โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:00
ตอนที่ 7
อาคันตุกะ
เฉินเฟิงรอจนคนทั้งสี่เดินจากไปไกลแล้วค่อยพูดว่า
“เพื่อนร่วมชั้นได้มารวมพลกัน…ดูๆ แล้วก็ไม่เลวเลยนี่ ! เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่า…ไหงเธอถึงได้เป็นนินจาเหมือนกันล่ะ ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนร่วมชั้นมารวมพลกันล่ะก็ ฉันก็คงไม่เลือกอาชีพนินจาหรอก” วิหารจันทราเทพว่า “แต่เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับเธอด้วยเหมือนกัน…”
เฉินเฟิงทำหน้าเหลอ “เกี่ยวกับผม ? ถึงผมจะได้อาชีพนินจาเหมือนกันก็เถอะ แต่พี่เบิ้มของอาชีพนินจาน่ะมันสมาคมนินจาไม่ใช่หรือ ?”
“เกี่ยวกับเธอแน่นอนอยู่แล้ว ก่อนอื่นพอสมาพันธ์เฟิงก่อตั้งขึ้นปุ๊บ เนื่องจากเธอใช้วิธีเดียวกับอดีตสมาคมอัศวิน คือสมาชิกมีสิทธิ์รู้ความลับในการได้อาชีพโดยไม่จำเป็นต้องสะสมความดีความชอบ จุดนี้แหละที่มันไปทำลายกฎระเบียบของสมาคมหลายสมาคมเข้า โดยเฉพาะสมาคมนินจากับสมาคมนายพรานที่นายได้อาชีพมาแล้วนี่ยิ่งถูกกระทบกระเทือนหนักที่สุดทันทีเลยละ”
เฉินเฟิงพยักหน้ารับโดยไม่ปฏิเสธ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาคาดเดาได้ตั้งแต่ก่อนจะตั้งสมาพันธ์เฟิงแล้ว อันที่จริงควรจะบอกว่า ต่อให้ไม่มีเขาโผล่มา เรื่องแบบนี้มันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดีจะถูกต้องกว่า เพราะคนที่อยากจะล้มล้างเรื่องที่พวกสมาคมผูกขาดกุมความลับในการได้อาชีพมันมีแค่เขาคนเดียวเสียเมื่อไหร่เล่า
วิหารจันทราเทพพูดต่ออย่างกระตือรือร้น
“เพราะปัญหาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ ทำให้สองสมาคมนี้ต้องเผชิญหน้ากับการถูกบีบให้ต้องปรับโครงสร้างกันใหม่ พอได้ยินข่าวนี้ ผู้เล่นทุกคนต่างก็ตื่นเต้นยินดีด้วยกันทั้งนั้น ตอนนั้นฉันเองก็ดีใจมากเหมือนกัน ส่วนสมาพันธ์เฟิงเองก็มีสมาชิกถึงเกือบ 100 คนในเวลาแค่สั้นๆ เท่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เธอหยุดรับคนทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของสองสมาคมนี้ไปแล้ว”
เฉินเฟิงทำท่าจะอธิบายว่าทำไมเขาถึงหยุดรับคน แต่วิหารจันทราเทพห้ามเขาไว้ แล้วพูดต่อว่า
“ต่อจากนั้นสมาพันธ์เฟิงก็ประกาศข่าวว่า ‘เกมราชาแห่งราชันไม่ได้จำกัดว่าจะมีอาชีพได้กี่อาชีพ’ ซึ่งหนนี้สมาคมที่ได้รับผลกระทบไม่ได้มีแค่สมาคมนินจากับสมาคมนายพรานสองสมาคมเสียแล้ว สมาคมนินจาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเริ่มดำเนินการเคลื่อนไหวทันที หัวหน้าสมาคมได้ผนวกสมาคมนินจาเข้ากับสมาคมนายพรานก่อตั้งเป็นกลุ่มสมาคมใหม่ในเวลาสั้นที่สุดโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสมาชิก ส่วนสมาคมอื่นๆ เองก็เริ่มผนวกเข้าหากันเพื่อความอยู่รอด ในตอนนี้แหละที่หยาวหันมารับพวกสมาชิกที่ยังไม่ได้อาชีพซึ่งถูกทางสมาคมทอดทิ้งเข้าเป็นสมาชิกสมาพันธ์ ตอนแรกฉันบอกให้หยาวไปหาเธอเหมือนกัน แต่สุดท้ายหยาวก็ยืนกรานจะรับผิดชอบในสิ่งที่อดีตสมาคมนินจาควรจะรับผิดชอบ”
เฉินเฟิงเหงื่อตก พูดเสียงเบา “เซียวหยาวไม่ได้โทษผมหรอกหรือ ?”
วิหารจันทราเทพส่ายหน้า “ไม่ได้โทษหรอกค่ะ หยาวรู้สึกเสียใจกับความคิดที่ผ่านๆ มาของตัวเธอเองเสียด้วยซ้ำ และเพราะอย่างนี้แหละฉันถึงได้ตัดสินใจช่วยหยาวจนสุดกำลัง”
ความคลั่งไคล้สมาคมแบบสุดๆ ของเซียวหยาวเคยประทับอยู่ในใจของเฉินเฟิงอย่างลึกซึ้ง จะบอกว่าเขาเป็นคนทำให้เธอมีอันต้องเข้าไปรับผิดชอบในสิ่งที่สมาคมนินจาเดิมควรจะรับผิดชอบทางอ้อมก็ว่าได้ ทว่าเมื่อกี้เธอไม่เพียงแต่ไม่ได้โกรธเขาเท่านั้น แต่ยังแสดงท่าทีเห็นด้วยกับการกระทำของเขาอีกต่างหาก แถมเธอยังนับเขาเป็นเพื่อนของเธออีกด้วย ซึ่งจุดนี้ทำให้เฉินเฟิงเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเซียวหยาวไปโดยสิ้นเชิง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินเฟิงค่อยพูดว่า “แต่ทำไมเรื่องที่เธอเลือกอาชีพนินจาถึงมาเกี่ยวกับผมได้ล่ะ ?”
