก นั่นคือได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการเน้นฝึกฝีมือให้คนของสมาพันธ์เป็นหลักมากกว่า
ความเคลื่อนไหวอันแสนจะคึกคักของเหล่าสมาชิกส่งผลให้จำนวนของอาวุธและเครื่องป้องกันที่สมาชิกได้มาและฝากให้สมานฉันท์ (เหอชี่) ช่วยขายเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล และกระตุ้นให้สมานฉันท์เริ่มดำเนินธุรกิจตามแบบฉบับพ่อค้าทันที
หลังจากที่ได้คุยกันอย่างจริงจังกับเฉินเฟิงแล้ว เขาก็เริ่มต้นโครงการค้าขาย โดยอาศัยกลเม็ดที่ได้รับส่วนลดในการซื้อยาฟื้นพลังทยอยตั้งแผงขายสินค้าของสมาพันธ์เฟิงที่ข้างๆ คลังเก็บไอเท็มใน 5 เมืองใหญ่แถบตอนใต้ของทวีปกู่ย่าและที่เมืองเริ่มต้นของเกาะเริ่มต้น
เนื่องจากเฉินเฟิงมีระดับของทักษะตั้งแผงลอยระดับ 13 จึงได้รับส่วนลด 10% จากร้านขายไอเท็มของระบบ เมื่อสมานฉันท์รู้เรื่องนี้เข้าก็เอามาใช้ประโยชน์เป็นการใหญ่ทันที โดยเชิญให้เฉินเฟิงช่วยไปซื้อพวกไอเท็มใช้แล้วหมดได้มาให้ทุก 2-3 วันต่อครั้ง และใช้เงินของสมาพันธ์ในการซื้อไปทั้งสิ้นเป็นจำนวนถึง 1 ใน 3
แต่ที่เฉินเฟิงเห็นแล้วงงคือ ราคาที่สมานฉันท์ขายดันเท่ากับราคาที่ซื้อมานี่สิ ! และสมานฉันท์ก็ทำการค้าที่เปลืองแรงฟรีไม่มีกำไรให้แบบนี้ไปตั้ง 10 กว่ารอบ เขาเลยอดงงไม่ได้ว่าไหงพ่อค้าสุดยอดหน้าเลือดถึงเกิดใจดีขึ้นมากะทันหันล่ะเนี่ย ?
มาตอนหลังเมื่อได้ยินที่ครุโฬอธิบายถึงค่อยเข้าใจว่า ที่ทำไปนั้นก็เพื่อเพิ่มระดับทักษะตั้งแผงลอยหนึ่ง และอีกอย่างคือใช้เป็นเหยื่อล่อให้ลูกค้ามาเยือน ไม่อย่างนั้นการค้าของสมานฉันท์จะคึกคักต่อเนื่องไม่ขาดสายอย่างนี้หรือ ?
แผงลอยของสมาพันธ์เฟิงมองออกได้ง่ายมาก เพราะนอกจากจะสามารถมองเห็นเหล่าผู้เล่นที่พากันมุงอยู่รอบแผงได้แต่ไกล และบนผ้าแผงลอยจะมีเขี้ยวของเสือเขี้ยวดาบตั้งอยู่ 1 อันแล้ว ที่ด้านหลังของแผงลอยจะมีธงผืนใหญ่ปักอยู่ด้วย ผืนธงเป็นสีเขียวอ่อนอันเป็นสีแทนความหมายของลม (เฟิง) ส่วนรูปโลโกกลางธงคือรูปวงกลม
การปรากฏของผืนธงได้ทำให้อาชีพช่างฝีมือมีหนทางหากินสายใหม่ และเฉินเฟิงเองก็ประกาศบอกวิธีสร้างธงออกไปอย่างใจกว้างเช่นเคย พวกผู้เล่นที่ไม่ค่อยชอบสู้กับสัตว์อสูรนักพากันตามน้ำโดยรับแนวทางนี้มาใช้ทันที ส่งผลให้เริ่มจะมองเห็นแผงลอยขายธงได้ในเมืองใหญ่ทุกเมือง…
วันนี้ที่ราบสูงดินเหลืองก็ยังคึกคักเช่นเคย เฉินเฟิงพาสมาชิกหลายคนมาตั้งกลุ่ม แล้วให้ทุกคนปฏิบัติตามโครงการฝึกวิชาเลื่อนระดับไปเรื่อยๆ
