หัวข้อ : เล่มที่ 5 มีน้ำใจ แล้งน้ำใจ ตอนที่ 8 เบื้องหลังความอุตสาหะ

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:01

ตอนที่ 8

 

เบื้องหลังความอุตสาหะ

 

 

พอฟังเฉินเฟิงเล่าจบ คมพิรุณก็ค้อนขวับทันที นึกอยากจะเขกหัวเขาสักโป๊ก ไอ้เธอหรือหลงนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก สุดท้ายก็แค่ปัญหาเก่าเรื่องได้อาชีพเท่านั้นเอง

ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นคือ ถ้าเป็นอาชีพอื่น เธออาจจะไม่สามารถตัดสินอะไรได้ แต่อาชีพนักบวชที่เฉินเฟิงต้องการในตอนนี้ดันเป็นหนึ่งในข้อมูลอาชีพที่ขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์มอบให้เขาเองกับมือ แถมยังบอกเขาไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าสามารถใช้ได้ตามใจชอบนี่สิ

ตอนที่ให้ข้อมูลนั้น อะไรก็ได้กลัวว่าเฉินเฟิงจะจำกัดตัวเองจนติดขัดโน่นนี่ไม่กล้าใช้ จึงจงใจบอกเขาไปอีกหลายครั้งว่า ให้เขาใช้ข้อมูลพวกนี้ได้ตามสะดวก ไม่ว่าจะใช้ในเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวมก็ได้ทั้งนั้น แม้แต่จะประกาศให้ทั่วทั้งเกม “ราชาแห่งราชัน” รับรู้ก็ไม่เป็นไร

เฉินเฟิงคาดเดาปฏิกิริยาของคมพิรุณได้แต่แรกแล้ว จึงรีบยกเรื่องที่ความจริงเยี่ยหลานกับสมาชิกสมาพันธ์หลายคนเองก็อยากจะได้ข้อมูลของอาชีพนักบวชเช่นกัน แต่เป็นเพราะนโยบายของสมาพันธ์ ทำให้พวกเธอไม่ได้รับข้อมูลส่วนนี้ ดังนั้นเพื่อนนอกสมาพันธ์จึงยิ่งไม่สมควรได้รับเข้าไปใหญ่ขึ้นมาอ้างทันที แถมยังงึมงำว่ามติประชุมในตอนนั้น คมพิรุณเองก็เห็นชอบด้วยเหมือนกัน

เฉินเฟิงไม่ยกขึ้นมาอ้างยังพอทำเนา นี่พออ้างขึ้นมาปุ๊บ คมพิรุณก็ยิ่งโมโหหนักเข้าไปใหญ่ และจัดแจงหยิกหนับเข้าที่แขนของเยี่ยหลานสุดแรงทันทีจนเยี่ยหลานที่เจ็บแทบแย่ร้องอ้อนวอนขอโทษถึงค่อยยอมปล่อย จากนั้นจึงพูดอย่างโมโหสุดขีดว่า

“กระทั่งเธอก็พลอยเป็นไปด้วย ! ดีล่ะ ฉันจะได้รู้เสียทีว่าเธอสองคนมันก็อีหรอบเดียวกัน ไม่เคยเห็นฉันกับขบวนนักเวทและสัตว์เป็นเพื่อนด้วยกันทั้งคู่ !” พูดจบก็ลุกพรวดขึ้นแสดงฉากเดิมทำทีเป็นจะผลุนผลันจากไปอีกครั้งจนเยี่ยหลานเองต้องพลอยลนลานดึงตัวเธอกลับมาไปอีกคน

แน่ละว่าผลสรุปคือคมพิรุณถูกเฉินเฟิงกับเยี่ยหลานคว้าแขนคนละข้างดึงตัวกลับมา สุดท้ายหลังจากที่เฉินเฟิงกับเยี่ยหลานพากันสบถสาบานรับรองแล้วรับรองอีกว่าเห็นเธอเป็นเพื่อนจริงๆ คมพิรุณถึงค่อยยอมเลิกรา

ครั้นคมพิรุณเห็นสีหน้าจ๋อยสนิทอย่างน่าสงสารของเฉินเฟิงกับเยี่ยหลาน ก็หัวเราะเบาๆ อย่างมีเลศนัย เฉินเฟิงมองพี่สาวผู้ชอบแกล้งทำอะไรประหลาดๆ อย่างงุนงง เยี่ยหลานเองก็พลอยถูกกระตุ้นความสนใจให้เงยหน้าขึ้นมองด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าทั้งสองต่างก็มุ่งความสนใจมาที่ตนแล้ว คมพิรุณค่อยพูดเนิบๆ ขึ้นว่า

“ฉันว่านะ ท่านหัวหน้าสมาพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ คุณนี่พอถูกตั้งฉายาว่ายอดฝีมือซื่อบื้อแล้ว ก็ไม่คิดจะหลุดพ้นจากฉายานี้ไปชั่วชีวิตหรือยังไงกันคะ ? คุณยังจำได้หรือเปล่าว่าตรงส่วนท้ายของมติประชุมข้อนั้น พวกเราได้เพิ่มหมายเหตุเอาไว้เป็นกรณีพิเศษ หมายเหตุบรรทัดนั้นคืออะไร คุณคงจะยังไม่ลืมหรอกนะ ?”

เฉินเฟิงนิ่งงงไปชั่วครู่ ถึงค่อยเข้าใจความหมายของคมพิรุณในที่สุด และค่อยนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมาได้

เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขาเต็มไปด้วยความหวังว่าอย่างน้อยพวกคมพิรุณกับสองแสงกล้าก็น่าจะสนับสนุนเขา แต่ผลสุดท้ายมติประชุมกลับผ่านการอนุมัติโดยไม่มีใครคัดค้านเสียได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาเขาถึงกับซึมไปพักใหญ่

ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือหลังจากเรื่องนี้ผ่านไป มีอยู่วันอยู่ๆ อวี๋เลี่ยงอี้ก็ร้องโวยวายขึ้นว่าคำนวณเรื่องนี้พลาดไปซะแล้ว เฉินเฟิงเองนิ่งนึกอยู่เป็นนานกว่าจะคิดออกว่า หมายเหตุ “ไม่ห้ามสมาชิกสมาพันธ์แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนของตน” นี้เท่ากับว่าล้มล้างมติประชุมข้อนั้นโดยสิ้นเชิง เพราะแบบนี้ก็กลายเป็นว่าตัวเขาที่กุมความลับทั้งหมดเอาไว้สามารถประกาศความลับนี้ออกไปโดยไร้ข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น แถมยังทำได้โดยได้รับความยินยอมจากสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนอีกต่างหาก

