หัวข้อ : เล่มที่ 5 มีน้ำใจ แล้งน้ำใจ ตอนพิเศษ ผู้หญิงเป็นใหญ่

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:02

ตอนพิเศษ

 

ผู้หญิงเป็นใหญ่

 

 

ไร้ซึ่งขุนเขาให้ทอดมอง ไร้ซึ่งแมกไม้ให้รำลึก จะมีก็แต่ทราย…ผืนทรายสีเหลืองที่แผ่กว้างออกไปจนสุดสายตา มองไม่เห็นสัญลักษณ์บอกทิศทางใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่ดวงอาทิตย์แรงฤทธิ์เบื้องบน

ผู้ที่เดินทางผ่านทะเลทรายแห่งนี้ต่างทราบดีว่า แม้เปลือกนอกมันจะดูเรียบสงบ แต่ความจริงกลับซ่อนเร้นภยันตรายถึงชีวิตเอาไว้ ต่อให้พื้นรองเท้าหนาแค่ไหน ก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุของเม็ดทรายอยู่นั่นเอง คุณจะไม่มีทางทราบไปตลอดกาลว่าเท้าที่ย่างเหยียบลงไปนั้นจะได้พบกับอะไร อีกทั้งหลังการต่อสู้เพียงชั่วครู่สั้นๆ คุณยังต้องมากังวลอีกด้วยว่าทิศทางที่เดินยังถูกต้องอยู่หรือไม่ ?

ป้อมข้ามทะเลทราย ป้อมดินขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่ทางมุมตะวันออกของทวีปกู่ย่า ผู้เล่นซึ่งคิดจะข้ามทะเลทรายมรณะทุกคนต่างต้องแวะมาที่นี่กันก่อนทั้งนั้น แม้มาถึงป้อมแล้วอาจไม่ได้พบเพื่อนร่วมทางชั่วคราวที่ถูกคอกัน แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ป้อมแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์บอกทิศทางกลางทะเลทรายได้ โดยอาศัยความแตกต่างของทิวทัศน์ข้างหน้าและข้างหลังป้อมทำให้พอจะจับทิศทางได้บ้าง

ถึงแม้เหล่าพวกพ้องในกลุ่มต่างก็มีระดับสูงถึงเกือบ 50 กันทุกคน ทั้งยังเคยตะลุยผ่านทะเลทรายนี้กันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งปกติกลุ่มแบบนี้มักจะออกเดินทางจากหมู่บ้านอิวะแล้วมุ่งหน้าตัดผ่านทะเลทรายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือโดยตรงไปเลย แต่นินจาที่นำเธอเข้ามาสู่สมาคมนินจาเคยบอกเอาไว้ว่า

“หากอยากจะมีเพื่อนร่วมเดินทางข้ามทะเลทรายไปตลอดกาลล่ะก็ ต้องห้ามลืมเด็ดขาดว่า ถึงแม้ความสามารถของตัวเองจะสูงพอแล้วก็ตาม ก็ต้องอย่าลืมแวะมาช่วยเหลือคนที่ต้องตกอยู่ตามลำพังที่นี่ด้วย”

อาจเป็นเพราะเคยทำอย่างนี้มานานมากจนกลายเป็นความเคยชินละมังที่ทำให้เซียวหยาวนำกลุ่มของตัวเองแวะมารายงานตัวที่นี่ก่อนอยู่ดี

ตลอดทางโคบุเอาแต่บ่นกระปอดกระแปดถึงเพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนที่เดิมทีควรจะตามมากับกลุ่มด้วยไม่หยุดปาก เพียงแต่เขาบ่นมาเป็นครึ่งค่อนวัน เพื่อนร่วมทางทั้งสามก็ไม่มีทีท่าว่าจะแยแสสนใจเลยสักนิด ต่างคนต่างก็เดินทางรุดหน้าไปเงียบๆ ราวกับต่างก็จมอยู่ในห้วงภวังค์

ในป้อมข้ามทะเลทรายมีผู้เล่นอยู่สองคน คนหนึ่งดูท่าทางจะเป็นพ่อค้าเร่ ส่วนอีกคนดูท่าทางเหมือนพวกนักดาบพเนจร

เมื่อเห็นว่ามีคนมา พ่อค้าเร่ก็รี่เข้ามาทักทายด้วยความยินดีทันที และขอเข้ากลุ่มร่วมเดินทางไปกับพวกเซียวหยาวด้วย

ส่วนนักดาบนั้น แม้ดวงตาจะฉายแสงดีใจวาบขึ้นตอนที่เห็นเซียวหยาวเดินเข้ามา แต่หลังจากที่เสียงเร่งของโคบุดังขึ้นทางด้านหลัง เขาก็หลับตาลงช้าๆ นั่งจมอยู่ในภวังค์เหมือนเดิม เหมือนพวกเซียวหยาวไม่ได้มีตัวตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น

หลังจากตกลงรับพ่อค้าเร่เข้ากลุ่มแล้ว เซียวหยาวก็จงใจรออยู่ครู่หนึ่ง น่าเสียดายที่นักดาบพเนจรไม่มีทีท่าว่าจะขอความช่วยเหลืออยู่เหมือนเดิม เธอจึงได้แต่เดินนำพ่อค้าเร่ออกไปจากป้อมอย่างเซ็งๆ

คนจำพวกนักดาบคนนี้มี 2 ประเภท ประเภทแรกคือนักดาบพเนจรที่เก่งสุดยอดจริงๆ คนประเภทนี้สามารถข้ามทะเลทรายได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยทั้งสิ้น แต่คนประเภทนี้มีไม่มากนัก และเป็นไปไม่ได้ที่จะมาโผล่อยู่ที่นี่

ส่วนอีกประเภท ก็คือพวกที่ดูถูกผู้หญิง ซึ่งเรื่องนี้เธอชาชินเสียแล้ว ไม่ว่าระดับของเธอจะสูงแค่ไหน คนแบบนี้ก็ยังโผล่มาให้เห็นอยู่ดี หรือคงต้องพูดว่ามันไม่เกี่ยวกับระดับหรอก เพราะต่อให้เห็นผู้หญิงฆ่ามังกรด้วยตัวคนเดียวจะๆ ต่อหน้า คนประเภทนี้ก็จะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นก็แค่ฟลุกเท่านั้นอยู่ดี