ความจริงตอนนี้เฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยแล้วก็ได้ด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้ตัวเฉินเฟิงเองไม่มีสิทธิ์เลือก อาจเป็นเพราะอาการจิตตกอยู่พักใหญ่ของเขาก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้ทุกคนต่างก็ไม่ยอมให้เขาได้อยู่ตามลำพังอีกเลย พอเขามีเวลาว่างปุ๊บ เป็นถูกลากมาที่นี่ปั๊บด้วยข้ออ้างว่าจะช่วยเขาฝึกทักษะบัญชาการ จะได้ช่วยให้สมาพันธ์รับสมาชิกเพิ่มได้อีกหน่อย
แน่ละว่าการที่ต้องฝึกวิชาเลื่อนระดับติดต่อกันนานๆ นั้นมันโคตรจะน่าเบื่อ ดังนั้นพอตั้งกลุ่มกับเขาเสร็จปุ๊บ ทุกคนก็ทิ้งให้เขาพักผ่อนอยู่ข้างๆ แถมยังใช้เงินกองกลางของสมาพันธ์ซื้อกระโจมแบบมองโกลขนาดใหญ่มากาง แล้วส่งตัวแทนผลัดกันเข้ามาคุยเป็นเพื่อนเขาอีกต่างหาก
6 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมฆถาโถมฯกับครุโฬก็ยังไม่สามารถเจียดเวลามาคุยกับเฉินเฟิงอย่างจริงจังได้สักที และที่ราบสูงดินเหลืองก็กลายมาเป็นฐานที่ตั้งแห่งใหม่ของสมาพันธ์เฟิงถัดจากภัตตาคารเมืองท่าเซียงห่ายไปโดยปริยาย
ถึงแม้สมาพันธ์เฟิงจะไม่ได้ทำการยึดครองพื้นที่อย่างโจ่งแจ้งก็ตาม แต่กลุ่มสมาคมอื่นๆ เหมือนจะยอมรับอยู่เงียบๆ และเป็นฝ่ายเลี่ยงพื้นที่เหล่านี้เสียเอง ส่วนผู้เล่นที่อยากจะเข้าสมาพันธ์เฟิงก็จะพากันมายังสถานที่เหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงกับมีการปล่อยข่าวลือเสียด้วยว่ามาตรฐานในการทดสอบเพื่อรับสมาชิกของสมาพันธ์เฟิงในตอนนี้คือต้องบุกบั่นผ่านทะเลทรายมรณะให้ได้ด้วยตัวคนเดียว และผลจากข่าวลือนี้ทำเอาจำนวนวิญญาณอนาถาในทะเลทรายมรณะเพิ่มขึ้นไม่ทราบตั้งเท่าไรต่อเท่าไร...
ความจริงต่อให้มีใครอยากจะมาขอมีเอี่ยวด้วย ก็คงได้แต่ยืนตาค้างอย่างเดียวเท่านั้นอยู่ดี
จากการออกแบบของระบบ ปิศาจหินที่เดิมทีไม่มีใครเหลือบแลจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และมีปริมาณมหาศาลมาก แต่มันก็เหมือนกับตอนที่ก้อนโลหะขึ้นราคานั่นแหละ นั่นคือขอเพียงคนที่มาฆ่าปิศาจหินพวกนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นหน่อย อัตราเร็วในการเกิดใหม่ก็จะตามอัตราเร็วในการลดลงไม่ทัน และบนที่ราบสูงดินเหลือง ณ เวลานี้ก็ไม่สามารถมองเห็นปิศาจหินโผล่ออกมาพร้อมกันทีละมากกว่า 10 ตัวเสียแล้ว
สมาชิกสมาพันธ์เฟิงที่ประจำการอยู่ที่นี่มีอยู่ 10 กว่าคน บวกกับวิธีสู้ที่พิเศษเฉพาะ ทำให้คนนอกได้แต่เบิ่งตามองแล้วถอนหายใจชมเชยสถานเดียว
ทว่าเนื่องจากสมาพันธ์เฟิงไม่เคยปิดบังวิธีการฝึกวิชาเลื่อนระดับมาแต่ไหนแต่ไร แถมยังมีธรรมเนียมไม่หวงห้ามคนนอกเข้ามาชมอีกด้วย ทำให้ดึงดูดผู้เล่นจำนวนไม่น้อยมาล้อมชมอยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุนี้ที่ราบสูงดินเหลืองซึ่งเคยเงียบสงบจึงได้กลายสภาพมาเป็นสถานที่สุดจะครึกครื้นไปโดยปริยาย
