หัวข้อ : เล่มที่ 5 มีน้ำใจ แล้งน้ำใจ ตอนที่ 3 ข้อเสียที่แอบแฝง

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:57

ตอนที่ 3

 

ข้อเสียที่แอบแฝง

 

 

สุดท้ายก็สายไปก้าวหนึ่งอยู่ดี เฉินเฟิงดูเยี่ยหลานที่ก่อเรื่องเข้าให้โดยไม่ได้ตั้งใจแล้วนึกอยากจะหัวเราะ แต่ก็ไม่กล้า

ทุกคนต่างตกตะลึงจังงัง แต่ปิศาจหินที่ถูกรุมรังแกมานานไม่ได้สนใจไปด้วย และพากันฉวยโอกาสโจมตีจนหลายคนต้องแผดร้องลั่น

เฉินเฟิงกระวีกระวาดสั่งให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองที่ว่างจัดจนชักขี้เกียจช่วยกันจัดการเก็บกวาดทันที หลังความชุลมุนผ่านพ้น ทุกคนก็พากันมายืนล้อมเยี่ยหลานเพื่อรอฟังคำแก้ตัว

เยี่ยหลานอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วรีบพูดว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ล่ะ ? ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ...” แล้วหันมาเห็นอาการกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถของเฉินเฟิง จึงกระทืบเท้าอย่างมีโมโหทันที “ยังไม่รีบบอกพวกเค้าไปอีก พี่นั่นแหละตัวการ !”

ในเมื่อปลายหอกดันชี้มาทางตัวเองเสียแล้ว เฉินเฟิงจึงได้แต่อธิบายแต่โดยดี แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นกระแอมกระไออยู่เป็นครู่ แล้วชูลูกศรในมือที่เหลืออยู่แค่ดอกเดียวขึ้น พร้อมกับพูดว่า

“ก็บอกแล้วว่าให้หลบดันไม่ยอมหลบเอง นี่คือสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่ผมทำขึ้นเพื่อลบล้างจุดด้อยของลูกศรหัวโตโดยเฉพาะครับ ผมตั้งชื่อให้มันว่า ลูกศรวายุอัคคี ผมกำลังคิดจะทดลองดูอานุภาพของมันอยู่พอดี เยี่ยหลานดันใจร้อนชิงช่วยผมทดลองไปก่อนซะแล้ว อืมม์...ประสิทธิภาพไม่เลวเหมือนกันเนอะ !”

เยี่ยหลานวิ่งไปหลบหลังเฉินเฟิงด้วยใบหน้าแดงก่ำ ส่วนเหล่าสมาชิกสมาพันธ์นั้น หลังจากได้ทราบว่านี่คือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของเฉินเฟิง ก็พากันมาแสดงความยินดี

พวกสาวๆ มักจะใส่ใจความสวยงามเป็นพิเศษ คาราเมลกับมัคคิอาโตฉวยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจพากันวิ่งเข้าไปในกระโจมแล้วจัดการกับหน้าตาผมเผ้าที่กระดำกระด่างไปหมดให้กลับมาดูดีเหมือนเดิม

เหล่าสมาชิกสมาพันธ์เฟิงย่อมจะไม่ตำหนิเฉินเฟิงกับเยี่ยหลานอยู่แล้ว แต่ฝูงชนที่มายืนมุงดูอยู่รอบๆ ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ๆ ให้คุยกันมานานหลายวันเต็มทน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงช่วยให้พวกเขามีเรื่องใหม่ๆ ให้ได้ถกกันอย่างออกรส ซึ่งนอกจากจะพากันรายงานเรื่องกลับไปยังกลุ่มสมาคมของแต่ละคนแล้ว ยังได้ถกกันถึงอานุภาพของไอเท็มที่หลอมรวมเข้ากับเวทมนตร์อีกด้วย

ตอนนี้บริเวณนั้นไม่มีปิศาจหินเหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว บรรยากาศจึงเปลี่ยนเป็นออกจะน่ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ซึ่งความจริงการมาจับเจ่าอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายวันก็น่าเบื่อเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

เฉินเฟิงลองนับจำนวนสมาชิกดู ก็พบว่ามีด้วยกันทั้งสิ้น 15 คนรวมทั้งตัวเขา แถมคนที่ระดับต่ำที่สุดก็มีระดับตั้ง 28 แล้ว ให้มาเสียเวลาอยู่ที่นี่ก็ออกจะกร่อยเกินไป จึงเสนอให้พากันขึ้นเขาไทแทนไปฉะกับนกฮูกแทน

แน่อยู่แล้วว่าย่อมไม่มีใครคัดค้าน เพียงแต่กระโจมที่กางไว้ยังอยู่ได้อีกหลายชั่วโมง หากจะทิ้งไปทั้งอย่างนี้ก็ออกจะน่าเสียดายเกินไป

เดิมทีคาราเมลกับมัคคิอาโตที่ต้องมาซวยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่กำลังคิดจะแก้แค้นเอากับเยี่ยหลานอยู่พอดี แต่ครั้นได้ยินว่าเฉินเฟิงจะพาทุกคนขึ้นเขา สองสาวก็พากันดีอกดีใจร้องขอตามไปด้วย แล้วมุดกลับเข้ากระโจมไปจัดการเก็บข้าวของทันที

หลังจากเฉินเฟิงบอกกล่าวเรื่องเวลาที่ต้องใช้แล้ว ก็ทิ้งสมาชิกไว้เฝ้ากระโจม 5 คน โดยให้เจี๋ยเต๋อรับผิดชอบตั้งกลุ่มรอปิศาจหินเกิดใหม่ ที่เหลือ 10 คนรวมทั้งตัวเฉินเฟิงเองพากันเคลื่อนขบวนขึ้นเทือกเขาไทแทนไปอย่างเอิกเกริก

พวกเฉินเฟิงเพิ่งจะจากไป ทางด้านหลังพวกตัวแทนจากแต่ละกลุ่มสมาคมกับกลุ่มคนที่ว่างจัดเลยมามุงดูชาวบ้านเล่นก็พากันลำบากใจว่าจะตามกลุ่มไหนไปดี

พวกชอบมุงหลายคนเห็นเฉินเฟิงจากไปปุ๊บ ก็ตามไปเงียบๆ ทันทีโดยไม่การลังเล หลังความชุลมุนผ่านพ้น ฝูงชนที่เหลือก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม พวกที่เลือกจะตามกลุ่มเฉินเฟิงไปมีด้วยกันทั้งสิ้น 10 กว่าคน ซึ่งจำนวนคนยังมากกว่าจำนวนสมาชิกที่เฉินเฟิงพาไปด้วยเสียอีก

