หัวข้อ : เล่มที่ 5 มีน้ำใจ แล้งน้ำใจ ตอนที่ 6 ชานมไข่มุก

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:59

ตอนที่ 6

 

ชานมไข่มุก

 

 

เมื่อหนานอี๋ได้รับของขวัญที่ทุกคนมอบให้ ก็ดีใจสุดขีดจนพูดไม่ออก และพอรู้ว่าเยี่ยหลานเป็นคนช่วยชีวิตมันไว้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด เธอก็ตรงเข้าไปหอมแก้มเยี่ยหลานทันที

แม้จะเป็นการหอมแก้มจากคนเพศเดียวกัน เยี่ยหลานก็ยังเขินจัดจนหน้าแดงก่ำอยู่ดี และเอาแต่พูดปัดความดีความชอบว่าควรจะขอบคุณทุกคนต่างหาก เพราะเธอไม่ได้เป็นคนที่ออกแรงมากที่สุดเสียหน่อย

ครั้งนี้นับว่าเป็นศึกใหญ่เลยทีเดียว นอกจากเสือดาวหิมะตัวนี้ที่ถูกจับมาได้ในตอนท้าย สรุปรวบยอดแล้วยังมีเสือดาวหิมะระดับ 50 อีก 2 ตัว นกฮูกระดับ 45 อีก 28 ตัว และสุดท้ายพญานกฮูกระดับสูงตั้ง 65 อีก 1 ตัว แม้จะสู้กันอย่างสะบักสะบอมไปหน่อย แต่ก็นับว่าจบลงด้วยดี และกำไรที่ทุกคนได้รับแบ่งไปต่างก็ไม่เลวเลยทีเดียว

แต่เฉินเฟิงที่อยู่ในสนามรบมาตั้งแต่ต้นจนจบอาจจะเป็นข้อยกเว้น แถมยังพูดได้ว่าเขาขาดทุนเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ

ครั้งนี้ระดับของเขาเลื่อนขึ้น 1 ระดับ ส่วนทักษะที่ได้เลื่อนระดับก็มี ทักษะบัญชาการได้เลื่อน 3 ระดับ , ทักษะพลังจิต 1 ระดับ , ทักษะสังหารด้วยโทสะ 1 ระดับ , ทักษะช่วยชีวิต 1 ระดับ , ทักษะหลบหลีก 1 ระดับ , ทักษะธนู 2 ระดับ , ทักษะยิงรัว 1 ระดับ , ทักษะสื่อสาร 1 ระดับ , ทักษะใช้แส้ 1 ระดับ , ทักษะเสียสละ 1 ระดับ , ทักษะใช้ผลึกเวทมนตร์ 1 ระดับ และทักษะใช้ยันต์ 1 ระดับ นอกจากนี้แม้ทักษะเวทมนตร์ธาตุจะไม่ได้เลื่อนระดับ แต่ระดับความชำนาญของการใช้เวทมนตร์ธาตุไม้ ธาตุไฟ และธาตุพิเศษรวม 3 ธาตุเพิ่มขึ้นจนเต็มแล้ว

ในจำนวนนี้ทักษะบัญชาการเต็มระดับ 15 พอดี ชื่อตำแหน่งเลื่อนขึ้นจาก หัวหน้าหมู่ เป็น หัวหน้าหน่วยบุกทะลวง จำนวนสมาชิกในกลุ่มสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 30 คน ในที่สุดก็สามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกของสมาพันธ์ได้อีกครั้งแล้ว

ส่วนรายรับที่เป็นไอเท็มและเงิน หลังจากแบ่งให้บรรดาผู้มีพระคุณที่มาช่วยชีวิตทุกคนแล้ว เฉินเฟิงที่น่าสงสารได้รับส่วนแบ่งแค่เหรียญทอง 25 เหรียญ , เหรียญเงิน 3,500 เหรียญ , ผลึกเวทมนตร์ธาตุ 10 ลูก , ม้วนคาถากลับบ้าน 2 ม้วน , ม้วนคาถาลดพลังธาตุความมืด 1 ม้วน และก้อนโลหะ 5 ก้อน ซึ่งลองคำนวณดูแล้ว ของธรรมดาๆ พวกนี้ยังไม่พอชดเชยค่ายาฟื้นพลังเสียด้วยซ้ำ

แน่นอนละว่าทุกคนก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เพราะสุดท้ายแล้วยังให้ของชั้นเลิศแก่เฉินเฟิงอีก 1 ชิ้น นั่นคือผ้าคลุม “ปีกแห่งสายลมเริงร่าย” ที่ได้จากพญานกฮูก และเป็นไอเท็มหนึ่งเดียวที่พญานกฮูกให้ในครั้งนี้

ว่ากันตามหลักแล้ว ไอเท็มที่สัตว์อสูรระดับราชาให้ ควรจะเป็นของที่ดีเลิศจนใครๆ ก็อยากได้กันทั้งนั้น งั้นแล้วทำไมถึงบอกว่าเฉินเฟิงขาดทุนนิดหน่อยล่ะ ?

ปรากฏว่าสาเหตุที่พวกผู้เล่นไม่ค่อยจะอยากเจอกับพญานกฮูกนั้น นอกจากที่เคยได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าเพราะรับมือยากสุดๆ แล้ว การที่ชนิดของไอเท็มที่มันจะให้มีมากเกินไปก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วทุกคนจะคิดว่าสัตว์อสูรให้ไอเท็มยิ่งเยอะสิยิ่งดี เพราะเวลารวมกลุ่มกันไปสู้จะได้ได้รับไอเท็มเป็นส่วนแบ่งกันถ้วนทั่วทุกคนโดยไม่ต้องกลับมามือเปล่า

แต่จุดนี้ของพญานกฮูกนี่แหละที่โคตรจะน่าโมโหอย่างแรง

จากการสรุปของคู่มือสัตว์อสูร ในบรรดาไอเท็มที่พญานกฮูกจะให้นั้น แค่ไอเท็มประเภทชุดเกราะก็ปาเข้าไปตั้ง 10 กว่าชนิดแล้ว ตอนแรกที่อ่านเจอ ทุกคนคงจะดีใจแทบคลั่งกันแน่ๆ แต่พอลองอ่านดูดีๆ แล้ว จะกลายเป็นไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีทันที

แม้ชนิดของไอเท็มที่พญานกฮูกให้จะมีเยอะมาก แต่ทุกชนิดจะต้องมีเป็นชุด และแต่ละชุดจะประกอบด้วย 3-4 ชิ้นเสมอ และทุกครั้งที่พญานกฮูกให้ มันจะให้แค่ชิ้นใดชิ้นหนึ่งในทั้ง 10 กว่าชุดนั่นเท่านั้น

ควรทราบว่าคุณสมบัติเฉพาะของไอเท็มที่มีมาเป็นชุดคือ ต้องสะสมให้ครบชุดถึงจะสามารถเปล่งประสิทธิภาพของมันออกมาได้ แต่แค่นั้นยังพอทำเนา ชุดเกราะของพญานกฮูกสิยิ่งทุเรศกว่านั้นหลายเท่า เพราะค่าความสามารถของชิ้นส่วนชุดเกราะเดี่ยวๆ แต่ละชิ้นของมันต่างต่ำเตี้ยติดดินจนน่าสมเพชทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่นผ้าคลุมปีกแห่งสายลมเริงร่ายที่เฉินเฟิงได้รับมาชิ้นนี้ พลังป้องกันของมันมีแค่ 30 จุดเท่านั้น มีคุณสมบัติเสริมช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว 2%

ต่อให้สุ่มหยิบชุดเกราะชิ้นไหนสักชิ้นมาเทียบ ก็ดีกว่ามันแยะกันทั้งนั้น อย่างไอเท็มที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวเหมือนกันกับมันน่ะนะ กระทั่งรองเท้าบู๊ตหนังที่สุนัขจิ้งจอกระดับแค่ 10 กว่าในทุ่งหญ้าหม่างบนเกาะเริ่มต้นระเบิดให้ ก็ยังเจ๋งกว่ามันเลย

ดังนั้นแม้ผ้าคลุมผืนนี้จะเป็นไอเท็มชั้นเลิศก็เถอะ แต่ถ้าไม่ได้ชุดเกราะอีก 2 ชิ้นในชุดเดียวกับมันมาล่ะก็ มันก็เป็นได้แค่ขยะดีๆ นี่เอง

หลังจากที่เหล่าผู้ร่วมรบพากันตอกไข่ใส่สีบรรยายเหตุการณ์ระหว่างรบอย่างออกรสออกชาติ หนานอี๋ที่แสนจะปลาบปลื้มยินดีก็ไม่รอช้า ตรงเข้าหอมแก้มคาราเมล มัคคิอาโต ชากุหลาบ ชาอูหลงเข้มจัด และชากุ้ยหยวนพุทราแดงทันทีหลังจากที่เยี่ยหลานแนะนำพวกเธอให้รู้จัก

ชากุ้ยหยวนพุทราแดง (กุ้ยหยวนหงจ่าวฉา) ก็คือพรานสาวที่ใช้ทักษะพิเศษหมื่นศรทะลวงใจพร้อมกับเฉินเฟิงในตอนท้ายนั่นเอง แค่ดูชื่อของเธอก็ทราบแล้วว่าอยู่ในกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนของเยี่ยหลานกลุ่มนั้นนั่นแหละ เพียงแต่ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่า มีเครื่องดื่มชื่อ “เยี่ยหลาน” (หมอกราตรีแห่งภูผา) ด้วยหรือ ?

เจี๋ยเต๋อที่ยืนดูมหกรรมหอมแก้มโวยวายประท้วงว่า

“ไม่ยุติธรรมนี่ ! พวกเราก็ช่วยออกแรงกันไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ โดยเฉพาะพี่เฟิงนี่เพื่อชีวิตเสือดาวของเธอแล้วยิ่ง…”

ตอนแรกเฉินเฟิงยังแอบยืนหัวเราะคิกคักอยู่ในกลุ่มพวกผู้ชายด้วย แต่พอฟังถึงตรงนี้ก็ชักรู้ตัวว่ากำลังจะถูกแฉเรื่องหน้าแตกของตัวเองซะแล้ว จึงตะลีตะลานห้ามไม่ให้เจี๋ยเต๋อพูดต่อทันที น่าเสียดายที่ถึงจะอุดปากทางนี้ทัน ก็อุดปากทางโน้นไม่ทันอยู่ดี

วันตะวันสดใสในเดือนเจ็ด[1]กับ อาชากาฬเทพแดนประจิม[2] สองสมาชิกสมาพันธ์ที่ติดตามเจี๋ยเต๋อขึ้นมาบนเขาด้วยพากันคลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วช่วยพูดต่อแทนเจี๋ยเต๋อว่า

“พี่เฟิงถึงกับออกปากเรียกว่าเจ๊หลานเชียวนะนั่น ! ไม่ขอบคุณพวกเราน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ไม่ขอบคุณพี่เฟิงเนี่ยไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ !”

ระหว่างที่ทุกคนมัวแต่หยอกล้อเล่นหัวกันอย่างครึกครื้นเฮฮา ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเยี่ยหลานได้ถอนหายใจออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งยังแอบชำเลืองมองเฉินเฟิงอีกต่างหาก

หนานอี๋ได้ยินเข้าก็ชักจะกระดาก คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเฟิงไม่แค่ยังไม่ลืมเรื่องขอร้องอันแสนจะเอาแต่ใจนี้ของเธอเท่านั้น แต่ยังเสียสละตั้งมากขนาดนี้อีกด้วย จึงอดนึกตำหนิตัวเองไม่ได้ ระยะนี้เฉินเฟิงอารมณ์ไม่ค่อยดีแท้ๆ แต่ตัวเธอเองกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ยิ่งกว่านั้นการต่อสู้ในวันนี้ สุดท้ายเธอก็มาช่วยไม่ทันอีกต่างหาก

ตอนที่เยี่ยหลานประกาศสถานการณ์ของเฉินเฟิงให้เหล่าสมาชิกสมาพันธ์ได้รับรู้ เป็นเวลาที่เธอกับเฟิงฉิงกำลังเข้าเวรพอดี หลังจากฟังจบ เธอกับเฟิงฉิงก็คิดจะไปช่วยทันทีเหมือนกัน แต่ผู้เล่นที่มาวานให้ช่วยคุ้มครองและพวกสมาชิกสมาพันธ์ที่กำลังรอให้พวกเธอช่วยกระจายงานให้ต่างก็ไม่อยากและไม่ยอมให้พวกเธอไป แล้วยังจงใจถ่วงพวกเธอไว้อีกต่างหาก แถมพวกนั้นยังพูดเยาะๆ ด้วยว่า

“กว่าพวกเธอจะตามไปถึง การต่อสู้ก็จบไปนานแล้ว อย่าลืมสิว่าที่นี่น่ะมันเมืองเขี้ยวมังกรนะ ต่อให้ใช้วิธีไปถึงกลางทางแล้วต่อด้วยใช้ม้วนคาถากลับบ้านไปตลอดทางก็เถอะ ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยตั้ง 5-6 ชั่วโมงอยู่ดีล่ะน่า !”