เพื่อที่จะปลอบใจอวี๋เลี่ยงอี้ เฉินเฟิงจึงรับประกันไปว่าเขาจะไม่ประกาศข้อมูลพวกนี้ออกไปก่อนที่จะได้รับการยินยอมจากที่ประชุมเด็ดขาด แต่อวี๋เลี่ยงอี้กลับบอกว่า เขาไม่เดือดร้อนหรอกว่าเฉินเฟิงจะประกาศข้อมูลออกไปหรือเปล่า ที่เขาเดือดร้อนคือเขาถูกลอบแทงเข้าให้หนึ่งจึ้ก แต่ผ่านมาตั้งนานป่านนี้ดันเพิ่งจะมารู้ตัวเสียได้

ตอนนั้นเฉินเฟิงแค่รู้สึกว่าไอ้เพื่อนซี้ของเขานี่มันเพี้ยนๆ ชอบกล มาตอนนี้หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากคมพิรุณ ถึงค่อยเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ และค่อยเข้าใจว่าหมายเหตุบรรทัดนั้นถูกเพิ่มเข้ามาโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงจริงๆ

เฉินเฟิงน่ะเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดแล้ว แต่เยี่ยหลานสิยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่เลย หลังจากคมพิรุณช่วยอธิบายให้ฟังโดยละเอียด เยี่ยหลานถึงค่อยเข้าใจความนัยทั้งหมด คมพิรุณยังเปิดเผยอีกด้วยว่า หมายเหตุบรรทัดนั้นผ่านการปรึกษาร่วมกันของพวกขบวนนักเวทและสัตว์ สองแสงกล้า ส้มโอ เฮยโถว เจี๋ยเต๋อ รวมทั้งครุโฬและสมานฉันท์มาก่อนแล้ว และเป้าหมายของมติประชุมข้อนั้นก็กะเอาไว้ปลอบเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศกับพวกยอดฝีมือเป็นหลักนั่นแหละ

คมพิรุณฉวยโอกาสระหว่างที่เฉินเฟิงกำลังตื้นตันใจว่าที่แท้พวกเพื่อนๆ ที่ให้การสนับสนุนเขาต่างก็ลำบากลำบนคิดหาทางทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้ สอบถามถึงข้อมูลของเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพอย่างละเอียด เฉินเฟิงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคมพิรุณต้องการจะทำอะไร แต่ก็ตอบไปโดยดีแบบงงๆ

ผ่านไปครู่ใหญ่เฉินเฟิงค่อยกลับเป็นปกติ และโวยวายกับคมพิรุณว่า ในเมื่อมีการปรึกษากันล่วงหน้า แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกเขาบ้าง ทำเอาเขาเข้าใจทุกคนผิดไปเลยว่าไหงพอพูดถึงผลประโยชน์ปุ๊บ นิสัยก็เปลี่ยนปั๊บ และทำเอาพักนี้เขาท้อแท้จนแทบจะอยากเลิกเล่นเกมนี้ไปเลย

ทันใดนั้นได้มีเสียงหัวเราะ 2 เสียงดังลั่นมาจากหน้าประตู 1 ใน 2 เสียงพูดว่า

“พี่ใหญ่ ให้ฉันเป็นคนตอบปัญหานี้ก็แล้วกัน จะว่าเป็นความคิดของผู้น้องก็ได้ที่ไม่ให้บอกพี่ก่อนล่วงหน้า”

เฉินเฟิงเงยหน้ามองไป ที่แท้ก็ตัวการใหญ่อีกสองคนนั่นเอง แล้วครุโฬกับสองแสงกล้าก็เดินเคียงกันเข้าประตูมา

เฉินเฟิงแกล้งพูดอย่างโมโหว่า “พวกนายมาได้จังหวะพอดี ฉันกำลังจะไปตามตัวพวกนายมาคิดบัญชีอยู่เชียว ! หงซฺยง(เฮียกล้า) น้องครุฑ ถ้าวันนี้ไม่อธิบายมาให้รู้เรื่องล่ะก็ เกิดฉันปิดประตูปล่อยหมาละอย่ามาโทษกันเชียวนะ ! หลายฝู ไปเฝ้าประตู ห้ามไม่ให้ใครออกไปแม้แต่คนเดียว ถ้ามีใครออกไปได้ล่ะก็ ฉันจะจับนายทำหมาสุกี้ !”

หลายฝูเผ่นแผล็วไปเฝ้าประตูทันที เพียงแต่คำตอบของมันทำเอาเฉินเฟิงเผลอหัวเราะก๊ากจนแกล้งปั้นหน้าต่อไปไม่อยู่

หลายฝูตอบว่า “เจ้านาย คำถามข้อที่ 1 รับทราบ คำถามข้อที่ 2 เนื่องจากหาคำว่า ‘หมาสุกี้’ ในคลังข้อมูลไม่พบ ดังนั้นไม่สามารถตอบรับได้”

เนื่องจากมีแต่เฉินเฟิงคนเดียวที่ได้ยินคำตอบของหลายฝู ดังนั้นการที่อยู่ๆ เขาก็หัวเราะก๊าก ทุกคนจึงได้แต่งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ช่วยคลี่คลายความเคร่งเครียดของบรรยากาศได้พอดี

ครุโฬฝืนยิ้ม “ใครจะไปคิดล่ะครับว่าเสน่ห์ของพี่ใหญ่จะแรงขนาดนี้ แค่แป๊บเดียวสมาพันธ์เฟิงก็มียอดฝีมือเข้ามาอยู่กันเต็มไปหมด แถมตอนนั้นพี่ก็กำลังยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้นอีกต่างหาก ดังนั้นผู้น้องก็เลยตัดสินใจนัดทุกคนมาคุยกันเองโดยพลการเสียเลย

“ถึงพวกเราจะไม่ได้บอกพี่ล่วงหน้าก็เถอะ แต่หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป พวกเราก็พยายามแสดงท่าทีบอกเป็นนัยๆ กับพี่ไม่รู้ตั้งกี่ร้อยครั้งแล้ว แต่พักนี้พี่ดันเอาแต่ปิดช่องสื่อสารซะนี่ เพราะงั้นถึงผู้น้องจะอยากบอก ก็ไม่รู้จะหาทางบอกได้ยังไงอยู่ดีนี่ครับ !”