เฉินเฟิงที่เป็นเหมือนเดือนในวงล้อมของหมู่ดาวกำลังเสพสุขกับอภิสิทธิ์ของการนั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้เลื่อนระดับ แต่เนื่องจากเขามีสัตว์เลี้ยง 4 ตัวคอยแบ่งค่าประสบการณ์ ทำให้ถึงเวลาจะผ่านไปตั้งหลายวัน ระดับของเขาก็ยังเลื่อนขึ้นแค่ 2 ระดับเท่านั้น ส่วนระดับของทักษะก็ได้เลื่อนบ้างเล็กน้อย
ลองสรุปรวมความเคลื่อนไหวของระดับทักษะในระยะที่ผ่านมาได้ดังนี้ ทักษะบัญชาการได้เลื่อน 2 ระดับ , ทักษะพลังจิต 1 ระดับ , ทักษะธนู 1 ระดับ , ทักษะยิงรัว 1 ระดับ , ทักษะขี่ม้า 1 ระดับ , ทักษะสื่อสาร 1 ระดับ , ทักษะใช้ผลึกเวทมนตร์ 2 ระดับ , ทักษะเขียนยันต์ 1 ระดับ
ในจำนวนนี้ระดับของทักษะยิงธนูเต็ม 10 ระดับพอดี จึงได้ทักษะย่อยที่เป็นทักษะติดตัว[2]มาอีกอย่าง คือทักษะ “แม่นยำ” ประสิทธิภาพคือสามารถเพิ่มความแม่นยำให้กับการยิงธนูได้ 5%
เมื่อเทียบกับพวกสมาชิกสมาพันธ์ที่กำลังลงสนามรบฝึกวิชาเลื่อนระดับแล้ว ข้อเสียร้ายแรงที่สุดของการนั่งรับส่วนแบ่งค่าประสบการณ์อยู่เฉยๆ ได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในเวลานี้ เพราะเฉินเฟิงนั่งรอมานานถึงป่านนี้ ระดับของทักษะกลับเลื่อนขึ้นแค่กระจึ๋งเดียวเท่านั้น และสิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือระดับของทักษะนี่แหละ
เยี่ยหลานกำลังเซ็งจัดจนต้องนั่งเอานิ้ววาดวงกลมบนพื้นเล่นอยู่ข้างๆ
ทุกคนต่างก็บอกว่าเฉินเฟิงกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว แต่เธอไม่เห็นจะรู้สึกเลยสักนิด อีตาคนตรงหน้าที่ถึงมือจะถือพู่กันอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังใจลอยเนี่ยนะคือเฉินเฟิงที่ทุกคนบอกว่า “กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว” ?
ไม่รู้ว่าคนปากโป้งชอบกุเรื่องคนไหนดันปล่อยข่าวลือออกไปว่าเฉินเฟิงแอบสนใจเธออยู่ ทำเอาพอเวียนมาถึงผลัดที่พวกเธอต้องฝึกวิชา เธอเลยต้องอดไปฆ่าสัตว์อสูรเพราะถูกบังคับให้มาอยู่เป็นเพื่อนคุยของเฉินเฟิงแทนไปเลย
ในยุคที่โลกสมมุติเหล่านี้แพร่หลายไปทั่วโลกเช่นยุคนี้ กล่าวได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยชักจะแยกไม่ค่อยออกแล้วว่าไหนคือชีวิตจริงและไหนคือชีวิตในเกม และแน่นอนว่าความรักระหว่างผู้เล่นอินเทอร์เน็ตด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่มานานแล้วด้วย
