หัวข้อ : เล่มที่ 6 รวมสมาพันธ์เฟิงเป็นหนึ่ง ตอนที่ 1 ซวยซ้ำซวยซ้อน

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:07

ตอนที่ 1

 

ซวยซ้ำซวยซ้อน

 

 

หวดดาบ หวดดาบแรงๆ หวดดาบสุดแรง สามกริยานี้ถูกทำซ้ำมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

ภาษิตกล่าวไว้ว่า สองหมัดยากจะต้านสี่มือ และกล่าวว่าลูกผู้ชายมักจะแพ้หมาหมู่ แต่สิ่งที่พวกเฉินเฟิงทั้งสามคนกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ คือมดแดงไฟที่มีถึง 6 ขา แถมยังมีปริมาณมากกว่า 50 ตัวอีกต่างหาก

หลังจากที่เยี่ยหลานตวาดลั่นออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว เฉินเฟิงก็ตัดสินใจใช้วิธีบุกตะลุยตรงๆ เพียงแต่หลังจากที่ตวาดออกไปแล้ว สิ่งที่เจอกลับเป็นความรู้สึกอับจนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

มดแดงไฟแต่ละตัวต่างถูกออกแบบมาให้เป็นนักรบโดยธรรมชาติ ขาคู่แรกของมันถือดาบเรียวกับดาบขนาดใหญ่ ขาคู่กลางข้างหนึ่งถือโล่ ส่วนอีกข้างบ้างถือทวน บ้างถือง้าว กระทั่งถือแส้ก็ยังมี

นับแต่ข่มขวัญมนุษย์หมาป่าอเล็กซ์สำเร็จ เฉินเฟิงก็ไม่เคยต้องลงมือต่อสู้ด้วยตัวเองนานมากขนาดนี้อีกเลย ทำให้เขาลืมการออกแบบที่สุดแสนจะสมจริงของเกม “ราชาแห่งราชัน” ไปเสียสนิท นั่นคือเมื่อต่อสู้เป็นเวลานานเกินไป จะเกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อย และกระหายน้ำ

ทั้งสามตัดใจจากน้ำพุอันแสนยั่วยวนไปนานแล้ว และเล็งจุดที่เปราะบางที่สุดของศัตรูโดยคิดจะบุกฝ่าไปทางนั้น แต่น่าเสียดาย...ด้วยคุณลักษณะเด่นที่ว่าสัตว์อสูรประเภทเดียวกันจะช่วยกันโจมตี ทำให้พอเกิดการปะทะกันปุ๊บ ฝูงมดแดงไฟที่เดิมทีคอยเฝ้าชีพจรมังกรอยู่อย่างสงบพากันฮือเข้ามาหาทันควันโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าผู้บุกรุกตั้งใจจะมาเอาน้ำพุ หรือแค่ต้องการจะผ่านทาง

เฉินเฟิงค้นพบอย่างจนแต้มว่าตัวเองไร้ซึ่งกำลังที่จะพลิกสถานการณ์โดยสิ้นเชิง นับแต่บุกฝ่าเข้ามาในฝูงมดได้ 5 เมตร การรุดหน้าแต่ละย่างก้าวช่างยากเย็นประหนึ่งเดินขึ้นสวรรค์ หากไม่ใช่เพราะไหวตัวเร็วรีบถอยไปทางผนังผาทันการณ์ละก็ พวกเขามีหวังถูกฝูงมดแดงไฟสวาปามไปนานแล้ว

มดแดงไฟบัดซบพวกนี้มันกองทัพที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชนชัดๆ เหตุผลหลักที่ทำให้พวกเฉินเฟิงรุดหน้าแทบไม่ได้เลยเป็นเพราะมดแดงไฟพวกนี้รู้จักปกป้องพรรคพวกที่กำลังใกล้ตายประการหนึ่ง พวกมันอาศัยจำนวนที่มากกว่าส่งกองกำลังหลักผลัดเปลี่ยนหนุนเนื่องกันออกมาที่แนวหน้าอย่างไม่ขาดสายประการหนึ่ง และประการสุดท้ายคือกว่าจะฆ่ามดแดงไฟแต่ละตัวลงได้ ก็ต้องฟันอย่างน้อยตั้ง 30 ครั้งโน่น

หลังการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลา 2 ชั่วโมง พวกเฉินเฟิงยังคงบุกรุดหน้าไปได้แค่ไม่ถึง 20 เมตรเท่านั้น ตอนนี้กระทั่งอเล็กซ์กับอู้คงที่เป็นเทพพิทักษ์ของเฉินเฟิงก็ยังหอบแฮ่ก ถ้าไม่ใช่เพราะวิหารจันทราเทพกับเยี่ยหลานยืนกรานที่จะต้านเอาไว้โดยไม่คิดถอยละก็ เฉินเฟิงคงตัดใจไปนานแล้ว

เฉินเฟิงเปลี่ยนรูปแบบการใช้ยาฟื้นพลังจากตั้งระบบใช้โดยอัตโนมัติเปลี่ยนมาเป็นใช้ด้วยตัวเองมาได้ชั่วโมงกว่าแล้ว

ตอนนี้เฉินเฟิงผู้ไม่เคยรู้จักประหยัดยาฟื้นพลังกำลังเจ็บใจตัวเองสุดๆ ที่ดันไปเรียนรู้วิธีการใช้ยาฟื้นพลังแบบประหยัดเข้า เพราะนอกจากมันจะทำให้ตอนนี้ต้องเหนื่อยแทบอ้วกแล้ว มันยังทำให้เขาต้องมาทนเจ็บอีกต่างหาก หาเหาใส่หัวแท้ๆ เลยโว้ย !