ถึงแม้เธอกับเฟิงฉิงจะไม่พอใจ แต่ที่ทุกคนพูดมาก็เป็นความจริง ดังนั้นเธอสองคนจึงได้แต่คอยติดต่อเพื่อนๆ บางคนอย่างร้อนใจ เพื่อดูว่าพอจะช่วยอะไรได้ทันเวลาบ้างหรือเปล่า

ต่อมาการขอความช่วยเหลือครั้งที่ 2 ของเยี่ยหลานนั้น ไม่ทราบคมพิรุณทราบเข้าได้อย่างไร เพราะเธอพุ่งพรวดมาที่ภัตตาคาร คว้ามือสองสาวแล้วลากไปด้วยกันทันทีโดยทิ้งให้ผู้คนกลุ่มใหญ่มองตามปากอ้าตาค้าง

กระทั่งตอนอยู่ในเมือง คมพิรุณยังเห็นว่าใช้เดินเอาช้าเกินไป จึงใช้คาถาท่องลมให้กับตัวเองและเธอสองคนแล้ววิ่งกันอย่างสุดฝีเท้า ในเมืองเขี้ยวมังกรมีใครบ้างไม่รู้จักขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ โดยเฉพาะสมาชิกสาวสวยทั้งสามของขบวน ดังนั้นในตอนที่ทั้งสามพากันวิ่งห้อกันชนิดสุดฝีเท้า พวกผู้เล่นในเมืองต่างก็แตกตื่นกันใหญ่เพราะนึกว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นเสียอีก

ระหว่างที่เร่งเดินทางกัน หนานอี๋อดประหลาดใจไม่ได้ว่า ทำไมหัวหน้าคมพิรุณที่ปกติมักจะใจเย็นอยู่เสมอถึงได้พยายามเร่งจะไปให้ทันทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีทางไปทันกันเล่า ? จนกระทั่งคมพิรุณลากเธอกับเฟิงฉิงไปถึงศูนย์ทำการของเมือง เธอถึงค่อยนึกออกว่ายังมีหนทางไปที่เร็วกว่าทางไหนๆ อยู่ นั่นคือ “กลุ่มขนส่ง” เพียงแต่สำหรับผู้เล่นธรรมดาแล้ว ต่อให้รู้จักที่นี่ก็ตาม คนที่ยอมตัดใจใช้บริการและสามารถใช้บริการได้ ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

เพราะไม่แค่ราคาค่าขนส่งที่แพงหูดับจนแค่ได้ยินก็แทบหัวใจวายเท่านั้น การจะใช้บริการกลุ่มขนส่ง ยังต้องไปคลี่คลายภารกิจเพื่อให้ได้รับคุณสมบัติในการใช้บริการก่อนอีกต่างหาก ถึงแม้ภารกิจสำหรับคุณสมบัติในการใช้บริการกลุ่มขนส่งจะง่ายมากก็ตาม แต่เนื่องจากปกติไม่มีผู้เล่นคนไหนคิดจะมาใช้บริการของกลุ่มขนส่งอยู่แล้ว ผู้เล่นที่ไปคลี่คลายภารกิจก็เลยมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

หากเป็นคนอื่นล่ะก็ เพิ่งจะมาคิดกอดเท้าพระพุทธรูป[3]เอาป่านนี้คงไม่มีทางทันแน่ แต่สำหรับขบวนนักเวทและสัตว์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเที่ยวลองคลี่คลายภารกิจไปทั่วน่ะหรือ คุณสมบัติในการใช้บริการกลุ่มขนส่งน่ะพวกเขาได้มาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนโน่นแล้ว

แต่หนานอี๋ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า “มันคุ้มค่าแล้วหรือ ? มันจำเป็นถึงขนาดนี้เลยหรือ ?”

คำตอบของคมพิรุณคือ “มีอยู่หลายสิ่งที่ไม่สามารถใช้เงินมาวัดค่าได้ ตอนนี้ทั้งสมาพันธ์มีคนที่ยอมไปอยู่แค่ไม่กี่คน พวกเราถึงยิ่งสมควรต้องไป ถ้าไม่ไป พวกเราจะต้องมานั่งนึกเสียใจแน่

หมู่บ้านอิวะไม่มีขบวนขนส่ง ค่าขนส่งไปยังเมืองท่าเซียงห่ายคือคนละ 5,000 เหรียญเงิน และเงินจำนวนนี้ก็ขอเบิกจากกองกลางไม่ได้ด้วย ตลอดทางหนานอี๋ก็ยังคงนึกกังขาอยู่ดี จวบจนได้เห็นของขวัญที่ทุกคนมอบให้เธอ…เสือดาวหิมะที่ถูกมัดเสียแน่นหนาจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้

ไม่มีใครร้องขอให้เธอตอบแทน แน่ละว่าไม่นับข้อเรียกร้องแบบหยอกเล่นของพวกเจี๋ยเต๋อ ไม่มีใครตำหนิที่เธอมาช่วยไม่ทัน มีแต่ซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเธอทั้งสาม เวลานั้นคำพูดของหัวหน้าคมพิรุณได้สะท้อนก้องไปมาอยู่ในใจของเธอ

ความรู้สึกของเฟิงฉิงไม่ต่างไปจากหนานอี๋เท่าไรนัก พวกเธอสองคนเป็นฝาแฝดกัน ความรู้สึกที่สื่อถึงกันได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าพี่น้องธรรมดาทำให้เธอสามารถรับรู้ความรู้สึกของหนานอี๋ได้เหมือนเป็นความรู้สึกของเธอเอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงกุมมือคมพิรุณเงียบๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า

“ขอบคุณค่ะ !”

เยี่ยหลานเห็นหนานอี๋นิ่งคิดอยู่นานจนชักจะใจลอย ก็นึกว่าเธอถูกแซวจนทำอะไรไม่ถูก จึงช่วยพูดกู้สถานการณ์ให้ว่า

“ไหนคนไหนอยากให้ตอบแทนกันคะ ! มังกรคู่ระเบิดอัคคีทำลายของชากุหลาบชอบ ‘ตอบแทน’ เป็นพิเศษเสียด้วย ถ้ามีใครอยากจะให้ตอบแทนล่ะก็ เธอต้องยินดีช่วยแน่ๆ เจ้าค่ะ !”