สองแสงกล้าสนับสนุนว่า “นั่นสิ เฟิงซฺยง เรื่องนี้ผมเป็นพยานได้ เพียงแต่ผมเองก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันนะว่า ทำไมเวลาเจอปัญหาเกี่ยวกับสมาพันธ์เฟิงทีไร คุณที่ปกติออกจะช่างสังเกตขนาดนั้นถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นไม่เคยสังเกตเห็นอะไรเลยทุกทีสิน่า ? คุณทำเอาผมเสียพนันให้ส้มโอมันไปตั้งหลายครั้งจนผมชักจะนึกว่าคุณถูกสับเปลี่ยนเอาตัวปลอมมาแทนตั้งแต่ตอนนั้นซะแล้ว !”

พูดกันมาพักใหญ่ สุดท้ายดันกลายเป็นความผิดของเฉินเฟิงคนเดียวไปซะได้ สิ่งที่เฉินเฟิงทำได้นอกจากแหงนหน้าถามหาความยุติธรรมจากฟ้า ก็มีแต่ยิ้มฝืดๆ พลางส่ายหน้าสถานเดียว

 

เช้าตรู่ของ 4 วันให้หลัง เฉินเฟิงกับอะไรก็ได้ก็ทิ้งสมาพันธ์เฟิงไว้ข้างหลัง แล้วนำเยี่ยหลาน วิหารจันทราเทพ คาราเมล และเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยที่แสนจะกระตือรือร้นรวมสี่คนเดินทางมาถึงปากทางลาที่เฉินเฟิงเคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง โดยเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยนั้น หลังจากเข้าสู่สมาพันธ์เฟิงและได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพหลายๆ อาชีพเพิ่มเติมแล้ว ก็เปลี่ยนใจเป็นอยากเล่นอาชีพนักบวชที่ปลอดภัยกว่าแทนอาชีพพรานที่เคยเลือกแต่เดิม

ภายในเวลาสั้นๆ แค่ 5 นาที กระแสอากาศที่ไหลเอื่อยๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องก็เปลี่ยนเป็นพุ่งกระฉูดออกมาโดยแรงจนดูประหนึ่งม่านน้ำตกสีขาวพร่าง ถึงแม้เฉินเฟิงจะเห็นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ก็ยังคงถูกดึงดูดอย่างลึกล้ำอยู่ดี

วันนั้น หลังจากที่พวกคมพิรุณมาเป็นแขกที่บ้านของเฉินเฟิงแล้ว เฉินเฟิงก็ฟื้นตัวกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมอย่างแท้จริงในที่สุด และหลังจากผ่านการถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียด สุดท้ายทฤษฎีว่าด้วยความยุติธรรมด้านความสามารถของครุโฬและสองแสงกล้าก็ทำให้เฉินเฟิงยอมรับนโยบายให้นักเล่นเกมอาชีพได้รับแบ่งผลประโยชน์ของสมาพันธ์ และพาตัวเองก้าวกลับเข้าสู่เส้นทางของนักเล่นเกมอาชีพอีกครั้ง

แน่ละว่าโดยส่วนตัวแล้ว เฉินเฟิงก็ยังหวังว่าจะสามารถลดทอนการใช้สมาพันธ์ไปแสวงหาผลประโยชน์ลงให้ได้มากที่สุดอยู่ดี โดยเฉพาะจำพวกเข้าไปควบคุมทรัพยากรบางอย่าง หรือผูกขาดสิ่งที่ควรจะเป็นผลประโยชน์ส่วนรวมของผู้เล่นทุกคนเป็นต้น

ตอนท้ายคมพิรุณสรุปยิ้มๆ ว่า เป็นเพราะเฉินเฟิงมีความคิดแบบนี้นี่แหละถึงได้ทำให้ขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ที่ไม่ใช่นักเล่นเกมอาชีพยินดีให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่

หลังจากการถกกันครั้งนั้นจบลงแล้ว เฉินเฟิงได้จดบทสรุปทั้งหมดลงในสมุดบันทึกของตัวเอง โดยมีเนื้อหาดังนี้ :

 

“ทฤษฎีว่าด้วยความยุติธรรมแห่งความสามารถ”

ความสามารถของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน หากผู้ที่มีความสามารถและผู้ที่ไร้ความสามารถได้รับค่าตอบแทนเท่ากันละก็ อย่างนั้นไม่กลายเป็นว่าค่าตอบแทนที่เท่ากันนี้เป็นความไม่ยุติธรรมหรอกหรือ ? ในชีวิตจริงนั้น ภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขเดียวกัน ผู้ที่มีความสามารถสูงกว่าย่อมจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า รวมถึงได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าอย่างแน่นอน

แต่ทว่าในความเป็นจริงนั้น แม้จะอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขเดียวกัน จุดเริ่มต้นของทุกคนก็มีความแตกต่างในด้านชาติกำเนิดอยู่ดี พวกที่ร่ำรวยมีอิทธิพลจำนวนมากต่างก็ครอบครองทรัพยากรมากมายไว้ในมือโดยที่ไม่ได้มีความสามารถคู่ควรแก่การได้ครอบครองทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้นเลยแม้แต่น้อย แต่แค่อาศัยสืบทอดมรดกจากหยาดเหงื่อแรงกายของบรรพบุรุษที่มีความสามารถเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีความสามารถก็กลับไม่มีโอกาสที่จะแสดงความสามารถของตน ซึ่งชั่วชีวิตของคนที่มีความสามารถเหล่านี้ มักจะเฝ้ารอคอยขอแค่ให้ได้มีโอกาสแสดงความสามารถให้ใครๆ ได้ประจักษ์เพียงสักหนเท่านั้น