เธอรู้ดีอยู่หรอกว่าแค่ให้โคบุหรือเคย์มะมาชวน ก็มีความเป็นไปได้กว่าครึ่งแล้วที่นักดาบคนนี้จะตามมากับพวกเธอด้วย และที่เธอยอมเสียเวลาตั้งครึ่งชั่วโมงเดินอ้อมมาที่นี่ ก็เพราะอยากจะช่วยพวกผู้เล่นที่ตกอยู่ตามลำพังแบบนี้โดยเฉพาะนี่แหละ ที่เธอยอมทำแบบนี้เพียงเพราะอยากที่จะสืบทอดประเพณีนี้ต่อไปอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องมายอมบริการคนประเภทนี้เสียหน่อยนี่นะ

นักดาบมองดูกลุ่มคนที่พากันจากไปตามคำสั่งของนินจาสาวแล้วโพล่งแดกดันขึ้นว่า

“ชิ ! พิลึกชะมัด ทำไมสมัยนี้ผู้หญิงถึงได้เป็นใหญ่มากขึ้นทุกทีแบบนี้ได้วะ ?”

 

แล้วสมาชิกในกลุ่มก็เพิ่มมาอีก 1 คน เพียงแต่เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้ความสงบมีอันต้องหายวับ โคบุยังคงบ่นกระปอดกระแปดถึงเพื่อนร่วมกลุ่มที่ควรจะตามมาด้วยแต่ดันไม่ได้ตามมาต่อไป ส่วนพ่อค้าเร่ที่เพิ่งเข้ามาร่วมกลุ่มก็เอาแต่พูดจ้อสาธยายถึงการค้าขายของตัวเองอย่างสุดจะเห่อ

“โชคดีจริงๆ เลยนะเนี่ยที่ได้มาพบกับพวกคุณ ! พวกคุณรู้เปล่าว่าผมน่ะรอมานานตั้งเท่าไหร่ ? 4 ชั่วโมง ! 4 ชั่วโมงเต็มๆ เชียวนะ ! ผมน่ะไม่เคยต้องรอให้มีคนมาจับกลุ่มข้ามทะเลทรายนานขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย !

“จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษบริษัทที่เปิดให้เล่นเกม ‘ราชาแห่งราชัน’ นั่นแหละ ไม่รู้พวกนั้นคิดจะทำบ้าอะไรกันแน่ เดี๋ยวก็เปิดถ้ำสามคูหาสุดบูรพา เดี๋ยวก็ปล่อยยักษ์สามตาฯออกมา ไอ้แบบนี้มันจงใจแกล้งผู้เล่นกันชัดๆ ! โชคดีที่ตอนหลังสมาพันธ์เฟิงมาตั้งฐานฝึกวิชาที่ที่ราบดินเหลือง ไม่งั้นพวกพ่อค้าเร่ที่อาศัยขายยาฟื้นพลังหากินอย่างพวกเรามีหวังไม่รู้จะทำยังไงดีแน่

“พูดถึงสมาพันธ์เฟิง พวกคุณคงเคยได้ยินชื่อมาก่อนแหงอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ? เฉินเฟิงคนนั้นนี่เก่งสุดๆ ไปเลยจริงๆ ได้ยินว่าจนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะเล่นเกมราชาแห่งราชันได้แค่เดือนเดียวเท่านั้นนะ ! ฟังให้ชัดๆ นะ แค่เดือนเดียวเท่านั้น ! เขาสร้างสมาพันธ์เฟิงขึ้นมาเองกับมือเชียวนะ เป็นคนโชคดีเป็นบ้าเลยเนอะ น่าเสียดายที่สมาพันธ์เขาดันรับสมาชิกจำนวนจำกัด ไม่งั้นผมละอยากสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกด้วยคนจริงๆ”

พ่อค้าเร่พูดจ้อเป็นต่อยหอยไม่มีการเบรกเหมือนไม่ได้พูดกับใครมาเป็นปีๆ ยังไงยังงั้น

ระลอกน้ำแห่งสารทม่วงอดนึกเจ็บใจตัวเองไม่ได้ที่ตอนแรกดันไปพูด “อืมม์” รับอีตาพ่อค้าเร่นี่ไปหนหนึ่ง ทำให้ต้องรับหน้าที่เป็นคนคอยส่งเสียง “อืมม์” ให้อีตาพ่อค้าเร่นี่ไปเลย พออีตาพ่อค้าเร่นี่พูดไปได้สักพัก ก็จะหันมาบังคับให้เธอแสดงความเห็นบ้าง ถึงแม้ทุกครั้งเธอจะตอบไปแค่ “อืมม์” คำเดียว หรือแค่พยักหน้ารับ แถมบนหน้างี้เขียนไว้ชัดเจนว่าสุดจะฝืนทน แต่พ่อค้าเร่ก็ไม่สนใจ และยังคงพล่ามน้ำไหลไฟดับต่อไปอย่างเพลิดเพลิน

“ไอ้หยา ! ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นนะเนี่ย พวกคุณเป็นนินจากันทุกคนเลยสินะ ? ไม่ทราบว่ากลุ่มเก่าหรือกลุ่มใหม่…อ๊ะ ! กลุ่มใหม่น่ะเอง ! เมื่อกี้ไม่ทันได้สังเกตตราของคุณ

“ฮิฮิ พูดจริงๆ นะ ตอนนี้สมาพันธ์ของพวกคุณเองก็ไปได้สวยอยู่เหมือนกันนา ! แต่เทียบกับสมาพันธ์เฟิงแล้วยังด้อยกว่าหน่อยนึงอยู่ดี แต่ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่พยายามมากๆ หน่อย รับรองว่าต้องทำให้เจ๋งกว่าสมาพันธ์เฟิงได้อยู่แล้วล่ะน่า !

“จริงสิ เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยินมาว่าสมาพันธ์เฟิงเริ่มรับสมัครสมาชิกอีกแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ประกาศรับแบบเปิดเผย ผมน่ะเคยค้าขายกับท่านหัวหน้าสมาพันธ์เฉินเฟิงมาครั้งนึงด้วยนะ ! ครั้งนั้นเขาขายน้ำพุเศียรมังกรให้ผมตั้ง 15 ลิตรเต็มๆ เชียวละ แล้วแค่ 2 วันผมก็ขายต่อได้หมดเกลี้ยง พวกคุณรู้มั้ยว่าผมได้กำไรเท่าไหร่ ? 10,000 เหรียญเงิน ฟังให้ชัดๆ นะ 10,000 เหรียญเงินเชียวนะครับ !”