เฉินเฟิงซึ่งเป็นอีกคนที่โดนแซวได้โอกาสเอาคืนก็ตอนนี้เอง จึงรีบฉวยโอกาสรับลูกขึ้นทันทีระหว่างที่คำพูดของเยี่ยหลานทำให้ทุกคนหวนนึกถึงภาพฤทธิ์เดชอันน่าขนหัวลุกของมังกรคู่ระเบิดอัคคีทำลาย

“ผมน่ะไม่ต้องการให้ตอบแทนอยู่แล้ว แต่เมื่อกี้ผมเพิ่งได้ยินอยู่หยกๆ แฮะว่าเจี๋ยเต๋อ วันตะวันสดใสในเดือนเจ็ด แล้วก็อาชากาฬเทพแดนประจิมสามคนนี้อยากจะให้ ‘ตอบแทน’ มากกกก”

เยี่ยหลานรับมุกของเฉินเฟิงต่อทันที “โอ้...เมื่อกี้ดูเหมือนฉันจะได้ยินเขาสามคนพูดอย่างนี้จริงๆ ด้วยค่ะ เพียงแต่น้องชากุหลาบจะยอมช่วยหรือเปล่านี่สิ ?” จบคำก็หันไปทางชากุหลาบโดยไม่มีใครมองเห็นความอ้างว้างในดวงตาของเธอสักคน

ดูท่าชากุหลาบเองก็คิดอยากจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้หนานอี๋ที่เป็นผู้หญิงด้วยกันอยู่พอดี เมื่อได้ยินที่เยี่ยหลานพูดจึงไม่พูดพล่ามทำเพลง จัดแจงก้มหน้าบริกรรมคาถาเบาๆ ทันที ฉับพลันนั้นเส้นแสงสีแดงพลันผุดวาบ พวกเจี๋ยเต๋อทั้งสามที่เมื่อครู่ยังยืนยิ้มย่องรอดูฉากสนุกๆ รีบชักเท้าโกยอ้าวทันควัน แถมยังร้องตะโกนมาว่า

“พี่เฟิงคร้าบ ! พวกเราอุตส่าห์ช่วยสร้างโอกาสให้พี่เชียวนะ ไหงมาขายกันแบบนี้ล่ะพี่ !”

การที่สามหนุ่มมีอันต้องเผ่นแบบนี้ มันก็มีสาเหตุอยู่...

ตอนที่ยังอยู่บนเทือกเขาไทแทน หลังจากที่การต่อสู้จบลง ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นผู้โชคร้ายที่ต้องกลายเป็นเป้าของมังกรคู่ระเบิดอัคคีทำลายคือเฉินเฟิง สาวๆ สารพัดชาพวกนี้ดูท่าจะชอบใช้เวทมนตร์ระเบิดใส่ชาวบ้านเป็นพิเศษ ตอนที่เฉินเฟิงซึ่งแค่พูดหยอกเล่นโดนลูกแก้วอัคคีที่ชากุหลาบกำนัลให้ พวกผู้ชายถึงได้ทราบว่าเจ้าหล่อนไม่ได้แค่ล้อเล่น แต่ลงมือจริงๆ และแน่ละว่าที่เฉินเฟิงเอาคืนในครั้งนี้ก็เพื่อฉวยโอกาสล้างแค้นที่ตอนอยู่บนเขาไทแทน เจ้าพวกนี้ไม่ยอมช่วยเขานั่นเอง

เสียงหัวเราะพลิ้วหวานดั่งระฆังเงินของพวกสาวๆ เดิมทีควรจะฟังดูเป็นธรรมชาติ แต่ครั้งนี้เฉินเฟิงได้ยินแล้วกลับรู้สึกขนลุกซู่อย่างประหลาด แถมยังต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องหัวเราะแห้งๆ ตามไปด้วยอีกต่างหาก

อยู่ๆ เฉินเฟิงก็นึกถึงตอนที่อวี๋เลี่ยงอี้เพิ่งจะกระหืดกระหอบมาถึงเขาไทแทนและทอดถอนใจว่า นี่ถ้าบอกกันแต่แรกว่ามีสาวๆ ที่แสนจะอ่อนหวานมากมายขนาดนี้อยู่เป็นเพื่อนด้วยล่ะก็ ต่อให้ต้องเสี่ยงตายเขาก็จะตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาให้ได้ !

ไอ้คำ “อ่อนหวาน” ที่ว่านี่มันเอาอะไรมาวัดกันวะ !

หลังจากเผลอใจลอยไปชั่วแล่น เฉินเฟิงก็หันไปดูพวกสาวๆ จึงเห็นว่าพวกเธอเริ่มช่วยกันตั้งชื่อให้เสือดาวหิมะเสียแล้วโดยไม่ได้คิดกังวลเลยว่าจะหาทางปราบมันให้เชื่องยังไงดี ถึงเขาจะอยากออกปากสะกิดเตือน แต่ครั้นเห็นท่าทางแสนจะกระตือรือร้นของพวกเธอ จึงเปลี่ยนใจว่าอย่าหาเหาใส่หัวจะดีกว่า

“ถึงทุกคนจะมอบเสือดาวหิมะตัวนี้ให้ฉันแล้ว แต่ฉันคิดว่าถ้าไม่มีทุกคน ฉันก็คงไม่มีทางได้มันมาแน่ ฉันจะขอยืมคำ ‘หลาน’ (หมอกบนภู) ของพี่เยี่ยหลานกับคำ ‘เฟิง’ ของสมาพันธ์เฟิงเป็น ‘หลานเฟิง’ (สายลมจากหมอกบนภู) ทุกคนว่าดีหรือเปล่าคะ ?” หนานอี๋แสดงออกอย่างชัดเจนว่าที่ตั้งชื่อแบบนี้ก็เพื่อแสดงความขอบคุณทุกคน แต่ชื่อหลานเฟิงก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าและไม่ค่อยน่าเกรงขามเอาเลยจริงๆ