การที่เกมออนไลน์ผุดขึ้นมามากมาย และดึงดูดผู้เล่นจำนวนมากให้เข้ามาเล่นเกมกันอย่างไม่ขาดสาย แถมยังเป็นที่นิยมอย่างยาวนานติดต่อกันโดยไม่มีวี่แววว่าจะซบเซา เป็นเพราะมันสามารถตอบสนองต่อความต้องการเรื่อง “ความยุติธรรมด้านชาติกำเนิด” ที่ในโลกแห่งความจริงไม่สามารถมีให้ได้นั่นเอง

แล้วการที่คุณไปโวยวายว่าผู้เล่นธรรมดาถูกเอาเปรียบ แถมยังไปกล่าวโทษพวกนักเล่นเกมอาชีพที่กุมแหล่งข้อมูลเอาไว้ในมือว่าเอาเปรียบผู้เล่นธรรมดา เพื่อให้ตัวคุณเองได้มาซึ่งความยุติธรรมในแบบที่คุณคิดนั่น มันไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ ? เพราะลองคิดดูสิว่าภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความยุติธรรมด้านชาติกำเนิด นักเล่นเกมอาชีพเองก็ต้องทุ่มเททั้งเวลาและแรงกายแรงใจไปไม่ใช่น้อยๆ กว่าจะได้ผลลัพธ์มาบ้างนิดหน่อย แล้วผู้เล่นธรรมดาถือดียังไงหรือถึงอยากจะได้ผลลัพธ์นั้นมาโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลยสักอย่าง ?

แม้จะมีนักเล่นเกมอาชีพบางคนทำเกินเหตุโดยอาศัยการที่เข้ามาเล่นเกมก่อนคนอื่นไปผูกขาดทรัพยากรบางส่วน จนส่งผลให้คนที่เข้ามาเล่นเกมทีหลังไม่สามารถได้ทรัพยากรนั้นมา ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่สมควรก็จริง แต่ก็ไม่ควรเอาการกระทำของคนส่วนน้อยไปตัดสินคนส่วนใหญ่ โดยไปต่อต้านนักเล่นเกมอาชีพทุกคนนี่นะ !

ส่วนปัญหาเรื่องที่นักเล่นเกมอาชีพขายเงินในเกมเป็นเงินจริงนั้น เป็นอีกกรณีโดยสิ้นเชิง เหตุและผลแห่งการซื้อและการขาย มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องแน่นอนเหมือนคำถามที่ว่าไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันนั่นแหละ

หากไม่มีนักเล่นเกมอาชีพนำมาขาย ต่อให้ผู้เล่นมีเงินก็หาซื้อไม่ได้ แต่หากไม่มีผู้เล่นที่คิดจะซื้อ แล้วนักเล่นเกมอาชีพจะไปขายให้ใครกันเล่า ? การซื้อขายนี้ได้ทำลายความยุติธรรมด้านชาติกำเนิดที่เกมมีอยู่ก็จริง ทว่าก็กลับทำให้บางอย่างในโลกความจริงได้รับความยุติธรรมด้วยเช่นกัน ฝ่ายซื้อเสียเวลาทำงานแลกเงินเดือน แล้วค่อยใช้เงินเดือนที่ได้มานี้ไปซื้อผลลัพธ์ที่นักเล่นเกมอาชีพยอมเสียเวลาในเกมเพื่อแลกมา ใช้เวลาแลกเวลา แล้วมันไม่ยุติธรรมตรงไหนงั้นหรือ ?

เฉินเฟิงได้เขียนหมายเหตุของตัวเองเพิ่มเติมเข้าไปว่า :

อาชีพน่ะไม่ผิดหรอก การลุ่มหลงในผลประโยชน์ต่างหากที่ผิด ต้องหมั่นเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่า สุภาพชนหมายปองทรัพย์ ต้องรับด้วยคุณธรรม อย่าปล่อยตัวหลงระเริงไปตามกระแส อย่าได้ลืมหลักการและความมุ่งมั่นของตัวเอง เพราะเมื่อใดที่พลัดหลงจากหลักการ ก็เท่ากับกำลังหลงลืมตนนั่นเอง

 

ต่อมาภายหลัง เยี่ยหลานได้นำบทความที่มีกลิ่นตำราเรียนอยู่นิดหน่อยบทนี้ไปประกาศภายในสมาพันธ์ โดยถือเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิบัติของสมาพันธ์เฟิง ถึงมันจะทำให้เฉินเฟิงอายสุดๆ ไปพักใหญ่ก็ตาม แต่มันก็ทำให้นับแต่นั้นมา ภายในสมาพันธ์เฟิงไม่มีการกินแหนงแคลงใจเรื่องเป็นหรือไม่ได้เป็นนักเล่นเกมอาชีพอีกเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ในตอนนั้นทุกคนต่างก็คาดกันไม่ถึง

 

อะไรก็ได้กระแอมกระไอ เรียกไปแล้วหลายรอบ ก็ยังไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากคนทั้งห้าได้ สุดท้ายจึงจำต้องสะกิดเฉินเฟิงให้รู้สึกตัว และบอกให้เขาไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัวซะ

เฉินเฟิงถามอย่างแปลกใจว่าทำไมอะไรก็ได้ไม่ยอมไปเรียกเองล่ะ ? ปรากฏว่าคำตอบของอะไรก็ได้คือ ขืนให้เขาต้องเสี่ยงกับความเป็นไปได้ที่จะถูกคมพิรุณไล่ฆ่าโดยการไปสะกิดไหล่ของสาวๆ พวกนั้นทีละคนละก็ ให้เขาโดดลงหุบเหวซ่อนมังกรยังจะง่ายและปลอดภัยเสียกว่า

นับแต่นั้นมาอะไรก็ได้ก็ถูกเฉินเฟิงจัดการเปลี่ยนชื่อให้ กลายเป็นชื่อ “เกลียมัว” (กลัวเมีย) จะได้ตัดปัญหาน่ากลุ้มเวลาที่ต้องเรียกชื่ออีกฝ่ายไปด้วยเลย เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็จะเรียกไปว่า “พี่มัว” ถ้าอะไรก็ได้ไม่ยอมตอบ ก็จะตะโกนเรียกเสียงดังว่า “เกลียมัว”

แน่ละว่าเพื่อป้องกันคนอื่นซักถาม อะไรก็ได้จึงไม่เคยปล่อยให้เฉินเฟิงมีโอกาสได้ตะโกนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็ทำให้เขาต้องทอดถอนด้วยความเจ็บใจตัวเองที่ดันไปพลั้งปากอยู่นานทีเดียว