ไม่มีใครจะดีใจมากไปกว่าอู้คงกับอเล็กซ์อีกแล้ว ทั้งสองตัวขมีขมันแยกย้ายกันประจำตำแหน่งซ้ายขวาทำหน้าที่เบิกทาง แถมยังชิงหน้าที่ดูต้นทางของหลายฝูไปอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจอีกต่างหาก

เนื่องจากม้ามีไม่พอ เฉินเฟิงจึงร่วมเดินเท้าไปกับทุกคนด้วย เยี่ยหลานเดินตามไปข้างๆ เขา ทำท่าจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด เฉินเฟิงจึงได้แต่จงใจทิ้งระยะห่างกับพวกข้างหน้าเพื่อเปิดโอกาสให้เธอ

เยี่ยหลานอ้อมแอ้มอย่างกระดากว่า “ที่แท้พี่ไม่ได้นั่งเหม่อหรอกหรือคะ ! กำลังประดิษฐ์ไอเท็มใหม่นี้อยู่ก็ไม่ยอมบอกฉันสักคำ ทำเอาฉันหน้าแตกยับเยินไปเลย”

เฉินเฟิงพูดยิ้มๆ “ผมก็อยากพูดอยู่หรอก แต่เธอไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเองนี่ ความจริงก็มีบางจุดที่ยังไม่เคลียร์อยู่เหมือนกัน ตอนนี้ลูกศรนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะระเบิดกลางทางก่อนถึงเป้าหมาย ครั้งนี้น่ะถือว่าโชคยังดี บวกกับระยะที่เธอยิงมันใกล้ด้วย ไม่งั้นมีหวังได้สนุกยิ่งกว่านี้แน่ !”

เยี่ยหลานค้อนเฉินเฟิงจนตาคว่ำ งึมงำว่า “ใครใช้ให้พี่ทำท่าปิดกั้นตัวเองพิลึกๆ แบบนั้นเล่า...”

เฉินเฟิงทำหน้าเคร่งพลางถอนหายใจ “ผมปิดกั้นตัวเองที่ไหนกันล่ะ ก็แค่มีบางเรื่องที่ยังคิดไม่ตกเท่านั้นเอง...ผมคิดว่า ผมยุบสมาพันธ์เฟิงไปเลยน่าจะดีกว่า...”

เยี่ยหลานทำหน้าตกใจ “ยุบสมาพันธ์ ? ทำไมต้องยุบด้วยคะ ? พวกเราอุตส่าห์มารวมตัวกันแล้วแท้ๆ แถมทุกอย่างก็กำลังไปได้สวยอีกต่างหาก ทำไมต้องยุบสมาพันธ์ด้วยล่ะ ? พี่ไม่รู้หรอกว่าที่ตอนนี้พี่แค่นั่งเฉยๆ ทั้งวันก็เลื่อนระดับได้น่ะ เป็นเพราะมีคนเยอะแยะมากที่ฝากความหวังไว้กับสมาพันธ์เฟิง มีคนตั้งเยอะแยะแย่งกันมาเข้าสมาพันธ์เราอยู่ทุกวัน แล้วพี่ดันคิดจะมาถอยเอาตอนนี้เนี่ยนะ ? ถ้าจะยุบสมาพันธ์ล่ะก็ ฉันนี่แหละจะขอคัดค้านเป็นคนแรก !”

เฉินเฟิงถึงกับงงไป เพราะนึกไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเยี่ยหลานจะดุเดือดขนาดนี้ หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาค่อยพูดว่า

“ก็จริงอยู่ว่าสมาพันธ์เฟิงมีบุคคลชั้นยอดมารวมตัวกันอยู่หลายคน แต่เธอคิดว่าสมาพันธ์เฟิงดีจริงๆ น่ะหรือ ? มันดีตรงไหนกันล่ะ ?”

เยี่ยหลานรีบพูดว่า “ถึงสมาพันธ์เฟิงจะเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ก็มีมาตรการตั้งเยอะแยะที่กลุ่มสมาคมอื่นไม่มี นอกจากเรื่องที่สมาพันธ์เรากุมความลับในการได้อาชีพของอาชีพตั้งหลายอาชีพแล้วนะ ก็ยังมีเรื่องที่ขอแค่ได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ ก็จะสามารถใช้ทรัพย์สินของสมาพันธ์ช่วยให้ตัวเองบรรลุถึงระดับที่คนอื่นต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะทำได้ในเวลาที่สั้นกว่ากันหลายเท่าด้วย แล้วพวกเราก็ไม่เหมือนกลุ่มสมาคมอื่นๆ ตรงที่พวกเราไม่ได้เรียกร้องให้สมาชิกจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น สมาชิกทุกคนต่างก็มีสิทธิ์รับรู้ความลับของสมาพันธ์ ขอแค่มีเวลาเท่านั้น แถมไม่ได้ห้ามสมาชิกบอกความลับพวกนี้ให้เพื่อนนอกสมาพันธ์รู้อีกด้วย แถมยังสามารถลาออกจากสมาพันธ์ได้ตามความสมัครใจอีกต่างหาก

“นอกจากนี้พวกระดับผู้นำยังใช้วิธีผลัดกันเข้าเวร มีการกระจายงานกันอย่างละเอียดยิบ แถมทุกคนก็สามัคคีกันดี แล้วยังไม่อาศัยพวกมากรังแกชาวบ้านอย่างกลุ่มสมาคมอื่นๆ ด้วย ไม่ต้องไปเที่ยวโฆษณาชักชวนก็มีผู้เล่นเข้าคิวรอเข้าสมาพันธ์อยู่ทุกวัน ที่ว่ามาทั้งหมดนี่ไม่ใช่หลักฐานยืนยันที่ดีที่สุดหรอกหรือคะ ?

“ฉันมีเพื่อนบางคนที่ทีแรกไม่ค่อยได้เล่นเกมราชาแห่งราชันแล้ว แต่พอได้ยินว่าฉันเข้าสมาพันธ์เฟิงปุ๊บ ก็แอบมาไหว้วานฉันให้หาทางช่วยให้เขาลัดคิวได้เข้าสมาพันธ์ก่อนคนอื่นด้วยนะคะ ! ฉันมองไม่เห็นออกเลยว่าสมาพันธ์เฟิงมีอะไรไม่ดีที่ตรงไหน ?”