วิหารจันทราเทพฝืนยิ้ม “ก็เพราะข่าว ‘เกมราชาแห่งราชันไม่ได้จำกัดว่าจะมีอาชีพได้กี่อาชีพ’ นั่นล่ะ ถ้าเธอไม่ประกาศข่าวนี้ออกมา พวกนั้นก็คงไม่กล้าขอร้องฉันในเรื่องนี้หรอก !”
เฉินเฟิงตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าข่าวนี้จะส่งผลกระทบทางอ้อมทำให้วิหารจันทราเทพถูกบีบให้จำต้องเลือกอาชีพนินจาเป็นอาชีพแรก นั่นคือเขาดันไปเพิ่มผู้เคราะห์ร้ายที่จำต้องเสียสละตัวเองเพื่อกลุ่มสมาคมอีกคนเข้าให้เสียแล้วโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ครั้นเห็นสีหน้าปั้นยากของเฉินเฟิง วิหารจันทราเทพก็อดใจอ่อนไม่ได้
“ยังไงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือฉันเป็นฝ่ายยินยอมเองล่ะนะ…เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ แต่ละวันนี่มีแต่เรื่องของสมาพันธ์ให้จัดการเป็นกองพะเนินจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว อุตส่าห์บังเอิญได้มาเจอเธอทั้งที เราอย่าไปคุยเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้เลย…”
เฉินเฟิงเองก็ฝืนยิ้มจืดเจื่อนพลางตอบว่า “ก็ได้…อย่าไปพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย…” แต่ก็ไม่ทราบจะพูดอะไรต่อดีเหมือนกัน
ทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบกันไปครู่ใหญ่ แล้วเฉินเฟิงก็นึกถึงความฝันของวิหารจันทราเทพขึ้นมาได้ จึงพูดทำลายความเงียบขึ้นว่า
“จริงสิ ตอนนี้เธอมีข้อมูลเกี่ยวกับการได้อาชีพนักบวชแล้วหรือยัง ?”
วิหารจันทราเทพตาเป็นประกายทันที ถามอย่างกระตือรือร้น
“เธอมีเหรอ ? ได้ยินว่าพอตึกแนะนำอาชีพเปิดตัวแล้ว เงื่อนไขในการได้อาชีพจะถูกแก้ไขให้โหดกว่าเดิม ฉันน่ะกำลังจะตัดใจแล้วด้วยซ้ำ”
แบบนี้สิถึงจะดูสมกับเป็นวิหารจันทราเทพผู้แสนจะร่าเริงน่ารักขึ้นมาหน่อย เฉินเฟิงไม่พูดพล่ามทำเพลง จัดแจงลอกข้อมูลในการได้อาชีพนักบวชให้วิหารจันทราเทพ 1 ชุดทันที
แต่ทว่าตอนที่ยื่นส่งให้ถึงมือ วิหารจันทราเทพกลับแสดงท่าทีลังเลไม่กล้ารับไว้
หลังจากนิ่งเรียบเรียงคำพูดอยู่พักใหญ่ วิหารจันทราเทพค่อยถามว่า
“พี่เฟิง ข้อมูลนี้…เธอเป็นคนค้นพบเองหรือเปล่า ? หรือว่า…หรือว่าเป็นข้อมูลของสมาพันธ์ ? ถ้าเป็นข้อมูลของสมาพันธ์ละก็…อย่าเอามาให้ฉันจะดีกว่าค่ะ”
เฉินเฟิงรู้สึกหมดกำลังใจทันที ทั้งที่ไม่คิดจะพูดเรื่องสมาพันธ์แท้ๆ ไปๆ มาๆ ดันโยงเข้าเรื่องสมาพันธ์จนได้สิน่า !
อาชีพนักบวชก็ดันไม่ใช่ผลงานการค้นคว้าของเขาจริงๆ เสียด้วย แต่เป็นข้อมูลที่ขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์มอบให้แก่สมาพันธ์ ถึงแม้พวกนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดจะบอกว่าให้เฉินเฟิงเป็นคนตัดสินใจเอาเองว่าจะใช้ข้อมูลพวกนี้อย่างไร ส่วนพวกเขาจะไม่คัดค้านใดๆ ทั้งสิ้นก็เถอะ
ถึงยังไงผู้ที่ขบวนนักเวทและสัตว์มอบข้อมูลพวกนี้ให้ก็คือสมาพันธ์เฟิง ถ้าเขาบอกข้อมูลเหล่านี้แก่บุคคลนอกสมาพันธ์ แถมบุคคลนอกสมาพันธ์นั้นยังเป็นเพื่อนที่เขาคบหาเป็นการส่วนตัวเสียด้วยล่ะก็…เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินเฟิงเองก็อดลังเลไม่ได้
กระดาษข้อมูลยังคงอยู่ในมือของเฉินเฟิงเหมือนเดิม แล้วทั้งสองต่างก็จมดิ่งอยู่กับความเงียบงันอีกครั้ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ วิหารจันทราเทพก็ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาพลางปลอบใจว่า
“พี่เฟิง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงยังไงก็แค่ช้าไปอีกหน่อยเท่านั้นเอง…อย่าว่าแต่ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ! ฉันพบว่าเล่นอาชีพนินจานี่ก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ ฉันใช้ค่าประสบการณ์สะสมทุ่มให้คาถาพรางกายทั้งหมด แล้วเวลาใช้คาถาพรางกายกลางฝูงชนเนี่ย จะแอบเห็นเรื่องสนุกๆ เยอะแยะเลยเชียวล่ะ !”