คนทั้งหกเปลี่ยนไปสวมรองเท้าบู๊ตพลังร้อยเสร็จเรียบร้อยอยู่นานแล้ว เฉินเฟิงกับเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยถือโล่เบิกทาง สามสาวถือธนูติดตามด้านหลัง ส่วนคุณพี่เกลียมัวที่เป็นแต่เวทมนตร์สายฟื้นพลังกับสายเสริมพลังย่อมต้องเป็นคนปิดท้ายแน่นอนอยู่แล้ว ทางที่ทั้งหมดเลือกเดินคือทางหนวดมังกรฝั่งซ้ายเส้นที่ 3

คิดจะอาศัยกลุ่มคนเพียงแค่นี้ฝ่าทางหนวดมังกรก็ดูออกจะน้อยไปสักหน่อย แต่วันนี้พูดได้ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสได้ลงมือเลยด้วยซ้ำ เพราะข้างหน้าไม่ไกลนักมีคนอยู่ 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่อยู่หน้าสุดประกอบด้วยผู้เล่นจำนวน 9 คน ด้านหน้าสุดเป็นนักดาบ 3 คน ตรงกลางเป็นมือธนูแต่งตัวด้วยชุดพราน 3 คน ส่วน 3 คนสุดท้ายเป็นจอมเวทที่สวมชุดคลุมจอมเวท

กลุ่มคนที่เดินตามหลังคนทั้ง 9 คือผู้เล่น 5 คนที่แต่งกายแตกต่างกันไป ดูจากอาวุธและชุดเกราะแล้วพอจะเดาได้ว่าใน 5 คนนี้มีผู้เล่นอาชีพพ่อค้าอยู่อย่างน้อย 3 คน ในบรรดาจอมเวททั้ง 3 คนทางด้านหน้านั้น ปรากฏว่า 1 ใน 3 ก็คือคมพิรุณนั่นเอง ส่วนบนต้นแขนขวาของผู้เล่นอีก 8 คนที่เหลือต่างก็มีตราของสมาพันธ์เฟิงกันทุกคน

ขบวนใหญ่โตอลังการทั้งหน้าหลังนี้ไม่ได้มีเพื่อเอาไว้ปกป้องใครแต่อย่างใด และไม่ได้กะจะไปรบกับสัตว์อสูรที่ร้ายกาจอะไรด้วย เพียงแต่ครั้งนี้พวกเฉินเฟิงทั้งหกคนแค่พลอยอาศัยเดินตามหลังพรรคพวก 9 คนข้างหน้าเท่านั้น กลุ่มที่คมพิรุณนำมาก็คือกลุ่มทหารรับจ้างฝึกหัดที่สมาพันธ์เฟิงก่อตั้งขึ้นนั่นเอง ส่วนพวกผู้เล่นทั้ง 5 คนที่อยู่ด้านหลังคือกลุ่มผู้เล่นที่วานให้ช่วยกระทำภารกิจในครั้งนี้

หน้าที่ของเฉินเฟิงกับอะไรก็ได้ในวันนี้คือต้องพาเพื่อนๆ ทั้งสี่คนไปที่เนินจมูกสิงห์ จากนั้นคุ้มครองเพื่อนทั้งสี่คนให้ผ่านพ้นเงื่อนไขในการได้อาชีพนักบวชไปโดยสวัสดิภาพ และผู้ที่คิดแผนการทั้งหมดนี้ ก็คือคมพิรุณที่คุมกองทัพทหารรับจ้างอยู่ข้างหน้านั่นเอง

เมื่อ 3 วันก่อน จากการพยายามวิ่งเต้นสุดกำลังของบุคคลระดับหัวหน้าตึกขึ้นไปหลายคน ทำให้สมาพันธ์เฟิงได้ก่อตั้งตึกที่ 5 ขึ้นมา แล้วทักษะบัญชาการที่เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมาหมาดๆ ของเฉินเฟิงก็ถูกใช้จนหมดโควตาไปในทันที

ในบรรดาสมาชิกสมาพันธ์ทั้ง 50 คนที่เพิ่มขึ้นมาในครั้งนี้เป็นผู้หญิงเสียครึ่งหนึ่ง แถมที่มายังไม่กระจอกเสียด้วย และทำเอาตึกวายุประยุทธ์ที่มักชอบมีเรื่องกันอยู่เรื่อยลดความบ้าลงไปมาก

ตึกที่ 5 ซึ่งเพิ่มมาจากตึกวายุปัญญา ตึกวายุประยุทธ์ ตึกรับทรัพย์ และตึกวายุแนวหลัง มีแต่ผู้หญิงล้วน หน้าที่ที่ถูกจัดสรรให้คือฝ่ายสนับสนุน ตั้งชื่อให้ว่า “ตึกหญิงโหด” (เอ้อ หนฺวี่ ถาง) หัวหน้าตึกคือชากุหลาบ ชากุ้ยหยวนพุทราแดง และชาอูหลงเข้มจัด สามสาวสารพัดชาที่กระทั่งเฉินเฟิงเองยังต้องปวดเศียรเวียนเกล้า

เมื่อมีขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดร่วมกันดำรงตำแหน่งหัวหน้าตึกวายุประยุทธ์ให้เห็นเป็นตัวอย่าง ตึกหญิงโหดจึงเลียนแบบตามทันทีอย่างไม่เกรงอกเกรงใจโดยขอมีหัวหน้าตึกหลายคนด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าการที่ทั้งสามมีฝีมือพอๆ กัน ทำให้ไม่ทราบจะเลือกใครขึ้นเป็นหัวหน้าตึกดีก็เป็นเหตุผลหนึ่ง

ว่ากันตามหลักแล้ว การมีสาวๆ ที่ทั้งสวยและเก่งเข้ามาเป็นสมาชิก ทุกคนน่าจะกระตือรือร้นและยินดีต้อนรับถึงจะถูกใช่ไหมล่ะ ? แต่ในความเป็นจริงเรื่องมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดนี่สิ