เฉินเฟิงฟังพลางส่ายหน้า ดูท่าเยี่ยหลานจะกลายเป็นสาวกผู้ซื่อสัตย์และตัวแทนช่วยพูดโปรโมทที่ดีที่สุดของสมาพันธ์เฟิงไปเสียแล้ว เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งคึก ถึงตอนท้ายเฉินเฟิงชักจะเชื่อว่าถ้าตอนนี้มีใครกล้ามาบอกเธอว่าสมาพันธ์เฟิงไม่ดีล่ะก็ เธอมีหวังเอาเรื่องคนคนนั้นจนถึงที่สุดแน่

น้ำเสียงของเยี่ยหลานกระตุ้นความสนใจของสมาชิกคนอื่นๆ จนพากันหันกลับมาดูว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่ทุกคนยังจำบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเฉินเฟิงกับเยี่ยหลานบนที่ราบสูงดินเหลืองเมื่อครู่ก่อนได้ดี ถึงบรรยากาศนั้นจะสลายไปเพราะลูกศรวายุอัคคีก็ตามที แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครไม่รู้กาลเทศะถึงขนาดเร่เข้ามาถามอยู่นั่นเอง และได้แต่ซุบซิบกันไม่หยุดปาก คาราเมลกับมัคคิอาโตยิ่งหัวเราะคิกคักกันไม่ได้หยุด

เฉินเฟิงกับเยี่ยหลานต่างนิ่งเงียบกันไปครู่ใหญ่ เฉินเฟิงนึกเรียบเรียงคำพูดอยู่เป็นนาน ค่อยพูดว่า

“ได้ยินเธอเชียร์สมาพันธ์เฟิงมากขนาดนี้ ผมทั้งดีใจและลำบากใจจริงๆ ดูท่าทางพวกนั้นจะเก็บความลับกันได้มิดชิดดีมากเลยนะ

“เฮ้อ...ไม่รู้ว่าเลจจ์คิดอะไรอยู่สิน่าถึงได้ออกแบบเกมให้เอนไปเข้าข้างนักเล่นเกมอาชีพแบบนี้ เธอรู้หรือเปล่าว่า 20% ของสิ่งที่สมาชิกสมาพันธ์ได้จากการฆ่าสัตว์อสูรคือเงินเดือนของหัวหน้าสมาพันธ์และรองหัวหน้าทั้งสี่คน ?”

เยี่ยหลานนิ่งคิดแล้วตอบว่า “ไม่รู้ค่ะ แต่ถ้าพวกพี่ไม่อยากได้เงินจำนวนนี้ ก็บริจาคกลับมาให้สมาพันธ์ได้นี่คะ ! อีกอย่าง ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบการมีอภิสิทธิ์นักก็เถอะ แต่หัวหน้ากับรองหัวหน้าสมาพันธ์ต่างก็ทุ่มเททั้งเวลาและแรงกายแรงใจเพื่อสมาพันธ์ตั้งมากขนาดนั้น จะรับเงินเดือนบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่คะ ประเด็นนี้ฉันเชื่อว่าต่อให้สมาชิกสมาพันธ์ได้รู้ ก็คงยอมรับได้กันทั้งนั้นล่ะค่ะ”

เฉินเฟิงยิ้มขื่นๆ พูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอได้รับข้อมูลความลับในการได้อาชีพมาทั้งหมดกี่อาชีพกันหรือ ?”

เยี่ยหลานงอนิ้วนับ “ก็มีนักดาบ นายพราน นินจา นักรบคลั่ง ทั้งหมด 4 อาชีพ แล้วก็มีทักษะเฉพาะของอาชีพอีกหลายอาชีพค่ะ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีของอาชีพจอมยุทธ์พเนจรกับนักบวช เพราะฉันอยากได้ของสองอาชีพนี้มากที่สุด”

“ถ้าผมบอกว่ายังมีข้อมูลที่สมบูรณ์ของอาชีพจอมเวท , ช่างฝีมือ , พ่อค้า , นักฝึกสัตว์ , จอมยุทธ์พเนจร , นักรบเทพ และนักบวชอีกรวม 7 อาชีพ เธอจะรู้สึกยังไง ?” เฉินเฟิงจงใจเพิ่มอาชีพ “ช่างฝีมือ” และ “พ่อค้า” เข้าไปให้ฟังดูเกินจริงเล็กน้อย

เยี่ยหลานเบิกตากว้าง ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“จริงหรือเปล่าคะ ? พี่คงไม่ได้ล้อกันเล่นหรอกนะ !”

เฉินเฟิงพูดต่อโดยไม่ตอบคำถามของเยี่ยหลาน

“ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้นหรือ งั้นผมขอถามหน่อยเถอะ ที่เธอมาฆ่าปิศาจหินบนที่ราบสูงดินเหลืองนี่ เธอได้รับส่วนแบ่งยังไง ? เงินที่ได้มาทั้งหมดต้องยกให้สมาพันธ์ ส่วนไอเท็มให้ทุกคนแบ่งกันใช่หรือเปล่า ? แล้วเวลาไปขอให้สมานฉันท์ที่รับผิดชอบด้านขายของช่วยขายไอเท็มให้ เวลาไอเท็มขายออกจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 10% ด้วยใช่หรือเปล่า ? อาวุธเครื่องป้องกันระดับที่ 4 ลงไปสามารถขอยืมจากสมาพันธ์ได้ แต่ต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงทุกวันใช่หรือเปล่า ?”

เยี่ยหลานนิ่งงัน ถึงเฉินเฟิงจะไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่แววตาของเขาได้ยืนยันคำตอบให้เธอไปแล้ว

เฉินเฟิงพูดต่อไปเหมือนได้เจอที่ระบายอย่างไรอย่างนั้น

“เธอรู้ไหมว่านักดาบหลายคนที่ก่อนหน้านี้เถียงกับผมรุนแรงจนเครียดกันไปหมดนั่นน่ะ ยอมปิดปากเพราะอะไร ? เพราะพวกเขาได้รับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมที่สมาชิกทุกคนมอบให้สมาพันธ์ในแต่ละเดือนไป 5% ไง แล้วเธอรู้ไหมว่าอาชีพที่เจี๋ยเต๋อ สมานฉันท์ และพี่ชายของเธออวี๋เลี่ยงอี้อยากจะเล่นคืออาชีพอะไร ? เจี๋ยเต๋ออยากจะเล่นอาชีพนักรบเทพ สมานฉันท์อยากจะเป็นพ่อค้า ส่วนอวี๋เลี่ยงอี้อยากจะเป็นจอมเวท แต่สามคนนี้ต่างก็เลือกเล่นอาชีพนินจากันหมด เพราะมีรองหัวหน้าสมาพันธ์สามคนเสนอให้พวกเขาทำแบบนี้

“เธอรู้ไหมว่าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์น่ะ ปกติจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ? แต่เพราะไม่มีใครกำราบนักดาบพวกนั้นได้นอกจากพวกเขา พวกเขาจึงจำต้องเปลี่ยนเวลาออนไลน์เป็นผลัดกันออน แทนที่จะออนไลน์พร้อมกันเหมือนก่อน ?