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ช่วงที่เฉินเฟิงควบคุมดูแลเรื่องต่างๆ ภายในสมาพันธ์ เขาได้เห็นการฝึกฝนพวกมือใหม่อยู่หลายครั้ง และนั่นทำให้เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาฟุ่มเฟือยมากขนาดไหน

สมาชิกสมาพันธ์ที่มีประสบการณ์ค่อนข้างสูงบอกกับพวกมือใหม่ว่า ถ้ามัวแต่หวังพึ่งการควบคุมแบบอัตโนมัติที่พอพลังลดปุ๊บ ก็ใช้ยาฟื้นพลังปั๊บมากเกินไปละก็ มีหวังได้กระเป๋ากลวงแน่ สมาชิกมือเก่ายังสาธิตการใช้ยาฟื้นพลังทั้งสองแบบให้ดูอยู่หลายรอบ แล้วจึงนำไปคำนวณกับรายได้เฉลี่ยจากการฆ่าสัตว์อสูรให้เห็นจะๆ จากนั้นย้ำหนักๆ ถึงความแตกต่างอย่างมหาศาลของค่าใช้จ่ายในการใช้ยาฟื้นพลังทั้งสองแบบ

แน่นอนว่าวิธีการแบบประหยัดมันก็ต้องจ่ายค่าชดเชยอยู่บ้าง ควรทราบว่าเพื่อความสมจริง ระบบของเกม “ราชาแห่งราชัน” จึงออกแบบให้ผู้เล่นมีความรู้สึกเจ็บปวด แต่ขณะเดียวกันก็ออกแบบให้สามารถฟื้นฟูพลังได้โดยอัตโนมัติเช่นกัน หากใช้วิธีควบคุมการใช้ยาฟื้นพลังแบบอัตโนมัติที่พอพลังลดปุ๊บก็ใช้ยาฟื้นพลังปั๊บละก็ ถึงแม้จะสะดวกดีก็เถอะ แต่มันก็จะทำให้ไม่สามารถเปล่งประสิทธิภาพของยาฟื้นพลังได้อย่างเต็มที่ และทำให้ประสิทธิภาพในการฟื้นพลังเองโดยอัตโนมัติไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกด้วย

หากต้องการจะประหยัดเงิน ก็ต้องรวบรวมข้อมูลของสัตว์อสูร เพื่อที่จะได้รักษาค่าพลังป้องกันที่เหลือให้อยู่ในระดับที่ตัวเองสามารถทนความเจ็บปวดนั้นได้ และเหลืออยู่มากกว่าพลังโจมตีสูงสุดของสัตว์อสูรสองเท่าตัวขึ้นไป แบบนี้ทั้งประสิทธิภาพของยาฟื้นพลังและคุณประโยชน์ของระบบฟื้นพลังโดยอัตโนมัติก็จะถูกใช้งานอย่างคุ้มค่า แถมยังช่วยประหยัดเงินได้อีกโขด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งชดเชยของวิธีการนี้ ก็คือต้องทนเจ็บกันบ้างนิดหน่อย

ที่ผ่านๆ มาเพื่อความสะดวกและเพราะกลัวเจ็บ เฉินเฟิงที่เรียกได้ว่าฟลุกรวยแบบพรวดพราดจึงใช้ยาฟื้นพลังแต่แบบอัตโนมัติที่ระบบของเกมมีให้บริการมาโดยตลอด แต่ยังไงๆ เขาก็คิดที่จะเป็นนักเล่นเกมอาชีพ ฉะนั้นเมื่อได้รู้ถึงความแตกต่างของการใช้ยาฟื้นพลังทั้งสองแบบนี้แล้ว เขาก็ย่อมต้องหัดเอาไว้ เพราะไม่มีใครกล้ารับประกันหรอกว่าโชคของตัวเองจะดีไปได้ตลอดรอดฝั่งถึงขนาดสามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ตามใจชอบ

ถึงเฉินเฟิงจะนึกเจ็บใจยังไง วิธีการประหยัดเงินแบบนี้ก็ทำให้เขายืนหยัดสู้มาได้นานถึง 2 ชั่วโมงจริงๆ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขามีเงินมากแค่ไหนและกระเป๋าเป้ความจุมหาศาลยังไงก็เถอะ มาเผชิญกับการโจมตีอันแน่นหนาไร้ช่องโหว่แบบนี้เข้าให้นี่ ยาฟื้นพลังก็มีหวังถูกใช้จนหมดเกลี้ยงไปนานแล้วอยู่ดี

“กรี๊ด !”

เสียงกรีดร้องของเยี่ยหลานทำเอาเฉินเฟิงสะดุ้งวาบ ครั้นเห็นสองสาวทำท่าจะไม่ไหวแล้ว เขาก็ตัดสินใจฝืนสั่งให้อเล็กซ์กับอู้คง รวมทั้งตัวเขาเองยืนเรียงเป็นเส้นโค้งโดยหันหลังอิงผนังผา แล้วให้สองสาวที่หอบจนแทบหายใจไม่ทันไปยืนเบียดอยู่ด้านหลังทันที

ถึงแม้เฉินเฟิงเองอยากจะพักเต็มแก่เหมือนกันก็ตาม แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ความทระนงในฐานะผู้ชายทำให้เขาจำต้องยืนหยัดต่อไป

“หลาน พวกเรา...แฮ่ก...แฮ่ก...ถอยกันเถอะ !” วิหารจันทราเทพพยายามพูดปนหอบอย่างลำบาก แม้คำพูดจะไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็ฟังออกว่าน้ำเสียงอ้อนวอนสุดๆ เพราะเธอทราบดีว่าถ้าเยี่ยหลานยังไม่ยอมถอย เฉินเฟิงก็จะยังฝืนอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งแบบนั้นผลลัพธ์มีหวังกลายเป็นไม่ว่าใครคิดจะหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว

เยี่ยหลานที่เพิ่งจะมีเวลาได้พักหายใจยังไม่ทันได้พูดตอบวิหารจันทราเทพ ก็หันไปเห็นเฉินเฟิงถูกมดแดงไฟสามตัวโจมตีใส่พร้อมกันเข้าพอดี จึงตกใจจนแผดร้องลั่นพลางใช้ยาฟื้นพลังระดับสูงให้ไปหนึ่งขวดทันที

“ระวัง ! อยากตายหรือไง !”