เหตุผลนะหรือ ? ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกคนอื่นของตึกหญิงโหดหรอก แค่เรื่องที่สามสาวซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าตึกต่างก็เคยเป็นสมาชิกระดับสูงของสมาคมจอมเวท สมาคมนายพราน และสมาคมนักเขียนมาก่อน การรับพวกเธอเข้าสมาพันธ์ก็เหมือนกับประกาศตัวเป็นอริกับสามสมาคมนั้นทางอ้อมดีๆ นี่เองแล้ว

ถึงแม้ตอนนี้แต่ละสมาคมต่างก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวปั่นกันทั้งนั้นก็เถอะ แต่พวกสปายที่ถูกส่งมาสอดแนมสมาพันธ์เฟิงอยู่ทุกวันนั่นไม่ได้ถูกส่งมาเป็นไม้ประดับเสียหน่อยนี่ ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว เหตุการณ์รับสมาชิกเพิ่มในครั้งนี้จึงก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักข้อยิ่งกว่าตอนที่สมาพันธ์เฟิงถูกก่อตั้งขึ้นเสียอีก

ระหว่างที่เฉินเฟิงซึ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยังไม่ทันตั้งตัวติด เยี่ยหลานก็ดันเกิดความคิดจะออกจากสมาพันธ์ไปก่อตั้งสมาพันธ์ใหม่ร่วมกับพวกเพื่อนๆ เสียนี่ ซึ่งทำเอาเหล่าแฟนคลับจำนวนมากพากันไม่พอใจไปตามๆ กัน หลายวันนั้นแค่รับจดหมายประท้วงกับจดหมายชี้แจงอย่างเดียวก็ทำเอาเฉินเฟิงยุ่งมือเป็นระวิงแล้ว ส่วนคมพิรุณที่เป็นคนวางแผนให้สาวๆ พวกนี้มาเข้าสมาพันธ์เฟิงก็ดันเข้ามาเล่นเกมไม่ได้ชั่วคราวเพราะติดงานในโลกภายนอกเสียด้วย ทำเอาช่วงนั้นเฉินเฟิงผ่านวันเนิ่นนานดุจผ่านปีเลยทีเดียว

สุดท้ายตึกหญิงโหดก็ถูกตั้งขึ้นมาอย่างราบรื่นจนได้ เพียงแต่เฉินเฟิงกลับพบว่าเขาโดนสาวๆ พวกนั้นปั่นหัวเล่นเข้าให้อีกแล้ว

ก่อนอื่นอยู่ๆ สมาพันธ์ที่เกิดจากการผนวกกันของอดีตสมาคมนินจาและอดีตสมาคมนายพรานก็เกิดการแตกแยกกัน แล้วทั้งสองสมาคมต่างก็ประกาศยุบสมาคมในวันเดียวกัน จากนั้นในวันเดียวกันนั้นก็ได้ตั้งขึ้นเป็นสมาพันธ์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่น้อยต่างๆ กัน 5 สมาพันธ์

ต่อไปในวันถัดมา อยู่ๆ สมาคมนักเขียนก็ประกาศยุบสมาคม นับแต่นี้คู่มือสัตว์อสูรจะไม่มีการพิมพ์เพิ่มอีกต่อไป และสมาคมนักเขียนเดิมก็ได้แตกออกเป็น 3 สมาพันธ์เล็ก

จากนั้นก็เป็นเหมือนโดมิโนล้มตามกันไปยังไงยังงั้น สมาคมนักดาบ สมาคมนักฝึกสัตว์ สมาคมนักรบเทพ สมาคมจอมเวท สมาคมพ่อค้า แม้กระทั่งสมาคมอัศวินที่เป็นศัตรูของทุกสมาคม ต่างก็ทยอยกันประกาศยุบสมาคมภายในเวลาสองวันนั้น แล้วพากันก่อตั้งเป็นสมาพันธ์เล็กๆ หลายสมาพันธ์ นับแต่นี้บรรดาสมาคมที่เคยมีอยู่ในเกม “ราชาแห่งราชัน” ทั้งหมดได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปอย่างเป็นทางการ

หนึ่งวันก่อนหน้านี้ เฉินเฟิงก็เฝ้ารอจนคมพิรุณออนไลน์อีกครั้งจนได้ แต่พอเขาทำท่าจะโยนปัญหาน่าปวดหัวไปให้เธอเท่านั้นแหละ อยู่ๆ ไอ้ปัญหาทั้งหมดที่ว่านั่นก็ดันคลี่คลายตัวเองไปหมดแล้วเสียนี่

ครั้นเฉินเฟิงได้ทราบว่าพวกสาวๆ ต่างก็รู้เรื่องนี้ล่วงหน้ากันแล้วทั้งนั้น ก็มีอันโมโหสุดขีด แต่ก็ทำได้แค่ทอดถอนใจว่าเขาไม่ควรไปทำให้ยายสาวๆ พวกนั้นไม่พอใจเล้ย ดูยังไงก็เห็นอยู่โต้งๆ ว่าพวกเธอเตี๊ยมกันมาแล้ว และเป้าหมายก็แค่กะจะทำให้เขามีงานยุ่งจนหัวปั่นเท่านั้นด้วย

ความจริงภารกิจในวันนี้ก็เป็นผลลัพธ์จากการมัดมือชกของทุกคนด้วยครึ่งหนึ่ง

ในหลายวันนั้นเฉินเฟิงไม่ได้หัวปั่นแต่กับเรื่องของตึกหญิงโหดเท่านั้น นอกจากตึกวายุประยุทธ์แล้ว พวกสมาชิกที่เป็นระดับหัวหน้าตึกขึ้นไปของตึกที่เหลือทั้ง 3 ตึกพากันห้อแนบมาส่งไม้ผลัดให้เขากันหมด แต่ละคนงี้มีเหตุผลเพียบ แถมต่างบอกให้เฉินเฟิงชดเชยช่วงเวลาที่ทำตัวตัดขาดจากโลกมาซะ แล้วโยนงานทั้งหมดของสมาพันธ์สุมโครมใส่เขาโดยไม่เปิดโอกาสให้ต่อรองเลยสักแอะ

หลังจากที่เขาต้องผ่านช่วงเวลาแห่งการโดนล้างแค้น คมพิรุณก็เป็นตัวแทนของทุกคนเข้ามาพูดกับเขาว่า ถ้าอยากจะพักล่ะก็ จงไปรับภารกิจซะ !