หลังจากระลอกน้ำฯที่รำคาญโคตรๆ พยายามส่งสัญญาณบอกนัยให้พ่อค้าเร่หยุดพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วไร้ผล จึงจำต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเซียวหยาวที่นิ่งเงียบงันมาตลอดทาง โดยกะจะชวนเซียวหยาวคุยสัก 2-3 คำเพื่อสลัดอีตาพ่อค้าเร่นั่นไปซะ น่าเสียดายที่เซียวหยาวยังคงตั้งหน้าตั้งตาเร่งฝีเท้าอยู่เหมือนเดิมโดยไม่ยอมชะลอฝีเท้าลงเลย ซึ่งก็ไม่ทาบเหมือนกันว่าเจ้าตัวกำลังเร่งเดินทางจริงๆ หรือไม่รู้สึกถึงสถานการณ์คับขันของเธอกันแน่ เพราะดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอเลยสักนิด

แน่ละว่าพ่อค้าเร่ไม่มีทางยอมปล่อยท่านผู้ฟังที่แสนดีอย่างระลอกน้ำฯไปเด็ดขาด และรีบเร่งฝีเท้าตามติดมาถึงด้านหลังของเธอทันที จากนั้นก็เริ่มพูดเองเออเองเป็นต่อยหอยต่ออย่างเพลิดเพลิน

“ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมดวงของเฉินเฟิงถึงได้ดีเป็นพิเศษอยู่เรื่อย ถึงครั้งนั้นผมจะซื้อน้ำพุฯจากเขาตั้ง 15 ลิตรก็เถอะ แต่นั่นน่ะเป็นแค่ 1 ใน 5 ของที่เขามีอยู่ทั้งหมดเท่านั้น นี่ถ้าผมดวงดีอย่างเขาบ้างล่ะก็นะ ตอนนี้มีหวังรวยเละไปแล้ว แล้วผมยังได้ยินข่าวมาอีกข่าวว่า ดูเหมือนเขาจะซื้อระเบิดแสงได้ในราคาที่ถูกมากๆ เลยด้วย ได้ยินว่าได้มาในราคาต่ำกว่าครึ่ง…”

“พอแล้วโว้ย ! นายไม่เบื่อมั่งรึไงหา ! ไอ้หมอเฉินเฟิงนั่นมันก็แค่บังเอิญฟลุกดวงดีหน่อยแค่นั้น มันไม่ได้ยิ่งใหญ่เก่งกาจอะไรอย่างที่นายว่ามาเลยซักนิด” เสียงบอกความรำคาญสุดขีดของโคบุขัดคำพูดของพ่อค้าเร่ขึ้นกลางคัน

ระลอกน้ำฯไม่เคยรู้สึกชอบเสียงของโคบุมากเท่านี้มาก่อนเลย ในที่สุดโคบุก็ช่วยชีวิตเธอจากทะเลทุกข์นี่ได้เสียที เธอรีบอาศัยจังหวะที่พ่อค้าเร่มัวตกตะลึงรีบย้ายที่แวบไปอยู่อีกข้างของเซียวหยาวทันควัน

โคบุมองสีหน้าเหมือนจะพูดว่า “นายกล้าพูดจาดูถูกไอดอลของฉันเชียวเรอะ !” ของพ่อค้าเร่แล้วยิ้มหยัน

“ฉันก็พอจะนับได้ว่ารู้จักหมอนั่นอยู่หรอก ในเมื่อนายอยากจะเข้าสมาพันธ์กิ๊กก๊อกของมันนัก ฉันก็พอจะช่วยแนะนำตัวให้นายได้อยู่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เชื่อว่าเพื่อนที่ต่างก็เป็นระดับผู้นำสมาพันธ์เหมือนกันคงไม่ถึงกับไม่เห็นแก่หน้ากันอยู่แล้ว”

หลังจากฟังที่โคบุพูดจบปุ๊บ สีหน้าเป็นฟืนเป็นไฟในตอนแรกของพ่อค้าเร่ก็เปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทันที รีบประจบว่า

“ว้าว ! ท่านผู้กล้ารู้จักท่านหัวหน้าสมาพันธ์เฟิงด้วยหรือครับ ?! โปรดอภัยให้ผู้น้อยที่มีตาหามีแววไม่ด้วยเถิดครับ ถ้าท่านผู้กล้ายินดีช่วยแนะนำตัวให้ผู้น้อยก็เจ๋งไปเลยครับ ไม่ว่าที่ไหนเวลาไหน ขอแค่ท่านผู้กล้าสะดวก ผู้น้อยยินดีมาได้ทุกเวลาเลยครับ !”

โคบุพูดเสียงเหยียด “เรียกผู้กล้าผมเห็นจะไม่กล้ารับ นายน่ะพลาดโอกาสไปแล้ว เพราะตอนนี้หมอนั่นอยู่ที่หมู่บ้านอิวะ ตอนนี้พวกเรายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ เอาเป็นวันมะรืนก็แล้วกัน ถึงเวลาก็มารอผมที่ภัตตาคารในหมู่บ้านอิวะก็ได้ แต่…อย่าหาว่าผมไม่เตือนกันล่วงหน้านะว่า หมอนั่นก็แค่โชคดีิดหน่อยเท่านั้น สมาพันธ์เฟิงเองก็ไม่ได้ดีเด่อย่างที่นายคิดด้วย ถึงตอนนั้นแล้วมานั่งนึกเสียใจล่ะก็ อย่ามาโทษผมเด็ดขาดล่ะ”

“เขาแค่บังเอิญโชคดีเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ โคบุ ? ฉันว่าเรื่องที่พวกเราต้องเรียนรู้จากเขาน่ะมีไม่ใช่น้อยๆ เลยล่ะ นายอย่าโกหกตัวเองจะดีกว่า…” เสียงเย็นชาของเซียวหยาวหักหน้าโคบุอย่างไม่มีการเกรงใจ

 

เกม “ราชาแห่งราชัน” ได้สร้างภัตตาคารเอาไว้ในเมืองทุกเมือง แถมยังจงใจกำหนดรูปแบบให้ภัตตาคารแต่ละแห่งต่างก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง อาทิเช่นเมนูอาหารบางอย่าง และการตกแต่งที่แตกต่างกัน