เฉินเฟิงหน้าซีดเผือด จะพูดตอบก็พูดไม่ได้ เพราะมดแดงไฟ 7 ตัวที่ยืนล้อมอยู่ตรงหน้ามันมีไว้ตั้งโชว์เฉยๆ เสียเมื่อไรเล่า

เนื่องจากอยู่ๆ ก็ขาดคนช่วยถ่วงไปสองคน ทำให้ฝูงมดแดงไฟทั้งหมดเล็งเป้ามาที่เฉินเฟิงคนเดียว บวกกับเขาต้องแบ่งสมาธิไปช่วยใช้ยาฟื้นพลังให้อเล็กซ์กับอู้คง แถมเขายังคิดจะประหยัดยาฟื้นพลังอีกต่างหาก ผลสุดท้ายจึงมือไม้ปั่นป่วนไปหมดจนเกือบจะได้กลับขึ้นสวรรค์อยู่รอมร่อ

“ยาฟื้นพลังเขาไม่ได้ประหยัดกันแบบนี้หรอกนะยะ ! จะตายอยู่แล้วยังจะประหยัดทำบ้าอะไรอีก...” เยี่ยหลานดุ “ช่างเถอะ พยายามให้เต็มที่ก็พอ จะถอยหรือไม่ถอย พี่ตัดสินเอาเองแล้วกัน !”

ความจริงในคนทั้งสาม คนที่ลำบากที่สุดคือเยี่ยหลานนั่นแหละ เพราะอาวุธของเธอยังใช้ของเดิมไม่ได้อัพเกรด ทำให้ไม่มีอาวุธชิ้นไหนใช้ทำร้ายมดแดงไฟได้เลยสักชิ้น จึงจำต้องยืมค้อนยักษ์ของเฉินเฟิงมาใช้ชั่วคราวไปก่อน

ถึงค้อนยักษ์จะมีพลังโจมตีสูง แต่มันหนักโคตรๆ บวกกับทักษะใช้อาวุธหนักของเยี่ยหลานเองเลื่อนขึ้นแค่นิดเดียว ด้วยเหตุนี้ในเวลา 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา เยี่ยหลานจึงใช้เวลาไปกับการวิ่งหนีมากกว่าการโจมตีหลายเท่า

เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยหลาน วิหารจันทราเทพก็ระบายลมหายใจเฮือก แม้จะรู้สึกสับสนในใจ แต่ต่อให้ให้โอกาสเธอได้เลือกอีกกี่ครั้ง สุดท้ายเธอก็จะเลือกแต่ทางเดิมนี้ล่ะ

เพียงแต่ครู่ใหญ่ผ่านไป เฉินเฟิงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถอยสักที

วิหารจันทราเทพนึกว่าเมื่อกี้เฉินเฟิงมัวแต่ยุ่งจนไม่ได้ยินที่เยี่ยหลานพูด จึงได้แต่ร้องบอกไปอีกครั้งว่า

“พี่เฟิง ไม่ต้องสู้ต่อแล้วล่ะค่ะ พวกเราถอยกันเถอะ ! หลานเองก็บอกว่าพอแล้ว อย่างน้อยพวกเราก็พยายามถึงที่สุดแล้วนี่คะ”

หรือจะกลายเป็นฝืนลากถูลู่ถูกังกันไปจนจบเสียแล้วล่ะเนี่ย ? เยี่ยหลานอุตส่าห์เลิกดื้อแล้วแท้ๆ ไหงกลายเป็นว่าเฉินเฟิงดันเปลี่ยนมาดื้อแทนซะได้ !

ที่สองสาวพูดมาเฉินเฟิงก็ได้ยินอยู่หรอก แต่หนึ่งนั้นเป็นเพราะเขาไม่มีเวลาว่างมาพูดตอบ อีกอย่างเป็นเพราะดูเหมือนสถานการณ์กำลังมีการเปลี่ยนแปลง

ปรากฏว่าอยู่ๆ มดแดงไฟที่ตอนแรกทะลักฮือเข้าหาไม่มีขาดช่วงอย่างกับน้ำป่ากลับค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปทางชีพจรมังกรแห่งที่ 9

ถึงแม้การต่อสู้จะยังคงดำเนินต่อไป แต่พอมดแดงไฟไม่มีกำลังเสริมปุ๊บ แรงกดดันของเฉินเฟิงก็ผ่อนเพลาลงไปมากทันที ตอนนี้เหลือมดแดงไฟอีกแค่ 7 ตัวที่ยังคงโจมตีใส่เฉินเฟิงอยู่

ตอนแรกสองสาวต่างก็งงไปเหมือนกันที่เห็นเฉินเฟิงไม่ยอมพูดตอบสักที แต่ไม่ต้องให้เฉินเฟิงพูดบอก พวกเธอก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของฝูงมดแดงไฟอย่างรวดเร็ว เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงแบบปุบปับอย่างกับโกหกนี้ทำเอาพวกเธอมองตาค้างอย่างเชื่อไม่ลงไปพักใหญ่

ทันใดนั้น ดวงอาทิตย์ได้ลับหายจากขอบฟ้า แสงสว่างรอบด้านลดทอนลงครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ส่วนมดแดงไฟที่รวมตัวกันอยู่ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเพราะการนี้แต่อย่างใด พวกมันยังคงพยายามเบียดเสียดกันเข้าไปหาชีพจรมังกรต่อไป

สุดท้ายสิ่งที่ทำเอาคนทั้งสามต่างตกตะลึงตาค้างคือ ฝูงมดแดงไฟพากันกระโดดลงไปในน้ำพุตัวแล้วตัวเล่า แถมยังแห่กันกระโดดลงไปเร็วขึ้นทุกทีๆ จนพริบตาเดียวก็หายไปกว่าครึ่ง

ขณะที่สองสาวยังคงมองตาค้างทำอะไรไม่ถูก เฉินเฟิงก็ร้องโหวกเหวกว่า

“รีบมาช่วยกันหน่อยเร็วเข้า พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด !”