เฉินเฟิงที่เหนื่อยจนแทบกลายเป็นศพรับภารกิจมาทันทีโดยไม่มีการถามไถ่ด้วยซ้ำว่าเป็นภารกิจอะไรยังไง และเพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้เขามาโผล่ที่นี่ในเวลานี้ได้

“เตรียมตัวรับศึก !”

เสียงของคมพิรุณแว่วมา คนทั้งหกอดตื่นเต้นเล็กน้อยไม่ได้

เนื่องจากสมาพันธ์เฟิงจะทำธุรกิจหาน้ำพุเศียรมังกรในระยะยาว ดังนั้นจึงกำหนดนโยบายเอาไว้ว่า ทางสมาพันธ์จะรับดำเนินภารกิจเฉพาะทางหนวดมังกรฝั่งซ้ายเส้นที่ 1 , 2 , 3 เท่านั้น และเพื่อให้สามารถหาน้ำพุเศียรมังกรได้ในปริมาณที่มากขึ้น เสนาธิการอะไรก็ได้แห่งขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์จึงทำการรวบรวมข้อมูลและประมวลผล ถึงแม้สุดท้ายจะยังจับหลักในการปรากฏของน้ำพุเศียรมังกรไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ทำให้ค้นพบทางผ่านจากผาเก้าคดไปสู่เนินจมูกสิงห์เข้าแทนโดยบังเอิญ

สิ่งที่ค้นพบคือ มันจะเกี่ยวเนื่องกับความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่เฝ้าทาง อนึ่งทางหนวดมังกรทั้ง 6 เส้นนี้ ในแต่ละวันจะมีอยู่เส้นหนึ่งที่สัตว์อสูรจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งทางเส้นดังกล่าวจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และในวันนั้นหากทางหนวดมังกรเส้นไหนมีสัตว์อสูรแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จะเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวเลยว่าทางเส้นนั้นแหละที่ศิลาสะบั้นมังกรจะเปิดออก นอกจากนี้หากบังเอิญโชคดีหาน้ำพุเศียรมังกรเจอในเส้นทางนั้นด้วยล่ะก็ น้ำพุที่ได้ยังจะมากเป็นพิเศษอีกด้วย

การที่พวกคมพิรุณเริ่มออกเดินทางเร็วกว่าปกติ 10 นาที แถมยังใช้จอมเวทถึง 3 คนบุกฝ่าทาง ทำให้พอจะเดาได้ว่าสัตว์อสูรที่เฝ้าทางแข็งแกร่งขนาดไหน น่าเสียดายที่ทางหนวดมังกรมีความกว้างจำกัด บวกกับข้างหน้ามีคนอยู่กลุ่มใหญ่ ตอนนี้คนทั้งหกจึงทำได้แต่นิ่งรออย่างเดียว

ฉับพลันนั้นก้อนเมฆบนอากาศได้มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว แม้จะอยู่เลยไปด้านหลังมากเอาการ บวกกับพายุเฮอร์ริเคนระดับ 8[1] คอยรบกวน พวกเฉินเฟิงทั้งหกคนก็ยังสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความชื้นในอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น

“คาถาพิรุณกระหน่ำ !”

เสียงตวาดกังวานใสของคมพิรุณเปิดฉากการต่อสู้ขึ้นในบัดดล

ที่น่าประหลาดคือยุทธวิธีการสู้ดูจะแตกต่างออกไป เพราะหลังจากคาถาพิรุณกระหน่ำถูกใช้ออก ทั้งขบวนกลับไม่ได้เดินรุดหน้าดังที่ควรจะเป็น แต่ยังคงหยุดยืนอยู่ที่เดิม พรานมือธนูทั้งสามรัวธนูใส่ไม่ได้หยุด แต่น่าเสียดายที่ระยะห่างยังไกลเกินไป จากคำพูดของพวกผู้เล่นที่มาว่าจ้างซึ่งอยู่ข้างหน้าทำให้พวกเฉินเฟิงได้ทราบว่าอัตราการยิงถูกต่ำเอามากๆ

ไม่นานต่อมา กระไอร้อนระอุอันคุ้นเคยก็พลุ่งมาปะทะ ม่านเมฆที่แผ่ปกคลุมไปทั่วเมื่อครู่ไม่ทราบหายวับไปไหนหมดเสียแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือกระแสอากาศสีแดงจางๆ

“มังกรคู่ระเบิดอัคคีทำลาย !”

เสียงตวาดแหลมใสของชากุหลาบดังมา อาจเป็นเพราะเฉินเฟิงเคยโดนเธอปล่อยเจ้าระเบิดนี่ใส่โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้ามาแล้วหนหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงตวาดนี้ของเธอเข้า เขาจึงอดหนาวเยือกขึ้นมาอย่างทันทีทันใดไม่ได้ ตอนแรกเขายังกะจะชะโงกไปดูว่าสัตว์อสูรเฝ้าทางข้างหน้ามันตัวอะไร แต่ตอนนี้ไม่ว่าตัวที่เฝ้าทางจะเป็นตัวอะไรก็เถอะ มาโดนทักษะพิเศษของจอมเวทธาตุน้ำกับธาตุไฟกระหน่ำเข้าให้แบบนี้ คงจะตายแหงแก๋กันหมดเกลี้ยงแล้วล่ะมั้ง !

แต่วันนี้การคาดเดาของเฉินเฟิงดูจะไม่ค่อยแม่นยำนัก เพราะทั้งขบวนก็ยังรุดหน้าไปไม่ได้อยู่ดี ขณะที่เขากำลังนึกประหลาดใจนั่นเอง ในช่องกลุ่มก็มีข้อความจากอะไรก็ได้ส่งมาว่า

“เจอปัญหาซะแล้ว เดดิกีวรัส[2] !”