เนื่องจากมีทะเลทรายมรณะและหุบเขามรณะกั้นขวาง ส่งผลให้หมู่บ้านอิวะซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปกู่ย่ากลายเป็นเมืองที่มีพัฒนาการเชื่องช้าที่สุดในทวีปกู่ย่า แต่ถึงนกกระจอกตัวจะเล็ก อวัยวะก็ครบครัน นอกจากกลุ่มขนส่งแล้ว ทุกอย่างที่ถูกกำหนดให้มีในเมืองทั่วไป หมู่บ้านอิวะเองก็มีครบครัน ซึ่งแน่ละว่ารวมถึงภัตตาคารด้วย

ภัตตาคารของหมู่บ้านอิวะก็เป็นเหมือนกับตัวหมู่บ้านอิวะ นั่นคือมีขนาดเล็ก ดูเรียบๆ โบราณๆ และเป็นธรรมชาติ การตกแต่งของร้านทำให้ผู้เล่นนึกไปถึงโรงเตี๊ยมในสมัยก่อน กระทั่งคำเรียกเถ้าแก่และพนักงานร้านก็เปลี่ยนไปเรียกเลียนแบบยุคโบราณ ตรงป้ายชื่อของเถ้าแก่เขียนเอาไว้ว่า “ต้าจ่างกุ้ย” (คนคุมบัญชี) ส่วนป้ายชื่อบนตัวของพนักงานเขียนเอาไว้ว่า “เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์” (เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้าน)

วันนี้ภัตตาคารหมู่บ้านอิวะที่ปกติธุรกิจไม่ค่อยจะรุ่งดูจะคึกคักเป็นพิเศษ สาเหตุเป็นเพราะมีบุคคลระดับผู้นำของบางสมาพันธ์หลายคนมาเหมาโต๊ะเลี้ยงอาหารฉลองทีเดียวหลายโต๊ะ

และสมาพันธ์ที่ว่านี้ก็คือสมาพันธ์ที่โด่งดังที่สุดในเกม “ราชาแห่งราชัน” ในเวลานี้ ถึงแม้สมาพันธ์นี้จะมีสมาชิกน้อยนิดแค่ 100 คน แต่กลับเป็นจุดสนใจของผู้เล่นทั้งเกม ดังนั้นเหล่าลูกค้าขาจรที่มาเพราะได้ยินข่าวจึงมีมากกว่าปกติอย่างน้อย 10 เท่าตัว แน่ละว่าเถ้าแก่ร้านย่อมจะยิ้มย่องยินดี แต่เสี่ยวเอ้อร์นี่สิซวยสะบัด

การมาถึงปุ๊บก็ผลุนผลันจากไปปั๊บของท่านหัวหน้าสมาพันธ์เฟิงทำเอาทั่วทั้งภัตตาคารปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นว่าเมื่อกี้เถ้าแก่ร้านเข้าไปพูดคุยหัวเราะร่วนอะไรไม่ทราบกับสมาชิกสมาพันธ์เฟิงสามคนอยู่พักใหญ่ จึงเฮโลกันไปสอบถามดู แล้วข่าวลือซุบซิบก็แพร่สะพัดไปทั่วด้วยประการฉะนี้

ขณะนี้ชายหนุ่มทั้งสามผู้บันดาลให้เถ้าแก่ร้านกลายเป็นคนดังกำลังถูกทรมานโดยการโดนหญิงสาวแปดคนสอบปากคำอยู่ในห้องพิเศษจนต่างต้องร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ หลังจากบอกเล่าที่มาที่ไปจบจนได้ สามหนุ่มก็ฉวยโอกาสที่พวกสาวๆ กำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดแวบหายออกจากประตูไปราวกับควันโดยไม่กล้าลังเลแม้แต่นิดเดียว

ด้วยความพยายามเล่าเรื่องแบบผ่อนหนักเป็นเบาของเจี๋ยเต๋อ วันตะวันสดใสในเดือนเจ็ด และอาชากาฬเทพแดนประจิม สามหนุ่มผู้น่าสงสาร แต่ขณะเดียวกันก็แสนจะกะล่อน ทำให้พวกสาวๆ ได้ทราบเพียงว่าเฉินเฟิงได้พบกับกลุ่มบุคคลชั้นผู้นำของสมาพันธ์ไหนสักสมาพันธ์ ถึงแม้สุดท้ายสามหนุ่มจะถูกสาวๆ บางคนที่ประสาทสัมผัสค่อนข้างไวเค้นคอถามจนต้องยอมสารภาพว่ากลุ่มผู้นำสมาพันธ์พวกนั้นมีกว่าครึ่งที่เป็นผู้หญิงก็ตาม อย่างน้อยมันก็ช่วยให้สถานการณ์อลักเอลื่อผ่อนเพลาลงไปมาก

เหล่าสาวๆ ถกกันไปถกกันมาถึงตอนท้ายหัวข้อก็กลายเป็นเรื่องของเยี่ยหลานผู้น่าสงสารที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนซี้ของพวกเธอไป โดยพากันกังวลว่าเยี่ยหลานจะมีศัตรูความรักโผล่มา และกังวลว่าเธอจะไม่เก่งกาจสามารถมากเท่าศัตรูความรักที่ว่านั่น

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำเอาคมพิรุณที่อยู่ข้างๆ และร่วมรู้เห็นเหตุการณ์อยู่ด้วยตลอดทั้งขบขันและอ่อนระอา แต่เธอก็พอจะฟังออกถึงมิตรภาพระหว่างสาวๆ พวกนี้และความไม่พอใจต่อสมาคมของพวกเธอเองอยู่เหมือนกัน

เนื่องจากตัวการไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย ทำให้ถึงจะถกยังไงก็ไม่มีผลสรุปอะไร พวกสาวๆ จึงค่อยๆ เบนประเด็นหลักไปยังเรื่องรวบรวมข้อมูลแทนที่ เพียงแต่พอหันไปดูถึงค่อยทราบว่า สามหนุ่มนั้นทิ้งกับข้าวเต็มโต๊ะเอาไว้โดยไม่แตะสักนิดแล้วเผ่นหายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบ

สุดท้ายคมพิรุณซึ่งเป็นหัวหน้าตึกวายุประยุทธ์จึงตกเป็นเป้าสอบถามของพวกเธอไปโดยปริยาย