สองสาวถึงค่อยได้สติ และโถมเข้าช่วยสู้ทันที

แต่มีจุดที่ข้องใจอยู่อย่าง นั่นคือเฉินเฟิงตะโกนให้สองสาวมาช่วย น่าจะแปลว่าต้องการให้การต่อสู้จบลงเร็วๆ จะได้ไปจากที่นี่กันเสียที แต่เขากลับทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้สองสาวไม่เข้าใจเอาเสียเลย…นั่นคือเก็บอเล็กซ์ที่มีพลังต่อสู้สูงที่สุดกลับเข้าแส้เทพสีหราชฯ

ครั้นมดแดงไฟที่เหลืออยู่ไม่กี่ตัวถูกคนทั้งสามและอู้คงล้อมโจมตี ก็ถูกเก็บกวาดจนหมดเกลี้ยงตามคาด

เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง สองสาวยังไม่ทันถามเรื่องที่ข้องใจ เฉินเฟิงก็ปล่อยซวงเว่ยกับหลายฝูออกมา แล้วคว้าตัวสองสาวโยนขึ้นหลังม้าโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นห้อตะบึงตรงดิ่งไปทางเนินจมูกสิงห์ทันที ทำเอาสองสาวต่างก็จับต้นชนปลายไม่ถูก

“ครึ่ก…ครึ่ก…ครืนนน…”

เสียงดังสนั่นสะเทือนแว่วติดต่อกันมาจากทางด้านหน้า ทั้งสามวิ่งไปเป็นระยะทางสามกิโลเมตรเศษ ก็เห็นภาพศิลาสะบั้นมังกรขนาดมหึมากำลังทิ้งตัวลงมาปิดทางอย่างแช่มช้า

“เร็วเข้า ! เร็ว !” เฉินเฟิงตะโกนเร่งสุดเสียง

อันที่จริงแค่ได้เห็นภาพข้างหน้า ไม่ต้องให้ใครมาร้องเร่งก็รู้อยู่แล้วล่ะนะว่าต้องรีบ เยี่ยหลานคิดในใจว่า ที่แท้ศิลาสะบั้นมังกรจะปิดตัวลงแล้วนี่เอง มิน่าเล่าเฉินเฟิงถึงเอาแต่เร่งแบบนั้น แต่เขารู้เรื่องที่ศิลาสะบั้นมังกรกำลังจะทิ้งตัวลงปิดทางได้ยังไงกันนะ ?

“ครึ่ก…ครืนนนนน…”

ขณะที่ศิลาสะบั้นมังกรทิ้งตัวลงจนเหลือช่องว่างแค่ 1 เมตร สองสาวก็ลอดผ่านศิลาสะบั้นมังกรไปได้ เฉินเฟิงที่ตามมาด้านหลังเก็บซวงเว่ยกลับเข้าแส้ฯ แล้วใช้วิธีลื่นไถลลอดผ่านไปได้ทันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด

ฝุ่นละอองซึ่งเกิดจากการที่ศิลาสะบั้นมังกรทิ้งตัวลงกระทบพื้นลอยฟุ้งตลบไปทั่ว พวกเฉินเฟิงทั้งสามเองก็โดนฝุ่นจับจนมอมแมมไปตามๆ กัน

ครั้นฝุ่นที่ฟุ้งตลบทิ้งตัวตกลงสู่พื้น ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าก็ทอดกว้างออกไปไกลในบัดดล ทิวเขาไกลตาโอบล้อมหา ผืนหญ้าเขียวขจี แถมยังมีลำธารสายน้อยไหลตัดผ่านเนินเขา เทียบกับทิวทัศน์ในผาเก้าคดที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างแล้ว เรียกว่าแตกต่างกันเหมือนหน้ามือกับหลังมืออย่างไรอย่างนั้น

เพียงแต่ทั้งสามต่างไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะมาชมวิวเสียแล้ว และพร้อมใจกันเลือกโถมเข้าหาผืนหญ้า จากนั้นบ้างนั่งบ้างนอนตามอัธยาศัย ปากก็หอบหายใจหนักๆ กระทั่งอู้คงที่ปกติพลังงานเหลือเฟือไม่เคยอยู่นิ่งก็ยังนั่งลงพักผ่อนกับเขาด้วย มีแต่หลายฝูที่ยังคงทำหน้าที่ดั้งเดิมของมัน นั่นคือรับผิดชอบวิ่งลาดตระเวนดูลาดเลาไปรอบๆ โดยไม่ต้องให้สั่ง

หลังจากที่พักกันนานกว่าสิบนาที ทั้งสามก็ค่อยหายเหนื่อยและกลับเป็นปกติ เพียงแต่ยังไม่มีใครคิดอยากจะออกเดินทางต่อ

เฉินเฟิงพลิกตัวนอนพังพาบบนพื้นหญ้า เพิ่งจะมีแรงมองสำรวจรอบด้านก็ตอนนี้เอง ส่วนเยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพพากันเดินไปยังลำธารสายน้อย แล้วจัดแจงล้างหน้าล้างตาจัดเสื้อผ้าทรงผมให้เข้ารูปดูดีเหมือนเดิมตามประสาผู้หญิงที่รักสวยรักงาม

ครู่ใหญ่ต่อมา หลังจากจัดการกับหน้าตาเนื้อตัวเสร็จเรียบร้อย สองสาวก็นึกถึงข้อข้องใจเมื่อครู่ขึ้นได้ จึงพากันมาล้อมเฉินเฟิงแล้วผลัดกันถามจ๋อยๆ เป็นการใหญ่

เยี่ยหลานเป็นคนเริ่มก่อนว่า “พี่เฟิงคะ พี่รู้เรื่องที่ศิลาสะบั้นมังกรกำลังทิ้งตัวลงมาปิดทางได้ยังไงคะ ?”