“เธอรู้หรือเปล่าว่าม้าที่ส่งไปที่เกาะเริ่มต้นน่ะ ทำไมผมถึงต้องออกเงินเอง ? เพราะสมาชิกหลายคนบอกว่าพวกมือใหม่ให้ค่าตอบแทนแก่สมาพันธ์น้อยที่สุด จึงไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายเงินก้อนนี้ เธอรู้หรือเปล่าว่าค่าตอบแทนต่ำสุดที่สมาชิกต้องมอบให้สมาพันธ์น่ะเท่าไหร่ ? 1% แต่สมาพันธ์เฟิงตั้งจำนวนค่าตอบแทนไว้ที่ 10%

“สมาพันธ์เฟิงที่เป็นแบบนี้ เทียบกับกลุ่มสมาคมอื่นแล้ว ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างกันที่ตรงไหน อันที่จริงเทียบกับกลุ่มสมาคมอื่นแล้ว สมาพันธ์เฟิงยังเลวร้ายยิ่งกว่าเสียอีก...เพราะหลักการที่สมาพันธ์เฟิงประกาศคือ มีความยุติธรรม ล้มล้างระบบสมาคมที่ผูกขาดอำนาจ และเป็นสวรรค์ของสมาชิกที่ต้องการความเป็นอิสระ แต่ในความเป็นจริงเล่า ? สมาพันธ์เฟิงไม่ได้เป็นอะไรเลย มันเป็นแค่สมาพันธ์ที่ซ่อนตัวตนที่แท้จริงได้เก่งมากเท่านั้น !”

เยี่ยหลานตะกุกตะกักว่า “ฉันไม่รู้ ฉันไม่เคยรู้เลย ทำไมพี่ถึงยอมให้พวกเขาทำแบบนั้นล่ะ...พี่เป็นหัวหน้าสมาพันธ์ไม่ใช่เหรอ ? พี่มีอำนาจนี่คะ พี่น่าจะ...น่าจะ..”

“น่าจะ...ผมจะไปทำอะไรได้ ? พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีเพาเวอร์มากพอจะแยกไปตั้งสมาพันธ์ของตัวเองได้...ต่างก็มีพวกพ้องของตัวเองกันทั้งนั้น กระทั่งเรื่องยุบสมาพันธ์เฟิงผมยังทำไม่ได้เลย จะถอนตัวจากตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ก็ทำไม่ได้ด้วย

“ผมตัดสินใจเลิกเป็นนักเล่นเกมอาชีพแล้ว เพราะผมไม่คิดที่จะหลอกใช้เพื่อนเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปขอร้องให้คนอื่นเลิกเป็นนักเล่นเกมอาชีพแบบผมอยู่ดี ผมอยากจะหายไปจากโลกของราชาแห่งราชันมันเดี๋ยวนี้เลย แต่ผมทำได้หรือ ? ผมทำได้จริงๆ น่ะหรือ ?

“ถึงทุกคนเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ในสมาพันธ์เฟิงก็มีเพื่อนๆ ที่ผมเพิ่งจะได้รู้จักหลังจากเข้ามาเล่นเกมราชาฯอยู่ตั้งครึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำตามความต้องการของตัวเองโดยพยายามทำความฝันให้เป็นความจริงอย่างตั้งใจ แต่ผมกลับพบว่าความเป็นจริงกับอุดมคตินั้นมันต่างกัน และตราบใดที่ผมยังคงเป็นนักเล่นเกมอาชีพ ผมก็จำเป็นต้องรักษาความได้เปรียบที่ควรมีเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะต้องพ่ายแพ้และต้องถอนตัวออกไปเท่านั้น

“เพราะเข้าใจเหตุผลพวกนี้นี่แหละ ผมถึงไม่มีสิทธิ์ไปขอให้พวกเขาเลิกเป็นนักเล่นเกมอาชีพ ผมมันผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ผิดที่ไม่ควรหลงคิดว่าผมจะมอบอะไรๆ ให้ทุกคนได้ ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้ว แต่ผมกลับไม่สามารถไปจากที่นี่ได้เสียแล้ว เพราะนับตั้งแต่สมาพันธ์เฟิงถูกก่อตั้งขึ้น ความฝันของผมก็ไม่ได้เป็นความฝันของผมคนเดียวอีกต่อไป

“มีคนมากมายที่มารวมตัวกันในสมาพันธ์เฟิงเพราะเชื่อในตัวผม ตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี...เฮ้อ ! เยี่ยหลาน เธอบอกผมได้หรือเปล่าล่ะ ?”

หลังจากฟังที่เฉินเฟิงสาธยายจบ เยี่ยหลานก็นิ่งตะลึงไม่ทราบจะตอบยังไงดี แล้วทั้งสองก็เดินตามพวกพ้องไปอย่างเงียบงันเช่นนี้เอง

ผู้เยาว์วัยไม่เคยทราบรสชาติทุกข์ กลับแข็งขืนเอ่ยคำทุกข์เพื่อร่ำกลอน[1] คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเฟิงที่แสนจะเจิดจ้าในสายตาคนอื่นจะแบกรับแรงกดดันเอาไว้เงียบๆ มากมายขนาดนี้

เยี่ยหลานอดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่พักนี้เอาแต่โทษว่าเฉินเฟิงชอบเหม่อลอยโดยไม่ได้รู้เลยว่าเขามีเรื่องกลุ้มใจมากอย่างนี้ เสียแรงที่เธอถือตัวเองเป็นเพื่อนสนิทของเขาจริงๆ

หวนนึกถึงตอนที่พบกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เธอแลกได้ดาบระดับที่ 4 มา ที่แนวป่าบังลมข้างถ้ำผีดิบ เฉินเฟิงผู้เก่งกาจจนน่าทึ่ง แต่กลับถูกปิศาจมือธนูรุมรังแกเสียได้คนนั้น...