จากการสอบถามและถกร่วมกัน ทำให้คมพิรุณค่อยทราบว่า สาวๆ พวกนี้ต่างก็มีที่มาไม่ใช่ย่อยๆ เลย เพียงแต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สมาพันธ์เฟิงเป็นตัวจุดชนวนขึ้นนี้ได้ส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อสมดุลระหว่างสมาคมที่พวกเธอเคยสังกัด

ความจริงสาวๆ พวกนี้ไม่ได้รวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันมานานเอาการ พวกเธออุตส่าห์พยายามสลัดหลุดจากการควบคุมของสมาคมมาจนได้ แต่เมื่อไม่ได้สังกัดสมาคมไหนๆ แล้วแบบนี้ ก็ทำเอาพวกเธอไม่มีที่ให้แสดงความสามารถไปเลยเหมือนกัน

เมื่อหวนนึกถึงสมาพันธ์เฟิงที่มีผู้ชายล้นหลามผู้หญิงหร๋อมแหร๋ม ไอเดียหนึ่งก็ค่อยๆ ผุดขึ้นในสมองของคมพิรุณ

“พวกคุณอยากจะช่วยหลานจริงๆ หรือเปล่าน่ะ ?” อยู่ๆ คมพิรุณก็โพล่งถามขึ้นอย่างมีนัย ทำเอาเหล่าสาวๆ ต่างนึกฉุนไปตามๆ กัน และร้องว่าแบบนี้มันดูถูกความเป็นเพื่อนของพวกเธอนี่ !

“อย่างนั้นพวกคุณพอใจพระเอกคนนี้หรือเปล่าล่ะคะ ?”

พวกสาวๆ พากันออกความเห็นดังเซ็งแซ่ แน่ละว่าต่างคนต่างก็มีรสนิยมของตัวเอง แต่ที่คาดไม่ถึงคือทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าอย่างน้อยก็ “พอไหว”

“ถ้าอย่างนั้น หลานชอบเขาจริงๆ หรือเปล่าคะ ?”

รุกถามไปอีกก้าว พวกสาวๆ พากันบอกถึงหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเยี่ยหลานกำลังตกหลุมรักเป็นการใหญ่ แถมยังสบถสาบานว่า ถ้าเยี่ยหลานไม่ได้ตกหลุมรักจริงละก็ พวกเธอจะยอมถูกปรับโดยไม่ซี้ซั้วนินทาใครอีกต่อไป

“อย่างนั้นถ้าหากมีตำแหน่งระดับผู้นำของสมาพันธ์ที่ทั้งมีสิทธิ์ออกความเห็นและมีอิสระให้พวกคุณ พวกคุณจะยอมเสียสละเวลาสักนิดให้เยี่ยหลานหรือเปล่าคะ ?”

คำถามนี้ทำเอาพวกสาวๆ ลังเลไปชั่วครู่ แต่ไม่นานก็พากันเบนประเด็นมายังเรื่องที่มีสิทธิ์ออกความเห็นและมีอิสระ

“ฉันไม่ใช่ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดหรอกหรือคะ ? หรือว่าในสายตาของพวกคุณในช่วงที่ผ่านมานี้ ฉันดูไม่มีอำนาจเลยสักนิดกันล่ะคะ ?”

คมพิรุณเอาตัวเองเป็นประกัน และสามารถกระตุ้นความสนใจของพวกสาวๆ ได้อย่างถึงแก่น และแล้วหนึ่งวันให้หลังตึกใหม่ที่ทำให้ทั้งเฉินเฟิงและสมาพันธ์เฟิงทั้งรักทั้งชังก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยประการฉะนี้ ขณะที่พระเอกนางเอกที่ถูกปกป้องและถูกวางแผนทั้งสองต่างก็ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่า จุดประสงค์ที่เหล่าสาวสารพัดชาเข้าสู่สมาพันธ์ ก็เพื่อจะเป็นแม่สื่อให้เขาทั้งสองนั่นเอง

หลังจากที่เหล่าสาวสารพัดชาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมสมาพันธ์แล้ว ก็ได้ระบุปัญหาขึ้นว่า อย่างน้อยพวกเธอก็ไม่ควรจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนถึงขนาดอยู่กันต่อไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะทั้งชากุหลาบที่เพิ่งจะลาออกจากสมาคมจอมเวท ชาอูหลงเข้มจัดที่ยังมีกรณีพิพาทอยู่กับสมาคมนักเขียน และชากุ้ยหยวนพุทราแดงที่ลาออกจากสมาคมนายพรานในขณะที่ทางสมาคมกำลังเผชิญคลื่นลมจนง่อนแง่น ต่างก็ถือเป็นเผือกร้อนจากสามสมาคมนั่นกันทั้งนั้น

คำตอบของคมพิรุณง่ายดายมาก

“ปัญหาพวกนี้น่ะ ถึงไม่มีสมาพันธ์เฟิง มันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดีล่ะค่ะ การปรากฏขึ้นของสมาพันธ์เฟิงแค่เร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นเท่านั้น ส่วนเรื่องที่สมาพันธ์เฟิงจะตกเป็นเป้าโจมตีเพราะการรับคุณสามคนเข้าสมาพันธ์หรือเปล่านั่น ยิ่งไม่ต้องกังวลเข้าไปใหญ่ เพราะสมาพันธ์เฟิงตกเป็นเป้าโจมตีมาตั้งนานแล้ว ! แต่ก็แน่ล่ะว่าฉันจะหาเวลาไปคุยกับพวกระดับสูงของสมาคมเดิมของพวกคุณอีกทีเอง เพราะถึงยังไงบอกกล่าวกันไว้ให้ชัดเจนก่อนก็ดีอยู่ ขืนไปหักดิบรับพวกคุณมาโดยไม่อธิบายอะไรให้ทางโน้นฟังเลยนี่ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แล้วมันจะผิดจากที่ฉันตั้งใจไว้เสียเปล่าๆ ส่วนพวกคุณแค่ตั้งใจคิดแผนการดีๆ ให้ได้ก็พอแล้วค่ะ

 

ในภัตตาคารขนาดเล็กที่ดูเรียบๆ โบราณๆ และเป็นธรรมชาติแห่งเดิมของหมู่บ้านอิวะ วันนี้ดูเงียบเหงากว่าเก่ามาก แน่นอนว่ารอยยิ้มย่องยินดีของเถ้าแก่ร้านได้สลายไปสิ้น ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแก้มปริอย่างเกียจคร้าน