เยี่ยหลานกระดากใจที่จะให้เอาชื่อเธอไปตั้งแค่คนเดียว พวกสาวๆ สารพัดชาก็พากันประท้วงว่าพวกเธอไม่ใช่คนของสมาพันธ์เฟิงเสียหน่อย หลังจากเถียงกันไปเถียงกันมา การประชุม “ตั้งชื่อ” อันแสนสำคัญก็ดำเนินต่อไป เพียงแต่แต่ละชื่อที่ตั้งออกมาดูจะน่าเกรงขามน้อยลงทุกทีๆ สุดท้ายเฉินเฟิงก็แทบเป็นลม เพราะทุกคนพากันตั้งชื่อให้เสือดาวหิมะตัวนี้ว่า “ชานมไข่มุก”

ตอนแรกเฉินเฟิงกะจะออกความเห็นเสียหน่อย แต่พอหันไปเห็นท่าทางกีดกันคนนอกของพวกสาวๆ จึงได้แต่ขยี้จมูกแล้วใช้หลักนิ่งเสียตำลึงทองอย่างรู้สถานการณ์

พอพูดถึงเรื่องชื่อ เฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ถึงข้อความ “มือสังหาร” ที่อู้คงส่งมาให้ ตอนแรกเขานึกไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร มาตอนนี้ค่อยเข้าใจว่าอู้คงหมายถึงชื่อของเสือดาวหิมะตัวที่เป็นสัตว์เลี้ยงของคมพิรุณนั่นเอง

อเล็กซ์ไม่ได้เพิ่งจะเคยสู้กับสัตว์อสูรเก่งๆ เป็นครั้งแรกเสียหน่อย แล้วทำไมถึงเกิดคลั่งขึ้นมาเฉพาะตอนสู้กับเสือดาวหิมะกันเล่า ? เดิมทีเฉินเฟิงเองก็ขบปัญหานี้ไม่แตก แต่มาตอนนี้เมื่อบวกชื่อ “มือสังหาร” เข้าไป เขาก็เหมือนจะจับเบาะแสบางอย่างได้บ้างแล้ว

หรือจะเป็นเพราะตอนมาปีนเขาไทแทนครั้งก่อน อเล็กซ์แข่งแพ้มือสังหาร เสือดาวหิมะที่เป็นสัตว์เลี้ยงของคมพิรุณ แล้วไม่ยินยอมพร้อมใจ ทำให้พอได้พบกับเสือดาวหิมะอีกครั้ง จึงเกิดพฤติกรรมดึงดันจะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ขึ้นมา ?

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอเล็กซ์กับอู้คงไม่แค่มีสติปัญญาเทียมแบบง่ายๆ เท่านั้น แต่ยังก้าวหน้าไปอีกขั้นโดยมีความทรงจำกับอารมณ์ด้วยอย่างนั้นหรือ ? หากเป็นอย่างนี้จริงล่ะก็ ถือเป็นการค้นพบที่โคตรจะสุดยอดเลยเชียวละ !

แต่แล้วเฉินเฟิงก็ล้มล้างข้อสรุปนี้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาเคยเผลอคิดว่าหลายฝูกับซวงเว่ยเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถคิดเองได้มาแล้วหลายครั้ง สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาก็แค่เข้าใจผิดไปเอง และมันก็ทำเอาเขาถึงกับซึมไปพักใหญ่เลยทีเดียว

ประสบการณ์บนเทือกเขาไทแทนครั้งนั้นทำเอาเฉินเฟิงหลงคิดว่าอู้คงกับอเล็กซ์มีนิสัยเฉพาะตัวไปพักใหญ่เหมือนกัน แต่หลังจากนั้นเขาถึงค่อยพบว่า ดูเหมือนนั่นจะเป็นแค่การจงใจออกแบบของระบบให้สัตว์เลี้ยงที่ถูกข่มขวัญให้เชื่องไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งนักต่างหาก รู้สึกว่าจะทำไปแค่เพื่อลดทอนความสามารถของสัตว์เลี้ยงตัวนั้นเท่านั้น

ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมครั้งนี้อเล็กซ์ถึงได้คลั่งกันเล่า ? แล้วข้อความ “มือสังหาร” ของอู้คงล่ะ จะให้อธิบายว่ายังไง ?

เสียงหัวเราะคิกคักหวานใสกระชากเฉินเฟิงกลับคืนสู่ความเป็นจริง และเห็นว่าพวกสาวๆ ต่างก็มองมาทางเขาแล้วหันไปกระซิบกระซาบอะไรกัน ภาพนี้มันช่างคุ้นเคยและห่างเหินเสียเหลือเกิน

ไม่ต้องให้ใครบอก เฉินเฟิงก็ทราบดีว่าพวกเธอกำลังหัวเราะท่าทางใจลอยของเขานั่นแหละ แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเวลาคนเราคิดอะไรเพลินจนเผลอใจลอยนี่มันน่าตลกตรงไหนหว่า ?

เฉินเฟิงกระแอม 2-3 ทีเพื่อหยุดเสียงหัวเราะของพวกเธอ วิธีนี้เขาฝึกมาจากตอนที่อยู่กับเซียวหยาวและวิหารจันทราเทพนั่นล่ะ พอนึกถึงสองคนนั้น เขาได้ยินมาว่าพวกเธอเองก็ตั้งสมาพันธ์ขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเธอเป็นยังไงกันบ้างแล้ว ?

วิธีนี้ได้ผลจริงๆ ครั้นพวกสาวๆ ได้ยินเสียงเฉินเฟิงกระแอม ก็ทราบว่าเขาหายใจลอยแล้ว และพากันหยุดหัวเราะ แต่แล้วก่อนที่เฉินเฟิงจะทันได้พูดอะไร พวกสาวๆ ก็ชิงปิดโอกาสและเป็นฝ่ายลงมือ “ข่ม” เขาก่อนทันที

เฉินเฟิงถูกพวกสาวๆ ใช้ให้ไปตามตัวพวกเจี๋ยเต๋อทั้งสามคนที่เผ่นแนบหายไปกลับมา แถมยังถูกสั่งให้เปิดห้องพิเศษเลี้ยงอาหารพวกเธออีกต่างหาก ตอนแรกเฉินเฟิงกะจะใช้ช่องลับเรียกตัวสามคนนั้นกลับมา แต่พวกสาวๆ ดันไม่อนุญาตเสียนี่ และบอกว่าถ้ามีความจริงใจก็จงไปตามพวกนั้นกลับมาด้วยตัวเองซะ พวกเธอน่ะไม่จำเป็นต้องไปตามพวกนั้น แต่เฉินเฟิงจำเป็นต้องไป แถมต้องไปตามด้วยตัวเองด้วย

ด้วยเหตุผลพิลึกๆ นี้ทำให้เฉินเฟิงจำต้องทิ้งคูปองซื้อล่วงหน้าของภัตตาคารไว้ แล้วไปตามพวกเจี๋ยเต๋อจากทิศที่เห็นพวกนั้นเผ่นหายลับไป แต่โลกในเกมมันไม่เหมือนโลกความจริงเสียหน่อย ยิ่งบ้านนี่ใช่ว่าจะมีกันทุกคนเสียเมื่อไหร่ แล้วเขาจะไปตามหาที่ไหนดีกันล่ะเนี่ย ?