การพบกันแบบประหลาดๆ โดยบังเอิญครั้งนั้น เธอได้บอกความตั้งใจของเธอแก่เขาไป และบอกว่าเขานั่นล่ะที่เป็นคนจุดประกายความกล้าให้แก่เธอ หลังจากนั้นพอได้ยินข่าวว่าเขาจะตั้งสมาพันธ์ เธอก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบคลั่ง เพราะเธอทราบดีว่าความฝันของเธอกำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว ถึงความฝันนี้จะไม่ได้สำเร็จด้วยมือของเธอเพียงลำพังก็ตามที แต่การที่มันสำเร็จได้เพราะเฉินเฟิงผู้มีรอยยิ้มเจิดจ้าดั่งแสงตะวัน ก็ทำให้เธอสามารถประกาศบอกพวกคนที่เคยดูถูกเธอทั้งหลาย…สามารถตะโกนบอกคนเหล่านั้นได้ว่า วิธีการของเธอต่างหากล่ะที่ถูกต้อง...

ความรู้สึกเสียดายที่มีอยู่เล็กน้อยเนื่องจากความฝันไม่ได้เป็นความจริงด้วยมือของเธอเองนั้น ได้รับการเติมเต็มในภายหลังในตอนประชุมสมาชิกสมาพันธ์ครั้งที่ 1 แล้วเฉินเฟิงเสนอนโยบายให้สมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ร่วมแสดงความคิดเห็น นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สมาพันธ์เฟิงก็ไม่ได้เป็นเพียงสมาพันธ์เฟิงของเฉินเฟิงอีกต่อไป แต่เป็นสมาพันธ์เฟิงของเธอด้วย !

ตอนที่เธอตกเป็นข่าวซุบซิบเพราะพวกสมาชิกสมาพันธ์กำลังเบื่อสุดขีด ก็เป็นเพราะฝ่ายชายคือเฉินเฟิง เธอถึงไม่ได้โวยวายแก้ข่าว ถึงเธอจะทราบดีว่าเขาไม่มีทางงี่เง่าจนถือเรื่องพวกนี้เป็นจริงเป็นจังแน่นอน แต่ความจริงแล้วเธอเองก็แอบหวังให้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอยู่เหมือนกัน เพราะผู้ชายที่จริงจังน่ะมีเสน่ห์ที่สุด เฉินเฟิงน่ะเป็นเหมือนนักมายากลอย่างไรอย่างนั้น เพราะแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน เขาก็สามารถเสกความฝันของเธอให้เป็นความจริงได้แล้ว ถึงเธอจะทราบดีว่าการคิดแบบนี้ออกจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อย แต่เธอก็ยังแอบรู้สึกดีใจอยู่ดี

แต่แล้วทั้งหมดนี้กลับมีเบื้องหลังแอบซ่อนอยู่ทั้งนั้น เมื่อเฉินเฟิงจาระไนข้อเสียที่แอบแฝงของสมาพันธ์ออกมาข้อแล้วข้อเล่า หัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นทุกทีๆ จนเธอต้องตำหนิตัวเองว่าไม่ควรเห็นเขาเป็นนักมายากลเลย เพราะเบื้องหลังของมายากล ก็คือเทคนิคลวงตาคนดีๆ นี่เอง !

การที่ทั้งสองต่างนิ่งเงียบกันไปอย่างกะทันหันได้กระตุ้นความสนใจของเหล่าสมาชิกที่เดินอยู่ข้างหน้า แล้วคาราเมลกับมัคคิอาโตก็ถูกส่งไปถามไถ่ในฐานะตัวแทน

พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเฉินเฟิงกับเยี่ยหลาน แถมตาของเยี่ยหลานยังมีน้ำตาเอ่อคลออีกต่างหาก สองสาวก็เข้าไปขนาบเยี่ยหลานทันที แล้วต่างส่งสายตาเขียวปัดค้อนใส่เฉินเฟิง เฉินเฟิงผู้ถูกปรักปรำได้แต่เร่งฝีเท้าตามพวกพ้องส่วนใหญ่ไป แล้วทิ้งระยะห่างให้สามสาวได้สนทนากัน ตอนนั้นสมาชิกส่วนใหญ่ต่างพากันเร่งฝีเท้าอย่างรู้กาลเทศะเช่นกันเพื่อเว้นระยะห่างเล็กน้อยให้เฉินเฟิง

 

ทันใดนั้นอเล็กซ์ได้เปล่งเสียงหอนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกท้าทายขึ้นอย่างกะทันหัน เฉินเฟิงรู้สึกคุ้นๆ กับเสียงหอนแบบนี้ทันที แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงร้องเอะอะโวยวายของพวกสมาชิกข้างหน้าก็ดังขึ้นในช่องสื่อสารเสียก่อน

เนื่องจากเมื่อกี้เขาจงใจเว้นระยะห่างกับทุกคน ส่วนอเล็กซ์กับอู้คงก็ดันพากันวิ่งตะบึงเบิกทางไม่ยอมหยุด เลยยิ่งทิ้งระยะห่างมากเข้าไปใหญ่ ในช่องสื่อสารแจ้งข้อมูลการสูญเสียพลังมาอย่างรวดเร็วติดต่อกัน ทำเอาเฉินเฟิงตกใจสุดขีด ทำท่าจะขึ้นขี่ซวงเว่ยรีบตามไปดู แต่เห็นทางขึ้นเขาชันและขรุขระเกินกว่าเหมาะจะขี่ม้า จึงเปลี่ยนใจใช้คาถาท่องลมรีบวิ่งตามไปดูแทนพร้อมกับส่งข้อความถามไถ่สถานการณ์

เฉินเฟิงที่หลายวันมานี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้จักสมาชิกมือใหม่พวกนี้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ตอนนี้ในช่องกลุ่มของเขามีข้อความรายงานสถานการณ์เต็มพรืดไปหมด เป็นเพราะสิ่งแรกที่สมาชิกซึ่งมาฝึกวิชาบนที่ราบสูงดินเหลืองต้องทำคือมาขอเข้ากลุ่มกับเฉินเฟิง และจุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อให้ทักษะบัญชาการของเฉินเฟิงเลื่อนขึ้นเร็วๆ นั่นเอง

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ดันเป็นแบบที่หากไม่ระบุชื่อออกไป โอกาสที่จะได้รับคำตอบจะน้อยนิดมากเสียด้วย

และก็เป็นอย่างที่คาด หลังจากที่เขาส่งข้อความถามออกไปในช่องกลุ่ม ในบรรดาสมาชิกที่ระดับสูงเกือบ 30 ทั้ง 6 คนดันไม่มีใครสามารถเจียดเวลามาตอบคำถามเขาได้เลยสักคน แถมการที่เขาส่งข้อความถามออกไปทางช่องกลุ่มยังดันไปกระตุ้นให้พวกสมาชิกที่ยังไม่ออฟไลน์แย่งกันถามไถ่สถานการณ์เป็นการใหญ่อีกต่างหาก เฉินเฟิงที่อับจนหนทางได้แต่หันไปถามอู้คงกับอเล็กซ์ สองสัตว์เลี้ยงที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งนักแทนที่

อู้คงส่งข้อความกลับมาสั้นแสนสั้น คือเขียนแค่ “มือสังหาร” เท่านั้น เฉินเฟิงเห็นแล้วมึนไปหมด มือสังหาร ? นี่มีสัตว์อสูรพันธุ์ใหม่เกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่อีกล่ะเนี่ย ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย ?