แต่เยี่ยหลานไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องล้อเล่นของเด็กนักเรียนแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเธอทราบดีว่าคนที่กลายเป็นคนของประชาชนไปแล้วอย่างเฉินเฟิงย่อมจะไม่มีทางใช้วิธีน่าหัวเราะให้ฟันร่วงแบบนี้มาปล่อยข่าวลือแน่ อย่าว่าแต่เวลาที่พวกเธอได้อยู่ด้วยกันยังน้อยนิดเอามากๆ อีกด้วย อาจเป็นเพราะระยะนี้ในสมาพันธ์ออกจะน่าเบื่ออยู่ไม่น้อยล่ะมั้ง ถึงได้มีข่าวลืองี่เง่าแบบนี้โผล่มาได้
เพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกรำคาญอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะถึงเธอจะแค่ยิ้มเฉยเสียโดยไม่ตอบอะไรกับข่าวลือนี้ แต่ยังไงสมาชิกในสมาพันธ์ก็ไม่ได้อยู่ในวัยเดียวกันไปเสียทุกคน ดังนั้นข่าวลือจึงยังคงมีมาเรื่อยๆ อยู่ดี
คนอื่นต่างก็อิจฉาที่เธอมีอภิสิทธิ์ได้เลื่อนระดับโดยที่ไม่ต้องไปลงมือฆ่าสัตว์อสูรเอง แต่ถ้าเลือกได้ล่ะก็ เธอขอไปสังสรรค์กับพวกปิศาจหินเสียยังจะดีกว่า ถึงแม้เธอจำต้องยอมรับว่าตอนแรกเธอชื่นชมเฉินเฟิงมากก็เถอะ แต่คนที่เธอชื่นชมในตอนแรกคนนั้นมาเทียบกับตอนนี้แล้ว เรียกได้ว่าห่างไกลกันเป็นหมื่นโยชน์เลยเชียวแหละ
ยิ่งคิดเยี่ยหลานก็ยิ่งเซ็ง อุตส่าห์มีสาวงามมานั่งอยู่ตรงหน้าทั้งที ต่อให้เฉินเฟิงไม่ได้นึกสนใจเธอเลยก็เถอะ แต่ไอ้การที่เขาทิ้งให้เธอนั่งเซ็งอยู่ตรงนี้ ส่วนตัวเองดันสมัครใจที่จะนั่งใจลอยไปโน่น มันก็ออกจะเกินไปแล้ว !
พอนึกถึงว่ากระทั่งสองเพื่อนซี้คาราเมลกับมัคคิอาโตยังล้อเธอเรื่องเฉินเฟิงเลย แต่ตัวต้นเหตุที่อาจจะไม่รู้อิโหน่อิเหน่ดันมานั่งเหม่อตาลอยคว้างอยู่ตรงนี้เสียได้ แล้วเธอจะยอมทนรำคาญกับข่าวลือพวกนั้นไปเพื่ออะไรกันล่ะเนี่ย ?
อารมณ์นั้นมันระบาดถึงกันได้ ถึงเฉินเฟิงจะไม่ได้หดหู่ซึมเศร้าอย่างเมื่อหลายวันก่อนแล้วก็ตาม แต่บรรยากาศที่เงียบงันและหนักอึ้งก็ส่งผลกระทบต่อเยี่ยหลานที่กำลังขุ่นเคืองเต็มพิกัดอยู่ดี
หลังจากถูกเมินมาเกือบ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ในที่สุดเยี่ยหลานก็ทนความเซ็งไม่ไหว และพูดเสียงมะนาวไม่มีน้ำว่า
“นี่ ! ท่านหัวหน้าสมาพันธ์ คุณนั่งทำธนูเวทมนตร์ดอกนี้นานเกินไปแล้วหรือเปล่าน่ะหา ?”
น่าเสียดายที่ท่านหัวหน้าหญ่ายเฉินเฟิงของพวกเราไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเลยแม้แต่น้อย แถมยังนั่งเหม่อมองหลังคาสีเทามุมหนึ่งของกระโจมด้วยแววตาเจ็บปวดลึกล้ำอยู่เหมือนเดิมโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าพายุกำลังจะถล่มลงบนศีรษะอยู่รอมร่อ...
เยี่ยหลานโกรธจัดจนทำแก้มป่องเม้มปากแน่น เพียงแต่ยังไม่กล้าตะโกนเอะอะเสียงดังเกินเหตุเท่านั้น เพราะถึงยังไงเธอกับเฉินเฟิงก็ยังไม่สนิทกันถึงขั้นหยอกล้อเล่นกันตามอำเภอใจได้ แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมทนโดนดูถูกอยู่อย่างนี้อีกต่อไป !