แล้ววิหารจันทราเทพก็เล่าเรื่องสนุกๆ ที่ตัวเองได้พบเห็นมาอย่างกระตือรือร้น ส่วนเฉินเฟิงที่ฟังบ้างไม่ฟังบ้างก็ทำเป็นอือออไปตามเรื่อง ความใจดีที่พยายามจะช่วยทำให้เขาสบายใจขึ้นของวิหารจันทราเทพกลับทำให้เฉินเฟิงยิ่งทุกข์ใจหนักขึ้นทุกที…
เวลาผ่านไปจนกระทั่งโคบุส่งข้อความมาเร่งวิหารจันทราเทพทางช่องลับ ส่วนในช่องลับของเฉินเฟิงเองก็มีข้อความจากเจี๋ยเต๋อทักเข้ามาเช่นกัน จากนั้นทั้งสองต่างก็ยกมือซ้ายขึ้นกุมนาฬิกาข้อมือของระบบที่สวมอยู่บนข้อมือขวาพร้อมกัน แล้วกดปิดสวิตช์การใช้งานโดยพร้อมเพรียงเหมือนร่วมซ้อมกันมาแล้วล่วงหน้าเป็นพันๆ ครั้ง เหมือนส่องกระจกแล้วเคลื่อนไหวอย่างไรอย่างนั้น ทุกความเคลื่อนไหวเหมือนและพร้อมกันแทบจะเป๊ะๆ สุดท้ายต่างก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน หลังจากสบตากันแล้วก็พากันเอามือกุมท้องหัวเราะลั่น
หลังจากเสียงหัวเราะหยุดลงแล้ว วิหารจันทราเทพก็โพล่งขึ้นว่า
“พี่เฟิง ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอกันวันนี้ แต่เธอลืมไปแล้วมั้งว่ายังมีคนรอเธออยู่น่ะ ?”
เฉินเฟิงค่อยนึกขึ้นได้ว่าที่ภัตตาคารยังมีแก๊งสาวโหดรออยู่ เจี๋ยเต๋อกับพวกสมาชิกสมาพันธ์ยังพอทำเนา แต่พวกสาวสารพัดชานั่นยังไงก็ถือว่าเป็นแขกอยู่ดี
วิหารจันทราเทพเห็นสีหน้ายิ้มค้างของเฉินเฟิงก็ยิ้มพลางพูดว่า
“พี่เฟิงมีแขกก็ไปก่อนเถอะค่ะ แต่ว่างๆ อย่าลืมเปิดช่องลับเอาไว้ด้วยล่ะ ระยะนี้ฉันหาตัวเธอไม่ค่อยจะเจอเอาเลย”
เฉินเฟิงพูดอย่างกระอักกระอ่วน “แล้วเธอล่ะ ? ไม่อยากจะไปรับสมาชิกใหม่ไม่ใช่เหรอ ? งั้นไปกับผมก็ได้นี่…”
“ไว้วันหลังแล้วกันค่ะ ! ถึงไม่อยากไปก็ต้องไปอยู่ดี ไม่อย่างนั้นหยาวจะคิดมากอีก ช่วงนี้หยาวยิ่งรู้สึกไม่ค่อยจะมั่นคงอยู่ ฉันต้องไปอยู่เป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ”
เฉินเฟิงเพิ่งจะก้าวเข้าไปในภัตตาคาร ก็ถูกเจี๋ยเต๋อลากเข้าไปหาทันที
เจี๋ยเต๋อพูดด้วยสีหน้ามีเลศนัยว่า “ลูกพี่ พวกเราเองก็ไม่อยากจะรบกวนช่วงเวลาอันแสนสุขของลูกพี่หรอกนะ แต่อีกฝั่งนึงเค้าข้ามหัวพี่มาหาพวกเราตรงๆ กันแล้วนี่สิ แต่พี่วางใจได้ เมื่อกี้ผู้น้องบอกไปแล้วว่าพี่กำลังรีบตามมา…แต่มันตั้งเกือบจะ 20 นาทีเข้าไปแล้ว หมู่บ้านอิวะมันก็มีอยู่แค่นี้ ต่อให้เดินจากสุดมุมหนึ่งไปอีกสุดมุมหนึ่งก็ยังใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีเลย แล้วตอนนี้จะทำยังไงกันดีล่ะพี่ ?”
เฉินเฟิงตกใจ “20 นาที นานขนาดนี้เชียวเรอะ ?”
อาชากาฬเทพฯโพล่งขึ้นจากด้านหลังว่า
“ลูกพี่…20 นาทีน่ะเริ่มนับจากตอนที่พวกเราตอบกลับไปหรอกนะ พี่น่ะอยู่ที่นั่นมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้ว”
พอได้ยินเข้าเฉินเฟิงก็แทบเป็นลม “ก็บอกแล้วไงว่าให้พวกนายล่วงหน้ากันไปก่อน ! แล้วจะมาอยู่รอฉันทำซากอะไรวะ ?! หนนี้ฉันจะโดนฆ่าตายก็เพราะพวกนายนั่นแหละ !”
สามหนุ่มผู้น่าสงสารต่างก็งุนงงกันถ้วนหน้า ทำไมพวกเขาสามคนอยู่รอข้างนอกจนเซ็งแล้วเซ็งอีกมาตั้งเกือบชั่วโมงถึงทำให้เฉินเฟิงจะโดนฆ่าตายได้ล่ะ ?