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยที่ถือคติปลอดภัยไว้ก่อนเสมอมารีบเอาข้อมูลของตัวเองออกมาดูทันที :

เดดิกีวรัส สัตว์อสูรประเภทกระดองหนา ขนาดลำตัวใหญ่ ระดับ 45-48 สังกัดธาตุดิน พลังป้องกันสูงมาก พลังโจมตีต่ำกว่า 500 จุดจะไม่มีผลใดๆ กับมันทั้งสิ้น ส่วนพลังโจมตีของมันอยู่แค่ระดับธรรมดาเท่านั้น พลังโจมตีสูงสุดประมาณ 300 จุด

นอกจากนี้พลังโจมตีของเวทมนตร์ทุกธาตุที่โจมตีมันจะถูกทอนลงครึ่งหนึ่ง ยกเว้นเวทมนตร์ธาตุไม้ เมื่อมันหดหัวอยู่ในกระดอง การโจมตีทางวัตถุใดๆ จะไม่มีผลทั้งสิ้น ขอแนะนำให้ผู้เล่นที่มีพลังโจมตีไม่สูงพออย่าไปยุ่งกับมันเด็ดขาด เวทมนตร์ธาตุดินจะช่วยมันฟื้นพลัง จุดอ่อนคือเวทมนตร์ธาตุไม้ ตำแหน่งที่ควรโจมตีด้วยวัตถุคือลำคอ แต่เวลามันหดหัวเข้ากระดองจะไม่สามารถโจมตีได้

ตอนที่เห็นคำแนะนำช่วงแรกๆ เฉินเฟิงยังไม่รู้สึกกระไรนัก เพราะเหล่าสมาชิกสมาพันธ์ที่อยู่ข้างหน้าต่างก็เป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งอย่างมากกันทั้งนั้น บวกกับกระทั่งพญานกฮูกระดับ 65 เขาก็ยังปราบมาแล้ว อาการตื่นเต้นตึงเครียดในตอนแรกจึงค่อยผ่อนคลายลง

แต่ยิ่งอ่านข้อมูลไปจนถึงช่วงท้ายๆ ก็ยิ่งเข้าใจกระจ่างว่าที่อะไรก็ได้พูดว่า “ปัญหา” นั้นหมายความว่าอย่างไร เดดิกีวรัสตัวนี้น่ะมันไม่น่ากลัวอะไรนักหรอก แต่หากเอาสัตว์อสูรทั้งหมดมาเรียงลำดับความยากง่ายในการฆ่าล่ะก็ มันจะถูกจัดอยู่อันดับต้นๆ อย่างแน่นอน

ก่อนอื่น แค่ที่มันถูกจัดอยู่ในประเภทสัตว์อสูรกระดองหนา ก็บอกในตัวอยู่แล้วว่าพลังโจมตีของธนูที่ยิงใส่มันจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง

ต่อมา เดิมทีลักษณะเด่นด้านพลังป้องกันของสัตว์อสูรธาตุดินก็น่าปวดเศียรเวียนเกล้ามากพออยู่แล้ว นี่ยังออกแบบให้ค่าพลังการโจมตีด้วยเวทมนตร์ถูกทอนลงครึ่งหนึ่งอีกต่างหาก แล้วเวทมนตร์ธาตุไม้ที่เป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวนั่น ทุกคนต่างก็ทราบดีว่ามันไม่มีเวทมนตร์ที่มีค่าพลังโจมตีสูงๆ ให้ใช้เลยสักบท เมื่อดูจากเวทมนตร์และอาวุธทั้งหมดที่เกม “ราชาแห่งราชัน” มีให้ใช้ในตอนนี้แล้ว เดดิกีวรัสเรียกได้ว่าเป็น “ปัญหาใหญ่” จริงๆ

หากไปเจอมันเข้าที่อื่นล่ะก็ อย่างมากก็แค่เดินอ้อมมันไปซะไม่ต้องไปสู้ด้วย แต่มันดันเป็นสัตว์อสูรเฝ้าทางของวันนี้นี่สิ การที่ต้องมาเจอมันบนทางหนวดมังกรที่จำเป็นต้องแข่งกับเวลาแบบนี้ พูดได้ว่าเจอปัญหาโคตรใหญ่เข้าให้แล้วเลยเชียวละ

เฉินเฟิงอดลอบทอดถอนใจไม่ได้ หรือดวงเขาจะไม่สมพงษ์กับที่นี่เอาเลยจริงๆ ? มาเดินทางหนวดมังกร 2 หน ก็ดันเจอปัญหาใหญ่เข้าให้ทั้ง 2 หนสิน่า !

ในช่องกลุ่มมีรายงานด่วนถึงสถานการณ์รบในแนวหน้าจากเยี่ยหลานว่า

“สัตว์อสูรรอบๆ ถูกเก็บหมดแล้ว แต่พี่ฝนบอกว่าเดดิกีวรัสมันหดหัวเข้ากระดองไปซะแล้ว การจะฆ่ามันให้ได้ภายใน 15 นาทีไม่มีทางทำสำเร็จได้แน่ ดังนั้น…ทุกคนเตรียมถอนตัวได้ !”

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยส่งข้อความเสริมข้อมูลมาให้ทันทีว่า :

“สภาวะหดหัวเข้ากระดอง การโจมตีด้วยวัตถุไร้ผล ผลการโจมตีด้วยเวทมนตร์ลดลงครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม แต่ในคู่มือสัตว์อสูรมีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า นี่เป็นเวลาหนีที่ดีที่สุด เพราะเวลามันอยู่ในสภาพนี้ มันจะแทบไม่มีพลังโจมตีเลย”



[1] ลมระดับ 8 : ความแรงลมระดับ 8 คือลมที่มีความเร็ว 63-75 กิโลเมตร/ชั่วโมง การแบ่งระดับความแรงของลมโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 12 ระดับ โดยที่ลมซึ่งมีความเร็วน้อยกว่า 2 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะจัดอยู่ในระดับ 0 และลมที่มีความเร็ว 118 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งก็คือพายุระดับพายุไต้ฝุ่น จัดอยู่ในระดับ 12

[2] เดดิกีวรัส (Doedicurus) ชื่อเต็มว่า Doedicurus clavicaudatus เป็นไดโนเสาร์ประเภทหนึ่ง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในจีนัส Glyptodon มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 2.5 ล้านปีมาแล้ว ขนาดลำตัวยาว 4 เมตร สูง 1.5 เมตร ตลอดลำตัวส่วนบนถูกหุ้มด้วยผิวหนังเป็นเกล็ดแข็งลักษณะคล้ายกระดองเต่าที่ผิวนอกทั้งเรียบและโค้งชัน ส่วนหางยาวประมาณ 1 เมตร บริเวณปลายหางมีหนามแท่งใหญ่งอกออกมาโดยรอบดูคล้ายลูกตุ้มหนาม

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:01

0 ความคิดเห็น