เฉินเฟิงยังไม่ทันตอบ วิหารจันทราเทพก็ถามต่อว่า

“นั่นสิ ! แล้วยังเรื่องที่ฝูงมดแดงไฟจะฆ่าตัวตายนั่นอีก ทำไมเธอไม่ยอมบอกพวกเราแต่แรกล่ะ ?”

ครั้นเยี่ยหลานได้ยินคำถามของวิหารจันทราเทพ ก็ถามต่อทันทีโดยไม่สนใจว่าเฉินเฟิงยังไม่ทันได้ตอบคำถามของเธอ

“จริงด้วยๆ ! แล้วก็ที่ฉันอยากรู้ที่สุดคือ เมื่อกี้พี่เก็บอเล็กซ์กลับเข้าแส้ฯทำไมกันคะ ?”

เฉินเฟิงกำลังเคลิบเคลิ้มกับทิวทัศน์อยู่ดีๆ สองสาวก็โผล่พรวดมากะทันหัน นัยน์ตาเฉินเฟิงเป็นประกาย กะจะพูดชมทิวทัศน์ที่ได้เห็นให้ฟังสักหน่อย แต่ยังไม่ทันได้พูดสักแอะ สองสาวก็ชิงยิงคำถามใส่เขารวดเดียวสามคำถามติดๆ กันเสียก่อน ท่าทางแสนจะอยากรู้คำตอบของสองสาวทำเอาเขาชักไม่อยากตอบขึ้นมาเสียแล้ว

เฉินเฟิงพูดแบบจงใจกั๊กเอาไว้ว่า “อืมม์…คำถามที่ 1 ผมเองก็ไม่รู้ ! คำถามที่ 2 ผมก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ ! คำถามที่ 3 เป็นเพราะมีคนเตือนให้ผมนึกขึ้นได้…”

เมื่อได้ยินคำตอบของเฉินเฟิง สองสาวต่างตาค้าง แต่เพียงแป๊บเดียววิหารจันทราเทพก็ถามต่อว่า

“เธอเองก็ไม่รู้ ? งั้นเธอรู้ได้ยังไงน่ะว่าต้องรีบวิ่ง ?”

“ใครคะ ? เมื่อกี้ไม่เห็นมีใครมาเลยนี่นา ? จันทราเทพเห็นใครมาหรือเปล่า ?” เยี่ยหลานถามขึ้นบ้าง

วิหารจันทราเทพหน้าเหลอ “ก็ต้องไม่เห็นน่ะสิ ! จริงสิ ! ใครเป็นคนเตือนเธอหรือ ? แล้วทำไมถึงไม่เตือนพวกเราบ้างล่ะ ?”

ครั้นเห็นเฉินเฟิงทำท่าเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ในอาการ “ฮ่องเต้ไม่เดือดร้อน ขันทีดันเดือดร้อน”[1] สองสาวก็พากันจ้องเฉินเฟิงเขม็งแล้วพูดขึ้นพร้อมกันราวกับนัด

“รีบบอกมาเร็วเข้า ! พี่/เธอต้องรู้แหงๆ ใช่มั้ยล่ะ !”

เฉินเฟิงยังอยากจะเล่นตัวต่อ จึงพูดเอื่อยๆ ว่า

“ผมก็ไม่ได้บอกสักหน่อยนี่ว่ามีใครมา…” แต่พอเหลือบไปเห็นว่าสองสาวชักจะเริ่มมีโมโหแล้ว เฉินเฟิงก็ยิ้ม พูดต่อว่า “เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยเป็นคนส่งข้อความมาให้ผมทันเวลาพระอาทิตย์ตกพอดี บวกกับท่าทางของอเล็กซ์ดูประหลาดมาก ก็เลยทำให้ผมนึกถึงลักษณะพิเศษของที่นี่ขึ้นมาได้…”

“นี่ ! อย่าเอาแต่พูดแค่ครึ่งเดียวสิคะ…อะไรจะขี้งกขนาดนี้” เยี่ยหลานค้อนเฉินเฟิงจนตาคว่ำอย่างไม่มีการเกรงใจ

ส่วนวิหารจันทราเทพดูจะจับความอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่การเล่นตัวของเฉินเฟิงทำให้เธอชักจะมีโมโหเหมือนกัน จึงตัดสินใจเลิกสนเฉินเฟิง แล้วดึงเยี่ยหลานเข้ามาพูดว่า

“หลาน ฉันรู้แล้วล่ะ ที่นี่เวลากลางคืนสัตว์อสูรจะเก่งขึ้นใช่ไหมล่ะ ? ได้ยินว่าพอตกกลางคืน สัตว์อสูรที่นี่เกือบทุกชนิดจะคลั่ง เธอเคยเล่าเรื่องที่อเล็กซ์คลั่งมาก่อนนี่นา ฉันว่าเขาคงจะคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้น่ะแหละ”

เยี่ยหลานทำหน้าเหลอ แล้วตบศีรษะตัวเองไปหนึ่งป้าบ

“จริงด้วย ! พี่ฝนก็เคยบอกเหมือนกันค่ะว่าเวลากลางคืนสัตว์อสูรที่นี่จะคลั่ง ถึงได้มีธรรมเนียมว่าต้องปฏิบัติภารกิจให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อกี้คาราเมลก็ส่งข้อความมาให้ฉันเหมือนกันค่ะ บอกแค่ว่าพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ฉันเองก็ดันนึกไม่ถึง…” เยี่ยหลานพูดพลางค้อนเฉินเฟิงอีกขวับ จากนั้นดึงวิหารจันทราเทพลุกขึ้นยืนด้วยกัน เหมือนตัดสินใจที่จะเลิกแยแสเฉินเฟิง วิหารจันทราเทพเองก็รับมุก แล้วสองสาวก็เลี่ยงไปเดินอีกฟาก