“ลูกพี่ หรือที่พวกเราอุตส่าห์รอพี่ก็ผิดด้วย ?” เจี๋ยเต๋อหน้ามุ่ย
เฉินเฟิงดูท่าทางไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของสามหนุ่มแล้วโพล่งอย่างมีโมโห
“ก็ผิดน่ะสิโว้ย ! ถ้าพวกนายไปถึงก่อนแล้วไปบอกว่าฉันเจอเพื่อนเข้า เลยขออยู่คุยสักครู่ อาจจะกลับมาช้าหน่อย แบบนั้นตอนฉันกลับมาอย่างมากก็แค่โดนจิกนิดหน่อยเท่านั้น ตอนนี้พวกนายดันมาอยู่รอฉันเฉยๆ มันก็กลายเป็นว่าปล่อยให้พวกนั้นนั่งรอพวกเราอยู่ตั้งชั่วโมงเต็มๆ พวกนั้นไม่โมโหแทบบ้าสิแปลก ! เดี๋ยวพวกนายรับผิดชอบแก้ตัวเอาเองแล้วกัน ฉันไม่สนด้วยแล้ว !”
พอเจี๋ยเต๋อได้ยินเข้าก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาอุตส่าห์ช่วยเพราะหวังดีแท้ๆ แต่ดันไปทำเสียเรื่องซะได้ แถมสุดท้ายพวกเขายังต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบอีกต่างหาก พอนึกถึงความร้ายกาจของสาวๆ พวกนั้นแล้ว เขาก็ร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนเฉินเฟิงว่า
“ลูกพี่…ลูกพี่ก็รู้ว่าพวกเราน่ะเข้าหน้าพวกสาวๆ เป็นซะที่ไหนกันเล่า ลูกพี่ต้องช่วยพวกเรานะ !”
เฉินเฟิงแดกดันทันที “เอ…ฉันจำได้ว่าเมื่อกี้พวกนายเพิ่งจะขอให้ฉันช่วยหาโอกาสให้อยู่หยกๆ นา…เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่ช่วยอีกหรอก ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้วไง แถมท่าทางจะได้สนิทสนมกันอย่างเร่าร้อนเสียด้วย แล้วไหงพวกนายแต่ละตัวถึงทำท่ายังกับถูกผีหลอกอย่างนี้ล่ะวะ ?”
หลังจากถามหมายเลขห้องเรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงแทบจะต้องใช้วิธีลากเอา ถึงจะอัญเชิญสามหนุ่มเข้าไปในห้องนั้นได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกสาวๆ กลับไม่ได้มีปฏิกิริยาแบบที่คาดเอาไว้แต่อย่างใด
พวกสาวๆ ที่รอแล้วรออีกจนชักหงุดหงิดเห็นสี่หนุ่มเดินผ่านประตูเข้ามา ก็แค่ชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วรับประทานอาหารพลางคุยกันไปพลางต่อ ทำเป็นไม่สนใจเหมือนเห็นสี่หนุ่มเป็นมนุษย์ล่องหนอย่างไรอย่างนั้น
เจี๋ยเต๋อทำท่าจะพูดแก้ตัว แต่ฯเดือนเจ็ดรีบห้ามเขาไว้ แถมยังลากอาชากาฬเทพฯเข้าไปซุบซิบอะไรกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นทั้งสามก็พากันเดินตามหลังเฉินเฟิงโดยไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น ดูท่าคิดจะแข่งความอดทนกับเฉินเฟิงเห็นๆ
เฉินเฟิงคิดไม่ถึงเลยว่าไอ้จอมกะล่อนทั้งสามตัวจะเกิดฉลาดขึ้นมากะทันหันแบบนี้ ตัวเขาที่เป็นเหมือนคนใบ้อมบอระเพ็ดได้แต่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก สามคนนั้นยังพอจะไม่ต้องพูดอะไรได้ แต่เขาสิไม่ได้โชคดีแบบนั้นแน่ เพราะพวกสาวๆ สั่งให้เขาเป็นคนไปตามสามคนนั้นกลับมานี่
อยู่ๆ เฉินเฟิงก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ถึงจะทราบดีว่าสาวๆ พวกนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายก็ตาม แต่อาจเป็นเพราะการที่ได้คุยกับวิหารจันทราเทพเมื่อครู่ทำให้เขาไม่มีอารมณ์จะเล่นด้วยกับพวกเธอเสียแล้ว
เฉินเฟิงกระแอม แล้วพูดว่า “ต้องขออภัยอย่างยิ่งครับที่ทำให้ทุกคนต้องรอนานขนาดนี้ พอดีเมื่อครู่ผมไปเจอเพื่อนเข้า ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ”
เฉินเฟิงกล่าวคำขอโทษออกมาอย่างเปิดเผยไปแล้ว พวกสาวๆ จะทำแกล้งโง่ต่อไปก็กระไรอยู่ จึงพากันหยุดคุยและหยุดรับประทานอาหาร
เฉินเฟิงพึมพำต่อทันทีโดยไม่รอดูปฏิกิริยาจากเหล่าสาวๆ
“วันนี้โชคดีที่ได้พวกคุณช่วยไว้ เรื่องถึงได้ไม่ลุกลามร้ายแรงไปกว่านี้ วันหลังหากมีเรื่องอะไรต้องการให้ผมช่วยล่ะก็ ขอให้บอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ หรือจะบอกกับเยี่ยหลานก็ได้ครับ หากต้อนรับขาดตกบกพร่องยังไง ก็ต้องขออภัยด้วยครับ วันนี้ผมเหนื่อยแล้วจริงๆ คงต้องขอตัวไปก่อน เชิญทุกคนทานกันต่อตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
สาวๆ ทั้ง 9 คนกับหนุ่มๆ อีก 3 คนต่างมองประตูที่เฉินเฟิงเดินลับหายออกไปตาค้าง แล้วหันมามองกันเองอย่างงุนงง หรือจะล้อเล่นแรงเกินไปซะแล้วล่ะเนี่ย ?