แต่ตอบมาแบบนี้ก็ยังดี เพราะอย่างน้อยอู้คงก็ยังส่งข้อความตอบกลับมา อเล็กซ์นี่สิอยู่ในสภาพใกล้จะหนี[2]เต็มที และถึงจะส่งข้อความกลับมาเหมือนกัน แต่ข้อความดันมีแต่เสียงหอน ซึ่งแน่ล่ะว่าเฉินเฟิงได้แต่ฟังอย่างเดียว หารู้เรื่องไม่

หลังจากวิ่งตะบึงไปได้ 3 นาที ก็ยังไล่ตามกลุ่มสมาชิกข้างหน้าไม่ทัน เฉินเฟิงเพิ่งจะมารู้ตัวเอาตอนนี้เองว่าเมื่อกี้เขาทิ้งระยะห่างจากทุกคนมากเกินไปเสียแล้ว

เฉินเฟิงรีบส่งข้อความไปบอกให้สามสาวทางด้านหลังรีบตามมาโดยเร็วที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นหากเกิดอันตรายขึ้นมา คนอื่นจะตามไปช่วยไม่ทัน แต่สามสาวดันปิดช่องสื่อสารเสียนี่ เขาเลยได้แต่สั่งหลายฝูให้ย้อนกลับไปช่วยดูแลให้ ส่วนตัวเองเร่งฝีเท้าไล่ตามไปสมทบพวกพ้องข้างหน้าต่อ

“เช้ง ! เช้ง !”

เสียงอาวุธปะทะกันดังกังวานไปทั่ว หลังจากวิ่งไล่มาตามทางภูเขาสายน้อยจนสุดทาง ในที่สุดเฉินเฟิงก็ได้พบบรรดาสมาชิกสมาพันธ์ตรงบริเวณพื้นที่ว่างซึ่งอยู่ด้านหน้าของแนวป่าที่เป็นถิ่นของนกฮูกจนได้

แต่พอได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้า เฉินเฟิงก็ต้องเบิกตาค้าง

นั่นมัน “มือสังหาร” ซะที่ไหนกันเล่า ? ที่เขาเห็นคือ “เสือดาวหิมะ” สัตว์อสูรที่ไม่ควรจะมาโผล่ที่นี่ แต่ก็โผล่มาแล้วจำนวน 3 ตัว

ในเสือดาวหิมะทั้ง 3 ตัวนี้ 2 ตัวกำลังไล่ฆ่าสมาชิกสมาพันธ์ทั้งหกคน ส่วนอู้คงแทรกอยู่ในกลุ่มสมาชิก กระบองห่วงทองฯตวัดควงแหวกอากาศเป็นเสียงดังกระหึ่มน่าเกรงขาม แต่น่าเสียดายที่ดันหวดลงใส่อาวุธของเหล่าสมาชิกสมาพันธ์เสียเป็นส่วนใหญ่

อีกด้านหนึ่งอเล็กซ์กำลังประจันหน้าเดี่ยวๆ กับอีกตัว แถมยังจงใจทิ้งระยะห่างจากสนามรบของพวกสมาชิกกับเสือดาวหิมะอีก 2 ตัวอีกต่างหาก เห็นได้อย่างชัดเจนมากว่าเจตนาจะดวลกับเสือดาวหิมะตัวนั้นแบบตัวต่อตัว

สมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้าสมาคมทั้งหกคนนั้น ถึงจะไม่ใช่มือใหม่ในโลกของเกมออนไลน์ก็ตาม แต่เนื่องจากช่วงนี้พวกเขาได้แต่ก้มหน้าก้มตาเร่งฝึกวิชาเลื่อนระดับตามโปรแกรมของสมาพันธ์จนเคยชินกับวิธีต่อสู้ด้วยรูปแบบเฉพาะที่ตายตัวเสียแล้ว พอตอนนี้ต้องมาเจอกับเสือดาวหิมะที่ทั้งระดับสูงและเคลื่อนไหวปราดเปรียว ผลเสียจากการที่มีประสบการณ์ต่อสู้ไม่เพียงพอก็เผยออกมาจนหมดสิ้น

เฉินเฟิงเห็นแล้วทั้งฉิวทั้งขำ เพราะขนาดเผชิญหน้ากับเสือดาวหิมะที่เคลื่อนไหวเร็วมากจนแทบจะกลายเป็นเงาหลอนตาอยู่รอมร่อ สมาชิกสี่คนนั้นก็ยังคิดแต่จะใช้ธนูยิงอยู่อีก แถมหนึ่งในนั้นยังใช้ลูกศรหัวโตอีกต่างหาก ส่วนที่เหลืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะฉลาดกว่ากันสักเท่าไร แต่เป็นเพราะคันธนูในมือถูกโจมตีจนตกพื้นไปแล้ว ก็เลยต้องวิ่งหนีไปพลางใช้โล่กันไปพลางแทนต่างหาก

“เปรี้ยง ! เปรี๊ยะ !”

หลังจากที่สมาชิกคนหนึ่งโดนกระบองห่วงทองฯของอู้คงโจมตีใส่ ในที่สุดโล่เหล็กกลมในมือก็ทนไม่ไหวแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในพริบตา ดูท่าคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะซ่อมเสียแล้ว ผู้เล่นคนนี้ลนลานไปหลบอยู่ด้านหลังเพื่อนอีกคน แล้วเหลือบมาเห็นเฉินเฟิงเข้า จึงร้องตะโกนว่า

“ลูกพี่ ! มาถึงจนได้นะ ! สัตว์เลี้ยงของลูกพี่น่ะเป็นบ้าไปแล้ว ไหงถึงเอาแต่เล่นงานพวกเดียวกันเองเล่า !”