ทันใดนั้นเอง หญิงสาวสวมชุดคลุมจอมเวทสีฟ้าก็ได้ก้าวเข้ามาในภัตตาคาร ครั้นเห็นในร้านมีลูกค้านั่งอยู่แค่ 2-3 ราย ก็ลังเลชั่ววูบ แล้วเลือกนั่งลงตรงโต๊ะว่างริมหน้าต่าง

ครั้นเห็นแขกที่มา เถ้าแก่ร้านก็รี่เข้ามาต้อนรับด้วยตัวเองทันที เพราะแขกคนนี้เป็นแขกที่เถ้าแก่โปรดปรานที่สุดในระยะนี้ เนื่องจากที่คะแนนกิจการในเดือนนี้ของเถ้าแก่เพิ่มขึ้นพรวดพราด กว่าครึ่งเป็นเพราะอาศัยเพื่อนๆ ของจอมเวทคนนี้ทั้งนั้น

“ท่านหัวหน้าตึกคมพิรุณสบายดีหรือขอรับ วันนี้มาคนเดียวหรือขอรับ ?”

คำทักถามของเถ้าแก่ร้านก่อให้เกิดความแตกตื่นชุลมุนเล็กน้อยภายในร้าน เสี่ยวเอ้อร์เพิ่งจะรู้ตัวว่าคนที่มาคือคมพิรุณ หัวหน้าตึกแห่งสมาพันธ์เฟิงนั่นเอง มิน่าเล่าเถ้าแก่ถึงได้แย่งงานเขาไปทำหน้าตาเฉย

คมพิรุณอดรู้สึกไม่พอใจไม่ได้ เพราะวันนี้เธอนัดคนไว้ และที่เธอตัดสินใจเลือกนั่งด้านนอกโดยไม่จองห้องพิเศษก็เพราะเห็นว่าในร้านมีคนอยู่แค่ไม่กี่คนนี่ล่ะ แต่พอเถ้าแก่เข้ามาร้องทักแบบนี้ เธอจึงมีอันตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนไปในทันที ซึ่งทำให้ไม่สะดวกที่จะพูดคุยธุระกันในอีกสักครู่อย่างมาก

แต่โชคดีที่ผู้เล่นในภัตตาคารไม่ได้ตาถั่วกันนัก เพราะต่างก็สังเกตเห็นว่าคมพิรุณจงใจเลือกที่นั่งที่อยู่ในมุมเงียบสงบ ทำให้ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าเธอไม่ต้องการถูกรบกวน ดังนั้นหลังความแตกตื่นชุลมุนผ่านพ้น ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้เกี่ยวเนื่องกับเถ้าแก่ร้านเหมือนกัน เพราะพอเถ้าแก่ร้องทักจบปุ๊บ ก็ทำหน้าเหมือนทำอะไรพลาดไปเสียแล้วทันที แถมยังหันไปแสดงท่าทีบอกนัยแก่แขกคนอื่นอย่างกระอักกระอ่วนว่าอย่ามารบกวนแขกท่านนี้อีกต่างหาก

ถึงแม้คมพิรุณจะไม่ได้เป็นอย่างเฉินเฟิงที่ชินกับการถูกผู้คนห้อมล้อมไปนานแล้ว แต่การดำรงตำแหน่งหัวหน้าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์มาเป็นเวลานานก็ได้ฝึกเธอให้เป็นคนเก่งในด้านสมาคมกับคนอื่น และแน่ละว่าเธอย่อมไม่มีทางล่วงเกินทุกคนในรวดเดียวอย่างแน่นอน

ในเมื่อถูกเถ้าแก่เอ่ยชื่อออกมาเสียแล้ว คมพิรุณจึงยืนขึ้นอย่างห้าวหาญ แล้วกล่าวทักทายทุกคนอย่างสนิทสนมว่า

“สวัสดีค่ะทุกท่าน ต้องขออภัยอย่างยิ่งค่ะที่ไปรบกวนทุกท่านเข้า แต่วันนี้คมพิรุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อรับภารกิจหรอกค่ะ ดิฉันแค่นัดพบเพื่อนเอาไว้เท่านั้น หากต่อไปมีเรื่องใดที่ต้องการให้สมาพันธ์เฟิงช่วยบริการละก็ ทางสมาพันธ์เฟิงยินดีต้อนรับคำร้องขอของทุกท่านเสมอค่ะ ขอเพียงเป็นเรื่องที่สมาพันธ์เฟิงสามารถช่วยได้ พวกเราจะช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอนค่ะ”

แขกทุกคนพากันคารวะตอบตามมรรยาท เถ้าแก่เองก็ฉวยโอกาสถอยออกไปจากตำแหน่งอลักเอลื่อ แล้วไปวุ่นวายสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมสุราอาหารมา

ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่หากลองตั้งใจเงี่ยหูฟัง จะพบว่าถึงแม้บรรดาผู้เล่นในภัตตาคารจะไม่ได้เข้าไปรบกวนคมพิรุณ แต่ก็พากันกระซิบกระซาบเดากันอยู่ดีว่าเพื่อนที่คมพิรุณรออยู่คือใคร

ต้องทราบว่าแม้คนของสมาพันธ์เฟิงจะไปเยือนภัตตาคารบ่อยๆ แต่เวลาที่มีธุระต้องคุย พวกเขาก็จะใช้ห้องพิเศษทุกครั้ง ส่วนทางด้านนอก นอกจากรับคำร้องทำหน้าที่ทหารรับจ้างแล้ว ก็เรียกได้ว่าโอกาสที่จะได้พบคนของสมาพันธ์เฟิงมีน้อยมาก

เมื่อเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพก้าวเข้ามาในภัตตาคารหมู่บ้านอิวะพร้อมกัน แม้เหล่าผู้เล่นที่รู้กาลเทศะเมื่อครู่จะต่างทราบกันดีว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเหมาะควร ก็ยังอดตกตะลึงจนชุลมุนวุ่นวายไปเล็กน้อยไม่ได้

หากกล่าวว่าสมาพันธ์เฟิงทำให้เหล่าผู้เล่นทั่วทั้งเกมราชาฯต้องหันมาจับตาดูล่ะก็ อย่างนั้นในหมู่บ้านอิวะแห่งนี้ มรสุมที่สมาพันธ์นินจาเงา (อิ๋งเหริ่นเหมิง) ซึ่งเพิ่งจะตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ก่อให้เกิดขึ้นในหมู่บ้านอิวะก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามรสุมที่เกิดจากสมาพันธ์เฟิงเลย