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยหลานค่อยวิ่งตามออกไป พวกสาวๆ ที่เหลือเองก็เริ่มถามไถ่กันว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วสุดท้ายสามหนุ่มผู้มีความคิดพิสดารก็หนีไม่พ้นชะตากรรมของการถูกสอบปากคำอยู่ดี เจี๋ยเต๋อถึงกับลอบทอดถอนชมเชยในใจว่าไม้นี้ของเฉินเฟิงนี่เหนือเมฆจริงๆ !
เพราะถูกคมพิรุณช่วยสะกิด เยี่ยหลานถึงค่อยนึกได้ว่าต้องวิ่งตามออกมาดู แต่เฉินเฟิงดันหายตัวไปเสียแล้ว แถมยังปิดช่องสื่อสารทั้งหมดอีกต่างหาก ถึงจะเดาได้ว่าเขาน่าจะกลับไปที่บ้านของตัวเองก็เถอะ แต่หากไม่มีบัตรอาคันตุกะที่เขาให้ไว้ หรือเป็นคนในครอบครัวของเขา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจะไปรบกวนเขาได้อยู่ดี
“อยากจะลองไปเยี่ยมชมบ้านของเขาดูไหมจ๊ะ ?” เสียงของคมพิรุณดังขึ้นขัดจังหวะความคิดสิ้นหวังของเยี่ยหลาน และทำเอาเยี่ยหลานสะดุ้งโหยง ดูท่าเธอจะติดโรคชอบใจลอยของเฉินเฟิงเข้าให้เสียแล้ว
มือคมพิรุณโบกบัตร 2 ใบไปมา แล้วพูดยิ้มๆ
“เขาให้บัตรอาคันตุกะรองหัวหน้าสมาพันธ์กับหัวหน้าตึกทุกคนมาคนละใบ โอ๊ะ…ไม่ใช่สิ คุณเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศไม่ได้รับ เพราะทุกคนรู้ดีว่าเขาหนวกหูเกินไป ก็เลยลงมติเอกฉันท์ริบเอาไว้ซะ และใบที่ถูกริบนั่นก็อยู่ในมือพี่พอดี”
เยี่ยหลานทำหน้าดีใจทันที แต่ก็เปลี่ยนเป็นหน้าจ๋อยอย่างรวดเร็ว
“แต่ว่า…ที่เขาหนีไปซ่อนตัวก็เพราะพวกเราล้อเล่นกันแรงเกินไปนี่คะ พวกเราไปหาเขาตอนนี้มันจะดีหรือคะ ?”
คมพิรุณชักจะมีโมโห “เธอนี่ไม่ได้แค่เลียนแบบนิสัยใจลอยของตานั่น แต่ยังดันไปเลียนแบบนิสัยอื่นมาด้วยหรือเนี่ย จริงๆ เล้ย…ไม่มีปากเสียงไม่มีทางลงเอย จะมามัวห่วงนู่นห่วงนี่ไปทำไมกัน แบบนี้ดูไม่สมกับเป็นเธอเลยสักนิด !”
หลังจากรับบัตรอาคันตุกะที่คมพิรุณยื่นให้แล้ว เยี่ยหลานก็พูดงอนๆ ว่า
“ขนาดพี่ฝนยังพลอยแซวฉันไปด้วย เขาไม่ได้คิดกับฉันแบบนั้นเสียหน่อย ไม่เห็นหรือว่าขนาดบัตรอาคันตุกะ เขาก็ยังไม่ให้ฉันเลย…”
คมพิรุณยิ้ม “เขาไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้นงั้นหรือ ? งั้นก็แปลว่าเขาไม่ได้คิด แต่เธอคิดสินะ…แหม บอกกันแต่แรกก็สิ้นเรื่อง จะให้พี่ฝนช่วยด้วยไหมล่ะ ?”
เยี่ยหลานเคืองจนกระทืบเท้าเร่าๆ “พี่ฝนนี่ ! ฉันโกรธพี่แล้วนะ !”
คนพิรุณแกล้งพูดเสียงจริงจัง “ว้าย ! ถูกโกรธซะแล้ว…งั้นพี่ไปก่อนดีกว่า” จบคำก็แกล้งทำท่าจะเดินจากไป เยี่ยหลานรีบดึงคมพิรุณกลับมาทันควัน เพราะขืนคมพิรุณไปจริงๆ ล่ะก็ เธอมีหวังไม่รู้จะทำยังไงดีแน่
คมพิรุณหัวเราะพลางคว้ามือเยี่ยหลานมาจูง
“เอาน่าๆ ไม่แกล้งล้อเธอแล้ว อย่าลืมนะว่าบ้านน่ะใช้ออฟไลน์ได้ด้วย ! ขืนไปช้าล่ะก็ มีหวังคว้าได้แต่เงาแน่”
“ก๊อก ! ก๊อก !”