เฉินเฟิงฝืนยิ้มพลางส่ายหน้า นี่ถ้าอู้คงฟังคนอื่นพูดรู้เรื่องละก็ มันคงจะประท้วงไปแล้วว่าพวกนั้นต่างหากที่เอาแต่เกะกะขวางทางมันอยู่ได้ แล้วจึงช่วยใช้คาถาท่องลมให้สมาชิกทั้งหกคน แบบนี้อย่างน้อยก็ช่วยให้หลบได้เร็วขึ้นอีกหน่อย

ถึงตอนนี้เฉินเฟิงก็ไม่เร่งร้อนที่จะเข้าไปช่วยแล้ว เพราะชุดเกราะที่สมาชิกทั้งหกคนสวมอยู่นั้นอย่างต่ำก็เป็นเกราะหนังระดับที่ 4 ขึ้นไปกันทั้งนั้น บวกกับมีอู้คงและอเล็กซ์อยู่ด้วย อย่างน้อยพวกสมาชิกก็ไม่มีทางถึงตายได้ไปอีกสักพักนั่นแหละ

เฉินเฟิงนึกไม่ถึงเลยว่าวิธีเลื่อนระดับอย่างรวดเร็วจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ดูท่าแค่มีระดับสูงจะยังไม่พอเสียแล้ว ถึงแม้สมาชิกสมาพันธ์จะไม่ได้อยากเล่นอาชีพสายต่อสู้กันทุกคนก็ตามที แต่การออกแบบของเกมราชาฯทำให้หากต้องการจะเลื่อนระดับ ก็มีแต่ต้องไปฆ่าสัตว์อสูรเพียงทางเดียวเท่านั้น ดังนั้นเห็นท่าคงต้องคิดหาวิธีชดเชยจุดบกพร่องนี้เสียแล้ว

สมาชิกคนที่โล่แหลกละเอียดไปแล้วอาศัยคาถาท่องลมถลาเข้ามาหาเฉินเฟิง คนนี้เฉินเฟิงยังพอจะรู้จักอยู่ เขาติดตามครุโฬมาจากเกมฝันที่เป็นจริง มีชื่อว่า อินทรีทะยาน (เผิงเฉิง) ในเกมฝันที่เป็นจริง เขาเป็นช่างหลอมสร้างชั้นสูง อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเล่นแต่อาชีพสายผลิตเพียงอย่างเดียว ประสบการณ์ด้านต่อสู้เลยอ่อนด้อยไปหน่อย

เฉินเฟิงส่งดาบสั้นให้อินทรีทะยานไป 1 เล่ม กับโล่เหล็กกลมอีก 1 อัน อินทรีทะยานรับโล่มา แต่พอเห็นดาบเข้าก็ทำหน้าพิพักพิพ่วน เพราะที่เอวของเขาก็ห้อยอยู่ด้วย 1 เล่ม เฉินเฟิงให้ยาฟื้นพลังเขาไปอีกหลายขวด พร้อมกับให้เขาไปสะกิดบอกทุกคนว่าการต่อสู้ประชิดตัวไม่เหมาะจะใช้ธนู

อินทรีทะยานหน้าแดงก่ำทันที แล้วยิ้มกร่อยๆ

“ผมลืมซะสนิทเลยว่าตัวเองมีดาบสั้นอยู่ด้วย !”

มือข้างหนึ่งของอินทรีทะยานถือโล่กลม ส่วนอีกข้างกวัดแกว่งดาบสั้นโถมเข้าสู่สนามรบอันชุลมุนอีกครั้ง ปากก็ร้องตะโกนโหวกเหวกว่า

“พี่น้องทั้งหลาย เปลี่ยนไปใช้ดาบสั้นซะ ! ใช้ธนูมันจะไปยิงถูกกะผีสิ ! เพลิงกัลป์ (เลี่ยหั่ว) บอกให้เปลี่ยนแล้วยังไม่ยอมเปลี่ยนอีก นายนั่นแหละเป็นคนออกไอเดียห่วยแตกว่าจะทำหมูเม่นเสือดาวหิมะ ฉันว่าพวกเราแหละจะกลายเป็นหมูม่องเสียเองมากกว่า !”

เฉินเฟิงเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว ตอนแรกเขากะจะบอกให้อินทรีทะยานช่วยไว้หน้าเพื่อนฝูงบ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายดันแหกปากตะโกนเหมือนกลัวคนทั้งโลกไม่รู้งั้นล่ะ

แต่อินทรีทะยานดูจะพอมีฝีมือด้านบัญชาการอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะเขาจัดการสั่งให้คนที่เปลี่ยนอาวุธแล้วย้ายเข้าไปเสียบแทนตำแหน่งคนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนอาวุธ เพื่อให้คนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนอาวุธมีเวลาทันได้เปลี่ยนอาวุธ ผลคือในเวลาเพียงครู่สั้นๆ ทุกคนก็เปลี่ยนอาวุธไปเป็นดาบสั้นกันครบครันเป็นที่เรียบร้อย ทำให้อู้คงค่อยมีพื้นที่ว่างแสดงฝีมือหน่อย

ตอนนี้พอจะนับได้ว่าควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เฉินเฟิงมองสถานการณ์โดยรวม ขณะที่กำลังคิดว่าจะจัดการเก็บสัตว์อสูร 3 ตัวนี้ยังไงดี อีกด้านหนึ่งดันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเสียแล้ว

ปรากฏว่าอยู่ๆ อเล็กซ์ก็ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างกายขยายใหญ่อย่างพรวดพราดจนร่างที่เดิมสูงใหญ่อยู่แล้วเปลี่ยนเป็นสูงกว่าเดิมเกือบเท่าตัวในพริบตา ตลอดร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ มือทั้งสองข้างมีกรงเล็บเหล็กกล้า 8 เล็บงอกยาวออกมาเกือบ 1 ฟุต ส่วนค้อนดาวตกไม่ทราบหายสาบสูญไปไหนเสียแล้ว

สภาพแบบนี้เฉินเฟิงเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก จึงก้มลงดูสถานะร่างกายของมันในนาฬิกาอย่างประหลาดใจ

สถานะกำลังคลั่ง แถมด้านล่างยังปรากฏข้อความสีแดงที่เห็นแล้วต้องขนหัวลุก :

“นอกจากเจ้านาย ไม่แยกมิตรศัตรู”