 

คมพิรุณเอาแส้สีฟ้าน้ำทะเลยาว 7 ฟุตออกมายื่นส่งให้หนานอี๋

“นี่เป็นของขวัญที่อะไรก็ได้กับฉันร่วมกันให้เธอ หลังจากที่ได้ร่วมกันวิจัยกับท่านหัวหน้าสมาพันธ์แล้ว พวกเราก็พบว่าทักษะแส้มีความเกี่ยวพันอย่างมากกับสัตว์เลี้ยง ระดับของชานมไข่มุกสูงกว่าเธอเสียอีก ดังนั้นหากเธอใช้เจ้านี่ อาจจะช่วยกำราบให้เชื่องได้ง่ายขึ้นก็ได้นะ !”

หนานอี๋รับแส้มาด้วยความยินดี แล้วพูดเบาๆ

“ขอบคุณค่ะ !”

ถึงแม้ขบวนนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดคนจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน แต่อายุก็ไม่ได้เท่ากันแต่อย่างใด คมพิรุณกับอะไรก็ได้อายุมากกว่าเธอกับเฟิงฉิง 3 ปี ส่วนสามพี่น้องแซ่จวงอายุมากกว่าพวกเธอ 1 ปี ที่เป็นอย่างนี้ก็เนื่องจากโรงเรียนที่พวกเธอเรียนเป็นโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่[4]นั่นเอง

หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ พวกเธอต่างคนต่างก็มีงานของตัวเอง จึงได้แต่ใช้เกมออนไลน์เป็นสื่อในการติดต่อพบปะรักษามิตรภาพความสนิทสนมระหว่างกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา คมพิรุณกับอะไรก็ได้จะคอยดูแลพวกเธอทั้งห้าคนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อนตอนที่ยังเรียนด้วยกัน ตอนที่หางานทำ แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในโลกของเกมออนไลน์

เมื่อคมพิรุณพูดเรื่องแส้ขึ้นมา ทุกคนก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กำราบเสือดาวหิมะให้เชื่องเลย ! แถมผู้เชี่ยวชาญก็ดันโดนใช้ให้ไปตามพวกเจี๋ยเต๋อเมื่อตะกี้นี้เองเสียด้วย พวกสาวๆ จึงพากันเดินไปที่ภัตตาคารพลางเริ่มวางแผนอะไรแผลงๆ กันอีกแล้ว…

เยี่ยหลานทอดฝีเท้าเดินรั้งท้ายตามกลุ่มสาวๆ ไปอย่างเงียบงัน

“ต้องขอขอบคุณอย่างมากนะคะ !” อยู่ๆ คมพิรุณที่จงใจทอดฝีเท้าเดินรั้งท้ายเหมือนกันก็พูดกับเยี่ยหลานเบาๆ และอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นเยี่ยหลานมีสีหน้างุนงง “ถึงหนานอี๋จะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของฉัน แต่เพราะอยู่ด้วยกันมาหลายปี ถึงไม่ใช่น้องสาวก็เหมือนใช่ล่ะค่ะ”

เยี่ยหลานยิ้ม “ก็บอกแล้วไงคะว่านั่นน่ะทุกคนช่วยกันต่างหาก ลำพังแค่ฉันคนเดียวน่ะเหรอ สงสัยกระทั่งเสือดาวหิมะที่นอนพะงาบๆ ฉันก็ยังไม่มีปัญญาสู้มันได้เลยค่ะ ! เอาแต่รับคำขอบคุณจากพวกพี่แบบนี้ ฉันสิยังไม่ได้ขอบคุณพวกพี่เลยที่วันนี้พวกพี่อุตส่าห์รีบมากันจากเมืองเขี้ยวมังกรโน่นเชียวนะ ! ได้ยินว่าใช้บริการกลุ่มขนส่งกันหรือคะ ไม่ทราบว่ามันให้ความรู้สึกยังไงบ้างคะ ? ฉันน่ะอยากจะลองใช้บริการดูมาตั้งนานแล้วล่ะ”

คมพิรุณเองก็ยิ้ม “ยังไงพวกพี่ก็เป็นสมาชิกของสมาพันธ์เฟิงเหมือนกันนะ ! มาพูดขอบคุณพวกพี่แบบนี้มันก็ออกจะแปลกๆ อยู่ ความจริงที่พวกพี่มานี่ก็เพื่อแสดงให้พวกสมาชิกคนอื่นๆ ได้เห็นเท่านั้นเองค่ะว่า ขอแค่พยายามคิด มันก็ต้องมีวิธีจนได้นั่นล่ะ เพราะสุดท้ายพวกพี่ก็มาไม่ทันอยู่ดีจริงไหม ? พูดถึงกลุ่มขนส่ง เธอเคยไปคลี่คลายภารกิจคุณสมบัติในการใช้บริการกลุ่มขนส่งหรือยังจ๊ะ ?”

เยี่ยหลานถอนหายใจ “พูดถึงเรื่องนี้ฉันละอดโมโหไม่ได้ เพราะมีคนสุมหัวกันท้าพนันด้วยนะคะ ! ได้ยินว่าตอนแรกหนานอี๋กับเฟิงฉิงเองก็โดนพวกสมาชิกหลายคนหัวเราะเยาะด้วยเหมือนกัน มิน่าเล่าพี่เฟิงถึงได้โมโหจนไม่พูดไม่จาแบบนั้น”

“ท่านหัวหน้าสมาพันธ์โมโหไม่พูดไม่จาหรือ ?” คมพิรุณถามอย่างสงสัย “มีด้วยหรือ ? พี่ว่าวันนี้เขาออกจะอารมณ์ดีออกนี่ ! อ๋อ…เธอหมายถึงไม่กี่วันก่อนหน้านี้สินะ ?”