เสียงเคาะประตูดังมา เฉินเฟิงนิ่งฟังจนมันดังขึ้นเป็นรอบที่ 3 ถึงค่อยแน่ใจว่านั่นเป็นเสียงเคาะประตู และทำให้นึกขึ้นได้ว่าบ้านสามารถจะมีแขกมาเยือนได้
เมื่อเห็นคมพิรุณ เฉินเฟิงแค่ตกใจ แต่พอเห็นเยี่ยหลานก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
เขาคิดว่าแขกคนแรกของบ้านหลังนี้จะเป็นอวี๋เลี่ยงอี้ไอ้เพื่อนซี้ของเขาเสียอีก ก็ถ้าไม่เพราะหมอนั่นโวยวายอยากจะมาชมบ้านของเขาล่ะก็ เฉินเฟิงไม่มีทางยอมไปทำบัตรอาคันตุกะอะไรนั่นเด็ดขาด ราคาใบละตั้ง 3,000 เหรียญเงิน แถมยังใช้ได้แค่ 3 ครั้งเท่านั้น ที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าคือเจ้าของบ้านต้องเป็นคนออกเงินเองอีกต่างหาก ทำเอาเขาปวดใจสิ้นดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
อวี๋เลี่ยงอี้ซึ่งวิ่งรอกติดต่อธุรกิจอยู่ที่โลกภายนอกนั้นแตกต่างกับเฉินเฟิง เฉินเฟิงมักจะไม่สนใจอ่านข้อมูลที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ แล้วพอจำเป็นต้องใช้ขึ้นมาก็ไปกอดเท้าพระพุทธรูปเอาทุกที ขณะที่อวี๋เลี่ยงอี้ตรวจสอบจนรู้เรื่องประสิทธิภาพและราคาของบัตรอาคันตุกะเป็นอย่างดีล่วงหน้ามาก่อนแล้ว แถมยังช่วยทำบัตรอาคันตุกะให้บรรดาบุคคลสำคัญในสมาพันธ์คนละใบอีกต่างหาก โชคดีที่สุดท้ายมติประชุมตกลงให้ใช้เงินของสมาพันธ์ช่วยออกให้ครึ่งหนึ่ง ไม่งั้นเขาจะโกรธหมอนั่นจริงๆ ด้วย
พอคิดถึงอวี๋เลี่ยงอี้ เฉินเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที และชักจะนึกเสียใจที่ดันลากอีกฝ่ายเข้ามาในเกม “ราชาแห่งราชัน” หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องยิ่งกว่าก็คือ นึกเสียใจที่ลากอีกฝ่ายมาช่วยบริหารสมาพันธ์เฟิง
คนที่ถนัดด้านการเจรจาธุรกิจอย่างอวี๋เลี่ยงอี้เห็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์มาจนชินชา นับแต่สมาพันธ์เฟิงถูกก่อตั้งขึ้นเป็นต้นมา ขอเพียงเกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัว แค่มีอวี๋เลี่ยงอี้อยู่ปัญหาก็จะคลี่คลายได้อย่างราบรื่นลงตัวทุกครั้ง การที่ตอนนี้สมาชิกในสมาพันธ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมัครสมาน กล่าวได้ว่าเป็นเพราะความสามารถด้านวาทศิลป์อันเป็นเลิศของอวี๋เลี่ยงอี้ทั้งสิ้น
บุคคลระดับเสนาธิการชั้นเลิศแบบนี้ คนอื่นทุ่มเงินเป็นพันเป็นหมื่นเหรียญทองยังหามาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เฉินเฟิงกลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างมาก
ถ้าไม่มีอวี๋เลี่ยงอี้ พวกนักดาบยอดฝีมือกลุ่มนั้นคงลาออกจากสมาพันธ์ไปนานแล้ว ถ้าไม่มีอวี๋เลี่ยงอี้ ข้อมูลในการได้อาชีพของสมาพันธ์คงไม่ต้องถูกแบ่งเป็นสองส่วน ถ้าไม่มีอวี๋เลี่ยงอี้ บางทีสมาพันธ์เฟิงอาจจะถูกยุบไปแล้วก็ได้
อวี๋เลี่ยงอี้ที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้สำเร็จกลับไม่คิดแย่งชิงผลประโยชน์เพื่อตัวเองเลยสักนิด ถึงแม้ว่าหากเขาจะทำ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายก็ตาม เขาชักนำสมาพันธ์เฟิงไปสู่หนทางแห่งการเป็นสมาพันธ์ที่ทรงอำนาจ ทำให้เฉินเฟิงสามารถนั่งเก้าอี้หัวหน้าสมาพันธ์ได้อย่างมั่นคง แต่ทว่าทั้งหมดนี้กลับห่างไกลและเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่เฉินเฟิงวาดหวังเอาไว้มากขึ้นทุกทีๆ
“นี่คิดจะให้พวกเรายืนอยู่อย่างนี้ไปตลอดจริงๆ น่ะหรือ ? ไม่ยินดีต้อนรับพวกเรามากขนาดนี้เชียว !” เสียงคมพิรุณดึงสติเฉินเฟิงกลับมาจากภวังค์ความคิด ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่ายังทิ้งแขกทั้งสองคนให้ยืนอยู่ที่หน้าประตูอยู่เลย
แต่พอเชิญสองสาวเข้ามาปุ๊บ เฉินเฟิงก็ต้องกระอักกระอ่วนทันที เนื่องจากเกม “ราชาแห่งราชัน” ออกแบบมาอย่างละเอียดประณีตและเหมือนจริงมากเสียจนต้องถอนใจชมเชยจริงๆ นั่นคือพอเวลาผ่านไประยะหนึ่ง บริเวณอื่นภายในห้องเล็กๆ นี้นอกเหนือจากโต๊ะเขียนหนังสือกับเตียงดันมีฝุ่นจับเสียด้วย สภาพของบ้านชายโสดเลยมีอันถูกเปิดเผยให้สองสาวได้เห็นกันจะๆ