เยี่ยหลานเห็นเฉินเฟิงทำหน้าเป็นความหมายว่า “พวกเธอเดาถูกแล้ว !” แต่ก็ยังทำท่าอมภูมิอยู่ดี จึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นแล้วพูดต่อว่า

“นอกจากนี้ อเล็กซ์เองก็เกิดจากที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะคลั่งขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ เวลามันคลั่งน่ะน่ากลัวมากๆ เลยล่ะค่ะ แถมยังไม่แยกแยะมิตรศัตรูเสียด้วย…”

เฉินเฟิงที่เพิ่งจะแย้มบอกไปแค่ครึ่งเดียว ก็โดนรู้ส่วนที่เหลือจนหมดไส้หมดพุงเสียแล้วเลยหมดมุกจะใช้เล่นตัวไปโดยปริยาย เขาเห็นสองสาวทำท่าไม่แยแสตนจริงๆ แถมยังเดินไปกันแค่สองคนห่างออกไปทุกที จึงได้แต่รีบวิ่งตามไปประจบว่า

“แหะๆ…รอผมด้วยสิ ! พวกเธอนี่ฉลาดจริงๆ แค่แป๊บเดียวก็เดาออกกันแล้ว”

เฉินเฟิงไม่พูดประโยคนี้ออกมายังพอทำเนา เพราะพอสองสาวได้ยินเข้าปุ๊บ ก็ร้อง “เชอะ !” ขึ้นพร้อมกันทันที แล้วสะบัดหน้าขวับกลับไปเลิกแยแสเขาตามเดิม

เฉินเฟิงหน้าเหลอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพูดแบบนี้มันหมายความตรงกันข้ามชัดๆ จึงรีบหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อนทันที

“ผมผิดเอง...ผมผิดเองคร้าบ เอาน่า ! อย่าโมโหเลยนะ ผมขอโทษพวกเธอก็แล้วกัน”

“มิกล้า ! พวกเรามันไม่ได้ฉลาดอย่างท่านหัวหน้าสมาพันธ์เฟิงอยู่แล้วนี่ ไม่อย่างนั้นจะไปขอคำชี้แนะจากท่านทำไม ?วิหารจันทราเทพประชด แล้วเมินหน้าไปถามเยี่ยหลานว่า “หลาน ต่อไปต้องเดินไปทางไหนหรือ ? พวกเรามันหัวช้า เพราะงั้นต้องวางแผนล่วงหน้ากันให้ดีๆ ล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหัวเราะเยาะเอาอีก”

“นั่นสิคะ !” เยี่ยหลานผสมโรง “เส้นทางต่อจากนี้ฉันจำได้ว่าคุณอะไรก็ได้เคยบอกเอาไว้แล้ว ดูเหมือนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จะมีถ้ำอยู่ ตอนแรกเขากะจะมาเป็นคนนำทางเองด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ไม่ได้ข้ามมาด้วยกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายังออนไลน์อยู่หรือเปล่า ฉันว่าถามเขาให้ละเอียดกว่านี้หน่อยดีกว่า”

น่าเสียดายที่สองสาวใช้ช่องลับติดต่ออะไรก็ได้ไม่ได้ คมพิรุณเองก็ไม่ได้ออนไลน์ ส่วนหนานอี๋กับเฟิงฉิง สมาชิกขบวนนักเวทและสัตว์ที่อยู่เวรในตอนนี้ต่างก็บอกว่าไม่ทราบเช่นกัน เพราะพวกเธอเพิ่งจะมาเล่นเกม “ราชาแห่งราชัน” หลังจากที่อะไรก็ได้ได้อาชีพแล้ว

เฉินเฟิงรู้สึกอิหลักอิเหลื่อชอบกล ตัวเขาน่ะถามเรื่องตำแหน่งสถานที่อย่างละเอียดมาล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ทว่าสองสาวไปสอบถามคนโน้นคนนี้เป็นหลายคน แต่ดันไม่ยอมถามเขานี่สิ

ถ้าเขาพูดออกไปตอนนี้ว่าเขาทราบล่ะก็ มีหวังสองสาวที่กำลังเคืองได้กระอักกระอ่วนหนักกว่าเดิมแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าแค่เล่นตัวนิดเดียว จะกลายเป็นทำเอาพวกเธอมีโมโหซะได้

แต่อันที่จริงเฉินเฟิงเองก็แค่สันนิษฐานเอาเท่านั้น ความจริงกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังสงสัยอยู่ว่า ต่อให้ตอนกลางคืนสัตว์อสูรที่นี่จะคลั่งก็เถอะ แล้วการที่ฝูงมดแดงไฟพากันยกพวกถอยไปนั่นล่ะ จะอธิบายยังไง ?

สองสาวขอความช่วยเหลืออยู่พักใหญ่โดยไร้ผล จึงได้แต่ลองสุ่มดูเอาเองด้วยการเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยหวังว่าจะได้พบกับถ้ำที่เสนาธิการอะไรก็ได้ได้บอกเอาไว้

เฉินเฟิงที่เดินตามมาข้างหลังคิดในใจว่าตอนนี้อย่าเพิ่งไปยั่วให้พวกเธอโมโหหนักกว่านี้จะดีกว่า เพราะถึงยังไงทิศที่เดินก็ถูกต้องแล้ว ไว้ถึงเวลาค่อยพลิกแพลงตามสถานการณ์เอาก็แล้วกัน

แล้วทั้งสามก็เดินลงจากเนินเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้บรรยากาศที่ออกจะพิลึกพิลั่นแบบนี้เอง เดินกันไปได้เกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางลักษณะภูมิประเทศค่อยๆ เปลี่ยนเป็นที่ราบ แล้วตรงหน้าก็ปรากฏพื้นที่แบบแอ่งกระทะ[2]ขนาดใหญ่