มีข่าวลือจากเหล่าผู้ที่ได้รับความเสียหายว่า ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพนินจาที่สมาพันธ์เฟิงมีอยู่ เซียวหยาว หัวหน้าสมาพันธ์นินจาเงาคนนี้แหละที่เป็นคนแพร่งพรายให้ หลังจากที่สมาคมนินจาทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้เล่นที่ยังไม่ได้อาชีพจำนวน 30 กว่าคนก็ถูกทอดทิ้งทันที ถึงแม้เซียวหยาวจะช่วยเก็บเศษขยะที่สมาคมนินจาเดิมทิ้งเรี่ยราดเอาไว้ก็ตาม ป้ายคำว่า “คนทรยศ” ก็ยังคงตามติดอยู่กับสมาพันธ์นินจาเงาอย่างไม่ยอมหลุดอยู่ดี

แน่ละว่าข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลืออยู่นั่นเอง ต่อมาหัวหน้าในนามของสมาคมนักฝึกสัตว์ ยังมีพวกโคบุ เคย์มะ ซึ่งเป็นนินจาที่มีระดับค่อนข้างสูงต่างก็ทยอยกันเข้าสู่สมาพันธ์นินจาเงา

สมาพันธ์นินจาเงาเองก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้เล่นจำนวนมากเช่นเดียวกับสมาพันธ์เฟิง เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นสมาพันธ์ที่มีข้อมูลของอาชีพหลายอาชีพเหมือนกัน การก่อตั้งของสมาพันธ์ซึ่งตั้งขึ้นในระยะแรกของการปรับตัวของเหล่าสมาคมต่างๆ ถือว่าก่อตั้งขึ้นเป็นสมาพันธ์แรกๆ และมีความมั่นคงพอสมควรทีเดียว

ที่วันนี้บุคคลระดับสูงของทั้งสองสมาพันธ์ได้มาพบหน้ากัน ณ ที่นี้มันหมายความว่ายังไงกันหนอ ? การคาดเดาต่างๆ นานาเริ่มลุกลามไปทั่ว

หลังจากที่หญิงสาวทั้งสามต่างแนะนำตัวเองและนั่งลง เถ้าแก่ก็ค้นพบด้วยความยินดีว่าผู้คนเริ่มถูกพวกเธอสามคนดึงดูดให้เข้ามาในร้านกันแล้ว เพราะเริ่มมีผู้เล่นทยอยกันเดินเข้ามารายงานตัวในภัตตาคารอย่างไม่ขาดสาย แน่นอนว่าผู้เล่นทุกคนต่างก็จงใจรักษาความเงียบสงบเอาไว้ และเจตนาของทุกคนนั้นเห็นชัดเสียยิ่งกว่าชัด เถ้าแก่เองก็น้อมสนองด้วยความยินดีโดยจัดการให้พวกเขาไปนั่งร่วมวงในกลุ่มน้องหนูสอดรู้ซะ

เถ้าแก่ร้านยกอาหารมาวางเต็มโต๊ะด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่หญิงสาวทั้งสามดูจะไม่ค่อยนึกอยากทานเท่าไรนัก แค่คีบไป 2-3 ครั้งก็หยุดมือเสียแล้ว

เซียวหยาวถามว่า “คุณคมพิรุณคะ ไม่ทราบว่าที่นัดพวกเรามาในวันนี้มีธุระสำคัญอะไรจะคุยหรือเปล่าคะ ?”

“ตอนแรกก็บอกแล้วนี่คะว่าไม่มีเรื่องสลักสำคัญอะไรหรอก ฉันแค่อยากจะทำความรู้จักกับคุณสองคนเท่านั้นเองค่ะ” คมพิรุณตอบ “พวกเรานัดเวลาที่ทั้งพวกคุณและฉันต่างก็ว่างแล้วไม่ใช่หรือคะ ? หรือว่าวันนี้พวกคุณยังมีธุระอื่นต้องทำ ? ถ้าอย่างนั้นฉันมารบกวนคุณเข้าละคงไม่ดีแน่ค่ะ”

สีหน้าเซียวหยาวอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากคมพิรุณมีฐานะพิเศษ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะมาคุยกันถึงเรื่องสำคัญอย่างเรื่องเกี่ยวกับสมาพันธ์หรือเรื่องการพัฒนาของอาชีพ เพราะเหตุนี้เพื่อการนัดพบกันในวันนี้ พวกเธอจึงต้องเปิดประชุมกันไม่ทราบกี่ครั้งเข้าไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าคมพิรุณดันบอกว่าไม่มีเรื่องสลักสำคัญอะไรเสียได้ ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าตัวเธอหลงเครียดไปเองทั้งนั้น ลงเป็นแบบนี้แล้วอีกเดี๋ยวเธอจะกลับไปอธิบายว่ายังไงดีกันล่ะนี่

วิหารจันทราเทพระบายลมหายใจเฮือก “ฉันนึกว่าคุณคมพิรุณมาในฐานะตัวแทนของสมาพันธ์เฟิงซะอีกค่ะ ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าทำไมเฉินเฟิงถึงไม่ยอมมาเอง…โอ๊ะ ! คุณคมพิรุณกรุณาอย่าเข้าใจผิดนะคะ ! ฉันไม่ได้หมายความอย่างอื่นหรอกนะ พวกเราเองก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งเชียวค่ะที่มีโอกาสได้รู้จักกับคุณ”

สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทั้งรอคอยและกลัวจะถูกทำร้ายของสองสาวทำให้คมพิรุณอดอมยิ้มไม่ได้

“หยาว จันทราเทพ คงไม่รังเกียจที่พี่จะเรียกพวกเธอแบบนี้ใช่ไหมคะ ? ดูท่าทางฐานะในสมาพันธ์เฟิงของพี่จะทำความลำบากใจให้พวกเธอเสียแล้ว ถึงวันนี้พี่จะไม่ได้มาในฐานะตัวแทนของสมาพันธ์เฟิง แต่ก็เกี่ยวกับเฉินเฟิงล่ะค่ะ !”