พออ่านข้อความสีแดงกระจ่างแจ้ง เฉินเฟิงก็ตกใจสุดขีด แล้วลนลานย้ายไปขวางอยู่ระหว่างอเล็กซ์กับพวกสมาชิกสมาพันธ์ทันที แถมยังบอกให้ทุกคนพยายามถอยห่างจากอเล็กซ์ให้มากที่สุด

ขืนโดนมนุษย์หมาป่าระดับ 50 ที่กำลังคลั่งเล็งเข้าให้ล่ะก็ คิดจะใช้ม้วนคาถากลับบ้านก็ไม่ทันการณ์แล้ว

หลังจากที่ตัวของอเล็กซ์ขยายใหญ่ขึ้นแล้ว ความเร็วก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมจนน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามีอเล็กซ์แค่ตัวเดียว แต่ตรงหน้ากลับมองเห็นเงาของอเล็กซ์ที่เหมือนตัวจริงๆ จับต้องได้แทบจะเป๊ะๆ ถึง 3 ตัว

เสือดาวหิมะที่ประมือกับมันมีบาดแผลเต็มตัวในพริบตา เพียงแต่เนื่องจากต่างก็เป็นสัตว์อสูรระดับ 50 เหมือนกัน จึงย่อมไม่มีทางถูกปราบได้ง่ายๆ แค่นี้อยู่แล้ว

ขณะที่เฉินเฟิงนึกว่าเสือดาวหิมะกำลังจะล้มอยู่รอมร่อ มันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

เลือดที่ไหลโซมร่างของเสือดาวหิมะพลันระเบิดกระจายออกประหนึ่งเทพธิดาโปรยบุหงา ตลอดกายเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าจนตาพร่า

หลังแสงเจิดจ้าสลายไป ก็พบว่าศีรษะของมันได้เพิ่มมาอีก 1 กลายเป็นมี 2 ศีรษะ ส่วนเท้าทั้ง 4 ข้างมีกรงเล็บคมกริบยาวนิ้วเศษโผล่ออกมา จากนั้นการประหัตประหารก็ดำเนินต่อไป

ความเร็วของเสือดาวหิมะเองก็เพิ่มขึ้นพะเรอเช่นเดียวกับอเล็กซ์ จนทั้งที่ทราบดีว่าที่กำลังสู้กันอยู่คือสัตว์อสูรแค่สองตัว แต่ดูแล้วเหมือนมีสัตว์อสูรหลายตัวกำลังตะลุมบอนกันจนชุลมุนสับสนไปหมดอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากคลั่ง อเล็กซ์ยังมีข้อความ “นอกจากเจ้านาย ไม่แยกมิตรศัตรู” แต่เสือดาวหิมะมีซะที่ไหนกันเล่า เฉินเฟิงที่ตอนแรกยังดูสบายๆ มาตอนนี้ชักจะเครียดเสียแล้ว

เขารู้มาจากในหนังสือคู่มือสัตว์อสูรว่า โอกาสที่สัตว์อสูรจะคลั่งมีไม่สูงนัก ระดับของสัตว์อสูรหลังจากคลั่ง จะเท่ากับว่าเพิ่มขึ้นจากเดิม 10 ระดับ

เดิมทีเสือดาวหิมะก็มีระดับตั้ง 50 เข้าไปแล้ว ในเกมราชาฯแห่งนี้ขอแค่เป็นสัตว์อสูรที่มีระดับ 60 ขึ้นไป ก็เรียกได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับราชาทั้งนั้น ด้วยความสามารถในปัจจุบันของตัวเอง เฉินเฟิงไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะรับการโจมตีของมันติดต่อกันได้ถึง 2 ครั้ง...



[1]จากบทกลอนเต็มๆ ว่า ผู้เยาว์วัยไม่เคยทราบรสชาติทุกข์ ชอบขึ้นหอสูง ชอบขึ้นหอสูง กลับแข็งขืนเอ่ยคำทุกข์เพื่อร่ำกลอน, มาบัดนี้ทราบสิ้นความทุกข์ร้อน ใคร่กล่าวมิอาจ ใคร่กล่าวมิอาจ กลับเอื้อนอากาศสารทนี้เย็นดีแท้ !” ผู้ประพันธ์คือ ซินชี่จี๋ (Xin qi ji) บุคคลในยุคต้นราชวงศ์ซ่งใต้ของจีน ( Nansong : ค.ศ.1127-1279) ปูมหลังของผู้ประพันธ์คือ ในช่วงวัยหนุ่ม บ้านเมืองต้องตกเป็นของศัตรู (อาณาจักรซ่งเหนือถูกอาณาจักรจินรุกรานและยึดครองได้ จนต้องถอยร่นมาตั้งอาณาจักรซ่งใต้) เขาจึงตั้งปณิธานว่าสักวันหนึ่งในวันข้างหน้าเขาจะต้องขับไล่ศัตรูออกไปจากแผ่นดินและหาทางฟื้นฟูราชวงศ์ซ่งให้กลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมอีกครั้งให้ได้ แต่ครั้นเวลานั้นมาถึงเข้าจริง เขากลับถูกปลดตำแหน่งและย้ายไปอยู่บ้านนอก เนื่องจากองค์ฮ่องเต้ไม่ต้องการฟื้นฟูราชวงศ์ซ่งเหนือ ตัวเขาซึ่งคับแค้นใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้จึงเขียนกลอนบทนี้ขึ้น ความหมายคือ เมื่อตอนยังหนุ่ม ตัวเขาไม่เคยรู้จักรสชาติความทุกข์ที่แท้จริง ทั้งยังหลงคิดว่าการสูญเสียเอกราชของชาติไปนี้คือความทุกข์แล้ว และพยายามพาตัวเข้าไปหาความทุกข์นั้นด้วยการเข้าไปพยายามช่วยกู้ชาติ แต่มาบัดนี้เมื่อความพยายามกลับถูกฮ่องเต้ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ตัวเขาที่จำต้องมองประเทศล่มจมลงไปทุกวันโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยถึงค่อยตระหนักว่า “ความทุกข์” ที่แท้จริงคืออะไร แต่มันเป็นความทุกข์ที่ไม่สามารถบอกใครได้ เพราะถ้าบอกออกไปจะกลายเป็นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์ฮ่องเต้ จึงได้แต่หุบปากเงียบ และเสไปพูดเรื่องอากาศดีแทน

[2] สัตว์เลี้ยงหนี คือการที่สัตว์เลี้ยงดิ้นรนจนหลุดพ้นจากการควบคุมของเจ้าของและเป็นอิสระ

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:57

0 ความคิดเห็น