ที่น่าประหลาดคือ ทั่วทั้งเขตนี้ไม่มีสัตว์อสูรโผล่มาเลยสักตัว แถมที่นี่ไม่ใช่เขตปลอดภัยของระบบเสียด้วย

สถานการณ์แบบนี้ทำให้เฉินเฟิงอดเคลือบแคลงไม่ได้ ควรทราบว่ากระทั่งบนเกาะเริ่มต้นที่มีไว้ให้มือใหม่ได้เริ่มเล่น ก็ยังไม่มีพื้นที่ที่ไม่มีสัตว์อสูรโผล่มาให้เห็นสักตัวที่กว้างใหญ่ตั้งขนาดนี้เลย

ในข้อมูลที่อะไรก็ได้ให้มาก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าบริเวณนี้มีอะไรพิเศษ ดังนั้นสภาพการณ์แบบนี้จึงทำให้เฉินเฟิงชักรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นทุกทีๆ

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาไปเจอเขตที่ไม่มีสัตว์อสูรโผล่มาให้เห็นสักตัวทีไร ไม่เคยเลยที่จะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น หรือวันนี้ไม่เหมาะที่จะมาที่นี่เอาจริงๆ พวกเขาถึงได้เจอแต่ปัญหาใหญ่โคตรจะใหญ่มาตลอดทางแบบนี้ ?

ลองสำรวจยาฟื้นพลังที่เหลือดู ซวยล่ะสิ ! เหลือแค่ยาฟื้นพลังระดับต่ำ 15 ขวดกับระดับสูง 3 ขวดเท่านั้น คิดว่าสองสาวเองก็คงไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร อีแบบนี้ขืนเจอสัตว์อสูรเข้าอีกหนละก็ มีหวังไม่ได้การแน่

การต่อสู้กับฝูงมดแดงไฟในรอบก่อนสิ้นเปลืองเอามากๆ จริงๆ ตอนนี้เฉินเฟิงได้แต่หวังให้ตัวเขาแค่คิดมากไปเอง ไม่อย่างนั้นความพยายามที่ทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มีหวังสูญเปล่าน่ะสิ

อาจเป็นเพราะเฉินเฟิงที่เดินตามมาข้างหลังกำลังไม่ค่อยสบายใจ จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าสองสาวที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดเดินตั้งแต่เมื่อไร และชนสองสาวโครมเข้าให้

“ว้าย ! เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะยะ !”

หลังจากเดินกันมาได้ครึ่งชั่วโมง สองสาวก็หายโมโหไปกว่าครึ่ง เนื่องจากพวกเธอไม่มีข้อมูลเรื่องเส้นทางที่แน่ชัด จึงพากันตัดสินใจหยุดเดินเพื่อจะมาถามเฉินเฟิงดู ใครจะไปคิดว่ากระทั่งตอนกำลังเดิน เฉินเฟิงก็ยังใจลอยได้ สองสาวดูอาการลนลานขอโทษของเฉินเฟิงแล้วก็นึกขำ จึงพากันหัวเราะคิกคัก

เฉินเฟิงที่ขอโทษขอโพยอย่างเอาเป็นเอาตายเห็นสองสาวไม่ยักว่าอะไรเขา แถมยังหัวเราะคิกคักกันอีกต่างหาก ก็ทราบว่าสองสาวหายโกรธแล้ว จึงฉวยโอกาสถามขึ้นโดยกะจะทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วนเสียเลย

“ยาฟื้นพลังของพวกเธอยังเหลืออีกกี่ขวดน่ะ ?”

สองสาวต่างงุนงง แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เฉินเฟิงก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ก็ยังลองนับกันดู วิหารจันทราเทพบอกว่ายาฟื้นพลังของเธอเหลือแค่ระดับต่ำ 7 ขวด ระดับสูง 1 ขวด เยี่ยหลานสิอนาถกว่า เพราะเหลือยาฟื้นพลังระดับต่ำแค่ 5 ขวดเท่านั้น

เฉินเฟิงส่งยาฟื้นพลังระดับต่ำ 3 ขวด ระดับสูง 2 ขวดให้เยี่ยหลาน แล้วพูดอย่างเป็นกังวล

“งั้นพวกเราต้องใช้ประหยัดๆ กันหน่อยนะ ผมเองก็เหลือแค่นิดเดียวแล้วเหมือนกัน พวกเธอไม่รู้สึกหรอกหรือว่าที่นี่มันแปลกๆ ยังไงชอบกล ?”

เยี่ยหลานรับยาฟื้นพลังมาอย่างไม่เกรงใจ แล้วหันไปเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง

“แปลกๆ หรือ ? ไม่เห็นรู้สึกเลยนี่คะ ! หรือว่าพวกเราเดินมาผิดทาง ?”

วิหารจันทราเทพรู้สึกได้ถึงความกังวลในน้ำเสียงของเฉินเฟิง จึงหันไปมองสำรวจรอบด้านอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ครั้นนึกถึงที่เฉินเฟิงถามถึงยาฟื้นพลัง เธอก็พลันเข้าใจปัญหาทันที และพลอยพูดอย่างเป็นกังวลไปอีกคน

“ทางน่ะน่าจะเดินมาถูกแล้วล่ะ ไม่งั้นพี่เฟิงคงไม่เดินตามมาหรอก แต่มันก็ออกจะแปลกๆ จริงๆ นั่นแหละ…พี่เฟิงคะ สภาพของอเล็กซ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ? บางทีพวกเราอาจต้องพึ่งมันก็ได้”

พอวิหารจันทราเทพทักขึ้น เฉินเฟิงค่อยนึกถึงอเล็กซ์ที่เป็นกำลังสำคัญในการรบขึ้นได้ แต่เหตุการณ์ตอนที่มันคลั่งยังสดใหม่ในความทรงจำของเขาอยู่เลย และที่เขาเก็บมันเข้าแส้ฯก็เพราะกังวลเรื่องที่มันมีความเกี่ยวพันกับที่นี่เป็นพิเศษนี่แหละ แต่ตอนนี้ดันจำเป็นต้องพึ่งพากำลังในการรบของมันเสียด้วยนี่สิ เฉินเฟิงชักรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกซะแล้ว