เมื่อได้ยินคำทักทายอย่างสนิทสนมของคมพิรุณ สองสาวก็ชักรู้สึกกระดาก เพราะเมื่อครู่เธอสองคนตั้งแง่กีดกันอีกฝ่ายเกินไปจริงๆ

เซียวหยาวตอบว่า “ต้องขอโทษด้วยนะคะพี่ฝน พี่ก็รู้ว่าช่วงใกล้ๆ นี้แต่ละกลุ่มสมาคมต่างก็ตึงเครียดหวาดระแวงกันทั้งนั้น เมื่อกี้พวกเราเป็นฝ่ายเสียมารยาท ต้องขออภัยพี่จริงๆ ค่ะ ! วันนี้พี่ฝนคงไม่แค่จะมาทำความรู้จักพวกเราอย่างเดียวใช่ไหมคะ ? พี่เฟิงมีธุระสำคัญอะไรหรือคะ ขนาดตัวเองมาไม่ได้ก็ยังวานให้พี่ฝนลำบากมาแทนให้แบบนี้น่ะ ?”

วิหารจันทราเทพยิ้มละไม “นั่นสิคะ ! ทำเอาพวกเราต้องเปิดประชุมกันตั้งหลายครั้งเพื่อที่จะมาพบพี่เชียวนะคะ”

“พี่บอกว่าเกี่ยวข้องกับเฉินเฟิงก็จริง แต่พี่ไม่ได้มาแทนเขาหรอกนะคะ !” คมพิรุณแกล้งแซว “ถึงตอนนี้เขาจะยุ่งมากทุกวันก็เถอะ แต่ถ้าจะหาเขาล่ะก็ง่ายมากค่ะ ในเมื่อเธอสองคนคิดถึงเขาขนาดนี้ งั้นพี่จะช่วยเรียกเขามาให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”

ขืนคนอื่นมาได้ยินคำพูดนี้ของคมพิรุณเข้า มีหวังเข้าใจว่าเธอสองคนมีความสัมพันธ์พิเศษกับเฉินเฟิงแหงๆ วิหารจันทราเทพรีบขยายความให้ชัดเจนทันทีว่า

“แหม…พี่ฝนโกรธซะแล้ว ! พี่ก็รู้ว่าพวกเราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อยนี่คะ แล้วยังจะมาแกล้งล้อกันอีก พวกเราแค่พอจะพูดได้ว่าสนิทกับพี่เฟิงเท่านั้นเอง แล้วพี่เองก็เป็นหัวหน้าตึกของสมาพันธ์เฟิง พวกเราก็ต้องเข้าใจผิดเป็นธรรมดาสิคะ !”

“โอ…พวกเธอสนิทกับเฉินเฟิงหรือ ! เฉินเฟิงนี่เก็บความลับเก่งจริงๆ ฉันเองยังไม่เห็นจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ ตานั่นมีน้องสาวสวยขนาดนี้ตั้งสองคน ดันไม่ยอมรีบแนะนำให้ฉันรู้จักซะได้ เห็นสรรหาแต่พวกบ้าฝึกวิชามาทรมานฉันทั้งนั้น กลับไปเมื่อไหร่ฉันจะไปคิดบัญชีกับตานั่นคอยดู !”

ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนถูกชมว่าสวย ก็ต้องดีใจกันทั้งนั้นล่ะนะ เพียงแต่วิธีการพูดชมแบบแฝงนัยของคมพิรุณทำเอาสองสาวต่างกระอักกระอ่วนไปตามๆ กัน

แต่ถึงยังไงวันนี้คมพิรุณก็มีธุระจะมาคุยกับสองสาวจริงๆ หลังจากสนุกกับการดูสีหน้าท่าทางพิพักพิพ่วนของสองสาวพอแล้วก็หยุดเอาไว้แค่นี้ แล้วเริ่มเข้าเรื่อง

และแล้วบรรดาน้องหนูสอดรู้ในบริเวณนั้นทั้งหมดต่างก็มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทันที นั่นคือโกรธแค้นกลุ่มผู้ออกแบบเกม “ราชาแห่งราชัน” สุดๆ…

ปรากฏว่าหลังจากที่สามสาวพูดคุยหยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ต่างก็แลกกันใส่ชื่ออีกฝ่ายในช่องเพื่อนของตัวเอง จากนั้นเห็นได้ชัดว่าทั้งสามใช้ช่องลับสนทนากัน อันหมายความว่าต่อให้เหล่าน้องหนูสอดรู้พยายามถ่างหูออกกว้างแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

คมพิรุณได้มาขอนัดพบสองสาวหลังจากที่ไปหาเฉินเฟิงถึงบ้านแล้ว ความจริงเธอเองก็เคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับสมาพันธ์นินจาเงามาตั้งแต่เมื่อตอนรับหน้าที่เป็นทหารรับจ้างประจำอยู่ที่เมืองเขี้ยวมังกรโน่นแล้ว และทราบดีถึงการกระทำที่เป็นการเสียสละของเซียวหยาวและวิหารจันทราเทพ เพียงแต่เธอไม่เคยทราบเลยว่าเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพรู้จักกับเฉินเฟิงมาก่อน

จวบกระทั่งเฉินเฟิงเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้ฟัง คมพิรุณผู้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านถึงได้ให้เจี๋ยเต๋อช่วยติดต่อสองสาวให้ จุดประสงค์คือคิดจะช่วยให้วิหารจันทราเทพได้สมปรารถนานั่นเอง และแน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าคือช่วยคลี่คลายความเจ็บใจตัวเองให้แก่เฉินเฟิง

เพียงแต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของเหล่าสมาคมทำเอาเธอต้องเปลืองน้ำลายเกลี้ยกล่อมสองสาวไปหลายปี๊บ เพราะสองสาวในตอนนี้ก็เป็นเหมือนเฉินเฟิงในช่วงก่อน นั่นคือแรงกดดันแอบแฝงของผลประโยชน์และการรอมชอมภายในสมาพันธ์ทำให้พวกเธอลังเลกลัวนั่นกลัวนี่สารพัดจนไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น

การพูดคุยกันครั้งนี้ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเต็มๆ หลังจากที่เหล่าน้องหนูสอดรู้ทั้งหลายพากันตัดใจและจากไปในที่สุด สามสาวก็มีข้อตกลงลับร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย นั่นคือจะมอบโอกาสให้วิหารจันทราเทพกับเฉินเฟิงหนึ่งครั้ง ในวันนั้นเซียวหยาวจะพาพวกระดับสูงในสมาพันธ์ทุกคนไปหาสมาชิกใหม่ที่เกาะเริ่มต้น และ “บังเอิญ” ลืมพาวิหารจันทราเทพไปด้วยเสียสนิท…

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:02

0 ความคิดเห็น