ความจริงเฉินเฟิงเองก็ไม่ได้ขี้เกียจอะไรขนาดนั้น เพียงแต่เขาอาศัยความสะดวกสบายของเทคโนโลยีจนเคยชินเท่านั้น นี่ถ้ามีการติดตั้งระบบทำความสะอาดเหมือนอย่างในโลกความจริงล่ะก็ แค่กดสวิตช์ หุ่นยนต์ขนาดเล็กก็จะออกมาจัดการปัดกวาดจนสะอาดหมดจดโดยอัตโนมัติทันที ต่อให้เขาขี้เกียจแค่ไหนก็ไม่ถึงกับคิดจะอยู่ร่วมกับกองขี้ฝุ่นหรอกน่า แต่ตรงจุดนี้ เกม “ราชาแห่งราชัน” ที่สุดยอดจะเหมือนจริงกลับไม่ได้ทำตามอย่างในโลกความจริงเสียนี่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะฉากหลังด้านยุคสมัยของเกมก็เป็นได้ เพราะเขาไม่เคยเห็นร่องรอยของเครื่องใช้ไฟฟ้าในเกมนี้เลยสักชิ้น
เฉินเฟิงเชิญให้สองสาวนั่งที่เตียงของเขาอย่างกระดากกระเดื่อง จากนั้นไปคุ้ยหาที่ตู้ใส่ของอยู่พักใหญ่ ค่อยคว้าชุดน้ำชาพร้อมถ้วยชา 6 ใบซึ่งเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวที่เพิ่มมาของบ้านหลังนี้ออกมาได้
นี่เป็นของเพียงชิ้นเดียวที่เฉินเฟิงซื้อติดมือกลับมาหลังจากไปเดินชอปปิงที่ร้านเครื่องเรือนของระบบ และแน่นอนว่านี่เป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งของที่ราคาถูกที่สุดที่วางโชว์อยู่ในร้านนั้น ราคาของมันคือ 6,000 เหรียญเงิน
ในร้านเครื่องเรือนของระบบนั่นมีของที่นำมาใช้ประดับบ้านได้เยอะมากๆ เฉินเฟิงดูเพลินจนตาลาย เห็นแล้วอยากจะได้มันไปหมดทุกอย่าง แต่พอเห็นป้ายราคาที่แปะบอกอยู่ข้างใต้ปุ๊บ ก็ต้องถอยกรูดๆ ทันที
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมชุดน้ำชาชุดนี้ถึงได้ติดมือเฉินเฟิงกลับมาด้วย เป็นเพราะเจ้าของร้านขายเครื่องเรือนมีความสามารถในการขายของสูงส่งเลิศล้ำไม่แพ้แฟนนี่ “เถ้าแก่ร้านขายไอเท็มแห่งเกาะเริ่มต้น” นั่นเอง
เนื่องจากทราบดีว่าสองสาวไม่ชอบทานเหล้า เฉินเฟิงจึงหยิบ “น้ำกระบองเพชร” ผลิตภัณฑ์เฉพาะของภัตตาคารเมืองห่ายเทียนออกมา
พูดถึงไอ้นี่ เฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่าเขาแทบจะต้องขุดโพรงบนพื้นบ้านเพราะมันไปแล้ว โชคดีที่นั่นต้องเป็นบ้านระดับที่ 2 ถึงจะมีได้ ไม่อย่างนั้นคนไร้ซึ่งภูมิต้านทานการโฆษณาขายของอย่างเขามีหวังได้ใช้เงินทั้งหมดที่มีไปจนเกลี้ยง จากนั้นไปขุดโพรงที่ด้านหลังห้องครัวแหงๆ
สองสาวประคองถ้วยชาบรรจุของเหลวสีชมพูพลางดูเฉินเฟิงเช็ดทางโน้นทีเช็ดทางนี้ทีแล้วพยายามกลั้นหัวเราะอย่างยากเย็น ถ้าไม่นึกถึงว่าที่เขากลับมานี่เป็นเพราะโมโหสุดขีดล่ะก็ สองสาวมีหวังหัวเราะก๊ากไปนานแล้ว
หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเฉินเฟิงก็ต้องยอมแพ้ น้ำแข็งหนาสามฟุตไม่ได้เกิดจากลมหนาวเพียงชั่วคืน[1] การเช็ดๆ ถูๆ แบบขอไปทีมีแต่จะยิ่งโกยฝุ่นมากองให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น บวกกับท่าทางกลั้นหัวเราะแทบเป็นแทบตายของสองสาว ทำให้เฉินเฟิงชักรู้ตัวว่าพยายามต่อไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายจึงตัดสินใจช่างมันแล้วเดินไปที่โต๊ะหนังสือ นั่งแหมะลงบนเก้าอี้เพียงตัวเดียวที่มีในห้องเสียเลย
ทั้งสามนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง จวบจนของเหลวสีชมพูในถ้วยชาพร่องลงจนถึงก้นถ้วย เยี่ยหลานจึงพูดเสียงค่อยแทบเป็นกระซิบว่า
“พี่โกรธหรือคะ ?”
“อะไรนะ ?”
อาจเป็นเพราะเยี่ยหลานพูดเบาเกินไป คำถามกลับของเฉินเฟิงจึงทำเอาเยี่ยหลานสะดุ้งเฮือกหน้าเสีย แล้วไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย
คมพิรุณลอบถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมเฟิงซฺยงถึงอารมณ์ร้ายอย่างนี้ล่ะหือ ? พวกเธอก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ฉันอุตส่าห์พาเยี่ยหลานมาขอโทษถึงที่แล้ว ยังจะไปตะคอกเขาอีก ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ !”
เฉินเฟิงหน้าเหลอ รีบร้องว่า “เปล่านะครับ ! ผมไม่ได้ตะคอกเยี่ยหลานนะ เมื่อกี้เขาพูดเสียงเบาเกินไปจนผมได้ยินไม่ชัดต่างหาก !”
คมพิรุณลอบส่งสายตาบอกเป็นนัยให้เฉินเฟิงขอโทษเยี่ยหลาน เพียงแต่ดูเหมือนเวลานี้ในหัวของเฉินเฟิงจะยังมีแต่เรื่องของขี้ฝุ่นที่กองอยู่เต็มห้อง ก็เลยไม่ทันได้หันมาเห็น
คมพิรุณที่ไม่มีทางเลือกได้แต่พูดต่อ “อย่างนั้นทำไมคุณถึงทิ้งแขกเหรื่อตั้งมากมายแล้วหนีกลับมาคนเดียวอย่างนี้ล่ะ ?”