เยี่ยหลานหยิบผลงานใน 1 ชั่วโมงที่ผ่านมาของเฉินเฟิง ซึ่งก็คือธนูเวทมนตร์ 2 ดอก แล้วพูดทิ้งท้ายว่า
“ในเมื่อพี่ไม่คิดจะแยแสฉัน งั้นฉันออกไปฝึกวิชากับคนอื่นดีกว่า”
พอเฉินเฟิงรู้สึกตัวจากภวังค์ ก็เห็นเยี่ยหลานถือลูกธนู 2 ดอกเดินออกไปจากกระโจมพอดี ซึ่งแน่ละว่าเป็นเพราะเยี่ยหลานจงใจกระแทกเท้าหนักๆ ถึงได้ดึงสติเฉินเฟิงกลับมาได้สำเร็จ
ระยะนี้ดูเหมือนฉากนี้จะโผล่มาให้เห็นอยู่บ่อยๆ ปากเฉินเฟิงคลี่เป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ หลายวันมานี้เขาไม่ได้จิตตกแล้ว เมื่อกี้ที่ใจลอยเป็นเพราะค้นพบสิ่งใหม่ จึงกำลังทดลองรวมภาพเวทมนตร์ธาตุลมกับเวทมนตร์ธาตุไฟเข้าด้วยกันต่างหาก
เขาเองก็เข้าใจดีว่าตอนนี้พวกในสมาพันธ์พยายามส่งคนผลัดกันมาคุยเบี่ยงเบนความสนใจของเขา เมื่อวานซืนเจี๋ยเต๋อ วันก่อนโน้นปีกของซาตาน วันนี้ก็เยี่ยหลาน แล้วทุกคนก็จากไปในอาการเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนกันหมด เขาก็บอกไปแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้งว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว ดูท่าเขาคงต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างบ้างเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังได้ถูกคนอื่นเข้าใจผิดหนักข้อกว่านี้แน่ !
เฉินเฟิงก้าวออกจากกระโจม อู้คงกับอเล็กซ์หันมามองเขาอย่างเกียจคร้านแวบหนึ่ง แล้วนอนอืดอาบแดดต่อ ดูท่าจะคิดว่าเฉินเฟิงแค่ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้น
เนื่องจากระดับของมันสองตัวสูงกว่าเฉินเฟิงมาก จึงไม่สามารถได้รับแบ่งค่าประสบการณ์จากการรวมกลุ่มได้ แต่การรวมกลุ่มจะสามารถเพิ่มระดับของทักษะบัญชาการได้ ดังนั้นหลายวันมานี้อเล็กซ์กับอู้คงจึงโดนแช่แข็งอยู่ตรงหน้าประตูไปโดยปริยาย ซึ่งถือเป็นการทรมานทรกรรมกันอย่างยิ่งยวดสำหรับสัตว์อสูรที่ปกติชอบเคลื่อนไหวไม่เคยอยู่นิ่งอย่างมันสองตัว แต่มันสองตัวก็ยังเคยชินกันได้อยู่ดี ดังนั้นพอผ่านไปหลายวันเข้า จึงกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปโดยปริยาย
เฉินเฟิงประหลาดใจกับปฏิกิริยาของมันสองตัวเล็กน้อย เพราะทุกครั้งที่เขาโผล่ออกมา พวกมันเป็นต้องขออนุญาตไปยืดเส้นยืดสายทุกครั้ง แถมอยู่ไม่เคยนิ่งจนน่ารำคาญสุดๆ ไหงให้เฝ้าอยู่หน้าประตูแค่ไม่กี่วัน นิสัยก็เปลี่ยนไปกลายเป็นแบบนี้เสียแล้วล่ะเนี่ย ?
พอเงยหน้ามองไป เฉินเฟิงถึงค่อยเข้าใจว่าเพราะอะไรมันสองตัวถึงได้กลายเป็นแบบนี้
บนที่ราบดินเหลืองในเวลานี้ ผู้เล่นได้มีจำนวนมากกว่าสัตว์อสูรเสียแล้ว ปิศาจหินที่เดิมทีเห็นเดินกันยั้วเยี้ยเต็มพรืดไปหมดได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ปิศาจหินแต่ละตัวจะมีสมาชิกสมาพันธ์ 3 คนล้อมเอาไว้ แล้วฉากฝึกวิชาแบบทารุณกรรมสัตว์อสูรที่เฉินเฟิงเคยได้พบเห็นก่อนหน้านี้ก็ปรากฏให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิน่าเล่าอู้คงกับอเล็กซ์ถึงได้มีอาการแบบที่เห็น ไม่มีคู่ต่อสู้ แถมไม่มีคนให้คุยด้วย แล้วจะให้มันทำอะไรได้เล่านอกจากนอนอาบแดดเล่นอย่างสุดเซ็ง ?