ตอนแรกเยี่ยหลานที่จับต้นชนปลายไม่ถูกกะจะดุเฉินเฟิงว่าทำเป็นอมพะนำอยู่ได้ แต่ครั้นเห็นวิหารจันทราเทพเองก็พลอยพูดแบบนั้นไปด้วย ก็ชักจะมึนขึ้นมาทันที จึงถามว่า

“ตรงไหนหรือคะที่ผิดปกติน่ะ ? ฉันดูยังไงก็ว่าทุกอย่างปกติดีนี่คะ จะพูดอะไรก็พูดออกมาให้ชัดๆ หน่อยสิ พี่ทำเอาฉันจะบ้าอยู่แล้วนะ !” อาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันจนชักจะคุ้น ทำให้เยี่ยหลานชักจะเกรงใจเฉินเฟิงน้อยลงทุกทีๆ

วิหารจันทราเทพเห็นเฉินเฟิงเหมือนจะกำลังตัดสินใจเรื่องปล่อยอเล็กซ์ จึงช่วยอธิบายแทนว่า

“หลาน เธอไม่รู้สึกหรอกเหรอว่าที่นี่มันเงียบสงบเกินไปน่ะ ? พวกเราเดินกันมาเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ แต่ยังไม่เจอสัตว์อสูรเลยสักตัว”

เยี่ยหลานทำหน้าเหลอ “จริงด้วยสิ ! นี่ถ้าไม่พูดขึ้นมา ฉันก็คงไม่ทันสังเกตจริงๆ นั่นแหละ”

วิหารจันทราเทพเสริมว่า “ปกติสถานการณ์แบบนี้มีความเป็นไปได้แค่สองอย่าง หนึ่งคือข้างหน้าเพิ่งจะมีกลุ่มยอดฝีมือเคลียร์ทางให้ ส่วนอีกหนึ่ง เป็นสิ่งที่ตอนนี้พวกเรากลัวกันมากที่สุด นั่นคือกำลังจะมีสัตว์อสูรระดับราชาถือกำเนิด ! แต่นี่ก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานล่ะนะ เพราะงั้นพี่เฟิงถึงได้เป็นห่วงไงว่ายาฟื้นพลังของพวกเรายังมีพออยู่หรือเปล่า แล้วปกติที่นี่มันก็ไม่ค่อยมีใครมากันอยู่แล้วด้วย ดังนั้น…”

เยี่ยหลานหน้าตื่น “ไม่จริงน่า ! นี่ยังจะมีอีกเหรอ ?! วันนี้พวกเราซวยกันมามากเกินพอแล้วนะ !”

เฉินเฟิงยิ้มแห้งๆ “วันนี้พวกเราซวยกันมามากเกินพอแล้วจริงๆ นั่นแหละ เพราะงั้นผมถึงไม่กล้าพูดออกมาไง กลัวไม่พูดละไม่มีอะไร พอพูดปุ๊บเกิดโผล่ขึ้นมาจริงๆ ละเป็นเรื่องแน่”

เยี่ยหลานดุทันที “เฮ้ๆๆ อย่าปากอัปมงคลสิยะ ! พี่คิดว่าคนทั้งโลกเขาเป็นเหมือนพี่ที่เดินไปถึงไหน ซวยไปถึงนั่นกันหมดหรือไงหา ? ไปอยู่ห่างๆ พวกฉันเดี๋ยวนี้เลยไป๊ เดี๋ยวเกิดเชื้อความซวยของพี่ลามมาติดพวกฉันละแย่แน่ !”

เฉินเฟิงผู้น่าสงสารเพิ่งจะเปิดปากพูดก็เจอด่าเสียแล้ว ดูท่าทางวันนี้คุณหนูใหญ่เยี่ยจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไปอยู่ให้ห่างๆ หน่อยท่าจะปลอดภัยกว่า

หลังจากคิดแล้วคิดอีก เฉินเฟิงก็ไม่กล้าปล่อยอเล็กซ์ออกมาอยู่ดี แต่ก็ปล่อยซวงเว่ยออกมาแทน โดยกะว่าถึงซวงเว่ยจะมีพลังโจมตีไม่สูงเท่าไร แต่อย่างน้อยมีมันอยู่ด้วยบนที่ราบแบบนี้ ก็คงช่วยให้หนีได้เร็วขึ้นอีกนิดแหละนะ

หลังจากถกเถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง คนทั้งสามก็ออกเดินทางกันต่อ

น่าเสียดายที่ความสุขไม่มาซ้ำ ความทุกข์ไม่มาเดี่ยว เพิ่งจะเดินต่อกันไปได้แค่ไม่ถึง 10 นาที วัตถุขนาดมหึมาบนพื้นที่ราบไกลตาก็ได้ประกาศให้ทราบว่า วันนี้บุคคลผู้โชคร้ายทั้งสามจะได้ซวยกันอีกแล้วแน่ๆ…



[1] ฮ่องเต้ไม่เดือดร้อน ขันทีดันเดือดร้อน (หวงตี้ปู้จี๋, จี๋สื่อไท่เจียน : Huang di bu ji, ji si tai jian) หมายถึง เจ้าตัวเขายังไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย แต่คนอื่นที่ดูอยู่กลับเดือดร้อนแทน

[2] พื้นที่แบบแอ่งกระทะ หรือ ภูมิประเทศแบบแอ่งกระทะ คือ ภูมิประเทศซึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาโดยมีพื้นที่ราบอยู่ตรงกลาง พื้นที่ราบตรงกลางอาจจะลาดลงไปเป็นแอ่ง หรือเป็นพื้นที่ราบธรรมดาก็ได้

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:07

0 ความคิดเห็น