เฉินเฟิงก้มหน้า “ผมรู้ดีว่าพวกเธอแค่ล้อเล่นเท่านั้น แล้วผมก็ไม่ได้โกรธพวกเธอด้วย เพียงแต่ผมกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีจริงๆ เอาไว้วันหลังผมจะหาโอกาสไปขอโทษพวกเธอเอง”
ครั้นได้ทราบว่าเฉินเฟิงไม่ได้โกรธเธอ เยี่ยหลานก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว และถามอย่างเป็นห่วงว่า
“ได้ยินว่าพี่ไปเจอเพื่อนเข้า เกิดอะไรขึ้นหรือคะ เล่าให้พวกเราฟังได้หรือเปล่า ? ถ้ามีปัญหาอะไรทุกคนจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไขได้ไงคะ”
เฉินเฟิงส่ายหน้าถอนหายใจ “ปัญหาส่วนตัวน่ะ คนอื่นช่วยอะไรไม่ได้หรอก แต่ยังไงก็ขอบใจมากนะ”
อยู่ๆ คมพิรุณก็ลุกพรวดขึ้นยืนจ้องเฉินเฟิงเขม็งพลางพูดเสียงเครียด
“หรือจริงๆ แล้วเฟิงซฺยงไม่ได้เห็นพวกเราเป็นเพื่อน แต่เห็นพวกเราเป็นแค่ลูกน้องกันคะ ?”
ทั้งเฉินเฟิงและเยี่ยหลานต่างสะดุ้งโหยง เยี่ยหลานลนลานจะช่วยพูดแก้ตัวแทนเฉินเฟิง แต่กลับได้รับข้อความห้ามไม่ให้พูดที่คมพิรุณส่งมาให้ จึงได้แต่มองคมพิรุณอย่างไม่เข้าใจ
ครั้นเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาคมกริบของคมพิรุณที่จ้องมองมาเขม็ง เฉินเฟิงก็พูดอย่างตกใจ
“ทำไมพี่ฝนถึงพูดอย่างนี้ล่ะครับ ? ผมก็ต้องถือพี่กับเยี่ยหลานเป็นเพื่อนแน่นอนอยู่แล้วสิ !”
สีหน้าคมพิรุณค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงถามด้วยน้ำเสียงและท่าทีเคร่งเครียดเหมือนเดิม
“ในเมื่อคุณเห็นพวกเราเป็นเพื่อน เมื่อกี้ฉันไม่เห็นได้ยินหลานพูดคำว่า ‘สมาพันธ์เฟิง’ เลยนะคะ ! พวกเราอยากจะช่วยแก้ปัญหาส่วนตัวให้คุณที่เป็น ‘เฉินเฟิง’ ต่างหาก แล้วปัญหาของเพื่อนนี่มีการแบ่งแยกเป็นปัญหาส่วนตัวกับปัญหาส่วนรวมด้วยหรือไงคะ ?”
ถึงคำพูดนี้ของคมพิรุณออกจะแถไปหน่อย แต่เมื่อครู่เฉินเฟิงก็นึกถึงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสมาพันธ์เฟิงจริงๆ ถึงได้ตอบเยี่ยหลานไปแบบนั้นโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ระหว่างเพื่อนเองก็ยังมีแบ่งแยกอยู่ดีว่าสนิทกันมากขนาดไหน ชั่วขณะนั้นเฉินเฟิงจึงไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี
หากพูดถึงเทคนิคในการเจรจา คมพิรุณที่คลุกคลีอยู่กับบรรดาขบวนทหารรับจ้างและพวกผู้เล่นที่มาจ้างวานให้ช่วยทำภารกิจย่อมจะมีฝีปากสูงส่งกว่าเฉินเฟิงหลายขุมอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าสามารถทลายปราการที่ปิดกั้นจิตใจของเฉินเฟิงลงได้แล้ว จะเหลือก็แค่เตะไปที่ประตูอีกสักโครมเท่านั้น คมพิรุณก็รับถ้วยชามาจากมือเยี่ยหลานแล้ววางลงบนโต๊ะของเฉินเฟิงพร้อมกับถ้วยชาของตัวเอง แถมยังวางบัตรอาคันตุกะทั้ง 2 ใบเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก ทำเอาเฉินเฟิงได้แต่มองตามอย่างงุนงง
และแล้วคมพิรุณก็เปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันโดยพูดอย่างแสนสุภาพว่า
“ในเมื่อวันนี้ท่านหัวหน้าสมาพันธ์อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งค่ะที่พวกเราทะเล่อทะล่ามาเยือนอย่างกะทันหัน เพื่อป้องกันไม่ให้วันหน้าพวกเราเผลอมารบกวนความสงบของคุณอีก พวกเราขอคืนบัตรอาคันตุกะให้คุณก็แล้วกันค่ะ พวกเราขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบก็คว้ามือเยี่ยหลานทำท่าจะเดินออกจากประตูไป
แน่ล่ะว่าเฉินเฟิงก็ไม่ได้โง่ แค่ฟังเขาก็ทราบแล้วว่าคมพิรุณโมโหแล้ว จึงตกตะลึงไปชั่ววูบ จากนั้นตะลีตะลานร้องห้ามว่า
“พี่ฝน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะครับ ? ยอมแพ้ๆ ผมยอมแพ้แล้ว ผมพูดก็ได้ พี่อย่าแกล้งผมอีกนะครับ !”
[1] น้ำแข็งหนาสามฟุตไม่ได้เกิดจากลมหนาวเพียงชั่วคืน (ปิง ต้ง ซาน ฉื่อ , เฟย อี๋ รื่อ จือ หาน : Bing dong san chi, fei yi ri zhi han) หมายถึงสถานการณ์ซึ่งเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างปุบปับทันทีทันใด แต่เกิดจากการสั่งสมพอกพูนมาเป็นเวลายาวนาน