เยี่ยหลานพยักหน้า แต่พอนึกถึงอาการเซื่องซึมของเฉินเฟิงกับตัวเธอที่คิดจะไปเปลี่ยนเขาโดยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยแล้ว ก็ไม่ทราบจะพูดต่ออย่างไรดี

“ฉันกำลังคิดจะชมคุณอยู่เชียว แต่กลายเป็นว่าคุณดันพาตัวเองไปหาทางตันเหมือนท่านหัวหน้าสมาพันธ์ไปอีกคนซะแล้ว” คมพิรุณบ่น “ทำไมไม่ลองคิดดูบ้างล่ะว่าวันนี้ที่โลกภายนอกน่ะเป็นเวลาไหน และคนที่กำลังออนไลน์ในตอนนี้น่าจะเป็นใครบ้าง ความกระตือรือร้นของเธอมันถูกทำลายได้ง่ายขนาดนี้เชียวหรือ ?”

เยี่ยหลานค่อยรู้สึกตัวและคิดขึ้นได้ว่า “จริงด้วย ! ตัวเธอเองก็พยายามหาทางทำให้เฉินเฟิงกลับมาร่าเริงอีกครั้งอยู่ไม่ใช่หรือไง ? เพราะในสมาพันธ์ไม่ได้มีแต่พวกที่เห็นแก่ตัวสักหน่อยนี่ ! แล้วนี่ไหงตัวเธอเองดันพลอยหลงทางไปอีกคนได้ล่ะเนี่ย ?”

 

หลังออกมาพ้นจากสายตาของพวกสาวๆ เฉินเฟิงก็กะจะใช้ช่องลับเรียกตัวพวกเจี๋ยเต๋อกลับมาหา แต่ก่อนจะทันได้ลงมือ ก็หันไปเห็นพวกนั้นอยู่ข้างหน้าห่างออกไปไม่ไกลนักเข้าเสียก่อน และที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นคือ คนที่กำลังคุยอยู่กับพวกเจี๋ยเต๋อดันเป็นคนที่เขากำลังคิดอยากเจออยู่เมื่อครู่นี้นั่นเอง

วิหารจันทราเทพมองเห็นเฉินเฟิงแต่ไกลอยู่ก่อนแล้ว จึงร้องทักอย่างดีอกดีใจ

“พี่เฟิง ! ไม่ได้เจอกันนานเชียวค่ะ !”

ถึงแม้ในความเป็นจริงเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่วันเท่านั้นก็ตาม แต่สำหรับในโลกแห่งเกมออนไลน์ที่เวลายาวนานกว่าในโลกความจริงถึง 6 เท่านี้ ก็ถือว่าไม่ได้พบกันนานพอดูแล้วจริงๆ นั่นล่ะ แน่ละว่าเฉินเฟิงเองก็ร้องทักตอบไปอย่างดีอกดีใจเช่นกัน แล้วพลันเหลือบไปเห็นตราบนแขนของวิหารจันทราเทพ ตรานินตัน ดูท่าเธอจะไม่ได้ได้อาชีพนักบวชก่อนเสียแล้ว

เซียวหยาวก็ยังแต่งชุดนินจาที่มีผ้าคลุมหน้าอยู่เหมือนเดิม เธอหันมามองเฉินเฟิงอย่างตกใจที่เห็นเขาพลอยเปลี่ยนมาสวมชุดนินจาด้วยเหมือนกัน บุคคลทั้งสามซึ่งเคยร่วมผจญภัยกันมาได้มาพบกันอีกครั้งด้วยความบังเอิญแบบสุดๆ

“ไหงพอสามคนเจอหน้ากันปุ๊บ ก็สบสายตาสื่อความนัยกันปิ๊งๆ แถมทิ้งพวกเราไปเลยอย่างงี้ล่ะ ?” อาชากาฬเทพแดนประจิมพูดยิ้มๆ

เฉินเฟิงเค้นเสียงว่า “ยังไม่ทันได้คิดบัญชีกับพวกนายเลยด้วยซ้ำ นี่ยังจะมาใส่ไฟกันอีกเรอะ !”

วันตะวันสดใสในเดือนเจ็ดเถียงว่า “พี่เฟิงพูดแบบนี้มันทำร้ายจิตใจกันนา พวกเราอุตส่าห์หวังดีช่วยสร้างโอกาสให้พี่เชียวนะ พวกเราเองอยากจะได้โอกาสแบบนั้นบ้างยังหาไม่ได้เล้ย !”

เฉินเฟิงส่ายหน้าถอนหายใจ “ขอร้องล่ะโว้ย ! ครั้งหน้านี่ไม่ต้องเลย ! อยากได้โอกาสนักใช่มั้ย ? ตอนนี้ล่ะมีแน่ สาวๆ พวกนั้นกำลังนั่งรอพวกนายอยู่ที่ภัตตาคารโน่นแน่ะ”

สามหนุ่มพากันหัวเราะคิกคักพลางเดินจากไปตามนัด ก่อนจะจากไป เจี๋ยเต๋อแอบกระซิบที่ข้างหูของเฉินเฟิงว่า

“พวกเราน่ะรู้กาลเทศะน่าพี่ ฮิฮิ พี่เฟิงนี่ร้ายกาจจริงๆ ไว้วันไหนสักวันพี่ต้องช่วยสอนพวกเราด้วยนะคร้าบ ! เชิญพวกพี่คุยกันตามสบายเลยครับผม พวกผมไปก่อนล่ะนะ จริงสิ พวกเราจะไม่รีบเดินนักหรอก แล้วพวกเราก็จะไม่บอกสาวๆ พวกนั้นด้วย พี่วางใจได้เลย !”

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าในหัวของไอ้เด็กสามตัวนี้มีอะไรอยู่บ้างกันแน่ เฉินเฟิงส่งสามหนุ่มจากไปด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งระอา นอกจากถอนใจแล้ว เขาก็ไม่รู้จะจัดการเจ้าสามตัวนี้ยังไงดีจริงๆ เพราะยิ่งเขาพูดแก้ตัว เจ้าพวกนี้ก็จะยิ่งคิดลึกเข้าไปใหญ่ เขาจึงตัดสินใจเลิกสนสามคนนี้เสียสิ้นเรื่อง

วิหารจันทราเทพพูดว่า “พี่เฟิง สามคนนั้นสนุกดีนะ ! สมาพันธ์ของพี่นี่น่าสนุกดีจัง สมาพันธ์ของหยาวสิมีแต่พวกหน้าบอกบุญไม่รับทั้งนั้น…ฉันงี้อึดอัดจนแทบจะประสาทกินอยู่แล้ว !”