พอเยี่ยหลานออกมาจากกระโจมปุ๊บ ก็วิ่งไปหาเพื่อนซี้ทั้งสองคนทันที แต่เพื่อนที่น่ารักทั้งสองของเธอไม่ได้น่าสงสารเหมือนอย่างเธอเลยสักนิด ตอนนี้สองสาวแยกย้ายกันฝึกทักษะใช้โล่ป้องกันโดยต่างก็อยู่ในความคุ้มครองของสมาชิกชายหลายคน
คนเรานี่ดับเบิ้ลสแตนดาร์ดจริงๆ ถึงเยี่ยหลานจะไม่ชอบโดนพวกผู้ชายรุมล้อมก็เถอะ แต่พอเทียบกับที่เธอถูกเฉินเฟิงมองเมินไม่แยแสแล้ว เธอก็อดริษยาเพื่อนรักทั้งสองไม่ได้
ครั้นเห็นว่าเพื่อนรักทั้งสองกำลังถือโล่ต้านการโจมตีของปิศาจหินอย่างตั้งใจโดยที่ทางด้านหลังเปิดโล่ง เยี่ยหลานที่กำลังเดือดจัดก็ยกธนูขึ้น พาดลูกศรหัวโตขึ้นสายแล้วยิงออกไป 2 ดอกติดๆ กันทันที แถมยังตะโกนบอกแต่ไกลอีกต่างหากว่า
“ฉันจะช่วยพวกเธอฝึกเอง !”
ครั้นเฉินเฟิงเห็นฉากนี้เข้า ก็ร้องตะโกนขึ้นทันที
“ระวัง ! รีบหลบเร็ว !”
สมาชิกสมาพันธ์ที่อยู่ด้านข้างหลายคนเห็นเยี่ยหลานกับเฉินเฟิงทยอยกันออกมาจากกระโจม และถึงทุกคนจะเห็นแล้วว่าเยี่ยหลานยิงธนูใส่เพื่อนสาว แต่ความเร็วของลูกธนูชนิดนี้เอามาใช้ยิงปิศาจหินที่เคลื่อนไหวอืดอาดยังพอได้อยู่หรอก ทว่าเอามายิงสองสาวที่เวลานี้เก่งกาจต่างกับเมื่อก่อนลิบลับน่ะหรือ ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะยิงถูกได้ จึงพากันคิดว่าเฉินเฟิงออกจะตื่นตูมเกินเหตุซะแล้วที่ร้องตะโกนเตือน และพากันคลี่ยิ้มขัน
แต่เรื่องที่เหนือคาดก็ยังเกิดขึ้นอย่างเหนือคาดอยู่ดี พริบตานั้นสองสาวได้กู่ร้องขึ้นพร้อมกัน ตามมาติดๆ ด้วยเสียงลูกไฟระเบิดดัง “ตูม !” สนั่น กระทั่งเหล่าองครักษ์ที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างๆ ต่างก็พลอยโดนหางเลขไปตามๆ กันจนหน้ามีแต่เขม่าควันกระดำกระด่างกันถ้วนทั่ว
ทั่วบริเวณเงียบกริบลงอย่างฉับพลัน ต่างตกตะลึงจับต้นชนปลายไม่ถูกกันไปหมด เยี่ยหลานมองผลงานอันยอดเยี่ยมของตัวเองตาค้าง ท่าทางเธอเองก็ตกใจสุดขีดเช่นกัน...
[1] เผือกร้อนลวกมือ หมายถึง ปัญหาที่จัดการยากและใครๆ ก็ไม่อยากจะรับไว้จัดการ เหมือนเผือกร้อนจัดที่รับมาแล้วจะถือเอาไว้เฉยๆ มือก็พอง ทำให้คิดอยากจะส่งต่อไปให้คนอื่น
[2] ทักษะติดตัว (ทักษะที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ : Passive Skill) คือทักษะที่จะติดตัวผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา แต่จะไม่สามารถบังคับเรียกใช้และบังคับหยุดใช้ได้ (เครดิตคำอธิบายโดย คุณราชันย์ทิวา และคุณเจี๋ยเป่าอี้)