“น่าสนุก ?” เฉินเฟิงนึกเยาะตัวเองในใจ “ไอ้พวกกะล่อนที่วันๆ คิดแต่จะหลีสาวเนี่ยนะน่าสนุก ? ถึงตัวเขาเองจะเคยคิดแบบเดียวกับพวกนั้นเหมือนกันก็เถอะ แต่พอคิดถึงว่าความผูกพันในโลกสมมติอย่างเกมออนไลน์มันเปราะบางมากแค่ไหนแล้ว…หรือว่าเขามันคิดไม่ตกเกินไป ?”

เสียงหัวเราะของสองสาวสะกิดให้เฉินเฟิงนึกขึ้นได้ว่าพวกเธอยังอยู่ตรงหน้าเขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะใจลอยอีกแล้ว ข้อเสียข้อนี้ของเขานี่แก้ไม่ได้ง่ายๆ เลยแฮะ !

“นายนี่ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยนะเฉินเฟิง” เซียวหยาวว่า “เฮ้อ…น่าอิจฉานายจริงๆ หลังจากที่ก่อตั้งสมาพันธ์ ฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองนี่โง่แท้ๆ ดูท่าที่ผ่านมาฉันคงจะยึดติดมากเกินไปจริงๆ”

ไม่เปลี่ยนงั้นหรือ ? เฉินเฟิงเองก็น้ำท่วมปาก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเผลอใจลอยอีกหน เขาจึงรีบห้ามไม่ให้ตัวเองคิดต่อ แล้วตอบว่า

“อิจฉาหรือ ผมมีอะไรคู่ควรให้อิจฉากัน ? พูดถึงสมาพันธ์แล้วนึกได้ ผมยังไม่ได้แสดงความยินดีกับพวกเธอเลย !”

ทันใดนั้นทางด้านหลังได้มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นว่า

“มีอะไรน่าแสดงความยินดีไม่ทราบ ? นี่ถ้ารู้แต่แรกว่าการก่อตั้งสมาพันธ์มันโคตรจะไม่สนุกแบบนี้ล่ะก็ พวกเราคงไม่ก่อตั้งมันขึ้นมาแล้ว”

ระลอกน้ำแห่งสารทม่วง ! นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะมาร่วมวงตั้งสมาพันธ์กับพวกเซียวหยาวด้วย ดูท่านอกจากสมาพันธ์เฟิงแล้ว ระยะนี้การเปลี่ยนแปลงของโลกในเกมจะมีเยอะไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว !

วิหารจันทราเทพแอบส่งข้อความมาให้เฉินเฟิงที่กำลังตกตะลึงว่า “พวกเขาเลิกกันแล้วล่ะ”

พอเห็นข้อความที่ถูกส่งมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เฉินเฟิงก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเข้าใจ เขากำลังจะถามระลอกน้ำฯอยู่พอดีว่าทำไมถึงออกจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์เสียแล้วล่ะ โชคดีที่วิหารจันทราเทพส่งข้อความนี้มาให้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันน่าดู

“ไหนบอกว่าจะไปรับสมาชิกใหม่กันไง ทำไมรอตั้งนานแล้วยังไม่มาเสียทีล่ะ เจอใครเข้าหรือไง ?” เสียงเจือกระแสรำคาญของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น แล้วอีกสองคนที่ปรากฏตัวเป็นรายถัดมาก็ทำเอาเฉินเฟิงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เพราะสองคนนั้นคือโคบุกับเคย์มะที่เคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกับเขามาก่อนนั่นเอง

โคบุพูดโพล่งเจือกระแสท้าทายขึ้นทันควัน

“นึกว่าใครซะอีก…ที่แท้ก็ท่านหัวหน้าสมาพันธ์เฟิงที่กำลังดังกระฉูดที่สุดในตอนนี้น่ะเอง ! บังเอิญจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหัวหน้าสมาพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่จะมีเวลาว่างแวะมาที่นี่ได้ !”

วิหารจันทราเทพทำท่าไม่ค่อยพอใจ และสะกิดเซียวหยาวกับระลอกน้ำฯเป็นความหมายให้สองคนพาพวกโคบุล่วงหน้ากันไปก่อน ส่วนตัวเธอจะอยู่คุยอีกสักพักค่อยตามไป

ความจริงเซียวหยาวกับระลอกน้ำฯเองก็อยากจะอยู่คุยกับเฉินเฟิงต่ออีกสักพักเหมือนกัน แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้ารำคาญสุดทนของโคบุเข้า ก็จำต้องจากไปอย่างไม่เต็มใจ



[1] วันตะวันสดใสในเดือนเจ็ด (ชี เยฺว่ เยี่ยน หยาง เทียน)

[2] อาชากาฬเทพแดนประจิม (ซี อฺวี้ เฮย เสิน จฺวี) แดนประจิม (ซี อฺวี้) ในที่นี้หมายถึงดินแดนตั้งแต่มณฑลซินเจียงไปจนถึงตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของม้าสายพันธุ์ดี

[3] กอดเท้าพระพุทธรูป (เป้า ฝอ เจี่ยว : Bao fo jiao) เป็นภาษิตจีน มาจากวลีเต็มๆ ว่า “ปกติไม่เคยจุดธูปไหว้พระ พอเดือดร้อนละมากอดเท้าพระพุทธรูป” (ผิง สือ ปู้ ซาว เซียง, จี๋ หลาย เป้า ฝอ เจี่ยว : Ping shi bu shao xiang, ji lai bao fo jiao) เดิมทีหมายถึงคนที่ปกติไม่เคยติดต่อหากันเลย แต่พอเดือดร้อนขึ้นมาก็วิ่งโร่ไปขอร้องให้ช่วยทันที ปัจจุบันหมายถึงคนที่ปกติไม่เคยคิดจะเตรียมตัวให้พร้อม พอึงเวลาจวนเจียนแล้วเพิ่งจะมาหาทางรับมือ หรือก็คือ “เพิ่งจะมาอ่านหนังสือเอาหน้าห้องสอบ” ประมาณนี้นั่นเอง

[4] โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ เป็นโรงเรียนนอกหลักสูตรสำหรับสอนผู้ที่ต้องการเรียนเอาวุฒิสาขาใดเพิ่มเติมทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ไม่จำกัดอายุสูงสุดของผู้เรียน ดังนั้นในชั้นเรียนอาจมีตั้งแต่นักเรียนที่อายุ 18 ปีไปจนถึงอายุ 60 ปี

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:59

0 ความคิดเห็น